วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 09:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

“ห น้ า ที่ ข อ ง ชี วิ ต”
พระครูเกษมธรรมทัต (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี)
วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา


๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔

นมัตถุ รตนัตตยัสสะ ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย


ต่อไปนี้ก็จะได้ปรารภธรรมะตามหลักคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อเป็นการส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติธรรม
โดยเฉพาะการที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานในชีวิตประจำวัน
เพราะว่าญาติโยมซึ่งมีปรกติใช้ชีวิตอยู่กับการครองเรือน
อยู่กับการทำงานประกอบอาชีพ มีการสังคม
ไม่มีโอกาสจะมาปลีกหลีกเร้นได้ต่อเนื่องเหมือนอย่างนักบวชอย่างเช่นภิกษุทั้งหลายได้

อย่างที่ท่านทั้งหลายมาเข้าเก็บตัวปฏิบัติธรรมก็ได้เพียงระยะหนึ่ง
แล้วก็ต้องออกไปคืนสู่เหย้าสู่เรือน สู่สังคมหมู่คณะที่จะต้องไปรับผิดชอบในครอบครัว
บุตรหลาน สามี ภรรยา หน้าที่การงานตามหน้าที่

การปฏิบัติธรรมตามหน้าที่
การทำหน้าที่ให้ถูกต้องให้สมควรให้สมบูรณ์
ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง รับผิดชอบในหน้าที่


ทุกคนก็มีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น

หน้าที่ของความเป็นพ่อ หน้าที่ของความเป็นแม่ หน้าที่ของความเป็นลูก
หน้าที่ของความเป็นสามี หน้าที่ของความเป็นภรรยา
หน้าที่ของความเป็นเจ้านายเป็นลูกน้อง
มีหน้าที่มีตำแหน่งใดใดก็มีหน้าที่อยู่
ก็ปฏิบัติหน้าที่นั้นตามสมควร ให้ถูกต้อง ให้สมบูรณ์
ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง


ในที่นี้ก็จะยกไว้ไม่กล่าวในหน้าที่นั้น ๆ ว่าต้องต้องทำอะไรบ้าง
แต่จะกล่าวถึงการทำหน้าที่ของชีวิต
เพื่อชีวิตของตนเองที่จะหลุดรอดปลอดภัย
คลี่คลาย ลดละจากความทุกข์
ดำเนินเข้าไปสู่บรมสุขที่สุดแห่งทุกข์อย่างแท้จริง

ซึ่งหน้าที่นี้ไม่มีใครที่จะทำแทนเราได้
ไม่เหมือนหน้าที่ภาระงานอื่น ๆ เราก็อาจจะยกให้คนอื่นทำแทน
แต่หน้าที่ของการที่จะดับทุกข์เป็นเรื่องเฉพาะตน
เป็นของ คน ๆ เดียวที่จะต้องใช้เรี่ยวแรง ความเพียร สติปัญญา
การจะพัฒนาชีวิตจิตใจของตนเองให้เข้าถึงความดับทุกข์
เพราะฉะนั้นหน้าที่อันนี้ยังมีความจำเป็นที่จะต้องกระทำ


ตราบใดที่ยังไม่สิ้นกิเลสก็ยังมีหน้าที่ประการสำคัญของชีวิตอยู่
คือ การปฏิบัติกรรมฐาน โดยเฉพาะ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานมีเป้าหมายคือความดับทุกข์ เข้าถึงความดับทุกข์
เมื่อยังไม่ถึงความดับทุกข์ก็ต้องเพียรประพฤติปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานไป
เมื่อไม่มีโอกาสจะมาเก็บตัวประพฤติปฏิบัติได้อย่างนี้
ก็ต้องทำหน้าที่นี้ ปฏิบัติอย่างนี้ไปในชีวิตประจำวัน


(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 07 ธ.ค. 2009, 20:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www



เราจะปฏิบัติกรรมฐานในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

ถ้าเราคิดพิจารณาก็จะดูเหมือนว่ามันจะทำไม่ได้ เหมือนมันขัดกัน ขัดแย้งกัน
โดยเฉพาะการเจริญวิปัสสนาที่จะต้องมีสติระลึกรู้ตรงต่อปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ

ซึ่งปรมัตถธรรมเหล่านั้นจะต้องไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่รูปร่างสัณฐาน
สติต้องระลึกรู้ตรงต่อปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏเนือง ๆ อยู่


ส่วนการใช้ชีวิต ประจำวันซึ่งจะต้องพบปะพูดคุย นึกคิดอยู่กับการงานนั้น
อารมณ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นบัญญัติทั้งนั้น
การที่จะคิดการงานทำอะไรอย่างไร
อารมณ์เหล่านั้นต้องเป็นความหมาย เป็นบัญญัติ

จะฟังคำสั่งให้รู้เรื่องก็ต้องนึกถึงความหมายถึงภาษาซึ่งเป็นบัญญัติ
จะสั่งการจะพูดเองก็นึกถึงเรื่องงาน นึกถึงความหมายเป็นบัญญัติ
จะขับรถก็ต้องนึกถึงบัญญัติว่า จะเลี้ยวอย่างไรจะเบรคอย่างไรจะหลบอย่างไร
ต้องมีอารมณ์เป็นความหมาย เดินอยู่บนถนน
เดินไปไหนมาไหนก็ต้องรู้ความหมายว่าควรจะไปตรงไหน ทำอะไร
หลบอย่างไร ปิดประตูอย่างไร ทำอย่างไร
ล้วนแล้วแต่ต้องมีอารมณ์เป็นบัญญัติ เป็นความหมาย เป็นเรื่องเป็นราว
เป็นชื่อเป็นภาษา เป็นรูปร่างสัณฐาน

ยิ่งบุคคลที่ทำงานอยู่กับการวางแผน ต้องคิดล่วงหน้า สมมุติล่วงหน้า
นึกมโนภาพเหตุการณ์ความหมายที่จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
อารมณ์เหล่านั้นล้วนแต่เป็นบัญญัติทั้งนั้น
เป็นมโนภาพบ้าง เป็นความหมายบ้าง เป็นชื่อเป็นเรื่องราว

เมื่อเป็นอย่างนี้จะปฏิบัติวิปัสสนาได้อย่างไร
เพราะวิปัสสนาจะต้องระลึกรู้ปรมัตถ์ จะต้องหลุดจากบัญญัติ
ความเป็นชื่อเป็นความหมาย เป็นรูปร่าง รู้ปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ เนือง ๆ
อยู่กับบ้านอยู่กับการงานจะต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์
เราจะทำอย่างไรถึงปฏิบัติได้


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความจริงแล้วสามารถจะปฏิบัติเจริญสติปัฏฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ได้ควบคู่กันไปกับการทำงาน กับการเดินทาง กับการพูด กับการคิด กับการฟัง
กับการทำอะไรทุกอย่างทั้งหมดไม่เลือกแม้กำลังขับรถอยู่
เป็นเวลาที่จะปฏิบัติเจริญสติได้ทั้งหมด

เป็นเพียงแต่ว่าการระลึกรู้นั้น
ยังมีการสลับบัญญัติปรมัตถ์อยู่ ไม่ใช่ว่ารู้ปรมัตถ์อย่างเดียว
ยังต้องปล่อยจิตให้คิดถึงความหมายรูปร่างชื่อภาษา
แต่ในขณะเดียวกันก็มีสติสลับรับรู้สภาวปรมัตถ์สลับฉากไปบ้างได้


ในขณะที่สติมาระลึกรู้สภาวปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏ
แล้วจิตก็กลับไปตีความหมาย ไปรู้ความหมาย
กลับไปรู้ปรมัตถ์ กลับไปรู้ความหมาย
มันก็ยังปะติดปะต่อเรื่องที่คิด คำพูดที่พูด มือที่กระทำ

ใจที่รับรู้เหล่านั้น ยังต่อเรื่องราวเหล่านั้นได้
ไม่ใช่ว่ารู้ปรมัตถ์ รู้ปรมัตถ์แล้วก็ลืมเรื่องที่พูด
ฟังไม่ได้ที่เขาพูดอะไร เดินไม่ถูกทาง มันไม่ใช่อย่างนั้น

จิตมันยังกลับไปรับบัญญัติได้ต่อเนื่องกันได้
เรียกว่าสลับกันไป บัญญัติบ้าง ปรมัตถ์บ้าง
ซึ่งสามารถจะทำได้ ฝึกการเจริญสติรู้ปรมัตถ์บ้าง บัญญัติบ้าง
ที่ท่านทั้งหลายลองพิสูจน์ดูขณะนี้ ลองใส่ใจระลึกรู้ปรมัตธรรมดูขณะนี้

ในฐานะที่เป็นผู้เข้าใจในการเจริญสติในปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ

ก็ลองใส่ใจระลึกรู้ดูว่า
ขณะนี้มีปรมัตถธรรมปรากฏที่กายอะไรอย่างไรบ้าง
รู้ความเย็น รู้ความไหว รู้ความตึง รู้ความปวด รู้ความเจ็บ
รู้จิตรู้ใจ รู้สภาพได้ยิน รู้สภาพนึกคิด
ลองใส่ใจระลึกรู้สภาวธรรมต่าง ๆ เหล่านี้


ใส่ใจดูซิว่าระลึกรู้ได้ไหมว่าขณะนี้มีความรู้สึกที่กายอย่างไร
ขณะนี้มีความรู้สึกที่ใจอย่างไร ลองใส่ใจระลึกรู้ดู
ในขณะนี้ขณะที่ฟังอยู่ เมื่อท่านทั้งหลายลองสังเกตระลึกได้
อ้อ ใจมีสติรู้ความรู้สึกทางกาย รู้ความรู้สึกทางใจ
ถามว่ายังฟังรู้เรื่องไหม ยังฟังที่บรรยายอยู่ฟังรู้เรื่องไหม ก็ยังฟังรู้เรื่อง

(มี่ต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


นี่คือการพิสูจน์ว่า ขณะที่กำลังระลึกรู้สภาวปรมัตถธรรมก็ยังกลับฟังรู้เรื่อง
ซึ่งการจะฟังรู้เรื่องจะต้องตีความหมาย จิตจะต้องตีความหมายในเสียง
แต่ก็สามารถจะรับรู้ความรู้สึกทางกายทางใจ
แล้วก็รู้ความหมายที่ได้ยินเสียงนั้น
เพราะว่าจิตมีความเร็วที่จะกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว
ปะติดปะต่อเรื่องที่ฟัง คำที่พูด ใจที่คิดอะไรไว้ สามารถทำได้


เพราะฉะนั้นแม้ขณะฟัง ฟังธรรมะก็ยังรู้สึกรู้สภาวะได้ ฟังก็ยังฟังรู้เรื่อง
เวลาเราไปฟังจากคนอื่นในเรื่องการงานก็เช่นเดียวกัน ใส่ใจระลึกรู้ในกายในใจตนเอง
แต่ก็ไปรับรู้ในคำพูดที่เขาพูดว่าหมายความว่าอย่างไร

เหมือนกับการฟังธรรมอย่างนี้ มันก็ย่อมได้
หรือเราเป็นฝ่ายพูดเอง เวลาพูดเสียเองนี่ก็ระลึกรู้ปากที่เคลื่อนไหว
ใจที่ตรึกนึก ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทั้งเสียงทั้งได้ยิน
ทั้งความรู้สึกสติก็ระลึกได้ มันก็ระลึกได้ แต่มันก็ยังพูดได้

ไม่ใช่พอระลึกรู้ปรมัตถ์ รู้ปรมัตถ์ แล้วพูดไม่รู้เรื่อง ลองไปทำดู
เวลาพูดนี่ลองเจริญสติดูว่าพูดได้ไหม
เจริญสติดูปากที่ไหว ดูใจที่รู้สึก รู้ความตรึกนึก รู้ความรู้สึก ทั้งกายทั้งใจ
ก็ยังมีการพูดไปได้ ยังพูดรู้เรื่องได้
สติก็ยังระลึกรู้สภาวธรรม ปรมัตถธรรมที่กายที่ใจได้
มันสลับไปสลับมากันอย่างรวดเร็ว นี่ขณะที่เป็นฝ่ายพูดก็เจริญสติได้
ยิ่งเป็นฝ่ายฟัง ผู้ฟังนี่ก็ยิ่งเจริญสติได้ง่ายกว่าผู้พูด


ขณะเดิน เดินไปไหน เดินไปทำงาน
ซึ่งจะต้องรู้ว่าจะเลี้ยวจะข้ามจะหลบจะเลี่ยง เจริญสติได้ในขณะนั้น
เมื่อเจริญสติระลึกรู้การเคลื่อนไหว รู้ใจที่รับรู้
มันก็ยังไปสู่บัญญัติว่าควรจะหลบควรจะเลี่ยง

เหมือนที่เราเดินจงกรมอยู่ทุกวันนี้
ถ้าเราไม่มีบัญญัติไม่มีการรู้บัญญัติ
เราจะไม่รู้จักว่าจะต้องกลับแล้วนะ สุดทางแล้วจะต้องกลับ
หรือว่าเจอมดจะต้องข้ามจะต้องหลบ อะไรต่าง ๆ


แม้แต่การยกเท้าก้าวไป จิตก็ต้องสั่งการ ซึ่งรู้ความหมายอยู่
แต่มันก็รู้ความรู้สึกเคลื่อนไหว รู้ใจที่รับรู้
เดินไปทำงานเดินไปไหนที่ไหนก็เหมือนกัน
มีสติรู้สภาวธรรมปรมัตถธรรมได้ แต่ก็ยังเดินได้
ไม่ใช่ระลึกรู้ปรมัตถ์แล้วก็เดินไม่ตรงทาง ไม่รู้จักหลบไม่รู้จักเลี้ยว
มันไม่ใช่อย่างนั้น ลองทำลองสังเกต

ฉะนั้นไม่ว่าจะเดินหรือจะยืนหรือจะนั่งหรือจะนอน
จะทำอะไรก็ตามมีอารมณ์เป็นบัญญัติอยู่ รู้ความหมายอยู่
แต่ก็สามารถจะสลับรู้ปรมัตถธรรม รู้ความรู้สึกที่กายที่ใจได้


เวลาที่เขียนหนังสือ เวลาที่อ่านหนังสือ ก็เจริญสติได้
แล้วก็ยังเขียนได้ยังอ่านได้ เอาไปฝึกหัดทำดู

ลองตั้งใจดูว่าจะเขียนหนังสือจะอ่านหนังสืออย่างมีสติ
สติก็จะรู้มือที่เกร็ง มือที่เคลื่อนไหว
มีความตึงของมือบ้าง มีความตึงของกายส่วนอื่นบ้าง
สมองที่คิดในเรื่องที่เขียนก็คิดอยู่ สมองก็ตึงบ้าง
ใจที่นึกคิดใจที่รับรู้ สติก็รู้
ความรู้สึกที่กายที่ใจที่สมอง แต่มือก็ยังเขียน

การจะเขียนตัวหนังสือให้เป็นเรื่องเป็นข้อความ
จะต้องรู้ความหมายจะต้องมีจิตรู้บัญญัติ
ถ้าจิตไม่รู้บัญญัติมันเขียนไม่รู้เรื่องหรอก
จิตจะต้องตีความหมายจึงจะเขียนให้เป็นประโยคสื่อให้คนอื่นอ่านรู้เรื่อง

เวลาอ่านหนังสือซึ่งจะต้องมีบัญญัติจะต้องแปลตัวหนังสือว่า
คำเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร
ต้องแปลต้องรู้ความหมาย จิตจะต้องมีบัญญัติ

แต่ในขณะนั้นก็รู้ปรมัตถ์ไปได้
รู้สภาพการเห็น รู้สภาพความตึง
รู้สภาพความนึกคิด รู้ความรู้สึกของจิต
อ่านไปแล้วใจมันรู้สึกเป็นอย่างไร
ใจมันเกิดความพอใจไม่พอใจ


สมองมันตึงมันเกร็ง สายตามันกลอกกลิ้ง มันตึง
ตากระพริบแวบหนึ่งแวบหนึ่ง นั่นแหละเป็นปรมัตถธรรม

สติไปรู้ความรู้สึกเหล่านี้
แต่มันก็ยังอ่านไปได้ ยังแปลเรื่องราวที่อ่านสลับกันไป
เป็นบัญญัติบ้างเป็นปรมัตถ์บ้าง
นี้คือการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
เจริญวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ชีวิตประจำวันเรามีอะไรล่ะ มันมีอะไรอีก

มันก็มียืน มีเดิน มีนั่ง มีนอน มีคู้เหยียดเคลื่อนไหว หุงข้าวต้มแกง
อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นุ่งห่มเสื้อผ้า
ซึ่งก็ต้องมีบัญญัติ ต้องมีบัญญัติ

จะสวมเสื้อผ้าได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีบัญญัติเราก็สวมไม่ถูกหรอก
สวมเสื้อผ้าก็ต้องรู้ความหมายว่าจะสวมอย่างไร เสื้อผ้าอย่างไร

จะหุงข้าวต้มแกงก็ต้องมีบัญญัติรู้ว่าจะทำอย่างไรบ้าง
จะซักผ้าจะถูพื้นจะต้องรู้ความหมายว่าจะทำอะไรอย่างไร เป็นบัญญัติทั้งนั้น

ในชีวิตประจำวันน่ะมีบัญญัติอารมณ์อยู่กับสมมุติ
แต่ว่าสามารถจะระลึกรู้ปรมัตถ์สลับไปได้


ซักผ้านี่ถูไปมือเคลื่อนไหวใจรู้สึก
สติก็รู้ความเคลื่อนไหว มือเอ้า มีความเย็นบ้าง มีความไหวบ้าง
ใจรู้สึกอย่างไร ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง
หุงข้าวต้มแกงมันก็มีเสียงมีสีมีกลิ่น ผัดอะไรไป
เอ้ากลิ่นกระทบจมูก ระลึกรู้ ไปตีความหมายว่าจะทำอย่างไร
สติมันระลึกรู้สลับไปได้

เวลาอาบน้ำตักน้ำราดตัว
เอ้า รู้สึกมือเคลื่อนไปตัก เอ้า เคลื่อนไหว มีเย็นกระทบ
ก็ยังรู้ว่าควรจะทำอะไรในการอาบน้ำ
แต่มันก็มีสติรู้ความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้

ขณะที่สติไปรู้ความรู้สึกรู้สภาวะต่าง ๆ
แต่ละขณะ ๆ นั้นคือปฏิบัติธรรม
ได้มีสติเกิดขึ้น ทีละขณะ ทีละขณะ
วันหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นเท่าไร สะสมเก็บคะแนนไป


ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรพรวดพราดจิตเราก็ตัดกิเลสได้
เราต้องสะสมสติสัมปชัญญะ เก็บคะแนน
เวลามันมีสติครั้งหนึ่งก็ถือว่าได้หนึ่งคะแนน
เคลื่อนไหวครั้งหนึ่ง เอ้า มีสติรู้ คิดมีสติรู้ เห็นมีสติรู้
ก็ได้ทีละคะแนน ทีละคะแนน เราจะเอายังไง

เมื่อมีคะแนนมาก ๆ ขึ้น
มันก็มีโอกาสเต็มเหมือนตุ่มน้ำที่น้ำหยดทีละหยด ๆ ๆ
มันก็เต็มได้ สักวันมันก็เต็ม
สติก็จะสะสมวันละเล็กวันละน้อยบ่อย ๆ เนือง ๆ มันก็เต็มได้
มันมีกำลังขึ้นมาได้


เราต้องเก็บคะแนน หรือว่าเก็บหน่วยกิตไปก่อน
เก็บไปเรื่อย ๆ สะสม กิเลสจริงอยู่มันยังมีอยู่
เราเป็นปุถุชนมันมีกิเลส เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง เ
ดี๋ยวก็ฟุ้ง เดี๋ยวก็อิจฉา มานะ ทิฏฐิ

มีอยู่ทุกวัน แต่ว่ามีแล้วมีสติรู้ นี่คือปฏิบัติธรรม
เกิดกิเลสชนิดไหนมามีสติรู้ ดู


อ๋อ ใจเราเกิดมานะ รู้
เออ นี่เกิดโทสะ นี่เกิดตระหนี่ขึ้นมาแล้ว
พอมีใครมาขอนั่งหน่อย ไม่เอา หวงที่ ตระหนี่ขึ้นมาแล้ว
หวงที่อยู่อาศัยบ้าง หวงเงินบ้าง หวงอาหารบ้าง
แล้วรู้ตัว อ้อ นี่ใจเราตระหนี่

บางทีเห็นเขาทำดีก็ไม่พอใจแล้ว
เขาจะดีกว่าเราเกินหน้าเรา เกิดอิสสาขึ้น อิจฉาก็กำหนดรู้
ขณะนั้นก็ปฏิบัติธรรมแล้ว

พอรู้ขึ้นมาขณะหนึ่งสติเกิดขึ้นมาแล้ว
การปฏิบัติธรรมเจริญอยู่นี่
ไม่ใช่ว่าเราไปกั้นกิเลสมันไม่ให้เกิด หมดเกลี้ยง
ไม่ใช่ได้อย่างนั้นหรอก


เราเป็นปุถุชนผู้มีกิเลสหนาแน่น
กิเลสย่อมเกิดขึ้นแม้เรามาเก็บตัวมาปฏิบัติ


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระพุทธเจ้าสอนให้ระลึกรู้

เราห้ามมันไม่ได้แต่ว่าระลึกรู้ มันมีกิเลสชนิดใดเกิดขึ้นมาก็ระลึกรู้
เวลาระลึกรู้นี่เราก็ได้คะแนนแล้ว ได้สติสะสมไปเรื่อย สะสมไปเรื่อย
มันก็ค่อยมีความรู้สึกรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น

พอสติมีกำลังมากขึ้น ๆ กิเลสก็เกิดขึ้นน้อยลง
เพราะว่ามันรู้ทันก่อนเกิด ก็คลายลงได้


พอจะมีโกรธขึ้นมา เอ้า รู้ทันก็หายไป
พอจะหงุดหงิดมา เอ้า รู้ทัน เอ้า หายไป
หรือแม้แต่หรือยิ่งดีเท่านั้นพอได้ยินเสียปุ๊บ สติรู้
ได้ยินปุ๊บ อ้าว กิเลสก็ไม่เกิดแล้ว
พอได้ยินเสียงหนวกหูปุ๊บ เสียงคนพูดหนวกหู ได้ยินเสียงสุนัขกัดกัน

สติระลึกรู้ได้ยิน ๆ กิเลสไม่เกิดขึ้น
มันกั้นได้ตั้งแต่ได้ยินเวลาระลึกทัน
หรืออาจได้ยินแล้วไม่มีสติเลยไปสู่ลงที่ใจ โกรธ
สติเกิดขึ้นมาขณะนั้น รู้ อ้อ นี่ใจโกรธ
มันจะเห็นกิเลสตัวเองอยู่บ่อย ๆ

ฉะนั้นคนมาปฏิบัติธรรมบางคนก็เข้าใจผิดว่า
เอ๊ะ เราทำไมยิ่งปฏิบัติยิ่งกิเลสมาก
ทำไมกิเลสเรามากจัง
แต่ที่จริงมันมากมาแต่เดิมแล้ว
แต่ตอนไม่ปฏิบัติมันก็มากแต่มันไม่รู้
มันไม่ได้ดูไม่ได้เห็น ไม่รู้มันก็นึกว่าไม่มีกิเลส

เมื่อเรามาปฏิบัติธรรม มันได้ดูได้รู้
มันก็เลย โอ๋ กิเลสมากจริง
อันนี้มันจะเห็นกิเลสแล้วไปโกรธกิเลส
นี่มันจะตีวนกันอยู่อย่างนั้น


พอรู้สึกโกรธ ฮื้อ ทำอย่างไรก็ไม่หายโกรธ
มันฟุ้ง ทำอย่างไรก็ไม่หายฟุ้ง
ก็เลยโมโหความฟุ้ง โมโหความโกรธเข้าไปอีก
เลยมันไปก็ตีวนกันไปใหญ่ กลับไปกลับมา

อันนี้ก็เรียกว่ารู้แล้วติดลบนะ ไม่ได้
แทนที่จะได้แต่คะแนน มันถูกหักคะแนนไปเรื่อย
ถูกหักคะแนนคือรู้แล้วไม่วาง รู้แล้วเฉยไม่เป็น


แต่ที่มาปฏิบัติธรรมมันจะต้องเจอทุกข์
เพราะว่าสังขารทั้งสังขาร
ทั้งร่างกายทั้งจิตใจทั้งชีวิตนี่มันเป็นก้อนทุกข์อยู่ทั้งนั้น
ทุกเซลล์ทุกอณูทุกจุดมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น
มีเนื้อตรงไหนก็พร้อมที่จะเจ็บจะปวดตรงนั้น
มีตามันก็พร้อมจะเจ็บจะปวดที่ตา
มีหูมีจมูก มีลิ้น มีท้อง มีไส้ มีหัวใจ เป็นทุกข์ตรงนั้น

ก่อนโน้นไม่ใช่ว่ามันไม่ทุกข์ มันก็มีอยู่ แต่ว่ามันข้ามไป
พอมันทุกข์ใจเราก็เปลี่ยนอิริยาบท ไปคิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้
มันก็เลยไม่เห็น คือมันก็มีปวดมีเจ็บมีทุกข์นั่นแหละแต่ว่าไม่เห็นมัน
ก็ไปทำอย่างอื่นมันก็มองข้าม
เมื่อมาใส่ใจเข้ามาที่กาย มาใส่ใจเข้าที่ใจ
มันจึงรู้สึกว่าเป็นทุกข์ สังขารนี้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น


การเข้ารู้เห็นทุกข์ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
ทุกขสัจจะ ทุกขสภาวะต่าง ๆ ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้


ถ้าย่อก็ปฏิบัติก็คือการกำหนดรู้ทุกข์นั่นแหละ

(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 07 ธ.ค. 2009, 17:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


การจะเข้าถึงความดับของทุกข์นั้นจะต้องรู้ทุกข์
ทุกข์นี่มีไว้สำหรับกำหนดรู้ ไม่ใช่มีไว้สำหรับละ


เรามันคอยจะไปละทุกข์อยู่เรื่อย

ปวด ไม่เอาจะต้องให้หายปวด
เจ็บ ไม่เอาจะให้หายเจ็บ
นี่ เราจะไปละทุกข์

ทุกข์มีไว้สำหรับกำหนดรู้ไม่ใช่มีไว้สำหรับละ

บางพวกปฏิบัติธรรม โอ้ย ตรงนี้มันทุกข์ตัดมันทิ้งเสีย
มันก็ไม่ได้หมดทุกข์ได้ ใจมันก็ยังทุกข์อยู่นั่นแหละ

มีบางลัทธิบางพวกเขาคิดว่ากิเลสมันจะหมดต้องทรมาน
ก็เอาตัวไปย่างไฟบ้าง นึกว่ากิเลสมันจะหมด
เอาตัวไปนอนบนขวากหนาม
ให้มันทรมานแล้วกิเลสมันจะได้หมด มันจึงทุกข์เปล่า ๆ

พระพุทธเจ้าท่านยังว่าเป็นทรมานตัวเองเปล่าประโยชน์
เพราะว่าไปตัดผลมันตัดไม่ได้

ต้องตัดที่เหตุ ต้องละเหตุ ไม่ใช่ไปทำลายผล
ความทุกข์มันเป็นผล เป็นผลผลิตขึ้นมาแล้ว


ถ้าเราเด็ดยอดไม้นี่ เด็ดไป
เดี๋ยวมันก็งอกมาอีก เด็ดไปมันก็งอกมาอีก
ถ้าเราไปตัดรากของมัน
อะไรเป็นรากของความทุกข์ ก็คือตัณหา
ตัณหา ยกมาตัวเดียวก็คือตัณหา


ถ้าว่าไปแล้วก็คือกิเลสทั้งหลายนี่
ต้องละตัณหาออกไป
เมื่อละตัณหาได้ก็เข้าถึงความดับทุกข์

จะละตัณหาละอย่างไร ก็ละที่การกำหนดรู้ทุกข์นั่นแหละ
กำหนดรู้ทุกข์นี่จะละตัณหาได้
อะไรเป็นตัวทุกข์
ขันธ์ห้าเป็นก้อนทุกข์ รูปนามเป็นก้อนทุกข์
ฉะนั้นสรีระทั้งหมดนี้เป็นก้อนทุกข์ทั้งนั้น

ที่ระลึกรู้ตาหูจมูกลิ้นกายนี่เท่ากับกำหนดรู้ทุกข์

ความทุกข์ไม่ได้หมายความว่า
มันคือความปวดความเจ็บ ความไม่สบายกายไม่สบายใจเท่านั้น
อันนั้นเป็นทุกข์ส่วนหนึ่งเรียกว่าทุกขเวทนา

ทุกข์อีกอย่างก็คือทุกขลักษณะ ทุกขสภาวะ
คือสิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ปรากฏแล้วก็ต้องดับลง


การที่ทนอยู่ไม่ได้ต้องดับนั่นคืออาการของทุกข์
ฉะนั้นความสบายใจก็ตั้งอยู่ไม่ได้ นั่นก็คือทุกข์
ได้ยินก็ตั้งอยู่ไม่ได้ต้องดับไปนั่นก็คือทุกข์
เห็นขึ้นมาแล้วตั้งอยู่ไม่ได้ต้องดับไป นั่นก็ทุกข์

มีอะไรบ้างที่มันตั้งอยู่ได้ เกิดขึ้นแล้วมันก็ต้องดับ
การที่มันเกิดแล้วต้องดับก็คือทุกข์ เป็นทุกขลักษณะ


ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อกำหนดรู้ลงไปที่กายที่ใจจึงเห็นแต่ทุกข์
นับตั้งแต่เห็นทุกขเวทนา มันปวดมันเจ็บมันมีแต่ทุกข์
เห็นความแตกดับ ทุกสิ่งทุกอย่างรูปนามบีบคั้นมีแต่ทุกข์

ก็ปฏิบัติธรรมต้องกำหนดรู้ทุกข์นะ
มันมีทุกข์ให้รู้แล้วจะหนีไปไหน จะไปทำอะไร
จะละเหตุแห่งทุกข์ก็ต้องกำหนดรู้ทุกข์


ฉะนั้นเห็นทุกข์น่ะดีแล้ว ได้คะแนนแล้ว
แต่มันจะถูกตัดคะแนนก็ตรงที่ว่า เห็นทุกข์แล้วกลุ้ม
เห็นทุกข์แล้วกระวนกระวาย เห็นทุกข์แล้วทน วางไม่ได้
นี่มันถูกตัดคะแนนแล้วนะ

ในตอนที่เห็นทุกข์น่ะถือว่าได้คะแนนแล้ว
แต่ตอนกระวนกระวาย กลุ้มอกกลุ้มใจ
อยากจะให้มันหาย เกลียดความทุกข์ โกรธต่อความทุกข์
นี่มันถูกตัดคะแนน

คะแนนที่ได้ก็ได้ ส่วนที่ถูกตัดก็ตัด มันก็เลยไม่ไปยังไง

ฉะนั้นควรที่จะให้มันได้คะแนน แล้วก็ได้คะแนน

คือรู้ทุกข์นี่ได้คะแนนแล้ว วางใจต่อความทุกข์
วางเฉยต่อความทุกข์ นี่ยิ่งได้คะแนนเพิ่มขึ้นไปอีก


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ค่ะคุณโรส กำลังอ่านเพลิน เลยค่ะ
ถ้าคุณโรสพอมีเวลา รบกวนขอทราบเส้นทางไปวัดด้วยนะคะ
หลังไมล์ก็ได้ค่ะ เพราะจะไปวันอาทิตย์นี้ เคยไปอยุธยามาหลายครั้ง
แล้วค่ะ ถ้าอำเภอ หันตรา ก็คุ้นมากเลยค่ะ :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แก้ไขล่าสุดโดย O.wan เมื่อ 07 ธ.ค. 2009, 21:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้วาง ให้ละวาง

คำว่าละวางไม่ได้หมายถึงหลบหนี วางทิ้ง ไม่สนใจ ไม่ใช่อย่างนั้น

วางในที่นี้คือวางทางใจ
คือ วางในลักษณะไม่ยินดีไม่ยินร้าย
แต่ก็ยังรู้อยู่ ยังกำหนดรู้ทุกข์นะ
แต่ว่าวางใจไม่ยินดียินร้าย
นี่การปฏิบัติธรรม


ยังต้องกำหนดรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ รู้ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ด้วย

ถ้าพูดโดยสำนวนย่อ ๆ รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์ด้วย
รู้ความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ด้วย
คือพยายามรักษาใจ รักษาผู้รู้ ไม่ทุกข์ไม่กระวนกระวาย ไม่ยินดียินร้าย
นั่นแหละคือแนวทางที่จะละเหตุแห่งทุกข์ รู้ทุกข์ลึกซึ้งต่อความทุกข์
ก็จะตัดเหตุแห่งทุกข์ได้

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม
จะต้องนำไปประกอบการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน
เพื่อไม่ให้มันเว้นวรรคเว้นช่วง
ขาดตอนของการสะสมเหตุปัจจัยที่ดีที่จะละเหตุแห่งทุกข์
โดยเฉพาะว่าถ้าเว้นการเจริญสติอะไรจะเกิดแทน


ถ้าไม่มีสติเมื่อตาเห็นรูป สวยไม่สวย
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าขาดสติ
โลภะ โทสะ โมหะ ตัวใหญ่ ๆ จะเกิดขึ้น อันอื่นก็ตามมาอีก

ถ้าเห็นภาพสวยงามก็โลภะตามมาอีก ถ้าขาดสติ
ถ้าภาพไม่งาม ขาดสติ โทสะก็เกิดขึ้น
เห็นภาพแล้วก็จิตใจหลงลืมก็โมหะ

ได้ยินเสียงขาดสติ โลภะโทสะโมหะก็เกิด
ถ้าเป็นเสียงด่าเสียงหนวกหู ถ้าขาดสติอะไรจะเกิดขึ้น
มันก็ต้องโกรธ ไม่พอใจ รำคาญ หงุดหงิด กิเลสมันเกิดแล้ว

ถ้ามันได้ยินเสียงไพเราะ
เสียงเขาชมสรรเสริญ เสียงไพเราะ เสียงเพลง เสียงดนตรี
โอ้ย น่าเพลิดเพลิน ขาดสติ
อะไรจะเกิดขึ้น โลภะก็เกิดขึ้น
หรือที่สุดก็โมหะหลงไปในสิ่งเหล่านั้น

ได้กลิ่นครั้งหนึ่ง กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม
ขาดสติกิเลสมันจะเกิดขึ้นตามวิสัยของกิเลส
ความเคยชินของกิเลส

ได้กลิ่นเหม็นปุ๊บนี่มันจะดึงโทสะตามมา
ได้กลิ่นหอมปุ๊บจะดึงโลภะตามมา
ตามวิสัยของกิเลสที่เคยชิน

ได้ลิ้มรสอร่อย ดึงโลภะตามมาแล้ว
ได้ลิ้มรสไม่อร่อย ดึงโทสะตามมา
ได้สัมผัสทางกายไม่ดี แข็งกระด้าง
หรือว่าร้อนมาก ตึงมาก เย็นมาก

อะไรจะเกิดขึ้นถ้าขาดสติ
โทสะเกิดขึ้นแล้วความหงุดหงิดใจ ความไม่พอใจจะเกิด

ถ้าเย็นสบาย อบอุ่น นุ่มนวล ขาดสติอะไรจะเกิดขึ้น
ความเพลิดเพลินความหลงใหล ความติดใจ โลภะโมหะตามมาอีก
รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ขาดสติ
มันไม่เป็นโลภะก็เป็นโทสะ ไม่เป็นโทสะก็เป็นโมหะ

วันหนึ่ง ๆ นี่เห็นกี่ครั้ง ได้ยินกี่ครั้ง
รู้กลิ่นรู้รสรู้สัมผัสกี่ครั้ง นับไม่ถ้วน
ถ้าขาดสติกิเลสก็เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนเหมือนกัน

มีชีวิตยาวเท่าไรก็ยิ่งพอกพูนกิเลสมากเท่านั้น ถ้าไม่ได้เจริญสติ

หลับไปเสียยังค่อยยังชั่วหน่อย
ถ้าตื่นมาขาดสตินี่สะสม สะสมกิเลส สะสมลงไป
หมักดองลงไป เป็นอาสวะ
แล้วก็โผล่ผุดขึ้นมาต่อไปอีก
แสดงออกมาอีกมันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นแทนที่ในชีวิตประจำวันจะสะสมกองกิเลสทั้งหลาย
ก็เปลี่ยนมาสะสมสติสัมปชัญญะ คุณงามความดีไม่ดีกว่าหรือ
โดยพยายามที่จะเป็นผู้มีสติอยู่เสมอ


ไอ้ส่วนเผลอก็เผลอไป แต่พยายามจะมีสติไว้ มีสติไว้
ระลึกรู้ไว้ ได้ยินเสียงรู้ไว้ ได้กลิ่นระลึกรู้ไว้ ได้ลิ้มรสระลึกรู้ไว้
ได้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงระลึกรู้ไว้
คิดนึกอะไรให้รู้ไว้ สังเกตระลึกรู้ใจตัวเองไว้
อ๋อ ขณะนี้มันมีอกุศลอะไรเกิดขึ้น
ขณะนี้กุศลธรรมอะไรเกิดขึ้น ขณะนี้กุศลธรรมอะไรเกิดขึ้น

ถ้าระลึกรู้อย่างนี้ก็เป็นการได้สะสมสติสัมปชัญญะกุศลลงไปในขันธสันดาน
มากขึ้น ๆ ทุกวัน ๆ ที่ได้มีสติอยู่
เมื่อกุศลธรรมมากขึ้นก็ชำระกันในขันธสันดาน


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ฉะนั้นเราจะคอยว่า

เออ เดี๋ยวปีหน้าก็มาเก็บตัวเข้ากรรมฐานเจ็ดวันเก้าวัน
ปีหนึ่งมีกี่วัน นอกนั้นปล่อยไปตามเรื่องตามราวหรือ
แล้วมันจะทันกันได้อย่างไร


พอเก้าวันมาเก็บตัวปฏิบัติพอจะเบาลงหน่อย ก็ออกไปเติมอีกแล้ว
แล้วจะมาซักฟอกกันนี่มันจะยาก
เวลาที่ปล่อยให้แปดเปื้อนตั้งสามร้อยกว่าวัน
เวลามาซักฟอกเพียงเจ็ดวันเก้าวัน
พอจะเริ่มขาว ๆ ขึ้นหน่อย ปล่อยไปเปื้อนเต็มที่

การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการซักฟอกจิตใจ
กิเลสเหมือนเครื่องมลทินมาแปดเปื้อนใจของตนเอง
การมีสติสัมปชัญญะนี่ก็ซักฟอก

การปล่อยให้กิเลสทั้งหลายกลุ้มรุมจิตใจก็เป็นมลทิน มันหนาแน่น
เรามีเสื้อผ้าแล้วก็เปื้อนอยู่ทุกวัน ๆ ไม่ซักเลย
ทำยังไงสามร้อยกว่าวันเปื้อนทุกวันไม่ซัก
อีกเก้าวันมานั่งซัก พอมันเปื้อนมากที่ซักยาก
พอจะหมดลงไปบ้าง ก็ไปเปื้อนใหม่ มันไม่ไหวไม่ทัน


แต่ถ้าหากว่าเราใส่ไปซักไป ใส่บ้างซักบ้าง
เออ มันพอจะไหว สะสมไว้นะ เจริญสติฝึกหัดไปทุกวัน ๆ ๆ
อย่าคิดว่ามันไม่ได้อะไร ของอะไรที่มันทีละนิดทีละนิด ๆ นี่มันมากได้


เราจะไปทำพรวดพราดทีเดียวให้มันได้เลย มันไม่ได้หรอก
จะต้องสะสม จะเห็นว่าเวลาปฏิบัติบางคราวจิตใจตั้งมั่น
วันไหนจิตใจมั่นคงแน่วแน่ รู้มั่นคงดี
ไป ๆ เดี๋ยวมันก็ไม่ได้อีกแล้ว มันไม่สามารถจะมั่นคงได้
เพราะกำลังมันไม่พอ ประคองตัวไม่อยู่
การสะสมมันยังน้อยก็ต้องยอมรับ

การฝึกฝนเหมือนนักกีฬาที่ฝึกฝนน้อยเหลือเกิน ซ้อมน้อยมาก
ความชำนาญมันยังน้อยยังไม่พอ
ยิ่งหยุดพักการซ้อมไปนาน ๆ นี่ จะให้มันได้ดีมันไม่ได้หรอก


การปฏิบัติเหมือนกับเราเคยทำได้ดี
พอเราหยุดไปร้างราปีโน้น ปีนี้มาทำนี่เอาแล้ว ยากแล้ว

ยิ่งเคยได้ดี พอมาทำแล้วมันไม่ได้สักทีนี่จิตมันก็จะใฝ่อยู่อย่างนั้นนะ
มีตัณหาอยากจะให้ได้ อยากจะให้ได้มันก็นิ่งไม่ได้
เพราะมันจะได้ดีมันก็คือไม่มีอยากอะไรทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นก็ให้สะสมฝึกหัดปฏิบัติไปทุกวัน ๆ ในชีวิตประจำวันเรา
ยืนเดินนั่งนอนทำพูดคิดให้มีสติไว้ รู้เนื้อรู้ตัวไว้

แล้วเมื่อถึงเวลาที่เราหยุดพัก
วันหนึ่งนี่เราก็ต้องมีเวลาเป็นส่วนตัว
เออตอนนั้นน่ะ เราวางบัญญัติได้เต็มที่

ถ้าเรานั่งอยู่คนเดียวนิ่ง ๆ ปล่อยให้เต็มที่เลย
บัญญัติทั้งหลายน่ะ ปล่อยให้เต็มที่
พยายามจะรู้ปรมัตถ์ให้สุดส่วนที่สุด


แต่เวลาเราออกไปสู่การทำงานการพูดการคุยการทำงาน
เราก็ต้องแบ่งกันระหว่างบัญญัติบ้างปรมัตถ์บ้าง สลับควบคู่กันไป
เราจะไปใช้ปรมัตถ์ทีเดียวทั้งหมดมันไม่ได้นะ
ไปทำงานเราจะฟังเขาไม่รู้เรื่อง
เขาสั่งอะไรมาเรากำหนดแต่ปรมัตถ์ ๆ ได้ยิน ๆ ๆ
เราก็จะไม่รู้ว่าเขาสั่งอะไร
เดี๋ยวก็จะต้องถูกไล่ออกจากงาน

ถ้าเราขับรถเสียเองไปกำหนดปรมัตถ์ ๆ
แค่เห็น ๆ แค่ใจที่รับรู้ ไปไม่เท่าไรก็ชน
เราต้องมีบัญญัติบ้าง
ต้องรู้ความหมายต้องรู้เรื่องราว
แต่ก็สามารถจะรู้ปรมัตถ์สลับ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนที่ปฏิบัติกรรมฐานไม่เป็นเขาจะมีแต่บัญญัติทั้งหมด
ชีวิตทั้งชีวิตไม่เคยรู้ปรมัตถ์เลย ไปเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องเป็นราว
เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นหญิงเป็นชาย เป็นตลอดทั้งวันทั้งคืน

แต่เราเป็นผู้ปฏิบัติให้มันรู้ปรมัตถ์สลับไปบ้าง
รู้สึก รู้สึกในกายในใจ รู้การเห็นการได้ยิน
สลับไปก็ยังดีแล้ว วัน ๆ หนึ่งให้ได้


คนที่อยู่กับบัญญัติสมมุติตลอดนี่ก็มีทุกข์มากกว่า
เพราะโดยปกติถ้าจิตมันแล่นไปบััญญัติมาก
เรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่องงานเรื่องการ มันจะฟุ้ง ใจมันจะฟุ้ง
แล้วฟุ้งมาก ๆ สมองมันจะเครียด เครียดแล้วก็ทุกข์
วุ่นวาย ข่มใจไม่ถูก ทำอะไรไม่ถูก
หนัก ๆ เข้าเลยเป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ ต้องกินยาระงับ

กินไปแล้วพอหมดยาเอาอีก ก็เติมยา
หนัก ๆ เข้ามันจะทนไหวได้อย่างไรสมอง
บางคนก็เลยเสียประสาท เป็นคนไม่รู้เนื้อรู้ตัว
บางคนทนไม่ไหวก็ต้องฆ่าตัวตาย
มันทุกข์มาก มันฟุ้งมาก มันเบรคใจไม่ได้แล้ว
นั้นคือปล่อยใจจนเตลิดจนเอาไม่อยู่
เพราะจิตเรามันแล่นไปสมมติบัญญัติ

ฉะนั้นเราก็ต้องมาคอยประคับประคองใจกายของเราอยู่เสมอทุกวัน ๆ
ถ้าเราปฏิบัติกรรมฐานเป็นเราจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
มันจะคลี่คลายอย่างเวลาที่ใจมันฟุ้ง
สมองมันเครียด สติมันรู้ มันรู้มันละ มันรู้มันละมันวาง
มันจะผ่อนปรน มันจะคลายตัวเบาลง
ยิ่งปฏิบัติเก่ง ๆ พอรู้ปุ๊บมันจะคลายทันที


ถ้ายังไม่ชำนาญก็ต้องยาวหน่อย
ดูไปเรื่อย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ ก็คลาย
เราก็ไม่ต้องไปหายากินอะไรมาคลายเครียด มาดับความฟุ้ง

ถ้าเรามีกรรมฐานมันแก้ได้ช่วยได้
ก็ขอให้เราฝึกหัดปฏิบัติให้มันบ่อย ๆ เนือง ๆ
แล้วก็จะค่อยชำนาญ ขัดเกลาไป
ฉะนั้นกรรมฐานจึงมีความจำเป็นกับทุกชีวิต


เราอย่าคิดว่า เออ เราเป็นคนฟุ้งมาก ยังไม่ควรปฏิบัติ มันไม่ใช่
ยิ่งใครยิ่งฟุ้งมากยิ่งทุกข์มาก ยิ่งรีบจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติกรรมฐาน
เหมือนคนป่วยจำเป็นที่ต้องรีบหาหมอ
ถ้าป่วยน้อยก็ยังพอผ่อนปรน หรือไม่ป่วยก็ไม่จำเป็นต้องหาหมอ

ถ้าเราไม่มีกิเลสแล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติ
แต่ถ้าเรายังมีกิเลสคือเราเป็นคนป่วย
ป่วยทางใจอยู่เป็นโรคกิเลสอยู่นี่จำเป็นต้องพึ่งหมอ
คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
น้อมนำเอาคำสอนที่พระพุทธเจ้าบอกตัวยาไว้ให้
บอกทั้งวิธีกิน ทั้งผลจะเกิดขึ้นอย่างไรไว้ให้เพียบพร้อมแล้ว
เหลือแต่เราจะต้องพยายามกินยา กินยา ฉีดยาตามกำหนดการ


ถ้าเราไม่กินยาไม่ฉีดยาถึงยาจะดีอย่างไร เราก็ไม่ได้รับประโยชน์
พระพุทธเจ้ามีอยู่ คำสอนของ พระพุทธเจ้ามีอยู่ ทางแห่งความดับทุกข์มีอยู่

แต่เราไม่ปฏิบัติเราไม่เดินทางเสียอย่าง
ใครก็มาช่วยเราไม่ได้ ใครก็มาดับทุกข์ให้เราไม่ได้


เหมือนเราไม่ยอมกลืนอาหาร
ใครก็มากินแทนให้เราอิ่มไม่ได้ มันต้องกินเอง
เราไม่ยอมกินยาไม่รักษาตัวมันก็หายป่วยไม่ได้
คนอื่นกินยาสักเท่าไรมันก็ไม่ทำให้เราหายป่วย

ข้อนี้ฉันใดคือเราจะต้องปฏิบัติ
ธรรมะจึงเป็นเรื่องของคน ๆ เดียว ของคนผู้เดียวที่ต้องกระทำ


ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
คนอื่นใครอื่นจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้
เป็นเพียงผู้บอกทางชี้ทางเท่านั้น


ฉะนั้นเราก็จะต้องเตือนตัวเอง
มีตนเองเป็นเกาะเป็นที่พึ่งของตนเอง
แล้วก็พยายามพัฒนาไป
เราก็จะมีโอกาสได้ใกล้เข้าไป
แข่งกับเวลากับชีวิตที่มันสั้นลงน้อยลง

วันนี้ก็พอสมควรแก่เวลาก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ขอความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ ทุกท่านเทอญ

:b8: :b8: :b8:

(ที่มา : "สื่อธรรมนำปัญญา" ใน http://www.watmahaeyong.net)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


O.wan เขียน:
ค่ะคุณโรส กำลังอ่านเพลิน เลยค่ะ
ถ้าคุณโรสพอมีเวลา รบกวนขอทราบเส้นทางไปวัดด้วยนะคะ
หลังไมล์ก็ได้ค่ะ เพราะจะไปวันอาทิตย์นี้ เคยไปอยุธยามาหลายครั้ง
แล้วค่ะ ถ้าอำเภอ หันคา ก็คุ้นมากเลยค่ะ


:b43: :b43: :b43:

โรสได้ส่งแผนที่ทางไป วัดมเหยงคณ์
และเบอร์มือถือไปหลังไมค์แล้วนะคะ
ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าด้วยนะคะ

ช่วงนั้นโรสมีงานอยู่ที่อยุธยาเหมือนกันค่ะ :b12:

:b8: :b4: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

:b53: :b43: :b53:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
:b8: :b8: :b8:

-dd- เขียน:
:b8: :b8: :b8:

:b53: :b43: :b53:

onion เจอ 2 ยอดกัลยาณมิตรผ่านมา :b8: นะคะ
รู้สึก :b14: จัง....
ไม่รู้จะเป็นยังไง....
จะมีคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องแบบเราไม๊....นะ :b16:
ไม่รู้จะไปเกะ....กะ...วัดหรือเปล่า
แอบ :b5: ...นิดๆนะ :b32:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร