วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 19:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
หลวงพ่อเสือ

ปฐมวัย

หลวงพ่อเสือ เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ ที่ จ. ชลบุรี โยมบิดา ชื่อ นายแสวง โยมมารดาชื่อ นางลำเจียก

ด้วยบารมีที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ ทำให้หลวงพ่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็ก เมื่อได้มีโอกาสติดตามพ่อแม่ไปวัดตอน๕ - ๖ ขวบ และได้ฝึกหัดทำสมาธิ จึงได้รับรู้ถึงความสงบสุขอันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ

อายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหลวง จ.ชลบุรี และได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ออกธุดงค์ หลังจากนั้น ๗ วัน ท่านจึงแยกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามลำพัง
ในปีต่อมาหลวงพ่อได้ธุดงค์ไปสกลนคร พระอาจารย์ที่นั่นได้แนะนำให้เดินทางไปพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มออกเดินทาง ผ่านอุดรธานี ไปจนถึงพม่า อาศัยพักอยู่ที่วัดโชติการาม โดยมี พระอาจารย์โชติกะธรรมจริยะ คอยแนะนำ และให้ความสะดวกตลอดเวลา ๖ เดือน

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านก็ธุดงค์กลับไปที่พม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยพักอยู่ที่วัดซันคยองวิหาร ถึง ๒ ปี ณ ที่นี้หลวงพ่อได้พบกับ ท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้คอยแนะแนวทางการปฏิบัติธรรม การศึกษาพระไตรปิฏกให้

....หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้เดินทางไปที่ลังกา ได้พบและศึกษากับ ท่านญาณโปนิกมหาเถระ


----------------------------------------------------------------------------------------

มัชฌิมวัย

กลับจากลังกาแล้ว หลวงพ่อได้พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว ๓ ปีเศษ
ต่อจากนั้นได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวเขา บนดอยปุย สอนธรรมะ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวเขา เป็นเวลาถึง ๙ ปี จึงเดินทางกลับมาบ้านเกิด ที่ชลบุรี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้งการให้ธรรมะ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๔๕ ปี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา

ต่อมามีชาวบ้าน ต.สิบเอ็ดศอก อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ และนิมนต์ให้ท่านอาศัยอยู่ จนในที่สุดสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่า “วัดไผ่สามกอ” ตามสัญญลักษณ์ที่มีต้นไผ่เหลืองที่ขึ้นอยู่ ๓ กอ หน้ากุฏิของท่านที่ชาวบ้านปลูกถวายนั่นเอง

มีเรื่องเล่าว่า…
หลวงพ่อไม่เคยสรงน้ำเลย แต่ทุกวันเวลาท่านอยู่ในห้องผู้ที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียน้ำเหมือนไหลจากฝักบัว และร่างกายของหลวงพ่อก็เปียกเอง ทั้งยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก
เมื่อถึงวันเกิดของท่าน ผู้คนจะหลั่งไหลมาสรงน้ำท่าน เวลาท่านเดินลงจากกุฏิ ฝนจะตกลงมาพอดีทุกครั้ง ท่านจึงได้ฉายาว่า “พระวิรุฬหผล”

เมื่อตอนอายุได้ ๕๕ ปี ท่านได้ธุดงค์ไปประเทศลังกาเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในรายละเอียดเพิ่ม



-------------------------------------------------------------------------------------

ปัจฉิมวัย

ก่อนมรณภาพ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้า ท่านจึงได้เตรียมตัวพร้อม โดยเรียกลูกศิษย์มาถ่ายรูปของท่านไว้ ให้ทำความสะอาดศาลา และเรียกมาประชุมฟังธรรม

หลังจากนั้นท่านก็เริ่มป่วย มีไข้ทวีขึ้นทั้งวันทั้งคืน
เมื่อถึงวันโกนท่านก็ลุกขึ้นจากที่นอน สั่งให่ช่วยกันปลงผม ซึ่งชาวบ้านก็พูดเตือนว่าคนเป็นไข้เขาห้ามตัดผล แต่ท่านก็พูดให้คติว่า
“คนเราถ้าถึงเวลาตายแล้ว ถึงจะปล่อยให้ผมยาวเพียงไหน ชีวิตก็ยาวต่อไปไม่ได้”

ก่อนมรณภาพ ๔ วัน หลวงพ่อได้สั่งว่า ท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง ๔ วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ ๔ วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้อง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่า หลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนา มีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา
มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบ ปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว


วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘



นับถือ นับถือ

ท่าน“พระวิรุฬหผล”

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แก้ไขล่าสุดโดย mes เมื่อ 12 ส.ค. 2010, 16:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ไหนเหลิมลองด่าพระสายท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ให้ฟังอีกครั้ง

หย่อนปฎิบัติ

อะไรทำนองนี้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม

นักปริยัติ นักพระไตรปิฎกอย่างท่าน ป.อ. ประยุกต์โตจึงยอมรับนับถือท่านพุทธทาส

พระนักศึกษาทั้งสองสถาบันสงฆ์จึงศึกษาผลงานท่านพุทธทาส

ทั่วโลกยกย่องท่านพุทธทาส

อ๊อกฟอร์ด เคมบริจท์ จึงมีผลงานท่านให้นักศึกษาศึกษา

ทำไมยูเนสโกจึงประกาศท่านให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก



สำนักอภิทำจึงมีประกาศมหาเถระสมาคมไม่ยอมรับเป็นสถาบันพุทธศาสนา

กากเดนสำนักอภิทำจึงโจมตีท่านพุทธทาส


เพราะท่านพุทธทาสจับโกหกสำนักนี้ได้ว่าแอบเขียนพระไตรปิฎกยัดใส้สอนสาวก

บัดนี้สำนักนี้เกือบร้างมีแต่ลูกหลานเจ้าสำนักเฝ้าอยู่เท่านั้น


ทำไมเหลิมจึงหลงไหลในสำนักนี้ถึงกับพกความแคนห้อยเป็นปลักขิกไว้


คำตอบ ผลประโยชน์ครับ

รายได้จากการทำบุญของสาวก


ซึงก็แย่งกัยออกหน้าหนังสือพิมฑิ์สมัยหนึ่งอยู่พักใหญ่

รู้ลึกจะมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ออกมาห้ามทั้พจึงยุติ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สำนักเถือนนี้เรียกแก้งค์ออฟทรี

มีผู้หญิงเป็นศาสดา

เหลิมจะเข้าไปยึดห้วหาดหากิน

แต่เด๋วนี้คนมันฉลาด

ท่าพุทธทาส ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่าสุชีพ ท่านเสฐียรพงษ์ ฯลฯ ล้วนออกมากล่าวไม่ยอมรับ

จะปลุกผีคงยาก

คงเห็นแล้ว แม้เวปอื่นๆก็ยังมองเห็นความชั่วเลวทรามที่เหลิมออกมาด่าพระ

ทั้งท่านพุทธทาส อาจารย์มั่น อาจารย์ถาวร หลวงพ่อดุลย์

อีกไม่นาน

คอยพบกับความหายนะ

จากความหลงลำพอง

ผมขออโหสิ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หนุกหนานจริงๆ

เทียวสรรค์ทัวร์นรกก็แล้ว

ยังมีปาฏิหาริย์ท่าน“พระวิรุฬหผล”ให้ชมอีก

สนุกแหลกลานจริงๆ

อย่างนี้ถึงได้เกลียดพระแท้นัก สำนักนี้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิมเห็นหรือยัง

ข้อมูลผมมีแต่ใหม่ๆ

ไม่น้ำเน่าเหมือนเหลิมที่วกไปเวียนมาซ้ฎซาก

บอกให้เลย

ธรรมะท่านพุทธทาสที่เหลิมยกมาโจมตี ที่บางที่ตัดตอนบ้าง ยกเฆมามแบบศาลาโกหกบ้างใส่ไข่บ้าง

เอาเข้าจริงเป็นสัจจธรรมที่คนอ่านเขายอมรับและที่ไม่โต้ตอบเพราะไม่อยากขยันแบบโง่

คิดว่าผู้อ่านเขาเชื่อเหลิมหรือ

ป่านนี้ยังไมรู้ตัวอีกว่าภาพจน์ตัวเองในสายตาคนอื่นเป็นอย่างไหง

อย่าให้ต่ำไปกว่านี้เลย

หมาใต้บันไดบ้านผมมีศักดิ์ศีรมากกว่าเหลิมเสียอีก

เพราะมันไม่เคยด่าพระ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


สำนักศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทย โดยคุณกุหลาบสีชา
viewtopic.php?f=66&t=28774

ประวัติความเป็นมาของพระอภิธรรม โดยคุณกุหลาบสีชา
viewtopic.php?f=66&t=28770&start=0

อ้างคำพูด:
คุณ mes เขียน
สำนักอภิทำจึงมีประกาศมหาเถระสมาคมไม่ยอมรับเป็นสถาบันพุทธศาสนา


คุณ mes ครับ อย่าได้กล่าวหาลอย ๆ แบบไม่มีหลักฐาน

ประกาศที่คุณอ้างถึง มีจริงหรือไม่ และสำนักไหน

คุณ mes อย่าได้ทำตามอาจารย์พุทธทาสคุณ เลยครับ ที่วิจารณ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างอิสระ อาศัยเพียงความรู้สึกส่วนตัว

คำวิจารณ์ของท่านพุทธทาสต่อ พุทธวิสัย (การแสดงพระอภิธรรม ณ ดาวดึงส์เทวโลก)
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 30962.html

จากทิฏฐิของท่านพุทธทาส ในหนังสือ อภิธรรมคืออะไร

ทีนี้จะพูดเรื่อยๆ ไปตามที่เห็นว่าสมควรจะพูด ทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์ขนาดนี้ ?จะชอบไหม ว่าทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์กันอย่างอิสระเช่นนี้? ในข้อนี้จะขอพูดไว้ทีเดียวหมดเลย สำหรับใช้ได้ทุกๆคราวทุกๆเรื่องว่า ทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์กันขนาดนี้
ข้อหนึ่ง ก็เพราะว่าพระไตรปิฏกทีแรกจำกันมาด้วยปาก ฟังด้วยหู บอกกันด้วยปากเรื่อยมาเป็นเวลาตั้ง ๔๐๐- ๕๐๐ ปี จึงได้เขียนเป็นตัวหนังสือ มันอาจจะมีผิดเพี้ยนหลงลืมโดยไม่เจตนาในชั่ว ๔๐๐ - ๕๐๐ ปีนี้ ฉะนั้นเราจึงต้องกล้าวิจารณ์
อีกข้อหนึ่งแม้เป็นตัวหนังสือแล้ว มันก็ตั้ง ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่เขียนเป็นตัวหนังสือแล้วเมื่อ พศ. ๕๐๐ มาถึงเดี๋ยวนี้มัน ๒๐๐๐ ปีแล้ว ฉะนั้นมันอาจจะมีอะไรสูญหาย หรือเพิ่มเข้ามาชดเชยหรือว่าเพิ่มเติมเข้าไปโดยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง อย่างนี้มันอาจจะมี แม้แต่คัดลอกผิดมันก็มี ฉะนั้นเราจึงกล้าวิจารณ์
ทีนี้การกล้าวิจารณ์นี้ไม่ใช่เราอวดดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้โดยกาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่เพราะเหตุว่าสมณะองค์นี้เป็นครูของข้าพเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง อย่าเชื่อเพราะมันมีในพระไตรปิฏก, อย่าเชื่อเพราะมันน่าเชื่อ,อย่าเชื่อเพราะมันมีเหตุผลทางตรรก ทาง Logic ทางปรัชญา เป็นต้น ให้เชื่อเมื่อมันปรากฏแก่ใจแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง พระพุทธเจ้าทรงเปิดให้อย่างอิสระถึงที่สุดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าวิจารณ์ แม้แต่วิจารณ์พระพุทธเจ้าเอง นี่พูดอย่างนี้บาปหรือไม่บาปก็ไปคิดเอาเองเถอะ บางคนคิดว่าพูดจาบจ้วงพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านสั่งว่าอย่างนั้น
------------------------------------------------

ทีนี้ถ้าว่าเกินไปกว่านั้น ก็ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ ขอให้ระวังให้ดี มันจะเผลอถึงกับใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ แสวงหาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ โดยใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือ อย่างนี้แล้วหมดเลย. มันผิดความประสงค์ มันผิดอะไรหมด ขอให้ระวังในส่วนนี้ด้วย ว่าประโยชน์มันจะเลยขอบเขตไปถึงอย่างนี้. ถ้ามันถึงอย่างนี้แล้วนักอภิธรรมนั้นจะตกอยู่ในธรรมดำ มีจิตใจประกอบไปด้วยกิเลส หวงแหน หรือว่าขายเป็นสินค้า หรือว่าใครไปแตะต้องเข้านิดเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ. อาตมาพูดประโยคเดียวว่าอภิธรรมมิได้อยู่ในรูปของพุทธวจนะ นี้ถูกด่าตั้งกระบุงโดยพวกที่หวงอภิธรรม. นี่คือมันหลงยึดมั่นถือมั่นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปแล้ว.

ทีนี้เลยไปกว่านั้น ก็ว่าเดี๋ยวนี้ถูกเขาใช้อภิธรรมเป็นเครดิตของสำนักวิปัสสนา. สำนักวิปัสสนาไหนต้องยกอภิธรรมขึ้นป้ายเป็นเครดิต เอามาเรียนกันก่อน เป็นนักอภิธรรมกันก่อน. ครั้งพุทธกาลไม่เคย และไม่เกี่ยวกันกับนักวิปัสสนา. อภิธรรมเป็นข้าศึกกันกับวิปัสสนา; เดี๋ยวนี้เอาอภิธรรมมาเป็นป้าย เป็นยี่ห้อ เป็นเครื่องมือ โฆษณาชวนเชื่อของวิปัสสนา.

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


สำนักศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทย โดยคุณกุหลาบสีชา
viewtopic.php?f=66&t=28774

การเรียนพระอภิธรรม หลักสูตรอินเตอร์เนต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
http://www.buddhism-online.org/Index1.htm

ขอเชิญคุณ mes ศึกษาดูก่อนครับ อย่าไปเชื่อตามอาจารย์คุณเลย ที่สอนไม่ให้ผู้อื่นศึกษาพระอภิธรรม (เดี๋ยวจะมาคัดค้านเรื่อง จิตว่างจากนิกายเซนที่ท่านพุทธทาสนับถือ)


อรรถกถา พระวินัยปิฏก


[ภิกษุผู้ปฏิบัติดีใน ๓ ปิฎกได้ผลดีต่างกัน]
อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีในพระวินัย อาศัยสีลสมบัติ ย่อมได้บรรลุวิชชา
๓ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภทวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแลไว้ในพระวินัยนั้น. ผู้
# ๑-๒. ม. มู. ๑๒/๒๖๘-๒๖๙.
ปฏิบัติดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสมบัติ ย่อมได้บรรลุอภิญญา ๖ ก็เพราะตรัส
จำแนกประเภทอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น. ผู้ปฏิบัติดีในพระอภิธรรม
อาศัยปัญญาสมบัติ ย่อมได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภท
ปฏิสัมภิทา ๔ นั้น ไว้ในพระอภิธรรมนั้นนั่นเอง. ผู้ปฏิบัติดีในปิฎกเหล่านี้
ย่อมบรรลุสมบัติต่างกัน คือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้ตามลำดับ
ด้วยประการฉะนี้.


[ผู้ปฏิบัติไม่ดีใน ๓ ปิฎกได้ผลเสียต่างกัน]
ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระวินัย ย่อมมีความสำคัญว่าหาโทษมิได้ ใน
ผัสสะทั้งหลายมีสัมผัสซึ่งรูปเป็นอุปาทินกะเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสห้ามแล้ว โดยความเป็นอาการเสมอกับด้วยสัมผัสซึ่งวัตถุมีเครื่องลาด
และผ้าห่มเป็นต้น ซึ่งมีสัมผัสเป็นสุข ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
แม้ข้อนี้ต้องด้วยคำที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยประการที่ว่า เป็นธรรมอันทำอันตรายได้อย่างไร
ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถ เพื่อกระทำอันตรายแก่บุคคลผู้เสพได้(๑) ดังนี้. ภิกษุ
นั้นย่อมถึงความเป็นผู้ทุศีล เพราะความปฏิบัติไม่ดีนั้น.
ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระสูตร ไม่รู้อยู่ซึ่งอธิบายในพระบาลีมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ดังนี้ ย่อมถือเอาผิด
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสว่า บุคคลมีธรรมอันตนถือผิดแล้ว ย่อม
กล่าวตู่เราทั้งหลายด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมได้ประสบบาปมิใช่บุญมาก
ด้วย(๒) ดังนี้ ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิผิด เพราะการถือนั้น.
# ๑. วิ. มหา. ๒/๔๓๔. ๒. ม. ม. ๑๒/๒๖๖.
ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระอภิธรรม แล่นเกินไปซึ่งการวิจารณ์ธรรม
ย่อมคิดแม้ซึ่งเรื่องที่ไม่ควรคิด ย่อมถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต เพราะคิดซึ่งเรื่อง
ที่ไม่ควรคิดนั้น. ข้อนี้ต้องด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
บุคคลคิดอยู่ซึ่งเรื่องที่ไม่คิดเหล่าใด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า
แห่งความลำบากใจ เรื่องที่ไม่ควรคิดเหล่านี้ ๔ ประการ อันบุคคลไม่ควรคิด*
ดังนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในปิฎก ๓ เหล่านี้ ย่อมถึงความวิบัติต่างด้วยความเป็น
ผู้ทุศีล ความเป็นผู้มีทิฏฐิผิดและความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ ตามลำดับ ด้วยประการ
ฉะนี้.

------------------------------------------------

อ้างคำพูด:
คุณ mes เขียน
อีกไม่นาน

คอยพบกับความหายนะ

จากความหลงลำพอง


หากคุณเชื่อตามอาจารย์พุทธทาสของคุณมาก ๆ ระวังทิฏฐิคุณจะวิบัติ จะวิจารณ์ธรรมมากเกินไป เหมือนอาจารย์คุณนะครับ ที่ไปวิจารณ์เรื่องการแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาว่าเป็นสิ่งโกหก หลอกลวง

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


แก้ไขล่าสุดโดย chalermsak เมื่อ 13 ส.ค. 2010, 06:03, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 06:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณ mes เขียน
หนุกหนานจริงๆ

เทียวสรรค์ทัวร์นรกก็แล้ว

ยังมีปาฏิหาริย์ท่าน“พระวิรุฬหผล”ให้ชมอีก


นี่ เทศนาปาฏิหาริย์ของท่านครับ ผมเคยคัดลอกไว้ในลานธรรมเสวนา และมีผู้คัดลอกที่เวปพลังจิต

http://board.palungjit.com/f10/%E0%B9%8 ... 64236.html

“ พ่อเพียรพยายามใช้ชีวิตทั้งชีวิต ทำสมาธิ เพื่อมองเห็นอดีต เพื่อมีอิทธิวิธี ไต่เต้าไปจากปฐมฌาน ผลมันก็เกิดขึ้นมาเอง ไต่เต้าไปจนถึงปัญจมฌาน ปฐวี เตโช วาโย ทำมาทุกอย่างเพื่อจะรู้ว่าเบื้องแรกนั้นเป็นอย่างไร ต้องการรู้ภาพพจน์อันเป็นพุทธลักษณะ ที่ได้ทิ้งชีวิตลงเพื่อเวไนยสัตว์

ทำ สมาธิโดยใช้ชีวิตทั้งหมดอดทน อดกลั้น กลั้นแม้กระทั่งลมหายใจ ให้หายใจเข้า ๕ นาที และค่อยหายใจออก ๕ นาที ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้สิ่งที่มองกลับไปดูอดีต แล้วนำมาขีดตนเอง และอธิษฐานทันทีว่า สิ่งที่เห็นนั้นงาม สิ่งที่ทรามนั้นเป็นอย่างไร สิ่งที่ให้แท้ ๆ คือ พระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาคุณ และ พระบริสุทธิคุณ ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร เหตุปัจจัยนั้นลึกซึ้งแค่ไหน

ข้าพเจ้า ขอมีชีวิต บวช เรียน เพียร แล้วนำอันนี้แหละมาพูดด้วยวาจา เมื่อจะรับใครเข้ามาในศาสนาพุทธ.... เสร็จแล้วก็อายุมากขึ้น จะสอนใครก็แก่ไป สอนไปแล้วก็สึกออกไป ก็ไม่ได้ตกทอดไปถึงไหน สัญญากันไว้กับเพื่อนสหธรรมิกทั้งเจ็ดว่า จะต้องทำให้ได้ เราเป็นเพื่อนร่วมสาบานกัน “

นี่คือความในใจของหลวงพ่อ พระผู้พลีชีวิตเพื่อพุทธศาสนา ท่านเคยเล่าให้พวกเราฟังว่า สมัยเมื่อท่านกลับมาจากพม่าท่านได้นำ “บัญชีใจ” พกกลับติดตัวมา มีทั้งรายรับ และรายจ่ายรายรับคือชีวิตของท่านทั้งชีวิต ส่วนรายจ่ายคือสิ่งที่ท่านจะต้องทำ อันเป็นหัวข้อธรรมทั้งหลายที่ท่านตั้งใจจะแจกจ่ายให้แก่เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคน ดังนั้นท่านจึงใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่มีทุ่มเทให้กับการสอนธรรมะ และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่มีทุกข์มาทุกรูปแบบ

แม้กระทั่ง ทุกวันนี้ ท่านก็ยังคงนำชีวิตของท่านมาสอนความจริง อันเป็นสัจธรรมให้กับทุก ๆ คน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ยามใดที่มีบรรพชิตก้าวเข้ามาเป็นศิษย์ ท่านจะเข้มงวดกว่าพวกเราฆารวาสหลายร้อยเท่า เพราะหลวงพ่อถือว่า ท่านเหล่านั้นต้องวิรัติตัวเองอยู่ในวินัย จะมาทำตนเป็นคนนอกโอวาทไม่ได้ ท่านได้ดำเนินชีวิตตามคำสาบานที่มีไว้กับพระที่เป็นสหธรรมิกทั้ง ๗ รูป ซึ่งล้วนเป็นหลวงพ่อที่มีปฏิปทาน่าเคารพบูชาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อมีผู้ก้าวเข้ามาขอบวช ท่านจึงถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องให้อารมณ์ อารมณ์ที่นับวันจะสูญสิ้นไปจากความรู้สึกของคนทั้งปวง


----------------------------------------------------------------

คุณ mes ครับ สมัยเรียนมหาลัย ผมสับสนมากครับ อ่านหนังสือท่านพุทธทาสมาก ๆ ก็เชื่อว่า เทวดา นรก สวรรค์ หลักกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มี

อ่านหนังสือวัดธรรมกายและหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาก ๆ ก็เชื่อว่านิพพานเป็นดินแดนที่จะได้พบพระพุทธเจ้า ตายแล้วไปเกิดเป็นอมตะในแดนนิพพาน อยากฝึกสมาธิตามแนวธรรมกาย+มโนมยิทธิ ให้ได้ฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เห็นนรกสวรรค์

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
สำนักศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทย โดยคุณกุหลาบสีชา
viewtopic.php?f=66&t=28774

การเรียนพระอภิธรรม หลักสูตรอินเตอร์เนต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
http://www.buddhism-online.org/Index1.htm

ขอเชิญคุณ mes ศึกษาดูก่อนครับ อย่าไปเชื่อตามอาจารย์คุณเลย ที่สอนไม่ให้ผู้อื่นศึกษาพระอภิธรรม (เดี๋ยวจะมาคัดค้านเรื่อง จิตว่างจากนิกายเซนที่ท่านพุทธทาสนับถือ)


อรรถกถา พระวินัยปิฏก


[ภิกษุผู้ปฏิบัติดีใน ๓ ปิฎกได้ผลดีต่างกัน]
อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีในพระวินัย อาศัยสีลสมบัติ ย่อมได้บรรลุวิชชา
๓ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภทวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแลไว้ในพระวินัยนั้น. ผู้
# ๑-๒. ม. มู. ๑๒/๒๖๘-๒๖๙.
ปฏิบัติดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสมบัติ ย่อมได้บรรลุอภิญญา ๖ ก็เพราะตรัส
จำแนกประเภทอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น. ผู้ปฏิบัติดีในพระอภิธรรม
อาศัยปัญญาสมบัติ ย่อมได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภท
ปฏิสัมภิทา ๔ นั้น ไว้ในพระอภิธรรมนั้นนั่นเอง. ผู้ปฏิบัติดีในปิฎกเหล่านี้
ย่อมบรรลุสมบัติต่างกัน คือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้ตามลำดับ
ด้วยประการฉะนี้.


[ผู้ปฏิบัติไม่ดีใน ๓ ปิฎกได้ผลเสียต่างกัน]
ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระวินัย ย่อมมีความสำคัญว่าหาโทษมิได้ ใน
ผัสสะทั้งหลายมีสัมผัสซึ่งรูปเป็นอุปาทินกะเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสห้ามแล้ว โดยความเป็นอาการเสมอกับด้วยสัมผัสซึ่งวัตถุมีเครื่องลาด
และผ้าห่มเป็นต้น ซึ่งมีสัมผัสเป็นสุข ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
แม้ข้อนี้ต้องด้วยคำที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยประการที่ว่า เป็นธรรมอันทำอันตรายได้อย่างไร
ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถ เพื่อกระทำอันตรายแก่บุคคลผู้เสพได้(๑) ดังนี้. ภิกษุ
นั้นย่อมถึงความเป็นผู้ทุศีล เพราะความปฏิบัติไม่ดีนั้น.
ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระสูตร ไม่รู้อยู่ซึ่งอธิบายในพระบาลีมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ดังนี้ ย่อมถือเอาผิด
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสว่า บุคคลมีธรรมอันตนถือผิดแล้ว ย่อม
กล่าวตู่เราทั้งหลายด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมได้ประสบบาปมิใช่บุญมาก
ด้วย(๒) ดังนี้ ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิผิด เพราะการถือนั้น.
# ๑. วิ. มหา. ๒/๔๓๔. ๒. ม. ม. ๑๒/๒๖๖.
ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระอภิธรรม แล่นเกินไปซึ่งการวิจารณ์ธรรม
ย่อมคิดแม้ซึ่งเรื่องที่ไม่ควรคิด ย่อมถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต เพราะคิดซึ่งเรื่อง
ที่ไม่ควรคิดนั้น. ข้อนี้ต้องด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
บุคคลคิดอยู่ซึ่งเรื่องที่ไม่คิดเหล่าใด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า
แห่งความลำบากใจ เรื่องที่ไม่ควรคิดเหล่านี้ ๔ ประการ อันบุคคลไม่ควรคิด*
ดังนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในปิฎก ๓ เหล่านี้ ย่อมถึงความวิบัติต่างด้วยความเป็น
ผู้ทุศีล ความเป็นผู้มีทิฏฐิผิดและความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ ตามลำดับ ด้วยประการ
ฉะนี้.

------------------------------------------------

อ้างคำพูด:
คุณ mes เขียน
อีกไม่นาน

คอยพบกับความหายนะ

จากความหลงลำพอง


หากคุณเชื่อตามอาจารย์พุทธทาสของคุณมาก ๆ ระวังทิฏฐิคุณจะวิบัติ จะวิจารณ์ธรรมมากเกินไป เหมือนอาจารย์คุณนะครับ ที่ไปวิจารณ์เรื่องการแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาว่าเป็นสิ่งโกหก หลอกลวง



หลักฐานอยู่ที่มหาเถระสมาคม

สมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เนต

ผมพูดไว้ชัดเจน

สำนักอภิธรรมเถื่อนที่มหาเถระสมาคมไม่ยอมรับคือที่ปัจจุบันต้องไปจดทะเบียนเลี่ยงบาลีเป็นมูลนิธิอภิธรรม

สำนักอภิธรรมอื่นไม่เกี่ยว

เหลิมอย่ามั่ว พยายามบิดเบื่อนตามแนวทางของอาจารย์เหลิม

อยากได้ไปขอเองไม่ใช่หน้าที่ผม

เหลิมก็เหมือนอาจารย์เจ้าสำนักนอกศาสนานั่นแหละ

อรรกถาที่เป็นของพระสำนักมูลนิธิอภิธรรมที่เหลิมพยายามโฆษณาให้คนนำมาอ้างนั้น

มหาเถระสมาคมมีมติตามที่ท่านพุทธทาสแย้งว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูปเป็นการบ่อนทำลายศาสนาพุทธ

นี่แหละเป็นความเครียดแค้นฝังใจของสำนักมูลนิธิอภิธรรมที่ความบิดเบือนตนถูกเปิดโปรง

ความจริงสำนักนีอยากโจมตีมหาเถระสมาคม

แต่ไม่กล้า

ได้แค่ท่านพุทธทาส

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
สำนักศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทย โดยคุณกุหลาบสีชา
viewtopic.php?f=66&t=28774

การเรียนพระอภิธรรม หลักสูตรอินเตอร์เนต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
http://www.buddhism-online.org/Index1.htm

ขอเชิญคุณ mes ศึกษาดูก่อนครับ อย่าไปเชื่อตามอาจารย์คุณเลย ที่สอนไม่ให้ผู้อื่นศึกษาพระอภิธรรม (เดี๋ยวจะมาคัดค้านเรื่อง จิตว่างจากนิกายเซนที่ท่านพุทธทาสนับถือ)


อรรถกถา พระวินัยปิฏก


[ภิกษุผู้ปฏิบัติดีใน ๓ ปิฎกได้ผลดีต่างกัน]
อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีในพระวินัย อาศัยสีลสมบัติ ย่อมได้บรรลุวิชชา
๓ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภทวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแลไว้ในพระวินัยนั้น. ผู้
# ๑-๒. ม. มู. ๑๒/๒๖๘-๒๖๙.
ปฏิบัติดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสมบัติ ย่อมได้บรรลุอภิญญา ๖ ก็เพราะตรัส
จำแนกประเภทอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น. ผู้ปฏิบัติดีในพระอภิธรรม
อาศัยปัญญาสมบัติ ย่อมได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภท
ปฏิสัมภิทา ๔ นั้น ไว้ในพระอภิธรรมนั้นนั่นเอง. ผู้ปฏิบัติดีในปิฎกเหล่านี้
ย่อมบรรลุสมบัติต่างกัน คือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้ตามลำดับ
ด้วยประการฉะนี้.


[ผู้ปฏิบัติไม่ดีใน ๓ ปิฎกได้ผลเสียต่างกัน]
ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระวินัย ย่อมมีความสำคัญว่าหาโทษมิได้ ใน
ผัสสะทั้งหลายมีสัมผัสซึ่งรูปเป็นอุปาทินกะเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสห้ามแล้ว โดยความเป็นอาการเสมอกับด้วยสัมผัสซึ่งวัตถุมีเครื่องลาด
และผ้าห่มเป็นต้น ซึ่งมีสัมผัสเป็นสุข ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
แม้ข้อนี้ต้องด้วยคำที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยประการที่ว่า เป็นธรรมอันทำอันตรายได้อย่างไร
ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถ เพื่อกระทำอันตรายแก่บุคคลผู้เสพได้(๑) ดังนี้. ภิกษุ
นั้นย่อมถึงความเป็นผู้ทุศีล เพราะความปฏิบัติไม่ดีนั้น.
ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระสูตร ไม่รู้อยู่ซึ่งอธิบายในพระบาลีมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ดังนี้ ย่อมถือเอาผิด
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสว่า บุคคลมีธรรมอันตนถือผิดแล้ว ย่อม
กล่าวตู่เราทั้งหลายด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมได้ประสบบาปมิใช่บุญมาก
ด้วย(๒) ดังนี้ ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิผิด เพราะการถือนั้น.
# ๑. วิ. มหา. ๒/๔๓๔. ๒. ม. ม. ๑๒/๒๖๖.
ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระอภิธรรม แล่นเกินไปซึ่งการวิจารณ์ธรรม
ย่อมคิดแม้ซึ่งเรื่องที่ไม่ควรคิด ย่อมถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต เพราะคิดซึ่งเรื่อง
ที่ไม่ควรคิดนั้น. ข้อนี้ต้องด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
บุคคลคิดอยู่ซึ่งเรื่องที่ไม่คิดเหล่าใด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า
แห่งความลำบากใจ เรื่องที่ไม่ควรคิดเหล่านี้ ๔ ประการ อันบุคคลไม่ควรคิด*
ดังนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในปิฎก ๓ เหล่านี้ ย่อมถึงความวิบัติต่างด้วยความเป็น
ผู้ทุศีล ความเป็นผู้มีทิฏฐิผิดและความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ ตามลำดับ ด้วยประการ
ฉะนี้.

------------------------------------------------

อ้างคำพูด:
คุณ mes เขียน
อีกไม่นาน

คอยพบกับความหายนะ

จากความหลงลำพอง


หากคุณเชื่อตามอาจารย์พุทธทาสของคุณมาก ๆ ระวังทิฏฐิคุณจะวิบัติ จะวิจารณ์ธรรมมากเกินไป เหมือนอาจารย์คุณนะครับ ที่ไปวิจารณ์เรื่องการแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาว่าเป็นสิ่งโกหก หลอกลวง


ใครกันแน่ที่โกหก

ใครกันแน่ที่วิจารณ์ปฏิปทาสงฆ์

คนนั้นแหละที่จะวิบัติ

มาพิสูจน์กัน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จากท่านกรัชกาย

ตัดนำมาให้ดูความเป็นเหตุเป็นผล ของตัวธรรมซึ่งเป็นเหตุปัจจัยกันเป็นฐานกันและกัน เหมือนขั้นบันไดฉะนั้น

-คุณสมบัติฝ่ายหมดของอริยะขั้นต้น

-ละกิเลสเครื่องผูกใจได้ 3 อย่าง คือ

สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าเป็นตัวของตน ติดสมมุติเหนียวแน่น ซึ่งทำให้เห็นแก่ตัวอย่างหยาบและเกิดความกระทบกระทั่งมีทุกข์ได้แรงๆ

วิจิกิจฉา ความสงสัยไม่แน่ใจต่างๆ เกี่ยวกับพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ และสิกขาเป็นต้น ซึ่งทำให้จิตไม่น้อมดิ่งไปในทางที่จะระดมความเพียรมุ่งหน้าปฏิบัติเร่งรุดไปในมรรคา

สีลัพพตปรามาส ความถือเขวเกี่ยวกับศีลพรต คือการถือปฏิบัติศีลและวัตร หรือกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย ข้อปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมต่างๆไม่บริสุทธิ์ตามหลักการตามความมุ่งหมาย ที่มุ่งเพื่อความดีงาม เช่น ความสงบเรียบร้อย และความเป็นบาทฐานของสมาธิ เป็นต้น แต่ประพฤติปฏิบัติด้วยตัณหาและทิฏฐิ เช่น หวังผลประโยชน์ตอบแทน หวังจะเป็นนั่นเป็นนี่ ตลอดจนประพฤติด้วยงมงายสักว่าทำตามๆกันมา

-ละมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ ความใจคับแคบ หวงแหน คอยกีดกันผู้อื่น 5 อย่าง
ฯลฯ

-ละอคติ คือ ทางความประพฤติที่ผิด หรือความลำเอียงได้ทั้ง 4 อย่าง

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบกัน
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว

-ละราคะ โทสะ โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง ขั้นหยาบหรือรุนแรงที่จะทำให้ถึงอบาย ไม่ทำกรรมชั่ว
ขั้นร้ายแรงที่จะเป็นเหตุให้ไปอบาย (สํ.ข.17/469/278 ฯลฯ)

-ระงับภัยเวร โทมนัสและทุกข์ทางใจต่างๆ ที่จะพึงเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามหลักศีล 5 เป็นผู้พ้นจากอบายสิ้นเชิง ความทุกข์ส่วนใหญ่หมดสิ้นไปแล้ว ความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่บ้างเป็นเพียงเศษ
น้อยนิดที่นับเป็นส่วนไม่ได้ (สํ.ม.19/1575/489 ฯลฯ)


ว่าโดยสาระก็เป็นอย่างเดียวกันกล่าวคือ

จะละสักกายทิฏฐิได้ ก็เพราะมีปัญญาหยั่งรู้สภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยพอสมควร เมื่อเกิดปัญญา

เข้าใจชัดขึ้นอย่างนี้ วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยคลางแคลงใจก็หมดไป ศรัทธาที่อาศัยปัญญาก็แน่น

แฟ้น พร้อมนั้นก็จะรักษาศีลได้ถูกต้องตามหลักการตามความมุ่งหมาย กลายเป็นอริยกันตศีล คือ ศีล

ที่อริยชนชื่นชมยอมรับ สีลัพพตปรามาสก็พลอยสิ้นไป เมื่อจาคะเจริญขึ้น มัจฉริยะก็หมดไป เมื่อ

ราคะ โทสะโมหะเบาบางลง ก็ไม่ตกไปในอำนาจของอคติ และราคะ โทสะ โมหะเบาบางลง ก็เพราะ

ปัญญาที่มองเห็นความจริงของโลก และ ชีวิต ทำให้คลายความยึดติด เมื่อสิ้นยึดติด ถือมั่นน้อยลง

ความทุกข์ก็ผ่อนคลาย และรู้จักความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น

<= ต้องการให้เห็นความที่ธรรมะเป็นปัจจัยกันและกันนั่น

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอจบบทบาทหน้าที่ผมเพียงเท่านี้

เพราะนอกจากข้อสังเกตุที่น่ากังขามากมาย ที่ผมนำมาเปิดโปรง

เหลิมไม่สามารถชี้แจงได้

อีกประการหนึ่ง

ผมเกรงใจท่านผู้อ่านที่ต้องปฏิฆะไปด้วยกับคำด่าว่าพระซ้ำๆ วนเวียนเหมือนเดิม

และคิดว่าถ้าทำหน้าที่ต่อคงจะเป็นรูปแบบเดิม

เหลิมจะด่าพระรูปใดต่อไปเป็นมรดกกรรมของเหลิมเอง


ผมจะไปบำเพ็ญธรรมต่อ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านสานุศิษย์ท่านพุทธทาส

ข้อที่ว่าผมเป็นศิษย์เอกท่านพุทธทาสผมไม่ได้เป็นผู้แอบอ้าง

ทั้งที่ผมอยากเป็น

แต่ผมแค่คนหนึ่งที่ศึกษาธรรมะของท่านเท่านั้นครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อรรกถาที่เป็นของพระสำนักมูลนิธิอภิธรรมที่เหลิมพยายามโฆษณาให้คนนำมาอ้างนั้น

มหาเถระสมาคมมีมติตามที่ท่านพุทธทาสแย้งว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูปเป็นการบ่อนทำลายศาสนาพุทธ
--------------------

หลักฐานอยู่ที่มหาเถระสมาคม

สมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เนต

ผมพูดไว้ชัดเจน

สำนักอภิธรรมเถื่อนที่มหาเถระสมาคมไม่ยอมรับคือที่ปัจจุบันต้องไปจดทะเบียนเลี่ยงบาลีเป็นมูลนิธิอภิธรรม

สำนักอภิธรรมอื่นไม่เกี่ยว


คุณ mes ครับ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่ควรพูดนะครับ

อรรถกถาที่ว่า กล่าวตู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไร ชี้แจงด้วยครับ

หรือจะบอกว่าคิดแทนผู้อื่น แบบอาจารย์พุทธทาสของคุณ ที่ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ก็กล่าวตู่พระพุทธองค์ว่าทรงเอออวยสวมรอยกับศาสนาพราหมณ์ เพราะพิสูจน์ให้คนโง่เห็นไม่ได้

เทวดามีจริงหรือ ? โดยท่านพุทธทาส
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว
จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย
ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า
ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย
ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก
พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า
คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;
ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์
เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น
ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.




คุณ mes ครับ ผมตรงจุดนี้ จะให้ มหาเถระสมาคม หรือ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ รับรอง ผมว่าท่านคงต้องคิดมากอยู่เหมือนกัน

แต่คุณ mes รับรองทิฏฐิอาจารย์ตรงนี้ว่าถูกต้อง

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


แก้ไขล่าสุดโดย chalermsak เมื่อ 13 ส.ค. 2010, 12:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร