วันเวลาปัจจุบัน 07 ก.ย. 2025, 03:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 123 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"อสูรกายครวญ"

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=296


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




oba41.gif
oba41.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 4141 ครั้ง ]
อสูรกายครวญ เพิ่งเคยฟัง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านสติสัมปันน์ เขียน:
ผมเข้าใจว่า ละได้ เมื่อสภาวะจิตถึงระดับที่ละได้ ถ้าตั้งใจละได้เลยอาศัยเพียงแค่ว่าตั้งใจจะไม่เอาสมมุตินั้นมาจะได้เป็นวิปัสสนาโดยแท้ แล้ววิปัสสนาจะวิเศษเลิศเลออะไร? แค่ตั้งใจว่า ไม่เอาสมมุติ(ทั้งที่ต้องอาศัยสมมุติ)ก็เป็นวิปัสสนาแล้ว :b6: การที่จะยกระดับจิตได้ ก็อาศัยการปฎิบัติแล้วได้ผลการปฎิบัติ วิปัสสนาจะบังเกิดก็บังเกิดก็เพราะระดับจิตที่ได้รับผลจากการปฎิบัติ คือง่ายๆจิตได้รับผล แล้วจิตละตามธรรมชาติของการปฎิบัติ ไม่ใช่มาตั้งใจละแล้วๆ แล้วตั้งใจละไม่เอาสมมุตินี่ที่จริงก็เป็นสมมุติอีกนะนั่น



แจ่มดีแท้หนอ

ท่านสติสัมปันน์ กล่าวแม่นแล้วครับ :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอายะอย่าเพิ่งให้การรับรองเช่นนั้น รอฟังอาจารย์เฉลิมศักดิ์ของกรัชกายก่อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกรง อ.เฉลิมศักดิ์มองไม่เห็นคำถามอีก จึงยกมาตั้งไว้ตรงนี้อีกครั้ง

ตอบคำถามเกี่ยวกับบัญญัติ ปรมัตถ์ข้างล่างนะครับ อาจารย์ :b8:



กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ยุบหนอ พองหนอ ตัวเองเพ่งสมมุติบัญญัติอยู่แท้ ๆ แต่กลับนึกว่าตนเองถึงปรมัตถ์แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เป็นวิปัสสนาหรอกครับ


ได้เห็นได้ยินนักธรรมะบ้านเราพูดถึง สมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์ กันบ่อยๆ :b1:

นี่ก็ได้ยินจากท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์อีกแระ :b32:

หวังว่าคราวนี้ คงได้คำตอบชัดเจนจากปาก อ. เฉลิมฯ ลูกศิษย์ อ.แนบ เสียทีนะครับ

พูดดังๆชัดๆ แบบไม่ต้องเดาสุ่มไม่ต้องตีความ ยกตัวอย่างให้เห็นด้วยว่าอะไรตรงไหน คือ สมมุติหรือบัญญัติ

และอะไรตรงไหนคือปรมัตถ์ขอรับ อ.เฉลิมศักดิ์

ตัวอย่าง เช่น คน หรือ มนุษย์เนี่ย ตรงไหนเป็นสมมุติ ตรงไหนเป็นปรมัตถ์ ตอบชัดๆครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 17:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณอายะอย่าเพิ่งให้การรับรองเช่นนั้น รอฟังอาจารย์เฉลิมศักดิ์ของกรัชกายก่อน

ก็เห็นท่านกรัชกายไปฟังเพลงซะแล้วคับ :b9: อีกอย่างธรรมที่ท่าน สติสัมปันน์ ยกมามันแจ่มจริงแท้ (ยกเว้นมาหาว่าผมดุ :b32: ) ยังไงก็จะรอท่านเหลิมแล้วกันครับ

อ้างคำพูด:
เกรง อ.เฉลิมศักดิ์มองไม่เห็นคำถามอีก จึงยกมาตั้งไว้ตรงนี้อีกครั้ง ตอบคำถามเกี่ยวกับบัญญัติ ปรมัตถ์ข้างล่างนะครับ อาจารย์ :b8:

งั้นผมด้วยครับท่านเหลิมกรุณาอธิบาย ทางสายกลาง ทางสายกลาง ด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




funny-cats-01.gif
funny-cats-01.gif [ 239.73 KiB | เปิดดู 4097 ครั้ง ]
รออาจารย์เฉลิมศักดิ์ตอบคำถามฟังอีกสักเพลง :b1: :b12:

"ดาวเหนือ"

http://www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=12677

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


29201.การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถ
viewtopic.php?f=2&t=29201

อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่มีสติอย่างนี้ นั่นเอง ความรู้ว่าเป็นรูปเดินของเขา จึงเป็นความรู้ของสัญญา บริกรรมไปตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ของสัมปชัญญะ เพราะเรียนรู้แล้วจำได้ด้วยสัญญามาก่อนว่า อาการอย่างนี้ท่าทางอย่างนี้เรียกว่า รูปเดิน แม้ว่าได้รู้อยู่บ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับว่า ตนคอยบริกรรมเอาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดปัญญา ดุจเดียวกับคนที่เจริญกสิน นึกถึงดวงกสินมีปฐวีกสินเป็นต้น บริกรรมไปว่า “ ปฐวี ปฐวี, ดิน ดิน “ เป็นต้น ฉะนั้นอย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ
------------------------------------------------------
อ้างคำพูด:
อายะเขียน
เศร้าหมองหนอท่านเหลิม คัดมาจากไหนเนี่ยมันแสดงถึงภูมิคนคอมเมนต์เลย การบริกรรมเป็นแค่เครื่องมือให้การรู้เป็นไปอย่างแนบแน่น หากผู้ใดสติดีจะทิ้งบริกรรมเสียก็ได้ ไม่ได้ผิดอะไร แต่สำหรับผู้ที่อินทรีย์ยังอ่อนการบริกรรมจะช่วยไม่ให้จิตไหลไปได้ง่ายและเมื่อไหลไปแล้วก็รู้ตัวได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างเพ่งกสินดินผมไม่เคยเพ่งของดให้ความเห็น แต่ถ้าเป็นกสินสีเช่นสีแดง เพ่งไปพร้อมบริกรรมไป สีแดงๆ ๆๆ ทำไปเรื่อยๆ จนเกิดภาพติดตาเกิดนิมิตขึ้นมาในมโนทวารเป็นสีแดงกลม จะทิ้งหรือไม่ทิ้งสุดท้ายคำบริกรรมมันก็จะหายไปเอง หรือจะลองทำพุทโธ หรือเมตตาภาวนาก็ได้ เคยไหมคับที่คำบริกรรมหายไปเองนะท่านเฉลิม


คุณอายะก็ได้เผยทิฏฐิออกมาแล้ว ว่าแยกไม่ออกระหว่าง

การเจริญสมถะกรรมฐาน ที่เพ่งอยู่ใน สมมุติบัญญัติ ให้จิตนิ่ง เกิดฌานขึ้น
-----------------------------------------------------------
สมถะ - วิปัสสนา ต่างกันอย่างไร ?

http://larndham.org/index.php?showtopic=11408&st=0&hl=

๘. การทำสมถะ เพื่อให้ได้มาซึ่งสมาธินั้น จะทำไปหยุดไป เป็นชั่วโมง หรือ ๒ ชั่วโมง ก็อาจทำได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องให้ติดกัน และส่วนใหญ่จะทำได้ใน อิริยาบถนั่ง เท่านั้น ส่วนวิปัสสนานั้น สามารถทำได้ทุกๆ อิริยาบถ โดยไม่จำกัดและเวลาทำก็หยุดไม่ได้ จำเป็นจะต้องทำติดต่อกันไปเว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น
๙. สมถะ ใช้อารมณ์เป็นบัญญัติ เช่น บัญญัติกสิณหรืออสุภะเป็นต้น ส่วนวิปัสสนานั้น ต้องใช้สภาวะ คือ นามรูป มาเป็นอารมณ์จึงจะใช้ได้


---------------------------------------------

เมื่อคุณอายะ ยังไม่แยกไม่ออกระหว่างการปฏิบัติ สมถะกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน

แต่ได้ปฏิบัติตามแนวยุบหนอ เพ่งหนอ เพ่งหน้าท้อง พองหยุบ บ้าง

เพ่งทุกขเวทนาที่เกิด พร้อมบริกรรมให้เกิดสมาธิ ให้ความปวดนั้นหายไป

เพ่งขา 2 ข้าง พร้อมภาวนาให้ติดตาตรึงใจ

คุณอายะนี้แหละครับ คือการไปเพ่งสมมุติบัญญัติ

คุณอายะ และสหายของคุณ คือคุณกรัชกาย จึงเป็นอันตรายอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา ครับ

ดังพระวิปัสสนาจารย์ผู้ทรงพระไตรปิฏก ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า

http://larndham.org/index.php?showtopic=18545&st=7

แต่ในปัจจุบันนี้หาผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานจนสำเร็จฌานได้ยากเพราะจิตใจของบุคคลสมัยนี้เต็มไปด้วยอำนาจของกิเลสนิวรณ์ และกามคุณอารมณ์ก็อุดมสมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเรามัวแต่ฝึกอบรมสมาธิ หรือสมถกรรมฐานกัน เพื่อให้ฌานจิตเกิดหรือให้กิเลสนิวรณ์สงบ เพื่อนำไปเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็คงฝึกกันได้แต่เพียงทำสมาธิเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ในที่สุด ก็ตายเปล่า ไม่ได้เจริญวิปัสสนาตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพากันเสียเวลามาฝึกสมาธิกันมาก ๆ เข้า จนไม่มีใครรู้จักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นว่า เป็นอย่างไร ? ผลสุดท้ายก็นึกเอาว่า สมถะ กับ วิปัสสนา นี่ เป็นอันเดียวกัน
นี่แหละ อันตรายในพระพุทธศาสนา ที่เกิดขึ้นมาด้วยความเห็นผิด ที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ ของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกันเอง

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมัตถธรรมเป็นธรรมที่อยู่เหนือสมมุติบัญญัติ

http://www.buddhism-online.org/Section01_05.htm


หากไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นในโลกนี้ ความหมายของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นว่า เป็นนั่นเป็นนี่ มีชื่อเรียกอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ย่อมไม่เกิดขึ้นเช่นกัน แม้แต่ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ พื้นดิน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ ก็เป็นเพียงธรรมชาติ ที่ปราศจากความหมาย ปราศจากชื่อ คือเป็นแต่เพียงสภาวะ ที่เกิดจากการประชุมกัน ของมหาภูตรูปทั้ง ๔๔ อันเป็นรูปธรรม (รูป) ที่ปราศจากนามธรรม (จิต+เจตสิก) ซึ่งเป็นสภาวะปรมัตถ์ (ปรมัตถธรรม) ที่พ้นจากสมมุติบัญญัติ โดยสิ้นเชิง

ส่วนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั้น หากกล่าวในแง่ปรมัตถธรรมแล้ว ถือว่าไม่มีตัวตน ไม่มี นายมี ไม่มี นางมา มีแต่รูปธรรม (รูป) และนามธรรม (จิต+เจตสิก) มาประชุมกันเท่านั้น

ดังนั้น ไม่ว่าตัวเราหรือผู้อื่น ซึ่งรวมถึงสัตว์ทั้งหลายด้วยนั้น เมื่อกล่าวในแง่ปรมัตถธรรม หรือธาตุแท้ตามธรรมชาติแล้ว จะมีส่วนประกอบอยู่ ๓ ส่วนเท่านั้น คือ
๑. จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
๒. เจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบปรุงแต่งจิตมี ๕๒ ลักษณะ
๓. รูป คือ องค์ประกอบ ๒๘ ชนิดที่รวมกันขึ้นเป็นกาย



http://abhidhamonline.org/aphi/p1/001.htm

บรรดาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา ๔๕ ปี รวมได้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อประมวลและจัดสรรสงเคราะห์เป็นหมวดหมู่ได้ ๓ หมวด

๑. พระวินัยปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นธรรมที่แสดงไว้เป็นข้อบังคับ เป็นระเบียบแบบแผนให้ประพฤติปฏิบัติ ผู้ล่วงละเมิดหรือไม่ปฏิบัติจะต้องมีโทษตามชั้น ๆ ที่กำหนดไว้

๒. พระสุตตันตปิฏก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นธรรมที่แสดงไว้ โดยยกบุคคลขึ้นเป็นตัวอย่างทั้งในทางดีและทางชั่ว มุ่งหมายให้ผู้ศึกษาได้รู้ถึงสมมุติสัจจะรู้ความจริงตามความเป็นไปของโลก พระสูตรนี้เป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์ให้อัธยาศัยสงบ และมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง

๓. พระอภิธรรมปิฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นธรรมที่ล้วนเป็นปรมัตถสัจจะ คือเป็นความจริงอันมีเนื้อความไม่เปลี่ยนแปลงผันแปร เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เห็นแจ้งในสภาวธรรมนั้น ๆ โดยไม่กล่าวอ้างบุคคล พระอภิธรรมนี้เป็นพื้นฐานที่จะสร้างสรรค์ให้มีสติว่องไว และมีปัญญาหลักแหลม
----------------------------------------------------
http://abhidhamonline.org/aphi/p6/001.htm

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมไว้ว่า ธรรมทั้งหลายย่อม จำแนกได้เป็น ๒ ประการ คือ บัญญัติธรรม และ ปรมัตถธรรม

๑. บัญญัติธรรม คือ สิ่งที่บัญญัติขึ้น สมมุติขึ้นไม่ได้มีอยู่จริง ๆ เป็นการ สมมุติขึ้นเพื่อเรียกขานกันของชาวโลก เพื่อให้รู้ได้ว่าเรียกสิ่งใด เช่น คำว่า “คน” ผู้เรียกจะชี้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่า“คน” ไม่ได้ไม่มี หรือคำว่า“เก้าอี้” ผู้เรียก จะชี้ส่วนหนึ่งส่วนใดว่าเป็นเก้าอี้ไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกโดยสมมุติขึ้นเท่านั้น

บัญญัติธรรมนี้มี ๒ ประการ คือ อัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ

ก. อัตถบัญญัติ เป็นการสมมุติขึ้นตามความหมายแห่งรูปร่างสัณฐาน หรือ ลักษณะอาการของสิ่งนั้น ๆ เช่น ภูเขา ต้นไม้ บ้าน เรือน เดิน วิ่ง การโบกมือ หมายถึงการจากลา หรือหมายถึงการปฏิเสธก็ได้ การพยักหน้า หมายถึงการยอมรับ หรือการให้เข้ามาหาก็ได้

ข. สัททบัญญัติ เป็นการสมมุติขึ้นเพื่อใช้เรียกขานสิ่งนั้น ๆ คือ สมมุติขึ้น เพื่อให้รู้ด้วยเสียงตามอัตถบัญญัตินั้น เช่น ไม่ได้เห็นภูเขา ไม่ได้เห็นการเดิน แต่เมื่อ ออกเสียงว่า ภูเขา พูดว่าเดิน ก็รู้ว่าภูเขามีรูปร่างสัณฐานอย่างนั้น เดินมีลักษณะ อาการอย่างนั้น เป็นต้น

เพราะฉะนั้นทั้งอัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ ก็คือระบบการสื่อสารให้เกิด ความรู้ เกิดความเข้าใจกันของมนุษย์นั่นเอง ไม่ได้มีอยู่จริง ๆ

ตัวอย่างร่างกายของเรา ที่เรียกว่า แขน ขา จมูก ปาก ตับ ปอด ลำไส้ ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้ คนไทยก็เรียกอย่างหนึ่ง คนจีนก็เรียกไปอย่างหนึ่ง คนแขกก็เรียกไป อย่างหนึ่ง ฝรั่งก็เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะสมมุติเรียกว่า อะไร บัญญัติจึงหมายถึงการสมมุติขึ้นของคนกลุ่มหนึ่งใช้เรียกขานกัน ไม่ได้มีอยู่ จริง ๆ ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นความจริงโดยสมมุติ

๒. ปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีเนื้อความอันไม่วิปริตผันแปรเป็น ธัมมธาตุ เครื่องดำรงอยู่ของธรรม เป็น ธัมมฐีติ เครื่องตั้งอยู่ของธรรม เป็น ธัมมนิยาม กำหนดหมายของธรรม อันเป็นสิ่งที่เป็นไปเอง ตามธรรมดาธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ไม่มีใครแต่งตั้งขึ้น ไม่มีใครสร้างขึ้น มีโดยเหตุโดยปัจจัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
-----------------------------------------------


สัจจะ ๖ ประการ โดย อาจารย์แนบ

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002655.htm


"ในวันนี้ ดิฉันได้ตั้งหัวข้อว่า จะพูดเรื่องสัจจะ ๖ ประการ
คือในพระพุทธศาสนานี้น่ะ ตามที่กล่าวไว้ว่าของจริงมี ๖ ประการนะคะ
เป็นการกล่าวตามเรื่องราวของพระสูตร ท่านที่เป็นนักอภิธรรมนี่น่ะ
ไม่ใช่ว่าจะทราบแต่เรื่องอภิธรรมอย่างเดียว ก็ควรจะทราบเรื่องพระสูตรด้วย
เพราะว่าพระสูตรก็ดี พระอภิธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี แต่ละปิฎกๆนั้นน่ะ
มีเนื้อความถึงกันอยู่ทั้ง ๓ ปิฎก พระสูตรก็มี ๓ พระวินัยก็มี ๓
พระอภิธรรมก็มี ๓ มีเนื้อความถึงกันทั้ง ๓ ปิฎก ฉะนั้น
ถ้าหากว่า ไม่เข้าใจเนื้อความนั้น จึงทำให้ปิฎกทั้ง ๓ นี้
แตกแยกกันออกไป เช่นอย่างว่า ผู้ที่ไม่เข้าใจหรือว่าเรียนไม่เข้าใจ
ก็นำมาปรับปรุงกันไม่ได้ เมื่ออ่านพระสูตร ก็บอกว่า
พระอภิธรรมนี้ไม่ใช่พระสูตร ที่ศึกษาพระอภิธรรมก็บอกว่า
พระสูตรนั้นไม่ใช่พระอภิธรรม สู้พระอภิธรรมไม่ได้
พวกพระสูตรก็ว่า พระอภิธรรมสู้พระสูตรไม่ได้ แต่ละอย่างนี้
เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในบรรดาผู้ศึกษาพระศาสนาด้วยกัน
เพราะเหตุว่าพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัยในปิฎกทั้ง ๓ นี้
ก็เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน …..
เพราะว่าพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย ถ้าเป็นเรื่องของกาลปัจจุบัน
พระสูตรก็เป็นอารมณ์ของ สมาธิ พระวินัยก็เป็นอารมณ์ของ
ศีล…..พระอภิธรรมก็เป็นเรื่องของ ปัญญา พระปิฎกทั้ง ๓ นั้น
ก็อยู่ในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ทั้งสามประการนี้…….


…..ฉะนั้น ดิฉันก็คิดว่า ท่านนักศึกษาเวลาเรียนนี่น่ะ ควรจะทำ
ความเข้าใจในพระสูตรด้วย ไม่ใช่แต่อภิธรรมล้วนๆนะคะ
ควรจะนำเอาพระสูตรขึ้นมา แล้วก็ปรับปรุงลงในพระอภิธรรม
หรือว่านำเอาพระอภิธรรมมาสอน แล้วก็ปรับปรุงลงใน
อุปมาอุปมัยในพระสูตร ว่ามีในพระสูตรนี้น่ะ อันนี้ในพระสูตร
เขากล่าวว่าอย่างไร เพราะฉะนั้น วันนี้น่ะ ที่จะพูดเรื่องสัจจะนะคะ…………

….ในสัจจะ ๖ อย่าง ที่จะกล่าวต่อไปนั้น ก็คือ :-
๑. จริงวาจา
๒. จริงสมมุติ
๓. จริงสภาวะ
๔. จริงปรมัตถ์
๕. จริงอริยสัจจะ
๖. จริงนิพพาน
ของจริงน่ะมี ๖ อย่าง และใน ๖ อย่างนี้ ก็เป็นของจริงด้วยกัน
แต่ว่าความหมายคนละอย่างแตกต่างกัน

๑. จริงวาจา
จริงวาจานี้น่ะ เนื่องกันนะคะ……เราคงเข้าใจเพียงว่า
คนนั้นไม่หลอกลวง ไม่มุสาเท่านั้นเอง ไม่ใช่นะคะ จริงวาจานี้จริงไป
กว้างขวางลึกซึ้งมากทีเดียว คือว่าจริงวาจาที่นัดหมายกัน คือ
คล้ายๆกับว่า จริงตามสัญญา นะคะ ที่ว่าเราพูดว่าอย่างไรแล้ว
เราก็ปฏิบัติไปตามนั้น ตามคำพูดนั้น หรือว่าพูดตามจริง
วาจาของเราที่พูดนี้น่ะเป็นของจริงด้วย มีจริงรับรองเหตุผล
เราพูดเรื่องเหตุผลก็เป็นไปตามเหตุผลสภาวะนั้นก็เป็นไปตามความจริงด้วย
แล้วเราพูดก็พูดให้ตรงกับของจริงด้วยนะคะ………..เช่นอย่างเราพูดธรรมะ
แต่ถ้าหากเราพูดไม่ตรงกับความจริง หรือความจริงไม่เป็นไป
ตามคำพูดของเรา อันนี้ไม่ชื่อว่า จริงวาจา….
คล้ายๆกับมุสาเหมือนกัน เพราะพูดไม่ตรงกับความจริง
แต่ว่าที่ไม่มุสานั้นไม่ครบกรรมบถ คือการที่เราพูดผิดไปนั้น
เราไม่ได้เจตนาตั้งใจจะพูดให้คนนั้นเข้าใจผิด ตัวเข้าใจผิดเองว่า
คำพูดที่ตัวพูดออกไปนั้นถูก….แต่ว่าเราไม่มีเจตนาก็จริง
เราก็พูดผิดจากความจริง ก็ไม่ใช่เป็นบุญเหมือนกัน
แต่ว่าไม่ใช่บาปถึงกับศีลขาด เพราะฉะนั้น คำว่าจริงวาจานี้
ก็กว้างขวางมากทีเดียว การพูดการแนะนำ การสั่งสอนซึ่ง
เป็นครูบาอาจารย์แล้วก็จะต้องระวังมากทีเดียว เพราะไม่มีเจตนาก็จริงอยู่
แต่ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดไปด้วยนะคะ นี่เป็นเรื่องของจริงวาจา
ไม่ใช่พูดว่าอย่างไรแล้วทำอย่างนั้น นัดไว้อย่างไรแล้วทำอย่างนั้นนะคะ

๒. จริงสมมุติ
จริงสมมุติอย่างไร คือว่าเราต้องรับรองตามความจริง เช่น
เห็นผู้หญิงใช่ไหมคะ เราก็ต้องรับความจริง รับความจริงว่า
เป็น ผู้หญิง เราจะไม่รับความจริงว่าเป็นผู้หญิง
จะให้เป็นผู้ชายอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะคำสมมุตินี้ต้องรับรอง…………
คนตั้งขึ้นเรียกว่า บัญญัติสมมุติ เพราะฉนั้น
เราต้องรับรองสมมุติ ………………

-------------------------------------------------------



อ้างคำพูด:
ท่านสติสัมปันน์ เขียน:
สมมุติบัญญัติ กับปรมัตบัญญัตินี่ ก็เห็นว่ากันมาตลอด ผมก็เคยนึกเหมือนกัน เอาสมมุติบัญญัติไปประหารสมมุติบัญญัติเองไม่ได้เหรอครับ พระอรหันตบางรูปกำหนดพยัพแดดเป็นอารมณ์หยังลงกัมมัฎฐานก็บรรลุพระอรหันต์ได้ พระจุฬบันถก อาศัยความคล่ำคร่าของผ้าที่พระพุทธเจ้าประทานมาให้ แล้วหยั่งลงสู่กัมมัฎฐานบรรลุพระอรหันต์ ผ้านั้น คำภาวนา ระโชหระนัง นั้นก็เป็นสมมุติบัญญัติไม่ใช่เหรอ แต่ท่านก็เอามาใช้เป็นอารมณ์กัมมัฐานจนละสมมุติได้ การละสมมุติบัญญัตินี่ ละได้ด้วยสภาวะจิตที่ได้รับผลจากการปฎิบัติถึงระดับที่ละได้ หรือว่าละได้เลยเมื่อเราตั้งใจละครับ ผมเข้าใจว่า ละได้ เมื่อสภาวะจิตถึงระดับที่ละได้ ถ้าตั้งใจละได้เลยอาศัยเพียงแค่ว่าตั้งใจจะไม่เอาสมมุตินั้นมาจะได้เป็นวิปัสสนาโดยแท้ แล้ววิปัสสนาจะวิเศษเลิศเลออะไร? แค่ตั้งใจว่า ไม่เอาสมมุติ(ทั้งที่ต้องอาศัยสมมุติ)ก็เป็นวิปัสสนาแล้ว การที่จะยกระดับจิตได้ ก็อาศัยการปฎิบัติแล้วได้ผลการปฎิบัติ วิปัสสนาจะบังเกิดก็บังเกิดก็เพราะระดับจิตที่ได้รับผลจากการปฎิบัติ คือง่ายๆจิตได้รับผล แล้วจิตละตามธรรมชาติของการปฎิบัติ ไม่ใช่มาตั้งใจละแล้วๆ แล้วตั้งใจละไม่เอาสมมุตินี่ที่จริงก็เป็นสมมุติอีกนะนั่น อย่างไร ก็แนะนำกันบ้างนะครับ อยากรู้เหมือนกัน อย่าดุผมนะ ผมกัว


อ้างคำพูด:
อายะ เขียน
แจ่มดีแท้หนอ

ท่านสติสัมปันน์ กล่าวแม่นแล้วครับ


คุณสติสัมปันน์ คุณอายะครับ ในการเจริญวิปัสสนาของ ผู้มีปัญญามากเมื่อครั้งพุทธกาล อาจจะมีหลายรูปแบบ ที่เคยอ่านเจอมา บ้างก็เกิดวิปัสสนาญาณ บรรลุมรรคผลนิพพาน เช่น

ขณะ เทน้ำล้างพื้น แล้วพิจารณาถึงสภาพปรมัตถ์ธรรม

หรือ การพิจารณาผ้าขาว ของพระจูฬปันถกเถระ

เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ
http://www.84000.org/one/1/35.html

พระบรมศาสดา พาเธอไปที่พระคันธกุฏี ประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ผืนเล็ก ๆ ให้เธอผืน
หนึ่ง แล้วทรงแนะนำให้เธอบริกรรมด้วยคาถาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ พร้อมกับใช้มือลูบคลำผ้า
ผืนนั้นไปด้วย เธอรับผ้ามาด้วยความเอิบอิ่มใจ แสวงหาที่สงบสงัดแล้วเริ่มปฏิบัติบริกรรมคาถา
ลูบคลำผ้าที่พระพุทธองค์ประทานให้เธอบริกรรมได้ไม่นาน ผ้าขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ผืนนั้น ก็
เริ่มมีสีคล้ำเศร้าหมองเหมือนผ้าเช็ดมือ จึงคิดขึ้นว่า “ผ้าผืนนี้เดิมทีมีสีขาวบริสุทธิ์ แต่อาศัยการ
ถูกต้องสัมผัสกับอัตภาพของเรา จึงกลายเป็นผ้าสกปรก เศร้าหมอง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
หนอ” แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานยกผ้าผืนนั้นขึ้นเปรียบเทียบกับอัตตภาพร่างกายเป็นอารมณ์
ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ คือปัญญาอันแตกฉานมี ๔ ประการ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อายะเขียน
เศร้าหมองหนอท่านเหลิม คัดมาจากไหนเนี่ยมันแสดงถึงภูมิคนคอมเมนต์เลย การบริกรรมเป็นแค่เครื่องมือให้การรู้เป็นไปอย่างแนบแน่น หากผู้ใดสติดีจะทิ้งบริกรรมเสียก็ได้ ไม่ได้ผิดอะไร แต่สำหรับผู้ที่อินทรีย์ยังอ่อนการบริกรรมจะช่วยไม่ให้จิตไหลไปได้ง่ายและเมื่อไหลไปแล้วก็รู้ตัวได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างเพ่งกสินดินผมไม่เคยเพ่งของดให้ความเห็น แต่ถ้าเป็นกสินสีเช่นสีแดง เพ่งไปพร้อมบริกรรมไป สีแดงๆ ๆๆ ทำไปเรื่อยๆ จนเกิดภาพติดตาเกิดนิมิตขึ้นมาในมโนทวารเป็นสีแดงกลม จะทิ้งหรือไม่ทิ้งสุดท้ายคำบริกรรมมันก็จะหายไปเอง หรือจะลองทำพุทโธ หรือเมตตาภาวนาก็ได้ เคยไหมคับที่คำบริกรรมหายไปเองนะท่านเฉลิม


การเพ่งกสิณสีแดง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเพ่งหน้าท้องยุบหนอ พองหนอ

หรือ ภาวนาปวดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ , ทุกข์หนอ ๆ ๆ ๆ , รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ๆ

ซ้ายย่างหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ

หนอ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คุณอายะ คุณกรัชกาย และทุกท่าน ควรศึกษา ปริยัติศาสนา และ หลักการปฏิบัติวิปัสสนา จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ไว้บ้าง

อย่าเชื่อเพียงแต่ อาจาริยวาท อัตตโนมติ หากประมาทพลาดพลั้ง ไปทำให้คนเลิกศึกษา พระไตรปิฏก อรรถกถา พระอภิธัมมัตถสังคหะ หรือ เลิกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

เช่น หัวเราะเยาะ ผู้กำลังทำ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ

เหมือนที่คุณกรัชกาย post รูปหัวเราะเยาะ อยู่ในลานธรรม เช่นนี้

อาจจะเกิดวิบากกรรม เช่นเดียวกับ ที่พระจูฬปันถก ได้รับก็ได้นะครับ

35-พระจูฬปันถกเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ

http://www.84000.org/one/1/35.html

ปัญญาทึบพี่ชายไล่สึก


-----------------------------------------------

http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard ... opic=10729

บุพกรรมที่ทำให้พระจูฬปันถกท่องจำไม่ได้นั้นก็เพราะว่า ในศาสนาของพระกัสปปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจูฬบันถกเป็นผู้มีปัญญาดีได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานั้น มีภิกษุอีกรูปหนึ่งเป็นคนเขลาได้พยายามท่องปริยัติธรรมอยู่ พระจูฬปันถกเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะในความไม่แตกฉาน ทำให้ภิกษุนั้นเกิดความละอายจึงเลิกเรียนไป เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น จึงทำให้พระจูฬปันถกเป็นผู้เขลาในกาลบัดนี้

(ตรงนี้ท่านอาจารย์ได้เน้นให้เกิดความกลัวบาปอีกครั้งหนึ่งว่า จะเห็นว่าท่านจูฬบันถกในสมัยนั้นเพียงแต่หัวเราะเยาะผู้อื่นเท่านั้น ยังทำให้ได้รับผลถึงขนาดนี้ ถ้าคนที่ได้อ่านพระสูตรแล้ว ก็จะเห็นว่า บาปแม้แต่น้อยนิดก็ยังให้ผลได้ และชีวิตก็อยู่ยากจริงๆ เพราะทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย)


--------------------------------------------------

คุณกรัชกาย คุณอายะ ครับ ไม่ควรเลยที่จะไปหัวเราะเยาะผู้อื่น

อ้างคำพูด:
อายะเขียน
ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้กรุณาช่วยงดใช้ติ่งหูประมวลผลแกรกๆๆ ว่าการปฏิบัติแบบนี้ถูกหรือผิด ขนาดทิฐิทางสายกลางซึ่งน่าจะเข้าใจได้ยังตีความผิดเลยครับ คำถามเก่าเรื่องทางสายกลางก็ไม่ตอบ เปิดประเด็นเพิ่มเรื่อยๆ



หรือ พูดกระแหนะ กระแหน ผู้อื่นว่า ไม่มีความคิด ใช้ติ่งหูคิด เป็นต้น


คุณอายะครับ ไม่แน่นะครับ ในอนาคต อาจจะมี สมมุติบัญญัติ เรียก สภาวะธรรมของจิต ว่า ติ่งหู ก็ได้นะครับ

เพราะ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสมมุติ ที่บัญญัติขึ้นมาใช้สื่อสารกัน

คุณอายะครับ ต่อให้คุณท่อง ติ่งหูหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนติ่งหูหายไป ได้อัปปนาสมาธิ แล้วติดอยู่แค่นั้น

วิปัสสนาปัญญา ก็เกิดไม่ได้ครับ
จนกว่าจะพิจารณา ปรมัตถ์ธรรมของรูปนาม ดังปรากฏในพระไตรปิฏก อรรถกถา ดังนี้

viewtopic.php?f=2&t=21049

ถามว่า เริ่มตั้งวิปัสสนาอย่างไร ?
แก้ว่า จริงอยู่ พระโยคีนั้น ครั้นออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌาน
ย่อมเห็นหทัยวัตถุ ซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งองค์ฌานเหล่านั้น ย่อมเห็นภูตรูป ซึ่ง
เป็นที่อาศัยแห่งหทัยวัตถุนั้น และย่อมเห็นกรัชกายแม้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นที่อาศัย
แห่งภูตรูปเหล่านั้น. ในลำดับแห่งการเห็นนั้น เธอย่อมกำหนดรูปและอรูปว่า
องค์ฌานจัดเป็นอรูป, (หทัย) วัตถุเป็นต้นจัดเป็นรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้น
ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว กำหนดภูตรูปทั้ง ๔ ด้วยอำนาจปฐวีธาตุเป็นต้น ใน
บรรดาส่วนทั้งหลายมีผมเป็นอาทิ และรูปซึ่งอาศัยภูตรูปนั้น ย่อมเห็นวิญญาณ
พร้อมทั้งสัมปยุตธรรมซึ่งมีรูปตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์ หรือมีรูปวัตถุ
และทวารตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์. ลำดับนั้น เธอย่อมกำหนดว่า
ภูตรูปเป็นต้น จัดเป็นรูป, วิญญาณที่มีสัมปยุตธรรม จัดเป็นอรูป. อีกอย่างหนึ่ง
เธอครั้นออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมเห็นว่า กรัชกายและจิตเป็นที่เกิดขึ้นแห่ง
ลมอัสสาสะและปัสสาสะ. เหมือนอย่างว่า เมื่อสูบของช่างทองยังสูบอยู่ ลม
ย่อมสัญจรไปมา เพราะอาศัยการสูบ และความพยายามอันเกิดจากการสูบนั้น
ของบุรุษ ฉันใด, ลมหายใจเข้าและหายใจออก ย่อมเข้าออก เพราะอาศัย
กายและจิตฉันนั้นเหมือนกันแล. ลำดับนั้น เธอกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก
และกายว่า เป็นรูป, กำหนดจิตนั้นและธรรมที่สัมปยุตด้วยจิตว่า เป็นอรูป.
ครั้นเธอกำหนดนามรูปด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว ย่อมแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูป
นั้น. และเธอเมื่อแสวงหาอยู่ ก็ได้เห็นปัจจัยมีอวิชชาและตัณหาเป็นต้นนั้นแล้ว
ย่อมข้ามความสงสัยปรารภความเป็นไปแห่งนามรูปในกาลทั้ง ๓ เสียได้.
เธอนั้นข้ามความสงสัยได้แล้ว ยกไตรลักษณ์ขึ้นด้วยอำนาจพิจารณา
กลาป ละวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง มีโอภาสเป็นต้น

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เกรง อ.เฉลิมศักดิ์มองไม่เห็นคำถามอีก จึงยกมาตั้งไว้ตรงนี้อีกครั้ง

ตอบคำถามเกี่ยวกับบัญญัติ ปรมัตถ์ข้างล่างนะครับ อาจารย์ :b8:



กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ยุบหนอ พองหนอ ตัวเองเพ่งสมมุติบัญญัติอยู่แท้ ๆ แต่กลับนึกว่าตนเองถึงปรมัตถ์แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เป็นวิปัสสนาหรอกครับ


ได้เห็นได้ยินนักธรรมะบ้านเราพูดถึง สมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์ กันบ่อยๆ :b1:

นี่ก็ได้ยินจากท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์อีกแระ :b32:

หวังว่าคราวนี้ คงได้คำตอบชัดเจนจากปาก อ. เฉลิมฯ ลูกศิษย์ อ.แนบ เสียทีนะครับ

พูดดังๆชัดๆ แบบไม่ต้องเดาสุ่มไม่ต้องตีความ ยกตัวอย่างให้เห็นด้วยว่าอะไรตรงไหน คือ สมมุติหรือบัญญัติ

และอะไรตรงไหนคือปรมัตถ์ขอรับ อ.เฉลิมศักดิ์

ตัวอย่าง เช่น คน หรือ มนุษย์เนี่ย ตรงไหนเป็นสมมุติ ตรงไหนเป็นปรมัตถ์ ตอบชัดๆครับ


อุตสาห์ยกเอาคำถามสั้นๆ (ตัวอย่าง เช่น คน หรือ มนุษย์เนี่ย ตรงไหนเป็นสมมุติ ตรงไหนเป็นปรมัตถ์

ตอบชัดๆครับ) มาวางให้เห็น

แต่ท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ก็เลี่ยงไม่ตอบอีกจนได้ เห็นแต่ลิงค์อะไรต่ออะไรมายืดยาว

คุณเฉลิมศักดิ์ครับ คุณไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากพุทธศาสตร์ อย่างเก่งก็แบกคัมภีร์เที่ยวท่องไปในยุทธ

จักร :b1:

วางตำราก็มืดตื้อ :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 06 ก.พ. 2010, 08:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเฉลิมศักดิ์ ว่างๆ ศึกษาปัญญา 16 หรือคำพูดคุ้นหูว่า ญาณ 16 ลิงค์นี้ครับ

viewtopic.php?f=2&t=28038&st=0&sk=t&sd=a

ไปดูว่า ตำราจริงๆท่านจัด ไตรสิกขา, วิสุทธิ 7, วิปัสสนาญาณ 9, โสฬสญาณ เข้าด้วยกันยังไง :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หมดทางเยียวยา แท้หนอ ท่านเหลิม ตอนแรกท่านพูดปรมัติ บัญญัติ ผมก็ยกตัวอย่างว่าต้องอาศัยปัญญัติคือคำปริกรรมไว้ก่อน ถึงจะเข้าถึงปรมัติได้ ผมไม่ได้ติติงผู้ศึกษาอภิธรรม แต่ติติงผู้ศึกษาเพียงทฤษฏีอย่างเดียวแต่ไม่ปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็รีบตัดสินทันทีว่านิพพานมีปริมาตรประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร ผมก็แนะนำให้ท่านปฏิบัติดูก่อน แล้วค่อยตัดสินว่าที่คิดว่าไม่ถูกนะจริงหรือ ท่านบอกว่าต้องศึกษาพระไตรปิฎก ผมก็บอกว่าการอ่านนั้นใครก็อ่านได้ แต่การตีความนี่ซิปัญหา เช่นผมให้ท่านอธิบาย มัชฌิมาปฏิปทา ท่านก็ไม่ยอมอธิบาย จะยกตัวอย่างนะว่าใครๆ ก็รู้ว่าพุทธศาสนาต้องดำเนินตามทางสายกลางแต่ทางสายกลางนี้มันเป็นอย่างไรละ บางท่านก็ว่าเที่ยวบ้างทำงานบ้านไปวัดบ้างคือทางสายกลาง บางท่านก็ว่าอยู่วัดปฏิบัติธรรมอย่างเดียวสุดโต่งเกินไป ส่วนท่านว่าพอนั่งไปเวทนาเกิดต้องขยับเพราะจะได้หนีเวทนาอันนี้คือทางสายกลางของท่าน แม่นบ่
ถ้าเป็นเรื่องของจินต กับสุตมยปัญญาในพระไตรปิฏกก็สามารถพอจะเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของ ภาวนามยปัญญาที่บัณทึกไว้ หากเป็นผู้ไม่ได้ปฏิบัติมาก่อนจะไม่สามารถเข้าใจได้เพราะส่วนมากเป็นนามธรรมทั้งสิ้น

ยังไงผมก็ต้องขออภัยท่านด้วยที่ใช้คำค่อนข้างรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามหากท่านแสดงธรรมผิดๆ ในฐานะชาวพุทธก็คงต้องคัดค้านท่านอยู่ร่ำไป

อย่างไรก็ตามอย่าลืมอธิบาย ทางสายกลางนะครับ


เจริญธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 06 ก.พ. 2010, 11:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่มีสติอย่างนี้ นั่นเอง ความรู้ว่าเป็นรูปเดินของเขา จึงเป็นความรู้ของสัญญา บริกรรมไปตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ของสัมปชัญญะ เพราะเรียนรู้แล้วจำได้ด้วยสัญญามาก่อนว่า อาการอย่างนี้ท่าทางอย่างนี้เรียกว่า รูปเดิน แม้ว่าได้รู้อยู่บ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับว่า ตนคอยบริกรรมเอาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดปัญญา ดุจเดียวกับคนที่เจริญกสิน นึกถึงดวงกสินมีปฐวีกสินเป็นต้น บริกรรมไปว่า “ ปฐวี ปฐวี, ดิน ดิน “ เป็นต้น ฉะนั้นอย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เอ่อ ท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ครับ แล้วในอริยาบทบรรพละครับ หรือบาลีที่ว่า ยถา ยถา วาปนัสส กาโย ปณิหิโต ตถา ตถา นัง ปชานาติฯ กาย(ของผู้ปฎิบัติ)ดำรงค์อยู(ตั้งอยู่)ด้วยอาการใด (ผู้ปฎิบัติ)พึงรู้ชัด อาการนั้นฯหมายถึงอย่างไรครับ
อินทรีย์ห้าอย่าง พละห้าอย่าง มีสมาธินทรีย์ และสมาธิพละด้วยนี้ ซึ่งสมาธินี่จัดเป็นผลของสมถะ สมาธิต้องอาศัยการเพ่งบัญญัติหรือ หรือว่ามีปรมัติเป็นอารมณ์สมาธิจึงเกิด? ต้วผมเข้าใจว่ามีอินทรีย์สมควร มีสมาธิกำลังสมควร จึงเกิดวิปัสสนาได้
วิปัสสนา เป็นชื่อของผลการปฎิบัติ หรือว่าเป็นชื่อของวิธีการปฎิบัติ
วิปัสสนา เป็นสภาวะของผู้เจริญกัมมัฎฐานแล้วรู้เห็นอริยสัจจ์ หรือเป็นชื่อของการปฎิบัติ
ปฎิบัติธรรม(เช่นสิปัฎฐาน)เพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาน หรือว่าปฎิบัติวิปัสสนาญาน เพื่อให้เกิดวิปัสสนาญานอีกที
แล้วก็อ่านเจอหลายที่ว่า วิปัสสนาญาน ก็บังเกิด หมายถึงอย่างไร?
ผมสนทาด้วยนะครับ ไม่ได้คัดค้าน ถือเป็นธัมมสากัจจฉานะครับ อา :b6: :b8: จารย์ทุกท่านอย่าดุผมนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


29201.การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถ
viewtopic.php?f=2&t=29201

อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่มีสติอย่างนี้ นั่นเอง ความรู้ว่าเป็นรูปเดินของเขา จึงเป็นความรู้ของสัญญา บริกรรมไปตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ของสัมปชัญญะ เพราะเรียนรู้แล้วจำได้ด้วยสัญญามาก่อนว่า อาการอย่างนี้ท่าทางอย่างนี้เรียกว่า รูปเดิน แม้ว่าได้รู้อยู่บ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับว่า ตนคอยบริกรรมเอาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดปัญญา ดุจเดียวกับคนที่เจริญกสิน นึกถึงดวงกสินมีปฐวีกสินเป็นต้น บริกรรมไปว่า “ ปฐวี ปฐวี, ดิน ดิน “ เป็นต้น ฉะนั้นอย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

อ้างคำพูด:
สติสัมปันน์ เขียน
เอ่อ ท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ครับ แล้วในอริยาบทบรรพละครับ หรือบาลีที่ว่า ยถา ยถา วาปนัสส กาโย ปณิหิโต ตถา ตถา นัง ปชานาติฯ กาย(ของผู้ปฎิบัติ)ดำรงค์อยู(ตั้งอยู่)ด้วยอาการใด (ผู้ปฎิบัติ)พึงรู้ชัด อาการนั้นฯหมายถึงอย่างไรครับ


:b8: สาธุครับ คุณสติสัมปันน์

ดูคำถามของคุณแล้ว มีประโยชน์ในการนำไปสู่การปฏิบัติวิปัสสนา ที่สุด ซึ่งต่างจาก เจ้าของกระทู้คุณอายะ และ คุณกรัชกาย ที่ดูหมิ่น ดูแคลน ผู้อื่นว่าปฏิบัติสู้ตนเองไม่ได้

สำหรับ พระบาลีที่คุณ อ้างถึงนั้น ใน อรรถกถา ท่านอธิบายในคำว่า รู้ชัด ในอาการการ อย่างละเอียด

ขอให้ศึกษา ควบคู่ไปกับ การบรรยายของพระวิปัสสนาจารย์ ผู้ทรงพระไตรปิฏก อย่าง อาจารย์ไชยวัฒน์ จากหนังสือ อุบายดับทุกข์

ดังนี้

viewtopic.php?f=2&t=29201

เนื้อความตามพระบาลีที่ยกมานี้ มีคำอธิบายอย่างย่อ ๆ ดังต่อไปนี้
คำว่า คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ แปลว่า " เดินอยู่ ก็ดี ก็ย่อมรู้ชัดว่าเดินอยู่ " ดังนี้ ก่อนอื่น พึงทราบว่า คำว่า " ปชานติ " ที่แปลไปก่อนว่า " รู้ชัด " ในที่นี้ มีความหมายพิเศษเฉพาะเรื่องอยู่ จำต้องอธิบาย หากไม่อธิบายศัพท์นี้ก่อน ก็ย่อมมองไม่เห็นว่า การสอนให้พิจารณาอิริยาบถนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างไร เพราะใคร ๆ ในเวลาที่เดิน ก็ย่อมรู้ชัด คือรู้แน่แก่ใจว่าตนเดินอยู่ ในเวลาที่ยืน ในเวลาที่นั่ง หรือในเวลาที่นอน ก็ย่อมรู้ชัดว่า ยืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ คนวิกลจริตเสียสติเท่านั้น ที่ในเวลาเดิน ก็ไม่รู้ว่าเดินอยู่ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มีสุนัขเป็นต้น มันทรงกายอยู่ในอิริยาบถคือท่าทางนั้น ๆ ความรู้อย่างนี้ มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลายตามปกติ ไม่ใช่ความรู้ที่ต้องอบรมทำให้เกิดขึ้น แต่ความรู้ของผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานหมวดนี้ เป็รความรู้ที่ต้องอบรมทำให้เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อถอนความเข้าไปถือเอาว่าเป็นสัตว์ ที่เรียกว่า สัตตูปลัทธิ เป็นไปเพื่อทำกิเลสให้สิ้นไป เป็นไปเพื่อความพ้นจากทุกข์ทั้งปวงในที่สุด เพราะฉะนั้น จึงกล่าวคำว่า " ปชานาติ " นี้ มีความหมายพิเศษ จำต้องมีคำอธิบาย

คำว่า " ปชานาติ " เป็นคำกิริยา ที่แปลว่า " รู้ชัด " เป็นการแปลไปก่อนเพื่อป้ปงกันคำพูดเยิ่นเย้อ หรือฟังไม่รื่นหูเท่านั้น ความจริงท่านให้ความหมายของศัพท์ไว้ดังนี้ " ปกาเรหิ ชานาติ ปชานาติ " แปลว่า " รู้โดยประการทั้งหลาย ชื่อว่า ปชานาติ " หมายความว่าในสิ่งที่ควรรู้นั้น มีประการอะไร ๆ ที่ควรรู้สักกี่ประการก็ตาม ก็ย่อมรู้สิ่งนั้น โดยประการทั้งหมดนั้น

ในเวลาที่เดินอยู่ ประการที่ควรรู้ในอิริยาบถเดิน มี ๓ ประการคือ
๑. โก คจฺฉติ - ใครเดิน, นี้ก็เป็นประการหนึ่งที่ควรรู้
๒. กสฺส คมนํ -- การเดินเป็นของใคร, นี้ก็เป็นประการหนึ่งที่ควรรู้
๓. กึ การณา คจฺฉติ -- เพราะเหตุไรจึงเดิน, นี้ก็เป็นประการหนึ่งที่ควรรู้

ประการแรก โก คจฺฉติ -- ใครเดิน, มีอรรถาธิบายว่า อาการเดิน ท่าทางที่เดิน เป็นเพียงอาการของรูปธรรมเท่านั้น รูปนั่นแหละเดิน หามีสัตว์ บุคคล หญิง ชาย ในอาการเดินนั้นไม่ การพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ เป็นไปเพื่อการถอนทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลผู้เดิน
ประการที่ ๒ กสฺส คมนํ -- การเดินเป็นของใคร มีอรรถาธิบายว่า การเดิน คือ อาการที่เดิน ท่าทางที่เดิน ไม่ใช่ของสัตว์ ไม่ใช่ของบุคคล ไม่ใช่ของหญิง ไม่ใช่ของชาย ตลอดจนไม่ใช่ของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ของพระโยคี ไม่ใช่ของพระกรรมฐาน เพราะว่าอย่าว่าแต่สัตว์ บุคคล หญิง ชายเลย แม้แต่ผู้ปฏิบัติหรือพระโยคีหรือพระกรรมฐานตามที่ใช้เป็นชื่อของผู้ปฏิบัตินั้น ก็หามีอยู่จริงโดยปรมัตถ์ไม่ เป็นเพียงบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่การเข้าใจความ หรือใช้สื่อความหมายในเวลาที่พูดเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การเดินนี้จะเป็นของใครที่ไหนได้ ก็เป็นของรูปนั่นแหละ เพราะเป็นอาการของรูป ประการที่ ๒ นี้ หากมองเพียงผิวเผินแล้ว จะไม่เห็นความแตกต่างกับประการแรก เพราะว่าความรู้ว่า รูปเดิน ไม่ใช่คนสัตว์เดิน กับความรู้ว่าการเดินเป็นของรูป น่าจะเป็นความรู้อันเดียวกัน แต่ทว่าความจริงยังมีข้อที่แตกต่างกันอยู่ กล่าวคือ ความรู้ในประการแรกนั้น เป็นเพียงปฏิเสธความมีอยู่แห่งสัตว์บุคคลผู้เดิน อันไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริง ที่สร้างความเข้าใจผิดว่ามีผู้เดินในเวลานั้น ก็คือรูปเดินเท่านั้น ความรู้อย่างนี้กล่าวได้ว่า เป็นความรู้ที่ถ่ายถอนทิฏฐิคือความเห็นผิดตรง ๆ ส่วนความรู้ในประการที่ ๒ เป็นการปฏิเสธแม้ความเป็นบุคคลพิเศษ คือ เป็นผู้ปฏิบัติ เป็นพระโยคี เป็นพระกรรมฐาน อันพิเศษกว่าคนธรรมดา ก็ความรู้สึกว่า ตนเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น คือเป็นผู้ปฏิบัติเป็นต้นนี้ เป็นความเห็นผิด ที่ท่านเรียกว่า มานวินิพันธาทิฏฐิ แปลว่า ทิฏฐิเกี่ยวกับมานะ กล่าวคือ นอกจากจะเห็นผิดด้วยทิฏฐิว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลดังกล่าวแล้ว ยังสำคัญว่าสัตว์บุคคลนั้นเป็นผู้ปฏิบัติ เป็นพระโยคี เป็นพระกรรมฐาน ด้วยมานะความถือตัว ความนับถือตัว เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งด้วย และเมื่อสำคัญว่ามีผู้ปฏิบัติ มีผู้กรรมฐานอันเป็นบุคคลพิเศษอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมยังความประพฤติเป็นไปของตน ให้เป็นของพิเศษ อันเป็นของเฉพาะตน ซึ่งเป็นคนพิเศษเท่านั้น ไม่ทั่วไปแก่ผู้คนตามปกติอื่น ๆ นั่นก็คือ แต่งท่าทางการเดินของตนให้แปลกไปจากท่าทางการเดินของผู้ไม่ปฏิบัติ กล่าวคือ ค่อยๆ ยก ค่อยๆ ย่าง ค่อยๆ ก้าว จะยกเท้าก้าวอย่างช้า ๆ เป็นจังหวะ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเมื่อทำอิริยาบถให้ผิดปกติไปอย่างนี้ ก็ย่อมเล็งเห็นอิริยาบถที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษนี้ ว่าเป็นสาระ เป็นของดี เป็นของมีประโยชน์ อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะทำปัญญาให้เกิดขึ้นมาเห็นความจริงในรูปอิริยาบถว่า รูปเดินเป็นต้น เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันเป็นการเห็นว่า ไม่เป็นสาระนั่นเอง ย่อมมีได้ยาก เหตุเพราะเข้าไปตั้งความเป็นสาระไว้เสียก่อนแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติโดยประการที่ป้องกันมานะด้วย คือต้องมีการสำเหนียกอยู่เสมอว่า การเดินเป็นของรูปเท่านั้น ไม่ใช่ของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ของพระโยคี ไม่ใช่ของผู้กรรมฐาน นี้เป็นข้อที่แปลกไปจากประการแรก แห่งประการที่ ๒

ประการที่ ๓ กึ การณา คจฺฉติ -- เพราะเหตุไรจึงเดิน, คือ การเดิน อาการเดิน ท่าทางที่เรียกว่าเดิน เกิดขึ้นได้เพราะเหตุไร ก็พึงตอบได้ว่าการเดิน อาการเดิน ท่าทางที่เรียกว่าการเดิน เกิดขึ้นได้เพราะเหตุ เพราะปัจจัย ไม่ใช่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ก็เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการเดินนั้น ได้แก่ วาโยธาตุ คือธาตุลมอันเกิดจากจิตที่ประสงค์จะเดิน กล่าวคือ เมื่อจิตคือความคิดว่าจะเดินเกิดขึ้น จิตนั้นย่อมยังวาโยธาตุให้ตั้งขึ้นบริเวณอวัยวะที่จะเคลื่อนไหว โดยเฉพาะขาทั้งสอง วาโยธาตุนั้นย่อมผลักดันให้อวัยวะเคลื่อนไหวไปตามความประสงค์ของจิต อาการก้าวไปจึงเกิดขึ้น เรียกว่า เกิดการเดิน เพราะฉะนั้น วาโยธาตุที่เกิดจากจิตที่มีความประสงค์จะเดิน พร้อมทั้งจิตนั้นนั่นแหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการเดิน เพราะเหตุนี้แหละ จึงเกิดการเดิน
!
!
อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่มีสติอย่างนี้ นั่นเอง ความรู้ว่าเป็นรูปเดินของเขา จึงเป็นความรู้ของสัญญา บริกรรมไปตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ของสัมปชัญญะ เพราะเรียนรู้แล้วจำได้ด้วยสัญญามาก่อนว่า อาการอย่างนี้ท่าทางอย่างนี้เรียกว่า รูปเดิน แม้ว่าได้รู้อยู่บ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับว่า ตนคอยบริกรรมเอาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดปัญญา ดุจเดียวกับคนที่เจริญกสิน นึกถึงดวงกสินมีปฐวีกสินเป็นต้น บริกรรมไปว่า “ ปฐวี ปฐวี, ดิน ดิน “ เป็นต้น ฉะนั้นอย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ


------------------------------

อ้างคำพูด:
วิปัสสนา เป็นชื่อของผลการปฎิบัติ หรือว่าเป็นชื่อของวิธีการปฎิบัติ
วิปัสสนา เป็นสภาวะของผู้เจริญกัมมัฎฐานแล้วรู้เห็นอริยสัจจ์ หรือเป็นชื่อของการปฎิบัติ
ปฎิบัติธรรม(เช่นสิปัฎฐาน)เพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาน หรือว่าปฎิบัติวิปัสสนาญาน เพื่อให้เกิดวิปัสสนาญานอีกที


:b8: สาธุอีกครั้งกับคำถามนี้ครับ

วิปัสสนา เป็นชื่อของการปฏิบัติครับ

ส่วนภาวนามยปัญญา ที่เห็นไตรลักษณ์ของ รูป นามขันธ์ ๕ เป็น วิปัสสนาญาณ คือผลของการปฏิบัติวิปัสสนา ครับ

ไม่ใช่ ผลของการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ( ซึ่งผลที่เกิดคือ รูปฌาน , อรูปฌาน )

คุณสติสัมปันน์ ครับ ในการปฏิบัติวิปัสสนา จึงต้องมีความรู้พื้นฐาน ในเรื่องวิธีการปฏิบัติ , อารมณ์ที่จะใช้ในการปฏิบัติ

ขอเชิญศึกษา แนวทางการปฏิบัติในแนว วิปัสสนายานิกะ ที่อาศัยขณิกสมาธิ ในการกำหนดรูป (อิริยาบถ) นาม จาก อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ ดังนี้

หลักของวิปัสสนา และ ปรมัตถธรรม โดย อาจารย์แนบ มหานีรานนท์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... 61&start=0

แนะแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา โดยอาจารย์แนบ มหานีรานนท์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... cac77b0e03

--------------------------------------------------

แนวทางการปฏิบัติ เพื่อรู้ชัดใน อิริยาบถ และ สภาพนามธรรม ในแบบวิปัสสนายานิกะ ที่กำหนดอิริยาบถธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำอยู่แล้ว มาเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติ อาจจะดูไม่เหมือนแนวทางยุบหนอ พองหนอ ที่คุณอายะ คุณกรัชกายปฏิบัติ อยู่ ที่ต้องสร้างอิริยาบถ พร้อมบัญญัติคำภาวนาขึ้นมาใหม่

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 123 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร