| วันเวลาปัจจุบัน 31 ต.ค. 2025, 14:27 | 
| เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง | 
|   | หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | [ 5 โพสต์ ] |   | 
| 
 | 
|  | ||||||
| 
 ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 11:21 โพสต์: 10 อายุ: 0 | 
 | |||||
|  | ||||||
|  | ||||||
| 
 ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21 โพสต์: 1975 | 
 | |||||
|  | ||||||
| 
 | ||||||
| 
 ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29 โพสต์: 814 ที่อยู่: กรุงเทพฯ | 
 | |||||
|  | ||||||
|  | ||||||
| 
 ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 14:54 โพสต์: 126 อายุ: 0 | 
 | |||||
|  | ||||||
|   | หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | [ 5 โพสต์ ] | 
| เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง | 
| ผู้ใช้งานขณะนี้ | 
| ่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน | 
| ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้ ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้ ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้ ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้ ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้ | 
|   | 

 สมัครสมาชิก
 สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ
  เข้าสู่ระบบ  Facebook
Facebook FAQ
  FAQ  ค้นหา
 ค้นหา รายชื่อสมาชิก
 รายชื่อสมาชิก

 





 
   
  





 การกำหนดลมหายใจเป็นอารมณ์นั้น ต้องใช้สติในการตามดูมากกว่าการกำหนดแบบตามดูการยุบพองของท้อง เพราะลมหายใจถ้าตามดูแล้วมันละเอียดขึ้นทำให้ตามดูได้ยากขึ้นและเกิดความเพลินในอารมณ์  มีอุบายในการแก้คือให้กำหนดตามดูแบบรูปนาม  ลมที่เข้าออกคือรูป การกระทบของลมคือนาม ( จิต )  การรู้ว่าเข้าสั้นออกสั้น เข้ายาวออกยาวคือนาม( เจตสิก ) เมื่อเรากำหนดโดยแยบคายแล้วจะเห็นการขาดไปของลมเข้าออก และความต่างกันของลมเข้าออกในแต่ละครั้ง ทำให้แยกออกมาในลักษณะของการเกิดขึ้นการดับไปของรูปนามได้ เมื่อเห็นการเกิดดับของรูปนามแล้วก็ทำอุบายโดยแยบคายต่อไปว่า ลมนี้มีความผันแปรไม่สามารถคงที่ ( อนิจจลักษณะ ) ที่สุดแห่งกองลมที่เข้าออกแต่ละครั้งย่อมมีความเกิดดับไปตลอดเวลา ( ทุกขลักษณะ )  เราสามารถนำเอามาเป็นของเราได้ไหมบังคับได้ไหมว่าหายใจเข้าและตั้งอยู่สัก ๑๐ นาทีแล้วค่อยออกก็ไม่ได้ เราบังคับลมตามใจเราไม่ได้แสดงว่านี่ไม่ไช่ของเราไม่ว่าการกะทบของลมเราก็ไม่สามารถบังคับได้ตลอดเวลา ( อนัตตลักษณะ ) เมื่อกำหนดได้อย่างนี้แล้วเราก็เอามาเปียบเทียบกับอายตนะ ๖ จากคำว่าอนัตตา ว่ารูปที่เราเห็นนี้เราเห็นหรือเจตสิกปรุงแต่ง ผมแนะนำให้เท่านี้นะครับถ้าทำโดยแยบคายตัดรูปนามไห้ออกจากกัน รับรู้อารมณ์ต่างที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปโดยการใช้สติที่ฝึกมาดีแล้ว เราจะเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆได้ จะเข้าใจในอริยสัจ ๔ โดยแยบคายได้ ๔คำแนะนำผมผิดพาดประการใดขออภัยนะครับ แต่ให้เข้าใจอยู่ว่า อุบายในการทำสมาธิเพื่อเจริญวิปัสนาเป็นอุบายของแต่ละบุคคล และต้องเดินตามคำสอนของอาจารย์ใหญ่คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีจุดหมายสูงสุดคือการละทั้งรูปนามที่เป็นอารมณ์ เพื่อเข้าสู่ความเห็นนิพพาน และทำให้แจ้งในนิพพาน สาธุครับ
 การกำหนดลมหายใจเป็นอารมณ์นั้น ต้องใช้สติในการตามดูมากกว่าการกำหนดแบบตามดูการยุบพองของท้อง เพราะลมหายใจถ้าตามดูแล้วมันละเอียดขึ้นทำให้ตามดูได้ยากขึ้นและเกิดความเพลินในอารมณ์  มีอุบายในการแก้คือให้กำหนดตามดูแบบรูปนาม  ลมที่เข้าออกคือรูป การกระทบของลมคือนาม ( จิต )  การรู้ว่าเข้าสั้นออกสั้น เข้ายาวออกยาวคือนาม( เจตสิก ) เมื่อเรากำหนดโดยแยบคายแล้วจะเห็นการขาดไปของลมเข้าออก และความต่างกันของลมเข้าออกในแต่ละครั้ง ทำให้แยกออกมาในลักษณะของการเกิดขึ้นการดับไปของรูปนามได้ เมื่อเห็นการเกิดดับของรูปนามแล้วก็ทำอุบายโดยแยบคายต่อไปว่า ลมนี้มีความผันแปรไม่สามารถคงที่ ( อนิจจลักษณะ ) ที่สุดแห่งกองลมที่เข้าออกแต่ละครั้งย่อมมีความเกิดดับไปตลอดเวลา ( ทุกขลักษณะ )  เราสามารถนำเอามาเป็นของเราได้ไหมบังคับได้ไหมว่าหายใจเข้าและตั้งอยู่สัก ๑๐ นาทีแล้วค่อยออกก็ไม่ได้ เราบังคับลมตามใจเราไม่ได้แสดงว่านี่ไม่ไช่ของเราไม่ว่าการกะทบของลมเราก็ไม่สามารถบังคับได้ตลอดเวลา ( อนัตตลักษณะ ) เมื่อกำหนดได้อย่างนี้แล้วเราก็เอามาเปียบเทียบกับอายตนะ ๖ จากคำว่าอนัตตา ว่ารูปที่เราเห็นนี้เราเห็นหรือเจตสิกปรุงแต่ง ผมแนะนำให้เท่านี้นะครับถ้าทำโดยแยบคายตัดรูปนามไห้ออกจากกัน รับรู้อารมณ์ต่างที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปโดยการใช้สติที่ฝึกมาดีแล้ว เราจะเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆได้ จะเข้าใจในอริยสัจ ๔ โดยแยบคายได้ ๔คำแนะนำผมผิดพาดประการใดขออภัยนะครับ แต่ให้เข้าใจอยู่ว่า อุบายในการทำสมาธิเพื่อเจริญวิปัสนาเป็นอุบายของแต่ละบุคคล และต้องเดินตามคำสอนของอาจารย์ใหญ่คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีจุดหมายสูงสุดคือการละทั้งรูปนามที่เป็นอารมณ์ เพื่อเข้าสู่ความเห็นนิพพาน และทำให้แจ้งในนิพพาน สาธุครับ  
  