วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2011, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๐ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
๕) มาตุกุจฉิโต พหินิกขมนมูลกทุกข์ - ทุกข์มีการคลอดออกนอกท้องมารดาเป็นมูล
ประการหนึ่ง ทุกข์อันใด เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้เกิดแล้ว ซึ่งมีร่างกายยังละเอียดอ่อนเช่นกับแผลใหม่ ที่เป็นเช่นกับถูกแทง ด้วยปลายเข็ม และผ่า ด้วยคมมีดโกน ในเวลาที่เขารับด้วยมือ ให้อาบน้ำ ล้างครรภมลทิน และเช็ดด้วยผ้าเป็นต้น ทุกข์นี้เป็นมาตุกุจฉิโต พหินิกขมนมูลกทุกข์ - ทุกข์มีการคลอดออกมานอกท้องมารดาเป็นมูล
๖) อัตตุปักกมมูลกทุกข์ - ทุกข์มีการทำตัวเองเป็นมูล
ประการหนึ่ง ในความเป็นอยู่ ต่อแต่นั้นไป ทุกข์อันใดเกิดมี แก่สัตว์นั้น ผู้ทำร้ายตนเองก็ดีผู้ประกอบอาตาปนปริตาปนานุโยค - ทรมานตัวเอง เพื่ออย่างกิเลส ตามทำนองวัตรของเดียรถีย์มีอเจลกวัตร- วัตรของชีเปลือยเป็นต้นก็ดีผู้อดอาหาร และแขวนคอตาย ด้วยอำนาจความโกรธก็ดีทุกข์นี้เป็นอัตตุปักกมมูลกทุกข์- ทุกข์มีการทำตัวเองเป็นมูล
๗) ปรุปักกมมูลกทุกข์ - ทุกข์มีการถูกคนอื่นทำเอาเป็นมูล
ประการหนึ่ง ทุกข์อันใดเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้น ผู้ได้รับการกระทำจากผู้อื่น เช่น ถูกฆ่าและถูกจองจำเป็นต้น ทุกข์นี้เป็นปรุปักกมมูลกทุกข์ ทุกข์มีการถูกคนอื่นทำเอาเป็นมูล
อธิบาย กำเนิดตามหลักพุทธศาสน์
ในยุคก่อนวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า และไม่ทันสมัยอย่างปัจจุบัน ที่จะสามารถรู้เห็นความเร้นลับของการเกิดได้ก็จริง ถึงกระนั้น ก็หาพ้นจากพระสัพพัญญุตญาณ ปัญญารอบรู้ได้ทั้งหมดของพระพุทธเจ้าไม่ แต่ในยุคสมัยนั้น มักจะสันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา ที่เป็นส่วนหนึ่งของการมิจฉาทิฏฐิ เช่น มีความเห็นว่าเป็นสัตว์บุคคล มองเห็นแต่ความเป็นตัวตน ของการเริ่มชีวิตเกิดในครรภ์มารดา ธรรมดาว่า การกินอาหารมีปลา, เนื้อเป็นต้นเข้าในท้องแล้ว ต้องถูกเผาผลาญย่อยสลายละลายไป เหมือนฟองน้ำ ในชั่วข้ามคืน ดังนั้น ถ้าสัตว์ผู้เกิดในท้องมารดา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวิต ก็ต้องละลายสลายไปแน่นอน อีกทั้งกระดูก และเนื้อหนังเหล่านี้ มีขึ้นได้อย่างไร เด็กต้องเป็นสัตว์ มีชีวิตเกิด แบบสำเร็จรูปครั้งเดียว

เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๑ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ไม่ใช่เกิดแบบสำเร็จรูปครั้งเดียว หลังปฏิสนธิแล้ว จะมีพัฒนาการแตกตัว ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น” มีพระพุทธดำรัสเป็นคาถาว่า “ปฐมํ กลลํ โหติ, กลลา โหติ อพฺพุทํ;
อพฺพุทา ชายเต เปสิ, เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน;
ฆนา ปสาขา ชายนฺดิ, เกสา โลมา นขาปิ จฯ
“ยญฺจสฺส ภุญฺชตี มาตา, อนฺนํ ปานญฺจ โภชนํ;
เตน โส ตตฺถ ยาเปดิ, มาตุกุจฺฉิคโต นโร”ติฯ
แรกสัตว์ถือปฏิสนธินั้น เป็นกลละรูปทรงกลมใส คล้ายหยาดน้ำมันงา ต่อจากกลละรูปก็กลายเป็นอัพพุทะรูปฟองสีแดงเรื่อขุ่นๆ คล้ายน้ำล้างเนื้อ ต่อจากอัพพุทะรูปกลายสภาพเป็นเปสิรูป คือชิ้นเนื้ออ่อนๆ เหลวๆ สีแดง ต่อจากเปสิรูปก็เป็นฆนะรูป คือก้อนแข็งสัณฐานคล้ายไข่ไก่ ต่อจากฆนะรูปกลายรูปเป็นปสาขา รูปนี้แตกออกเป็น ๕ ปุ่ม และต่อจากนั้นในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ อวัยวะ คือ ผมบ้าง ขนบ้าง เล็บบ้าง งอกปรากฏ มารดาของเด็กนั้น บริโภคโภชนะสิ่งใดๆ ทั้งข้าวทั้งน้ำเครื่องดื่มก็ตาม เด็กที่เกิดผู้อยู่ในครรภ์มารดานั้น มีถุงน้ำคร่ำเป็นเครื่องหุ่มห่ออยู่นั้น ก็อาศัยอาหารนี้ดำรงอัตตภาพให้เป็นไปอยู่ในครรภ์มารดาได้
อธิบาย “ชาติ - กำเนิด” ในขณะปฏิสนธิ ต้องมีรูป(คือ อสุจิของพ่อ กับไข่ของแม่) เรียกว่า “กัมมชรูปกลาป – หมวดหมู่รูปที่เกิดจากกรรม” ทำงานพร้อมร่วมกันกับวิญญาณจิตขณะทำหน้าที่เกิด เรียกว่า “ปฏิสนธิจิต”(ตายจากภพก่อน สืบต่อเกิดในภพใหม่ทันทีไม่มีระหว่างคั่น ไม่ใช่ใช้เวลาล่องลอยมา)
เนื่องจากวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะสืบหาความเร้นลับกำเนิดมนุษย์ ได้เพียงรูปธรรมเท่านั้น ส่วนวิทยาการทางพระพุทธศาสนา สามารถที่จะสืบหาความเร้นลับกำเนิดมนุษย์ ได้ทั้งรูปธรรม และนามธรรม และรวมเอาความเร้นลับ ในส่วนอื่นๆ ที่ทางวิทยาการสมัยใหม่ไม่สามารถสืบหาความเร้นลับได้อย่างเช่น การโคลนิ่งเป็นต้น

เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๒ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระพุทธองค์ทรงตรัสกำเนิดมนุษย์ไว้ในเบื้องต้น เพื่อให้เกิดความกระจ่างในพระดำรัสนั้น ยังมีพระอรรถกถาจารย์ และฏีกาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติม ต่อไปนี้เป็นการอธิบาย ผสมผสานพุทธศาสน์ ฝ่ายรูปธรรม นามธรรม และวิทยากรสมัยใหม่ ฝ่ายรูปธรรมอย่างเดียว
พระพุทธดำรัส ว่า ปฐมํ กลลํ โหติ
แรกสัตว์ถือปฏิสนธินั้น เป็นกลละรูปทรงกลมใส
อรรถกถาขยายความ ว่า ตตฺถ ปฐมนฺติ ปฐเมน ปฏิสนฺธิวิญฺญาเณน สทฺธึ ติสฺโสติ วา ผุสฺโสติ วา นามํ นตฺถิ, อถ โข ตีหิ ชาติอุณฺณํสูหิ กตสุตฺตคฺเค สณฺฐิตเตลพินฺทุปฺปมาณํ กลลํ โหติ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ—
“ติลเตลสฺส ยถา พินฺทุ สปฺปิมณฺโฑ อนาวิโล;
เอวํ วณฺณปฺปฏิภาคํ กลลํ สมฺปวุจฺจติ”ติฯ
บทว่า ปฐมํ หมายถึง สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ แรกเกิด จะตั้งชื่อว่า ติสสะ หรือ ผุสสะ ไปพร้อมๆ กันกับปฏิสนธิวิญญาณจิตยังไม่ได้ ที่แท้ เป็นแค่ “รูปกลละ” ที่ใสแจ๋ว มีขนาดประมาณเท่าหยดน้ำมันงาทรงกลม ซึ่งติดอยู่ที่ปลายเส้นด้ายทำด้วยขนลูกแพะแรกเกิด ๓ เส้น
บัณฑิตท่านเรียก “รูปกลละ” ซึ่งมีสีและส่วนเปรียบ คล้ายหยดน้ำมันงา
ใสเหมือนเนยใส ไม่ขุ่นมัว
บัณฑิตท่านเรียก “รูปกลละ” ซึ่งมีสีและส่วนเปรียบ คล้ายหยดน้ำมันงา
ใสเหมือนเนยใส ไม่ขุ่นมัว
ตัวอย่าง “รูปกลละ” ของหญิงสาวชาวเบลเยี่ยมอายุ ๔๕ ปี ซึ่งได้ภาพจากอินเตอร์เน็ต กล่าวถึงกระบวนการตกไข่ ดังต่อไปนี้

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




270724_132292113518832_100002141326677_234400_3717090_n.jpg
270724_132292113518832_100002141326677_234400_3717090_n.jpg [ 89.72 KiB | เปิดดู 5317 ครั้ง ]
เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๓ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ภาพแสดงกระบวนการตกไข่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อรังไข่ ของหญิงสาวชาวเบลเยียมอายุ 45 ปี และได้รับการบันทึกไว้โดย ดร. Donnez จากมหาวิทยาลัยแคธอลิก ลูเวนภาพ ๑-๒ : ขั้นแรกของกระบวนการตกไข่; ภาพ ๓ : เป็นภาพไข่โผล่ออกมาจากฟอลลิเคิลซึ่งอยู่บนรังไข่; ภาพ ๔ : หลังจากที่ไข่หลุดออกมาแล้ว ไข่จะเดินทางไปตามท่อนำไข่ ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการปฏิสนธิขึ้นได้; เมื่อเปรียบเทียบ ไข่ที่เห็นนี้ มีขนาด “จุดฟุลส...ต็อบ” ส่วนรังไข่ มีไข่ที่ยังไม่สุกถูกบรรจุอยู่ในนั้น มีความยาวประมาณ 1-2 นิ้วเท่านั้น Donnez กล่าวว่า ภาพรังไข่นี้ จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกการตกไข่มากขึ้น Donnez ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า บางทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ฟอลลิเคิลจะแตกหรือระเบิดออกก่อนไข่จึงจะหลุดออกมาได้ แต่การตกไข่ที่ Donnez เฝ้าสังเกตนั้นใช้เวลาประมาณ 15 นาทีและมีขั้นตอนดังที่เห็นในภาพ และภาพสุดท้ายนี้เป็นภาพของไข่ก่อนจะถูกผสมพันธ์ ไข่จะถูกปกคลุมไว้ด้วย zona pellicuda ซึ่งทำหน้าปกป้องและดัก sperm

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2011, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๔ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
อธิบายกระบวนการตกไข่ : เมื่อถึงวัยสาว ไอโอไซด์ ระยะแรกหนึ่งเซลล์ จะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยการแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิส ครั้งที่ 1 กลายเป็น ไอโอไซด์ระยะที่ 2 ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและค่อยๆ เคลื่อนมาที่ผิวของรังไข่ ในระยะนี้ ฟอลลิเคิล จะสร้างฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเซลล์ไข่ในฟอลลิเคิลเจริญเต็มที่แล้ว ผนังฟอลลิเคิลจะแตกออก ทำให้เซลล์ไข่หลุดออกมา และเซลล์ไข่ที่ตกออกมาจากรั...งไข่ จะเข้าไปในปีกมดลูก เซลล์ไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่นี้ยังเป็น ไอโอไซด์ระยะที่ 2 อยู่ ส่วนเซลล์ที่เป็นฟอลลิเคิล ก็จะกลายเป็นเนื้อเยื้อสีเหลืองเรียกว่า คอร์ปัสสูเทียม (Corpus Iuteum) ถ้าเมื่อเซลล์ไข่นี้ได้รับการผสมกับอสุจิที่ท่อนำไข่ ก็จะได้ไซโกด (Zygote) ซึ่งจะพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ (embryo)
ต่อไปเอ็มบริโอจะเคลื่อนที่มาฝังอยู่ กับผนังของมดลูก (Uterine wall) ในขณะเดียวกัน คอร์ปัสลูเทียมจะสร้างฮอร์โมน ซึ่งจะทำงานร่วมกับฮอร์โมนจากฟอลลิเคิลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังมดลูกด้านใน หรือ เอนโดมีเทรียมให้หนาขึ้น และมีเส้นฝอยมากขึ้น ถ้าหากเซลล์ไข่ไม่ถูกผสม คอร์ปัสลูเทียมจะสลายตัว ภายในเวลาสองสัปดาห์ และหยุดสร้างฮอร์โมนทำให้เกิดสลายตัวของเนื้อเยื่อเอนโดมีเทรียม ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วขับออกมาจากมดลูกเป็นผลให้มีรอบประจำเดือนใหม่
กัมมชรูปกลาป นอกจาก ไข่ของแม่ ยังต้องอาศัย อสุจิของพ่อเข้าผสมพันธ์ ซึ่งได้นำเอาภาพอสุจิ จากอินเตอร์เน็ต ให้ได้เห็นเปรียบเทียบ

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 13 ก.ค. 2011, 12:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2011, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




262357_135372799877430_100002141326677_244091_5308157_n.jpg
262357_135372799877430_100002141326677_244091_5308157_n.jpg [ 23.64 KiB | เปิดดู 5310 ครั้ง ]
ตัวอย่างภาพ อสุจิ แบ่งเป็น เพศชาย(ตัวผอม) หางยาว เพศหญิง(ตัวอ้วน) หางสั้น และอสุจิบางตัวมีสภาพไม่สมบูรณ์ หากว่า อสุจิที่ไม่สมบูรณ์นั้น เข้าทำปฏิสนธิกับไข่ สัตว์ผู้เกิดนั้น ก็จะไม่ครบอาการ ๓๒ คือขาดตกบกพร่อง

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 13 ก.ค. 2011, 12:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2011, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




270679_135830439831666_100002141326677_245739_6156146_n.jpg
270679_135830439831666_100002141326677_245739_6156146_n.jpg [ 25.17 KiB | เปิดดู 5310 ครั้ง ]
เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๕ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ภาพแสดงอสุจิของพ่อเข้าทำปฏิสนธิ กับไข่ของแม่ พร้อมปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นไม่ก่อนไม่หลัง ซึ่งมีอธิบายเฉพาะรูปธรรมไว้ในอินเตอร์เน็ตว่าอสุจิจะอยู่ในอวัยวะเพศหญิงได้เพียง 12 – 24 ชั่วโมง อสุจิหลายล้านตัวจะอยู่บริเวณช่องคลอด มีเพียงไม่กี่ร้อยตัวที่สามารถวิ่งเข้าไปตามท่อรังไข่ได้ และมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ผ่านชั้น Zona pellucida ที่ห่อหุ้มเซลล์รังไข่ โดยอาศัยเอมไซดจากอะโคร...โซม (Acrosome containing enzymes) ที่ส่วนหัวของอสุจิ เมื่อหัวของอสุจิตัวใดตัวหนึ่งเข้าไปในเซลล์ไข่แล้ว ไข่ก็จะหลั่งสารออกมาทำให้ Zona pellucida ไม่เหมาะสมที่อสุจิตัวอื่นๆจะเจาะเข้าไปได้อีก เป็นการป้องกันไม่ใช้ไข่ผสมกับอสุจิหลายเซลล์(Polyspermy) อย่างที่เราเรียกว่า อสุจิที่ได้เข้าไปผสมกับไข่นั้นเป็นเซลล์ที่ถูกเลือกสรรจากหยดน้ำอสุจิ
เมื่ออสุจิเคลื่อนที่ผ่านเปลือกหุ้มไข่ไปได้แล้ว เซลล์อสุจิก็จะเคลื่อนที่ช้าๆในไซโตพลาซึมของไข่ โดยไม่นำหางไปด้วย โครโมโซมของทั้งสองเซลล์จะรวมกัน ขบวนการนี้เรียกว่า ขบวนการปฏิสนธิ (Fertilization) ซึ่งจะเกิดขึ้นในบริเวณท่อนำไข่ ในขั้นแรกโครโมโซมของแต่ละเซลล์ จะรวมตัวกันเป็นกระจุกเดียวกันก่อน แล้วจะเคลื่อนที่มาตรงกลางและเชื่อมกั้นเป็นโครโมโซม 23 คู่(46 แถบ) และไข่ที่ผสมแล้วนี้ เรียกว่า ไข่ปฏิสนธิ “กลละ” (นี้เรียกตามบาลี ภาษาชีวะว่า Zygote) หรือที่เราเรียกว่า หยดน้ำที่ผสมแล้ว โครโมโซมคู่สุดท้ายจะเป็นคู่ที่กำหนดว่าเซลล์ที่จะพัฒนาต่อไปจะเป็นทารกเพศชาย หรือเพศหญิง ที่เรียกว่าโครโมโซมเพศ ถ้าทารกมีโครโมโซมเพศเป็น XY จะเป็นเพศชายแต่ถ้าโครโมโซมเพศเป็น XX จะเป็นเพศหญิง โครโมโซมที่จะเป็นตัวกำหนดเพศของทารกว่าจะเป็นชายหรือหญิง คือ โครโมโซมจากตัวอสุจิของฝ่ายชาย เพราะจะมีทั้ง โครโมโซม X และโครโมโซม Y ตามที่กล่าวมาข้างต้น
อสุจิที่มีโครโมโซมเพศ เป็น X ตัวรีและอ้วน หางสั้น เคลื่อนไหวช้า ทนสภาพเป็นกรดได้ดี จะเป็นตัวกำหนด เพศหญิง
อสุจิที่มีโครโมโซมเพศ เป็น Y ตัวจะเล็กเรียวหางยาว เคลื่อนไหวรวดเร็ว ชอบสภาพความเป็นด่าง มีอายุสั้นกว่าอสุจิโครโมโซมเพศที่เป็น X และจะเป็นตัวกำหนดเพศชาย

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๖ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ขบวนการปฏิสนธิ ของอสุจิ-ไข่กับ ปฏิสนธิจิต เมื่ออสุจิผสมเข้ากับไข่แล้ว คือ รูป เรียกว่า “กัมมชรูปกลาป – หมวดหมู่รูปที่เกิดจากกรรม” ซึ่งประกอบด้วยรูปกลาป ๓ อย่าง คือ กายทสกกลาป, ภาวทสกกลาป, วัตถุทสกกลาป หมายความว่า กายทสกกลาป เป็นหมวดหมู่รูปที่มีการแตกตัวเพื่อสร้างร่างกายมี ๑๐ รูป ได้แก่ ๑) กายปสาทรูป ส่วนที่จะสร้างเป็นรูปร่างกายทั้งหมด, ๒) ปถวีรูป ถูกเรียกว่า ธาตุดิน ส่วนที่จะสร้างร่างกายซึ่งมีสภาพแข็งอันมีธาตุดินมาก คือ กระดูก สภาพที่อ่อนธาตุดินน้อย... คือ เนื้อหนัง เป็นต้น ทางชีวะวิทยาว่า แคลเซียม โปรตีน ทั้งนี้ธาตุดินเป็นพื้นฐานของรูปร่างสัณฐาน, ๓) อาโปรูป ถูกเรียกว่า ธาตุน้ำ ส่วนที่จะสร้างร่างกายซึ่งมีสภาพไหลอันมีธาตุน้ำมาก คือ น้ำเลือด สภาพที่เกาะกุมอันมีธาตุน้ำน้อย คือ เกาะกุมธาตุดินส่วนที่เป็นกระดูก หรือเนื้อ ให้ประสานเข้ากัน, ๔) เตโชรูป ถูกเรียกว่า ธาตุไฟ ส่วนที่จะสร้างไออุ่น คือ การเผาผลาญทำให้ธาตุดินแตกตัวแข็งตัวเป็นกระดูก หรือทำให้ธาตุดินอ่อนนุ่มแก่ตัว แตกตัวเป็นเนื้อ, ๕) วาโยรูป ถูกเรียกว่า ธาตุลม ส่วนที่จะสร้างร่างกายซึ่งมีสภาพตึง คือ ตึงตัวของกระดูก เนื้อหนังให้มั่นคง ไหวตัว คือ การเคลื่อนที่ของการสร้างร่างกายในการแตกตัวให้เติบโตขึ้น, ๖) วัณโณรูป สีสัน ส่วนที่จะสร้างร่างกายให้มีสีผิวต่างๆ, ๗) คันโธ กลิ่นส่วนที่จะสร้างร่างกายให้มีกลิ่นกาย, ๘) รโสรูป รสเค็ม เปรียว ของร่างกาย, ๙) อาหารรูป โอชารูปนำให้อาหารชรูปเกิด ที่จะสร้างเสริมร่างกายให้เจริญเติบโต สมบูรณ์, ๑๐) ชีวิตรูป รูปที่เป็นส่วนรักษาดูแลสภาพร่างกาย ให้เป็นอยู่ได้ไม่บกพร่อง
ภาวทสกกลาป เป็นหมวดหมู่รูปที่แตกตัวแสดงเพศจะเป็นหญิง หรือชาย อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก มี ๑๐ รูป ได้แก่ ๑) ปุริสภาวะรูป รูปแสดงเหตุควบคุมองค์ประกอบ ๔ อย่างให้รู้ถึงความเป็นเพศชาย อิตถีภาวะรูป รูปแสดงเหตุควบคุมองค์ประกอบ ๔ อย่างให้รู้ถึงความเป็นเพศหญิง ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นเครื่องแสดงให้รู้ถึงเพศ ๔ อย่าง คือ ลิงค์ มีรูปร่างสัณฐาน แขน ขา หน้า ตา อวัยวะเพศชาย หรือ อวัยวะเพศหญิง เป็นต้น, นิมิต เครื่องหมาย เช่น หนวด เครา หน้าอกเป็นต้น, กุตตะ นิสัย เช่น การเล่น การกระทำต่างๆ, อากัปปะ กิริยาอาการ เช่น การเดิน ยืน นั่ง นอน การกิน การพูดเป็นต้น; ๒) ปถวีรูป ธาตุดินเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๓) อาโปรูป ธาตุน้ำเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๔) วาโยรูป ธาตุลมเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๕) เตโชรูป ธาตุไฟเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๖) วัณโณรูป สีสันเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๗) คันโธรูป กลิ่นเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๘) รโสรูป รสเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๙) อาหารรูป โอชารูปเสริมสร้างอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย; ๑๐) ชิวิตรูป รูปที่ดูแลรักษาอวัยวะความเป็นหญิง หรือชาย

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๗ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
วัตถุทสกกลาป เป็นหมวดหมู่รูปที่มีวัตถุหทยรูปอันเป็นที่อาศัยเกิดของจิต เจตสิกเป็นหลัก แตกตัวกลายเป็นเนื้อหัวใจ มี ๑๐ รูป ได้แก่๑) หทยรูป วัตถุหทยรูป คือ รูปที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นที่อาศัยเกิดของจิต เจตสิก รูปนี้ จะถูกมังสหทยรูปห่อหุ่มไว้ในเนื้อหัวใจ และมังสหทยรูป คือ รูปเนื้อหัวใจที่มีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม; และรูปที่เหลืออีก ๙ รูป ที่จะไปเสริมสร้าง เนื้อหัวใจ ได้แก่ ๒)... ปถวีรูป ธาตุดิน; ๓) อาโปรูป ธาตุน้ำ; ๔) วาโยรูป ธาตุลม; ๕) เตโชรูป ธาตุไฟ; ๖) วัณโณรูป สีสัน; ๗) คันโธรูป กลิ่น; ๘) รโสรูป รส; ๙) อาหารรูป โอชารูป; ๑๐) ชิวิตรูป รูปที่ดูแลรักษา วัตถุทสกกลาปนี้ เมื่อปฏิสนธิจิตเสร็จสิ้นการทำหน้าที่แล้วก็ดับไป ก็กลายเป็นที่อาศัยเกิดของจิต ที่เกิดขึ้นมาทำหน้าที่รักษาภพเกิดเป็นมนุษย์นี้ ซึ่งเกิดขึ้นต่อจากปฏิสนธิจิต และจิตที่ทำหน้าที่ชนิดอื่นๆ สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ก็จะเจริญเติบโต จนถึงคลอด เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ แก่ และจนถึงตาย
ขบวนการปฏิสนธินี้ ถ้าปฏิสนธิจิตไม่ได้เข้าร่วมขบวนการ อสุจิ กับไข่ ก็หมดสภาพที่จะเจริญเติบโต และยังไม่นับเป็น “กลละรูป” (นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในหลายๆ สาเหตุของผู้มีบุตรยาก) ตามหลักศาสนาแล้ว จึงกล่าวสรุปว่า ร่างกายนี้ เป็นเพียงองค์ประกอบ ที่เข้าทำงานร่วมกัน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวิต เหมือนหุ่นยนต์ จึงเกิดวิทยาการที่เรียกว่า อชีวะวิทยา เพราะมีทัศนะมองเห็นต้นเหตุสาวไปหาปลายเหตุและมองเห็นปลายเหตุสาวไปหาต้นเหตุ แต่ชาวโลกมองเห็นเป็นสัตว์ เป็นชีวิต จึงเกิดเป็นวิทยาการที่เรียกว่า ชีวะวิทยา เพราะมีทัศนะมองเห็นที่ปลายเหตุและติดอยู่ที่ปลายเหตุ ซึ่งมีพระพุทธดำรัสตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตผู้มีปัญญาจักษุ มีทัศนะพิจารณาเห็นอย่างไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ มีทัศนะพิจารณาเห็นธรรม คือ ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นโดยปรมัตถ์ มีเหตุมีผล ตามสามัญลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาที่เป็นจริง ภิกษุนั้น จึงเข้าใจถึงธรรม คือ ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นโดยปรมัตถ์ ที่มีเหตุมีผล ตามสามัญลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาที่เป็นจริง แล้วเป็นผู้ฝึกฝนปฏิบัติ เพื่อความเบื่อหน่าย รูปนามขันธ์ ๕ เพื่อความคลายกำหนัดยินดี รูปนามขันธ์ เพื่อทำรูปนามขันธ์ ๕ ให้ดับไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ที่เหล่าบัณฑิตผู้มีปัญญาจักษุ มีทัศนะพิจารณาเห็น”
อธิบาย “รูปธรรม” หมายถึงรูปร่างกาย หรือวัตถุสิ่งของ ภายนอกร่างกาย ที่มีธรรมชาติผันแปรเปลี่ยนแปลงสลายไป ถูก“วิโรธิปัจจัย-ตัวการทำให้เกิดความเสื่อมสลาย” อันเป็นเหตุเกิดจากความเย็นร้อน ความหิวกระหาย เหลือบยุงแมลงสัตว์กัดต่อย หรือลมแดดแผดเผา เป็นต้น ในที่นี้หมายเอารูป ที่เป็นองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของร่างกาย อันมี กรรม จิต อุตุ อาหาร เป็นสมุฏฐานเหตุให้เกิดรูป และการเกิดขึ้นของรูป โดยอาศัยสมุฏฐานเหตุ ๔ อย่างเหล่านั้น เรียกว่า กัมมชรูป จิตตชรูป อุตุชรูป อาหารชรูป

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๘ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
กรรม หมายถึงเจตนาเป็นเหตุให้เกิดการกระทำทั้งที่เป็นฝ่ายกุศล และอกุศล ที่เป็นสมุฏฐานเหตุให้เกิด “กัมมชรูป” ในสันดานของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นองค์ประกอบอวัยวะร่างกาย เพศ หัวใจ ผม สีผิว เป็นต้น ให้ผิดแผกแตกต่างกันการเกิดของกัมมชรูปนี้ จะเกิดขึ้นทุกๆ ขณะของจิต นับตั้งแต่เกิดปฏิสนธิจิตเป็นต้นมา เมื่อรูปที่เกิดจากกรรมดังกล่าว มีทั้งหมด ๑๗ รูปด้วยกันคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย เพศชาย เพศหญิง หทยวัต...ถุรูป ชีวิตรูป สีสัน กลิ่น รส อาหารรูป เมื่อรูปที่จัดเป็นกัมมชรูปเหล่านี้ รวมกลุ่มเป็น ๑๐ รูปบ้าง ๙ รูปบ้าง จึงกลายเป็นรูปกลาป โดยมีรูปพื้นฐานหลักที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน กลิ่น รส อาหารรูป เหล่านี้ มีชีวิตรูปสอดแทรกร่วมด้วย จึงรวมเป็น ๙ รูปประกอบพร้อมกับรูปประธาน คือ ประสาทตา เรียกว่า จักขุทสกกลาป, ประสาทหู เรียกว่า โสตทสกกลาป, ประสาทจมูก เรียกว่า ฆานทสกกลาป, ประสาทลิ้น เรียกว่า ชิวหาทสกกลาป, ประสาทกาย เรียกว่า กายทสกกลาป, เพศชาย เรียกว่า ภาวทสกกลาป, เพศหญิง เรียกว่า ภาวทสกกลาป, หทยวัตถุรูป เรียกว่า วัตถุทสกกลาป ทั้งหมดนี้มีกลุ่มรูปจำนวน ๑๐ รูป และกลุ่มรูปจำนวน ๙ รูป มีชีวิตรูปเป็นรูปประธาน เรียกว่า ชีวิตนวกกลาป จึงรวมเป็นกัมมชรูปกลาป ๙ กลาป ทั้งนี้ในเวลาเริ่มปฏิสนธิครั้งแรกจะมีกัมมชรูปกลาป ๓ กลาป คือ กายทสกกลาป, ภาวทสกกลาป, วัตถุทสกกลาป เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตดังอธิบายในข้างต้น
จิต หมายถึงธรรมชาติที่รู้อารมณ์ และเจตสิกที่ปรุงแต่งจิต เกิดขึ้นเป็นไปในปัจจุบันภพ สั่งการรูป เป็นสมุฏฐานเหตุให้เกิด “จิตตชรูป” ในสันดานของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นองค์ประกอบให้เกิดการเคลื่อนไหวเป็นต้น การเกิดของจิตตชรูปนี้ จะเกิดขึ้นทุกๆ อุปาทักขณะของจิตนับตั้งแต่ปฐมภวังค์ ซึ่งเกิดต่อจากปฏิสนธิจิตเป็นต้นมา รูปที่เกิดจากจิตดังกล่าว มีทั้งหมด ๑๔ รูปด้วยกันคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน เสียง กลิ่น รส อาหารรูป กายวิญญัติรูป วจีวิญญัติรูป ลหุตารูป มุทุตารูป กัมมัญตารูป เมื่อรูปที่จัดเป็นจิตตชรูปเหล่านี้ รวมกลุ่มเป็น ๘ รูปบ้าง ๙ รูปบ้าง ๑๐ - ๑๓ รูปบ้าง สำหรับจิตตชรูปนั้น ปรากฏขึ้นเองไม่ได้ ต้องอาศัยกัมมชรูป อุตุชรูป อาหารชรูป ทั้ง ๓ นี้เป็นที่ตั้งจึงเกิดขึ้นได้ หมายความว่า จิตตชรูปนี้ต้องอาศัยร่างกายของสัตว์เกิดขึ้นนั้นเอง ถ้าไม่มีร่างกายแล้วจิตตชรูปก็เกิดไม่ได้ เพราะจิตเป็นผู้สั่งการให้หายใจ จึงเกิดจิตตชรูปเกี่ยวกับการหายใจ จิตสั่งการให้เคลื่อนไหวกาย จึงเกิดจิตตชรูปเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกาย จิตสั่งการให้หัวเราะ จึงเกิดจิตตชรูปเกี่ยวกับการหัวเราะเป็นต้น จึงกลายเป็นรูปกลาป โดยมีรูปพื้นฐานหลักที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน กลิ่น รส อาหารรูป เหล่านี้

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘๙ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
อุตุ หมายถึงเตโชธาตุ บ่งบอกถึงอุณหภูมิเย็น ร้อน ที่มีอยู่ภายในร่างกายสัตว์ และวัตถุสิ่งของภายนอกร่างกาย เป็นสมุฏฐานเหตุให้เกิด “อุตุชรูป” การเกิดอุตุชรูปนี้ การเกิดอุตุชรูปนี้ เกิดภายในกลละรูป ซึ่งเป็นไออุ่นจะเริ่มเกิดขึ้นทุกๆ ขณะจิต นับตั้งแต่ฐิติขณะของปฏิสนธิจิตเป็นต้นมา ส่วนอุณหภูมิเย็น ร้อนที่มีอยู่ภายนอกร่างกายสัตว์ เช่น หิน พอปรากฏเกิดขึ้นแล้ว อุตุชรูปจะเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย รูปที่...เกิดจากอุตุดังกล่าว มีทั้งหมด ๑๒ รูปด้วยกันคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน เสียง กลิ่น รส อาหารรูป กายวิญญัติรูป วจีวิญญัติรูป ลหุตารูป เมื่อรูปที่จัดเป็นอุตุชรูปเหล่านี้ รวมกลุ่มเป็น ๘ รูปบ้าง ๙ รูปบ้าง ๑๑-๑๒ รูปบ้าง จึงกลายเป็นรูปกลาป โดยมีรูปพื้นฐานหลักที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ เรียกว่า อวินิพโภครูปมี ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน กลิ่น รส อาหารรูป เหล่านี้ เรียกว่า สุทธัฏฐกอุตุชรูปกลาป รูปกลาปนี้เกี่ยวกับสภาพร่างกายอ่อนเพลีย เป็นต้น ถ้าร่างกายแข็งแรง เป็นปกติดี ก็จะมี ลหุตารูปเป็นต้นเข้าประกอบ อย่างเช่นจิตตชรูปกลาป ส่วนสุทธัฏฐกอุตุชรูปกลาปกลุ่มรูป ๘ นี้ ที่เกิดภายนอกสัตว์ ได้แก่ วัตถุสิ่งของต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ และภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ไฟ ลม พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาว แสงสว่าง เงา เป็นต้น หรือ สัททนวกกลาปกลุ่มรูป ๙ ได้แก่ เสียงลมพัน เสียงฟ้าร้อง เสียงน้ำไหล เสียงรถ เรือ ระฆัง เหล่านี้เป็นต้น
อาหาร หมายถึงสารอาหารที่เป็นโอชามีอยู่ในภายในอาหารต่างๆ เป็นสมุฏฐานเหตุให้เกิดเป็น “อาหารชรูป” การเกิดอาหารชรูปนี้ เกิดขึ้นภายในร่างกายสัตว์ทุกๆ ขณะของจิต นับตั้งแต่โอชาของอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป แล้วส่งผ่านไปให้แก่ทารก และโอชานี้ จะแผ่ซึมซาบเข้าไปในร่างกายของทารกนั้น แล้วจึงเข้าไปทำปฏิกิริยาร่วมกับอัชชัตตโอชามี “กัมมชโอชา” และ “อุตุชโอชา” ให้กลายสภาพเป็นอาหารชรูป รูปที่เกิดจากอาหารดังกล่าว มีทั้งหมด ๑๑ รูปด้วยกันคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน กลิ่น รส อาหารรูป กายวิญญัติรูป วจีวิญญัติรูป ลหุตารูป เมื่อรูปที่จัดเป็นอุตุชรูปเหล่านี้ รวมกลุ่มเป็น ๘ รูปบ้าง ๑๑ รูปบ้าง จึงกลายเป็นรูปกลาป โดยมีรูปพื้นฐานหลักที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ เรียกว่า อวินิพโภครูปมี ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สีสัน กลิ่น รส อาหารรูป เหล่านี้ เรียกว่า สุทธัฏฐกอาหารชรูปกลาป รูปกลาปนี้ มีผลทางร่างกายที่ไม่ดี คือ เมื่อกินอาหารต่างๆ หรือยาต่างๆ ชนิดที่ดีก็ตาม ชนิดที่ไม่ดีก็ตาม เกิดความรู้สึกว่าร่างกายไม่สดชื่น ไม่แข็งแรง ไม่กระปรี้กระเปร่าเลย ซ้ำยังทำให้ไม่สบายกาย แน่นเฟ้ออึดอัด เช่นนี้ ก็เพราะอาหารและยาเหล่านั้นไม่ได้เข้าประกอบกับลหุตารูปเป็นต้น ครั้นอาหารและยาเหล่านั้น เข้าประกอบร่วมกับลหุตารูป ก็มีผลทำให้ร่างกายสดชื่นสบาย แข็งแรง กระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาหารชรูปกลาปนี้ จะไม่เกิดภายนอกสัตว์ เพราะพหิทธโอชา(อาหารที่กินเข้าไป)ต้องเข้าร่วมทำปฏิกิริยากับกัมมชโอชา และอุตุชโอชา ซึ่งมีในร่างกายของสัตว์เท่านั้น จึงจะเกิดอาหารชรูปกลาปได้ ดังนั้นรูปกลาปที่มีอยู่ในอาหารต่างๆ เมื่อยังไม่บริโภคเข้าไป ก็ยังไม่ใช่อาหารชรูปกลาป แต่เป็นอุตุชรูปกลาปนั่นเอง

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ภาพที่แสดงนี้ เป็นระยะไม่กี่ชั่วโมงก่อนเกิดซินแกมมี่ จะเห็นโครโมโซมของไข่และอสุจิจะมาจับคู่กันก่อนเรียกเป็นระยะโปรนิวคลีอาย
282703_141927522555291_100002141326677_262526_2247103_n.jpg
282703_141927522555291_100002141326677_262526_2247103_n.jpg [ 7.68 KiB | เปิดดู 5278 ครั้ง ]
282703_141927522555291_100002141326677_262526_2247103_n.jpg
282703_141927522555291_100002141326677_262526_2247103_n.jpg [ 7.68 KiB | เปิดดู 5278 ครั้ง ]
282703_141927522555291_100002141326677_262526_2247103_n.jpg
282703_141927522555291_100002141326677_262526_2247103_n.jpg [ 7.68 KiB | เปิดดู 5277 ครั้ง ]
เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๙๐ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร

จะเห็นได้ว่า ดิน น้ำ ปุ๋ย ที่ต้นไม้ต่างๆ ใช้รากแก้ว รากฝอยดูดซึม(OSMOSIS)ผ่านเข้าสู่ลำต้นตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้ต้นไม้เจริญงอกงามเติบโต ออกดอก ออกผลได้นั้นตามความจริงดิน น้ำ ปุ๋ย ไม่สามารถทำอาหารชรูปกลาปให้เกิดแก่ต้นไม้เลย เป็นเพียงอุตุชรูปกลาปเกิดเท่านั้น เพราะต้นไม้บริโภคอาหารอย่างสัตว์ไม่ได้ ถ้าจะเรียกว่าต้นไม้กินอาหารก็เรียกได้ตามโวหารสมมุติ หาใช่เป็นสภาวปรมัตถ์ไม่ ทำนองเดียวกันกับที่เราพ...ูดกันว่า “รถคันนี้กินน้ำมันมาก รถคันนี้กินน้ำมันน้อย” ซึ่งความจริงรถหาได้กินน้ำมันเข้าไปได้ไม่ ใช้กล่าวเรียกันโดยโวหารสมมุติเท่านั้น
อธิบาย “รูปกลาป” หมายถึงรูปที่เข้ากันเป็นหมวด เป็นหมู่ ซึ่งพอจะสันนิษฐานในทางชีวะวิทยาทางโลก ก็คือการแตกตัวและการจับตัวกัน ของโครโมโซมภายในนิวเคลียส แต่การสันนิษฐานนี้ยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แท้จริง เพราะรูปกลาปดังกล่าวยังมีหมวดหมู่ของรูปร่วมกัน ๑๐ รูปบ้าง ๙ รูปบ้าง ๘ รูปบ้าง และในรูปกลาปหนึ่งๆ รูปที่อยู่ในหมวดหมู่นั้นต้องมีสภาพความเป็นไปพร้อมกัน ๓ อย่าง คือ ๑) เอกุปปาทะ เกิดพร้อมกัน, ๒) เอกนิโรธะ ดับพร้อมกัน, ๓) เอกนิสสยะ มีที่อาศัย คือ มหาภูตรูปอย่างเดียวกัน ดังนั้นรูปกลาปจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีสภาพความเป็นไปพร้อมกัน ๓ อย่างข้างต้น จะขาดสภาพใดสภาพหนึ่งมิได้ จึงเรียกว่า “สหวุตติ เป็นไปพร้อมกัน” ดังนั้นกัมมชรูปกลาป ๓ อย่างข้างต้น มีรูป ๓๐ อย่างที่เป็นหมวดของ “กายทสกกลาป ๑๐ รูป”, “ภาวทสกกลาป ๑๐ รูป” และ“วัตถุทสกกลาป ๑๐ รูป” แต่ละรูป จะต้องมี “สหวุตติ” เกิดขึ้นเป็นไปพร้อมกันเสมอ จึงทำให้รูปค่อยๆ แตกตัว และรวมตัวกัน ซึ่งกระบวนการชีวะวิทยาของชาวโลกมองเห็นและเรียกว่า “ไซโกต”
ดังนั้น ขบวนการหลังปฏิสนธิ จะเกิดขึ้นได้จึงต้องมีปฏิสนธิจิตเข้าร่วมเท่านั้น ต่อไปนี้แสดงขบวนการเจริญเติบโตหลังปฏิสนธิตามในอินเตอร์เน็ตว่าซินแกมมี่ (Syngamy) มีความหมายว่า “แต่งงานกัน” ในที่นี้หมายถึงกรณีที่สารพันธุกรรมจากไข่และอสุจิมารวมกันเป็นหนึ่ง ประมาณเวลา ๑๐ - ๑๒ ชั่วโมง นิวเคลียสของตัวอสุจิจะรวมเข้ากับนิวเคลียสของไข่เกิดการปฏิสนธิขึ้น การปฏิสนธิจึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นในไข่ที่มีการปฏิสนธิ ภายหลังจากที่อสุจิเจาะเข้าไป ในไข่ประมาณ ๒๐ ชั่วโมง

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 27 ก.ค. 2011, 16:24, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ตัวอย่างภาพ แสดงการเคลื่อนตัวของไข่ เมื่อตกไข่แล้ว อสุจิเข้าผสมสำเร็จแล้ว เพื่อไปพักที่ผนังมดลูก
262419_142413875839989_100002141326677_264268_2752038_n.jpg
262419_142413875839989_100002141326677_264268_2752038_n.jpg [ 45.03 KiB | เปิดดู 5278 ครั้ง ]
เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๙๑ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ภายหลังการปฏิสนธิประมาณ ๓๐ - ๓๗ ชั่วโมง ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วซึ่งเรียกว่าไซโกต (Zygote) จะเริ่มแบ่งเซลล์จาก ๑ เซ...ลล์ เป็น ๒ เซลล์ จาก ๒ เซลล์ เป็น ๔ เซลล์ และแบ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เป็นกลุ่มเซลล์ กลุ่มเซลล์ดังกล่าวนี้จะเคลื่อนที่ไปยังผนังมดลูกซึ่งผนังมดลูกนี้ จะหนาตัวขึ้นเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสม และภายในเวลา ๖ – ๗ วัน ในส่วนนี้แหละยังอยู่ในสภาพเป็น “กลละรูป”

ตัวอย่างภาพ แสดงการเคลื่อนตัวของไข่ เมื่อตกไข่แล้ว อสุจิเข้าผสมสำเร็จแล้ว เพื่อไปพักที่ผนังมดลูก
หลังจากปฏิสนธิเสร็จแล้ว กลายเป็นนามธรรม/รูปธรรม ที่จะเจริญเติบโตต่อไป ในส่วนของรูปธรรม พุทธองค์ตรัสเรียกว่า กลละรูป ตามภาษาชีวะวิทยาว่า ไซโกต ในอินเตอร์เน็ตแสดงภาพที่ ๑-๔ คือ กลละรูป ที่วิทยาการสมัยใหม่ค้นพบหลังจากพระพุทธองค์ค้นพบมาแล้วเมื่อสองพันกว่าปีก่อนโน้น


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 31 ก.ค. 2011, 12:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




183897_144240038990706_100002141326677_269905_1808086_n.jpg
183897_144240038990706_100002141326677_269905_1808086_n.jpg [ 102.73 KiB | เปิดดู 5256 ครั้ง ]
ภาพที่ ๑ แสดงไข่ที่ได้รับการผสมเป็นกลละรูป(ไซโกต) มีอธิบายส่วนต่างๆ ดังนี้
1. ส่วนที่เป็นเยื่อบุผิวของกลละรูป 2. นิวเคลียส
3. ตาข่ายภายในอัพพุทะรูป
ภาพที่ ๒ แสดงโครโมโซม กับนิวเคลียส มีอธิบายส่วนต่างๆ ดังนี้
1. รูเล็กๆ ของนิวเคลียส 2. โครโมโซมภายในนิวเคลียส
...3. ตาข่ายภายในอัพพุทะรูป 4. เปลือกหุ่มนิวเคลียส
ภาพที่ ๓ แสดงด้านข้างแต่ละข้างของบันไดทำจากคาร์โบไฮเดรดชนิดหนึ่งกับโมเลกุลเป็นเบส มีอธิบายส่วนต่างๆ ดังนี้
1. ด้านข้างของบันได 2. ขั้นของบันได
ภาพที่ ๔ แสดงการฝังตัวช่วงที่กลละรูปสัมผัสผนังมดลูกระยะประมาณ ๖ วันหลังปฏิสนธิแล้ว เพียงแค่สัมผัสเท่านั้น ก็ฝังตัวเข้าผนังมดลูกทันที มีอธิบายส่วนต่างๆ ดังนี้
1. มดลูกที่เป็นส่วนภายในผนังมดลูก
2. กลละรูประยะจะกลายรูปเป็นอัพพุทะรูปเริ่มฝังตัวเข้าในผนังมดลูก


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 31 ก.ค. 2011, 12:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๙๒ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ในมนุษย์โลกผู้ที่ได้กินอาหารเต็มที่ครั้งหนึ่งแล้ว จะรักษาร่างกายของผู้นั้นให้อยู่ได้ภายใน ๗ วัน โดยไม่ต้องกินอะไรอีก ...ที่เป็นได้เช่นนี้ก็เพราะว่า โอชามีอยู่ในอาหารที่กินเข้าไป และจะเข้าไปผสมกับกัมมชโอชาที่อยู่ภายในร่างกายอีกทีหนึ่ง แล้วค่อยกลายเป็นอาหารชรูปอยู่ได้นานถึง ๗ วันในมนุษย์โลก สำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์มารดานั้น หลังจากปฏิสนธิเข้าสัปดาห์ที่ ๒ หรือสัปดาห์ที่ ๓ ในขณะฝังตัวเกาะที่ผนังมดลูกแล้ว ตำแหน่งที่ไข่ฝังตัวนี้จะกลายเป็นรกในเวลาต่อมา เพื่อเป็นสื่อนำอาหารจากมารดามาเลี้ยงทารกในขณะเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ เมื่อมารดากินอาหารเข้าไปภายใน โอชาก็แผ่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของทารกที่ยังเป็นอัพพุทะรูป หรือเปสิรูปนั้น แล้วก็กลายเป็นอาหารชรูปเกิดขึ้นแก่ทารกเป็นครั้งแรก และอาหารชรูปตั้งแต่นี้ไป ก็จะเกิดขึ้นตลอดเวลาติดต่อกันไม่ขาดสายในร่างกายของสัตว์ทั้งหลายนั้นตราบจนสิ้นชีวิต
ตามหลักพื้นฐาน กำเนิดมนุษย์ที่เรียกว่า ปฏิสนธิ ต้องประกอบด้วยรูปธรรม และนามธรรมดังที่ได้แสดงไว้ข้างต้น จำต้องตกอยู่ในสภาพเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา รูปธรรม/นามธรรมดังกล่าวจึงมีการปฏิสนธิในเบื้องต้น แตกตัว ฝักตัว แก่ตัว และมีการเทียบอายุของนามธรรม/รูปธรรม ตามหลักพุทธศาสน์คือ
รูปธรรม ที่ถูกปรุงแต่ง ด้วยปัจจัย ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร มีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ มี ๓ อย่าง คือ สภาพที่เกิดขึ้น คือ อุปปาทะ เรียกว่า ชาติ, สภาพที่ตั้งอยู่ คือ ฐีติ เรียกว่า ชรตา, และสภาพที่ดับไป คือ ภังคะ เรียกว่า อนิจจตา เนื่องจากรูปในสภาพของชาตินั้นแบ่งเป็น ๒ คือ อุปจยะรูป และสันตติรูป ดังนั้น รูปจึงมีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ เรียกว่า ลักขณะรูปมี ๔ อย่าง คือ รูปที่มีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ถึงการเกิด เรียกว่า อุปจยะรูป, รูปที่มีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ถึงการสืบเนื่องตั้งอยู่ เรียกว่า สันตติรูป, รูปที่มีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ถึงการแก่ตัวของรูป เรียกว่า ชรตารูป และรูปที่มีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ถึงการดับไปของรูป เรียกว่า อนิจจตารูป
ในปฏิสนธิขณะ ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ กรรมชรูปที่เกิดขึ้นครั้งแรก เรียกว่า อุปจยะรูป และกัมมชรูปที่เกิดต่อจากปฏิสนธิขณะ จะแตกตัวเกิดต่อเนื่องเติบโตขึ้นจนมีกัมมชรูปครบบริบูรณ์ถึงสัปดาห์ที่ ๑๑ นี่ก็ยังเรียกว่า “อุปจยะรูป รูปเกิด” เช่นกัน

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๙๓ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร

หลังจากกัมมชรูปเกิดครบแล้ว การเกิดกัมมชรูปสืบเนื่องต่อๆ กันไปถึงตลอดชีวิตนี้ เรียกว่า “สันตติรูป รูปสืบต่อ” แสดงอุปมา...เปรียบเทียบเหมือนบ่อน้ำที่ขุดใกล้ๆ แม่น้ำ เมื่อขุดเสร็จใหม่ๆ มีน้ำเริ่มไหลเข้ามาในบ่อครั้งแรก นี้เปรียบเหมือนอุปจยะรูปครั้งแรก ต่อมาน้ำนั้นก็ไหลเข้ามาในบ่อเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มบ่อ นี้เปรียบเหมือน อุปจยะรูปเกิดต่อจากปฏิสนธิขณะ เมื่อน้ำเต็มบ่อก็เอ่อล้นไปตามพื้นดิน นี้เปรียบเหมือนสันตติรูป
จิตตชรูป อุตุชรูป อาหารชรูป เมื่อเกิดขึ้นครั้งแรกก็ดี ก็เกิดขึ้นตอนหลังจนกระทั่งอวัยวะของสัตว์นั้นครบบริบูรณ์ก็ดี เรียกว่า อุปจยะรูป ต่อจากนั้นนับตั้งแต่อวัยวะครบถ้วนเป็นต้นมา รูปเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันเรื่อยๆ มาจนตลอดชีวิต เรียกว่า สันตติรูป
นามธรรม ที่ถูกปรุงแต่ง คือ จิต เจตสิก ไม่พ้นสภาพการเกิดดับทุกๆ ขณะนี้เรียกว่า อายุของจิต ซึ่งมีลักษณะเครื่องหมายให้กำหนดรู้ได้ ๓ อย่าง คือ สภาพที่เกิดขึ้น คือ อุปปาทะ เรียกว่า ชาติ, สภาพที่ตั้งอยู่ คือ ฐีติ เรียกว่า ชรตา, และสภาพที่ดับไป คือ ภังคะ เรียกว่า อนิจจตา นี้นั้น ไม่สามารถเอาเวลามาจับได้
การเกิดดับของรูปนั้น ที่เรียกว่า อายุของรูป ต้องใช้จิตเทียบ เพราะจิตเกิดดับเร็วกว่ารูป เมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เท่ากับ อายุของรูป ๑ รูปดับ และจิต ๑ ขณะ มีสภาพเกิดขึ้น ๑ ขณะเล็ก สภาพตั้งอยู่ ๑ ขณะเล็ก และสภาพดับไป ๑ ขณะเล็ก นี้จึงนับเป็น ๓ ขณะเล็กของจิต ๑ ขณะใหญ่ เมื่อเอา ๓ ขณะเล็กของจิต คูณด้วยขณะใหญ่ ๑๗ ขณะ จึงได้ขณะเล็กทั้งสิ้น ๕๑ ขณะเล็ก ดังนั้น เอาอายุของรูปเทียบกับจิต จึงได้รูปขณะเกิด ๑ ขณะเล็กของจิตขณะใหญ่ขณะที่ ๑ ที่มีสภาพเกิดขึ้น ๑ ขณะเล็ก และรูปดับ ๑ ขณะเล็กของจิตขณะใหญ่ขณะที่ ๑๗ ที่มีสภาพดับไป ๑ ขณะเล็ก ในระหว่างกลางเป็นขณะเล็ก ๔๙ ขณะ เป็นสภาพตั้งอยู่ของรูปนี้ เรียกว่า “ชรตารูป รูปแก่ตัว” ขณะที่ ๕๑ ของรูปที่มีสภาพกำลังดับนี้ เรียกว่า “อนิจจตารูป รูปดับ” ในเรื่องการแตกตัวของรูปตามหลักพุทธศาสน์นี้ จะมีอธิบายในข้างหน้า
ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายที่มีรูปร่างสัณฐานอวัยวะต่างๆ ปรากฏขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยกัมมชรูปเป็นพื้นฐานก่อน แล้วรูปอื่นๆ จึงช่วยปรับปรุงให้รูปร่างสัณฐานและอวัยวะปรากฏชัดเจนขึ้นได้ ถ้าไม่มีกัมมชรูปเป็นพื้นฐานรองรับอยู่ ร่างกายของสัตว์นั้นๆ ก็ไม่ผิดอะไรกับต้นไม้ หรือท่อนไม้ รูปที่เป็นผู้ช่วยปรับปรุงให้รูปร่างสัณฐานอวัยวะปรากฏได้ชัดเจนนั้น ได้แก่ อุตุชรูป ๔ อย่าง และอาหารชรูป

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๙๔ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)

เจริญพร

อุตุชรูป ๔ อย่าง คือ ๑) กัมมปัจจยอุตุชรูป รูปที่เกิดจากอุตุ ที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน, ๒) จิตตปัจจยอุตุชรูป รูปที่เกิดจากอ...ุตุ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน, ๓) อุตุปัจจยอุตุชรูป รูปที่เกิดจากอุตุ ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน, ๔) อาหารปัจจยอุตุชรูป รูปที่เกิดจากอุตุ ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
ด้วยเหตุนี้ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย และรวมเอา กลละรูป ระยะฝักตัว จึงมีอุตุชรูปปกคลุมอยู่ทั่วไปหมด ฉะนั้น เมื่อสัตว์นั้นตายก็ตาม อุตุชรูปก็ยังคงปรากฏอยู่ตลอดไป ส่วนกัมมชรูปและอาหารชรูปนั้น ปรากฏอยู่ได้ในระหว่างที่สัตว์ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เมื่อสัตว์นั้นตายลงแล้ว รูปทั้ง ๒ นี้ ก็ดับไปหมดสิ้น
พระพุทธดำรัส ว่า กลลา โหติ อพฺพุทํ
ต่อจากกลละรูปก็กลายเป็นอัพพุทะรูป ฟองสีขุ่นๆ คล้ายน้ำล้างเนื้อ
อรรถกถาขยายความ ว่า กลลา โหติ อพฺพุทนฺติ ตสฺมา กลลา สตฺตาหจฺจเยน มํสโธวนอุทกวณฺณํ อพฺพุทํ นาม โหติ, กลลนฺติ นามํ อนฺตรธายติ ฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ—



“สตฺตาหํ กลลํ โหติ ปริปกฺกํ สมูหตํ



วิวฏฺฏมานํ ตพฺภาวํ อพฺพุทํ นาม ชายตี”ติฯ
บาทพระคาถาว่า กลลา โหติ อพฺพุทํ มีอธิบายว่า สัปดาห์ที่ ๒ อาศัยสภาพกลละรูปที่แตกตัวแล้วประสานตัว ก็กลายเป็นอัพพุทะรูป ลักษณะเป็นฟองมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ สภาพ กลละรูป ก็หายไป สรุปเป็นคาถาว่า
“มีสภาพเป็น กลละรูป อยู่จนครบ ๗ วัน ถึงความแก่ตัว รวมตัวแปรสภาพ
จากกลละรูปนั้น กลายเป็น อัพพุทะรูป”
แสดงภาพจากอินเตอร์เน็ตหลังปฏิสนธิเป็นกลละรูปแล้วเจริญเติบโตเป็นระยะๆ จนถึงการเข้าฝังตัวที่ผนังมดลูก

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร