วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ค. 2025, 07:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2011, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๑ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
กาลนั้นพระโพธิสัตว์เรียนศิลปะสำเร็จ จากเมืองตักกศิลา มาสู่สำนักบิดามารดา ในพระนครพาราณสี ฟังเรื่องของพระราชานั้น คิดว่าเราต้องถวายการรักษา ไปสู่พระราชทวารให้กราบทูลว่า ได้ยินว่า มาณพผู้หนึ่งมาจะถวายการรักษาพระองค์ พระราชาตรัสว่า แม้ถึงพวกแพทย์ ผู้ทิศาปาโมกข์ใหญ่ๆ ยังไม่สามารถรักษาเราได้ มาณพหนุ่มจักสามารถได้อย่างไร พวกท่านพากันให้เสบียง แล้วปล่อยเขาไปเสียเถิด มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว กล่าว...ว่า ข้าพเจ้าไม่มีเรื่องที่ต้องทำด้วยค่ากำนัลหมอเลย ข้าพเจ้าจักขอถวายการรักษาโปรดให้เพียงค่ายาเท่านั้นแหละ พระราชาทรงสดับคำนั้น แล้วตรัสว่า ลองดูทีรับสั่งให้เรียกมาณพตรวจดูพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าพระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระองค์จักถวายการรักษา ก็แต่ว่าพระองค์ทรงโปรดบอกสมุฏฐานแห่งโรคแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า พระราชาทรงพอพระหทัยตรัสว่า เจ้าจักเอาสมุฏฐานไปทำไม จงบอกยาเท่านั้นเถิด กราบทูลว่าข้าแต่พระมหาราช ธรรมดาหมอทราบว่า ความเจ็บนี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุนี้ ย่อมการทำยาให้ถูกต้องกับความเจ็บนั้นได้พระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า ถูกต้องละพ่อ เมื่อตรัสสมุฏฐานได้ตรัสเรื่องทั้งหมดตั้งต้นแต่ที่มาณพคนหนึ่งมาบอกว่า จักเอาราชสมบัติในสามพระนครมาให้ แล้วตรัสว่า แน่ะพ่อ เราเจ็บคราวนี้เพราะตัณหา ถ้าเจ้าพอจะรักษาได้ ก็จงรักษาเถิด มาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์อาจได้พระนครเหล่านั้นด้วยการเศร้าโศกหรือ ตรัสว่าไม่อาจดอกพ่อ กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุไรพระองค์จึงทรงเศร้าโศก พระเจ้าข้า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมละร่างกายของตนเป็นต้น ตลอดถึงสวิญญาณกทรัพย์(ทรัพย์มีชีวิต) และอวิญญาณกทรัพย์(ทรัพย์ไม่มีชีวิต) ทั้งหมดไป แม้พระองค์จะยึดครองราชสมบัติในพระนครทั้งสี่ได้ พระองค์ก็เสวยพระกระยาหารในสุวรรณภาชนะทั้งสี่ บรรทมเหนือพระที่ทั้งสี่ ทรงเครื่องประดับทั้งสี่พร้อมกันคราวเดียวไม่ได้ พระองค์ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจตัณหา เพราะตัณหานี้ เมื่อเจริญขึ้นย่อมไม่ปล่อยให้พ้นจากอบายทั้งสี่(นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน)ไปได้. พระมหาสัตว์ ครั้นถวายโอวาทพระราชาดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชา ได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า
เมื่อบุคคลปรารถนากาม ถ้าสิ่งที่ปรารถนาของบุคคล นั้นย่อมสำเร็จได้ สัตว์ปรารถนาสิ่งใดได้สิ่งนั้นแล้ว ย่อมมีใจอิ่มเอิบแท้.
เมื่อบุคคลปรารถนากาม ถ้าสิ่งที่ปรารถนาของบุคคลนั้น ย่อมสำเร็จได้ ครั้นสิ่งที่ปรารถนานั้นสำเร็จบุคคลยังปรารถนาต่อไปอีก ก็ย่อมได้ประสบกามตัณหา เหมือนบุคคล ที่ถูกลมแดดแผดเผาในฤดูร้อน ย่อมจะเกิด ความกระหายใคร่จะดื่มน้ำฉะนั้น.
ตัณหาก็ดี ความกระหายก็ดี ของคนพาลผู้มีปัญญาน้อย ไม่รู้อะไร ย่อมเจริญยิ่งขึ้นทุกที เหมือนเขาโคย่อมเจริญขึ้นตามตัวฉะนั้นแม้จะให้สมบัติ ข้าวสาลี ข้าวเหนียว โค ม้า ข้าทาสหญิงชายหมดทั้งแผ่นดิน ก็ยังไม่พอแก่คนคนเดียว รู้อย่างนี้ แล้วพึงประพฤติธรรมสม่ำเสมอ.
พระราชาทรงปราบชนะทั่วแผ่นดิน ทรงครอบครอง แผ่นดินใหญ่ มีมหาสมุทร เป็นขอบเขต ทรงครองมหา สมุทรฝั่งนี้แล้ว ...มีพระทัยไม่อิ่ม ยังปรารถนา แม้มหาสมุทร ฝั่งโน้นต่อไปอีก.
เมื่อยังระลึกถึงกามอยู่ตราบใด ก็ไม่ได้ความอิ่มด้วยใจตราบนั้น ชนเหล่าใดบริบูรณ์ด้วยปัญญา มีกายและใจหลีกเว้นจากกามทั้งหลาย เห็นโทษด้วยญาณ ชนเหล่านั้น นั่นแลชื่อว่าเป็นผู้อิ่ม.
บรรดาความอิ่มทั้งหลาย ความอิ่ม ด้วยปัญญาประเสริฐ เพราะผู้อิ่มด้วยปัญญานั้น ย่อมไม่เดือดร้อนด้วยกามทั้งหลาย คนผู้อิ่มด้วยปัญญา ตัณหาย่อมกระทำให้อยู่ในอำนาจไม่ได้.
ไม่พึงสั่งสมกามทั้งหลาย พึงเป็นผู้มีความปรารถนา น้อย ไม่มีความละโมบ บุรุษผู้มีปัญญา เปรียบด้วยมหาสมุทร ย่อมไม่เดือดร้อน เพราะกามทั้งหลาย.
ช่างทำรองเท้าหนังเลี้ยงชีพ เมื่อประกอบรองเท้าส่วนใดควรเว้นก็เว้น เลือกเอาแต่ส่วนที่ดีๆ มาทำรองเท้าขายได้ราคาแล้ว ย่อมมีความสุข เราก็ฉันนั้น เหมือนกัน พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว ละทิ้งส่วนแห่งกามเสีย ย่อมถึงความสุข ถ้าพึงปรารถนาความสุขทั้งปวงก็พึงละกามทั้งปวงเสีย.



ก็เมื่อพระมหาสัตว์กำลังกล่าวคาถานี้อยู่ ได้เกิดฌานมีโอทาตกสิณ เป็นอารมณ์ เพราะหน่วงเอาพระเศวตฉัตรของพระราชาเป็นอารมณ์. แม้พระราชาก็ทรงหายจากโรค พระองค์ทรงมีความยินดี เสด็จลุกจากพระที่บรรทมได้

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2011, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปดูงานที่ดูไบกลับวันที่ 24 เจอกันวันอาทิตย์นี้นะครับทุกๆท่าน...^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๒ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ตัณหา เมื่อเกิดขึ้นทีแรกนั้น ถ้าไม่พยายามป้องกันปล่อยให้ลุกลามมากขึ้นแล้ว ก็กลายเป็นอุปาทานไป และยากที่จะทำลายให้หายได้. ดังนั้น ตัณหา นี้ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกามุปาทานต่อไปนี้แสดงตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทิฏฐุปาทาน ซึ่งความยินดีติดใจในอารมณ์นั้นๆ เป็นเหตุให้ความเห็นผิดที่ไม่เกี่ยวกับสีลัพพตทิฏฐิ และอัตตทิฏฐิทั้ง ๒ เกิดขึ้นก่อน ชื่อว่า ทิฏฐุปาทาน คำว่า “อารมณ์” นั้น ต้องย้ำทำความเข้าใจให้ดีว่า “ไม่ใช่จิต...ใจ” แต่เป็นสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง มี สี เสียง เป็นต้น ทำให้จิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ เช่น สีต่างๆ ทำให้จิต(จักขุวิญญาณจิต)ที่เกิดทางตา ทำหน้าที่ “เห็น” อย่างนี้เป็นต้น, จากข้างต้น ได้กล่าวถึง “ทิฏฐิ” ไว้แล้ว ก็คือความเห็นผิด เมื่อเกิดความยึดติด ยึดมั่น ความเห็นผิด อย่างเหนียวแน่น จึงได้ชื่อว่า ทิฏฐุปาทาน
อารมณ์ที่เป็นเครื่องล่อทำให้จิตเกิดความชอบใจพอใจนั้น อารมณ์ดังกล่าว จึงมีได้ทั้งอารมณ์ที่เป็นภายในและที่เป็นภายนอก อารมณ์ที่เป็นภายใน ได้แก่ ตัวของตนเอง(เช่น หน้าตาหล่อ สวย, ผิวพรรณดี ทราม, ผม ขน เล็บ, กระเพาะ ม้าม, กระดูก เป็นต้น) ความชอบใจพอใจตัวของตนเองเป็นเหตุทำให้ทิฏฐิเกิดขึ้นก็ได้ และความชอบใจพอใจในอารมณ์ภายนอก คือสิ่งมีชีวิต(ที่ไม่ใช่ตัวเอง)และไม่มีชีวิตทั้งหลายนั้น ก็เป็นเหตุให้ทิฏฐิเกิดขึ้นได้ ดังมีคำพูดว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ซึ่งมีเรื่องพระเจ้าอังคติ เป็นตัวอย่าง
พระเจ้าอังคติราช ผู้ครองเมืองมิถิลา อยู่ในแคว้นวิเทหะ ทรงเชื่อถือคำพูดของเสนาบดี ชื่อว่า อลาตะเสนาบดีๆ คิดว่า อาชีวก ผู้ชื่อว่า คุณะ ผู้เข้าสู่ตระกูลของเรานี้ อยู่ในราชอุทยาน เราจะสรรเสริญ อาชีวกนั้น กระทำให้เป็นผู้เข้าถึงราชตระกูล ได้กราบทูลว่า อาชีวกท่านหนึ่งเป็นอเจลกะ(เปลือยกาย) ที่โลกสมมติว่า เป็นนักปราชญ์อยู่ ในป่ามฤคทายวัน อเจลกะผู้นี้ชื่อว่า “คุณะ” ผู้กัสสปโคตรเป็นพหูสูต พูดจาไพเราะ เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ขอเดชะ เราทั้งหลายควรเข้าไปหาเธอ เธอจักขจัดความสงสัยของเราทั้งหลายได้.
พระราชา ได้ทรงสดับคำของอลาตเสนาบดีแล้ว ได้ตรัสสั่งสารถีว่า เราจะไปยังป่ามฤคทายวัน ท่านจงนำยานเทียมม้ามาที่นี่. เมื่อจะทรงประกาศความนั้น เสด็จถึงมฤคทายวัน โดยครู่เดียว เสด็จลงจากราชยานแล้ว ทรงดำเนินเข้าไปหาคุณาชีวก พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ก็ในกาลนั้น มีพราหมณ์และคฤหบดี มาประชุมกันอยู่ในพระราชอุทยานนั้น พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น พระราชามิให้ลุกหนีไป.
พระเจ้าอังคติราชนั้น แวดล้อมไปด้วยบริษัท ทรงปะปนกับชนเหล่านั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทรงกระทำปฏิสันถาร ได้ทรงปราศรัย ถามทุกข์ สุขว่า ผู้เป็นเจ้าสบายดีอยู่หรือ ลมมิได้กำเริบเสียดแทงหรือ ผู้เป็นเจ้าเลี้ยงชีวิตโดยมิฝืดเคืองหรือ ได้บิณฑบาต พอเยียวยาชีวิตให้เป็นไปอยู่หรือ ผู้เป็นเจ้ามีอาพาธน้อยหรือ จักษุมิได้เสื่อมไปจากปรกติหรือ.
คุณาชีวก ทูลปราศรัยกับพระเจ้าวิเทหราช ผู้ทรงยินดีในวินัยว่า ข้าแต่มหาราชา ข้าพระพุทธเจ้าสบายดีทุกประการ บ้านเมืองของพระองค์ไม่กำเริบหรือช้างม้าของพระองค์หาโรคมิได้หรือ พาหนะยังพอเป็นไปแหละหรือ พยาธิไม่เบียดเบียนพระสรีระของพระองค์แลหรือ

เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๓ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
เมื่อคุณาชีวกทูลปราศรัยแล้ว ลำดับนั้น พระราชาผู้เป็นจอมทัพทรงใคร่ธรรม ได้ตรัสถามอรรถธรรมและความประพฤติดีนี้ว่าท่านกัสสป ขอท่านจงบอก อรรถแห่งบาลี ธรรมแห่งบาลี และอรรถธรรมอัน สมควรแก่เหตุ อันแสดงการปฏิบัติในมารดาและบิดาเป็นต้นแก่ข้าพเจ้า นรชนพึงประพฤติธรรม ในมารดาและบิดาอย่างไร พึงประพฤติธรรมในอาจารย์ อย่างไร พึงประพฤติธรรมในบุตรและภรรยาอย่างไร พึง...ประพฤติธรรมในวุฒิบุคคลอย่างไร พึงประพฤติธรรมในพลนิกายอย่างไร และพึงประพฤติธรรมในชนบทอย่างไร ชนทั้งหลายประพฤติธรรมอย่างไร ละโลกนี้ไปแล้วจึงไปสู่สุคติ ส่วนชนบางพวกตั้งอยู่ในอธรรมอย่างไร คนบางพวกจึงเอาหัวลงตกสู่นรก และเอาเท้าขึ้น ตกไปในอบาย.
ก็ปัญหานั้นเป็นปัญหา ที่พระราชาควรจะตรัสถาม ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ในบรรดาพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธสาวก และพระมหาโพธิสัตว์ แต่กลับตรัสถาม คุณาชีวก ผู้เปลือยกาย หาสิริมิได้ เป็นคนอันธพาล ไม่รู้ข้อแก้ปัญหาอะไรเลย. คุณาชีวกนั้น ครั้นถูกถามแล้วอย่างนี้ จึงไม่เห็นลู่ทางที่จะพยากรณ์ให้เหมาะสมแก่ราชปุจฉา ซึ่งเป็นประหนึ่งเอาท่อนไม้ตีโคที่กำลังเที่ยวไปอยู่ หรือเหมือนใช้จวักคราดหยากเยื่อ ฉะนั้น แต่ได้ทูลขอโอกาสว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าขอพระองค์จงสดับเถิด แล้วเริ่มตั้งมิจฉาวาทะของตน.
คุณาชีวกกัสสปโคตร ได้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราช ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา ขอพระองค์ทรงสดับ ทางที่จริงแท้ของพระองค์ ผลแห่งธรรมที่ประพฤติแล้วเป็นบุญเป็นบาปไม่มี ชื่อว่าผู้จากปรโลกนั้น มาสู่โลกนี้ย่อมไม่มี ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เฉพาะปิยชนทั้งหลาย มีปู่ย่าตายายเป็นต้นย่อมไม่มี เมื่อท่านเหล่านั้นไม่มี มารดาจะมีแต่ที่ไหน บิดาจะมีแต่ที่ไหน? ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ไม่มี ใครจักฝึกผู้ที่ฝึกไม่ได้ สัตว์เสมอกันหมด ผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญไม่มี กำลังหรือความเพียรไม่มี บุรุษผู้มีความหมั่นจักได้รับผลแต่ที่ไหน สัตว์ที่เกิดตามกันมา เหมือนเรือน้อยที่ผูกห้อยท้าย ตามหลังเรือใหญ่ไปฉันใด สัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมติดตามไปอย่างแน่นอนทีเดียวถึง ๘๔ กัป สัตว์ย่อมได้สิ่งที่ควรได้ ในข้อนั้น ผลทานจักมีแต่ที่ไหน เมื่อผลของทานไม่มีด้วยอาการอย่างนี้ คนพาลคนใดคนหนึ่ง ย่อมชื่อว่า ให้ทาน ท่านแสดงไว้ว่า คนพาลนั้นไม่มีอำนาจไม่มีความเพียร ย่อมให้ทานโดยอำนาจ คือโดยกำลังของตนหาได้ไม่ แต่ย่อมเชื่อต่อคนอันธพาลเหล่าอื่น จึงให้ด้วยสำคัญว่า ผลทานย่อมมี คนเขลาเท่านั้นย่อมให้ทานนั้น บัณฑิตย่อมคอยรับทานที่คนอันธพาลบัญญัติไว้ว่า ควรให้ทานแล คนโง่สำคัญตัวว่าฉลาด เป็นผู้ไม่มีอำนาจ ย่อมให้ทานแก่นักปราชญ์ทั้งหลาย

เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๔ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ครั้นคุณาชีวก ทูลพรรณนาภาวะที่ทาน เป็นของไม่มีผลอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อพรรณนา ถึงบาปที่ไม่มีผล จึงกล่าวว่ารูปกายอันเป็นที่รวม ดิน น้ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์และชีวิต ๗ ประการนี้ เป็นของเที่ยง ไม่ขาดสูญ ไม่กำเริบ รูปกาย ๗ ประการนี้ ของสัตว์เหล่าใด ชื่อว่าขาดไม่มี ผู้ที่ถูกฆ่าหรือถูกตัด หรือผู้ใดพึงเบียดเบียน แม้ผู้นั้นก็ไม่จัดว่าเป็นผู้ทำร้าย ศาสตราท...ั้งหลายพึงเป็นรูปในระหว่างรูปกาย ๗ ประการนี้ ผู้ใดตัดศีรษะของผู้อื่นด้วยดาบอันคม ผู้นั้นไม่ชื่อว่าตัดร่างกายเหล่านั้น ธาตุดิน ก็จัดเป็นปฐวีธาตุ ธาตุลมเป็นต้น ก็จัดเข้าเป็นอาโยธาตุเป็นต้น สุข ทุกข์และชีวิต ย่อมแล่นไปสู่อากาศ ในการทำเช่นนั้นผลบาปจะมีแต่ที่ไหน ดูก่อนมหาราชเจ้า สัตว์เหล่านี้จะทำแผ่นดินนี้ ให้เป็นลานเนื้ออันหนึ่งก็ดี ท่องเที่ยวไปตลอดกัปมีประมาณเท่านี้ก็ดี ก็หาบริสุทธิ์ได้ไม่ จริงอยู่ ชื่อว่าผู้สามารถจะชำระเหล่าสัตว์ให้บริสุทธิ์จากสงสารย่อมไม่มี สัตว์ทั้งหมดนั้น ย่อมบริสุทธิ์ด้วยสงสารนั่นเอง เมื่อยังไม่ถึงอนาคตกาล ผู้ที่สำรวมดีก็ดี ผู้มีศีลบริสุทธิ์ก็ดีในระหว่าง ย่อมไม่บริสุทธิ์ เมื่อยังไม่ถึงกาลนั้นแม้จะประพฤติความดีมากมาย ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าแม้กระทำบาปมากมาย ก็ไม่ล่วงขณะนั้นไปในวาทะของเราทั้งหลาย ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้โดยลำดับเมื่อถึง ๘๔ กัป พวกเราไม่ล่วงเลยเขตอันแน่นอนนั้นเหมือนคลื่นไม่ล่วงฝั่งไปฉะนั้น.
คุณาชีวก ผู้มีวาทะว่าขาดสูญ เมื่อจะยังวาทะของตนให้สำเร็จ ตามกำลังของตน จึงกราบทูลโดยหาหลักฐานมิได้.
อลาตเสนาบดี ได้ฟังคำของคุณาชีวกกัสสปโคตรแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านผู้เจริญกล่าวฉันใด คำนั้นข้าพเจ้าชอบใจฉันนั้น แม้ข้าพเจ้าก็ระลึกชาติหนหลัง ของตนได้ชาติหนึ่ง คือในชาติก่อนข้าพเจ้าเกิดในเมืองพาราณสีอันเป็นเมืองมั่งคั่ง เป็นนายพรานฆ่าโค ชื่อว่า ปิงคละ ข้าพเจ้าได้ทำบาปธรรมไว้มาก ได้ฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต คือ กระบือ สุกร แพะ เป็นอันมาก ข้าพเจ้า จุติตายจากชาตินั้นแล้ว มาปฏิสนธิเกิดในตระกูลเสนาบดีอันบริสุทธิ์นี้ บาปไม่มีผลแน่ ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องไปนรก.
ได้ยินว่า อลาตเสนาบดีนั้น กระทำการบูชาด้วยพวงดอกอังกาบที่เจดีย์ ในกาลแห่งพระทศพลทรงพระนามกัสสปะในกาลก่อน ในมรณสมัยถูกกรรมอื่นซัดไป ตามอานุภาพ ท่องเที่ยวไปในสงสาร ด้วยผลแห่งบาปกรรมอันหนึ่ง จึงบังเกิดในตระกูลแห่งโคฆาต ได้กระทำกรรมเป็นอันมาก ครั้นในเวลาที่เขาจะตายบุญกรรมอันนั้นที่ตั้งอยู่ตลอดกาลประมาณเท่านี้ได้ให้โอกาส เหมือนไฟที่เอาขี้เถ้าปิดไว้ฉะนั้น. ด้วยอานุภาพแห่งกรรมนั้นเขาจึงบังเกิดในที่นี้ ได้รับสมบัติ เช่นนั้น และระลึกชาติได้ เมื่อไม่อาจระลึกถึงกรรมอื่น จากอนันตรกรรมต่อเนื่องไปในอดีตอื่นอีก จึงสนับสนุนวาทะของคุณาชีวกนั้นด้วยสำคัญว่า เราได้กระทำกรรมคือ การฆ่าโคจึงบังเกิดในตระกูลเสนาบดีอันบริสุทธิ์นี้.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2011, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๕ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)

ครั้งนั้น ในมิถิลานครนี้ มีคนเข็ญใจเป็นทาสเขาผู้หนึ่ง ชื่อว่า วีชกะ รักษาอุโบสถศีล ได้เข้าไปยังสำนักของคุณาชีวก ได้ฟังคำของกัสสปคุณาชีวก และอลาตเสนาบดีกล่าวกันอยู่ ถอนหายใยฮึดฮัด ร้องไห้น้ำตาไหล.พระเจ้าวิเทหราช ได้ตรัสถามนายวีชะนั้นว่า สหายเอ๋ย เจ้าร้องไห้ทำไม เจ้าได้ฟังได้เห็นอะไรมา หรือเจ้าได้รับเวทนาทางกาย หรือทางจิตอะไรหรือเป็นอย่างไร เจ้าจึงร้องไห้อย่างนี้ จงบอกให้เราทราบ เจ้ากระทำคนให้ลำบากอย่างไรหรือ จงบอกเรา.
นายวีชกะได...้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่มีทุกขเวทนาเลย ข้าแต่พระมหาราชา ขอได้ทรงพระกรุณา ฟังข้าพระพุทธเจ้า แม้ข้าพระพุทธเจ้า ก็ยังระลึกถึงความสุขสบายของตน ในชาติก่อนได้ คือ ในชาติก่อนข้าพระพุทธเจ้า เกิดเป็นเศรษฐี ชื่อ ภาวะเศรษฐี ผู้มีสมบัติ ๘๐โกฏิ ยินดีในคุณธรรม อยู่ในเมืองสาเกต ข้าพระพุทธเจ้านั่นอบรมตนดีแล้ว ยินดีในการบริจาคทาน แก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มีการงานอันสะอาด ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบาปกรรม ที่ตนกระทำแล้วไม่ได้เลย ข้าแต่พระเจ้าวิเทหราช ข้าพระพุทธเจ้าจุติตายจากชาตินั้นแล้ว มาปฏิสนธิเกิดในครรภ์ ของนางกุมภทาสีหญิงขัดสน ในเมืองมิถิลามหานครนี้ จำเดิมแต่เวลาที่เกิดแล้ว ข้าพระพุทธเจ้า ก็ยากจนเรื่อยมา แม้ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในความประพฤติสม่ำเสมอทีเดียว คงเป็นคนยากจนอย่างนี้ ก็ตั้งมั่นอยู่ในความประพฤติชอบ ได้ให้อาหารกึ่งหนึ่ง แก่ท่านที่ปรารถนา ได้รักษาอุโบสถศีลในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ทุกเมื่อไม่ได้เบียดเบียนสัตว์และไม่ได้ลักทรัพย์เลย กรรมทั้งปวงที่ข้าพระพุทธเจ้าประพฤติดีแล้วนั้น ไร้ผลเป็นแน่ ศีลนี้เห็นจะไร้ประโยชน์ เหมือนอลาตเสนาบดีนี้ กล่าวว่า เรากระทำกรรมชั่ว ทำแต่ปาณาติบาตไว้มากในภพก่อน ก็ยังได้ตำแหน่งเสนาบดี เพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงสำคัญว่า ศีลไร้ประโยชน์ ข้าพระพุทธเจ้า กำเอาแต่ความปราชัยไว้ เหมือนนักเลงผู้ไม่ได้ฝึกหัด พึงให้สมบัติของตนในภพก่อนฉิบหายไป บัดนี้ข้าพเจ้าจึงเสวยทุกข์ ฉันนั้นเป็นแน่ ส่วนอลาต เสนาบดีย่อมกำเอาแต่ชัยชนะไว้ ดังนักเลงผู้ชำนาญ การพนัน ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้า ไม่เห็นประตูอันเป็นเหตุสุคติเลย ข้าแต่พระราชา เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำของกัสสปคุณาชีวกแล้วจึงร้องไห้.
ดังได้สดับมา ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ในปางก่อน. นายวีชกบุรุษนั้น เกิดเป็นนายโคบาล แสวงหาโคพลิพัท ที่หายไปในป่า ถูกภิกษุรูปหนึ่งผู้หลงทาง ถามถึงหนทาง ก็ได้นิ่งเสีย ถูกท่านถามอีก ก็โกรธแล้วกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า สมณะขี้ข้านี้ปากแข็ง ชะรอยว่าท่านนี้จะเป็นขี้ข้าเขา จึงปากแข็งยิ่งนัก. กรรมหาได้ให้ผลในชาตินั้นไม่ ตั้งอยู่เหมือนไฟ ที่มีเถ้าปิดไว้ ฉะนั้น ถึงเวลาตาย กรรมอื่นก็ปรากฏ. เขาจึงท่องเที่ยวอยู่ในวัฎสงสารตามลำดับของกรรม เพราะผลแห่งกุศลกรรมอย่างหนึ่ง เขาจึงเป็นเศรษฐี มีประการดังกล่าวแล้ว ในเมืองสาเกต ได้กระทำบุญมีทานเป็นต้น. ก็กรรมที่เขาด่าภิกษุ ผู้หลงทางนั้นตั้งอยู่ ประหนึ่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ในแผ่นดิน ได้โอกาสจึงให้ผลแก่เขาในอัตภาพนั้น. เขาเมื่อไม่รู้จึงกล่าวอย่างนั้นด้วยสำคัญว่า ด้วยกรรมอันดีงามนอกนี้ เราจึงเกิดในท้องของนางกุมภทาสี

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2011, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๖ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระเจ้าอังคติราชสดับคำของคนทั้ง ๒ และ นายวีชกะแล้ว กลายเป็นคนยึดมั่นมิจฉาทิฏฐิ จึงได้ตรัสว่า ประตูสุคติไม่มี ดูก่อนวีชกะผู้สหาย เจ้าจงตรองดู นั่นแหละใช่เลย ได้ยินว่าสุขหรือทุกข์สัตว์ย่อมได้เองแน่นอนที่จริง สัตว์ทั้งปวง บริสุทธิ์หมดจด ได้ด้วยการเวียนเกิดเวียนตาย มีกาลอีกประมาณ ๘๔ มหากัปป์เท่านั้น เมื่อยังไม่ถึงกาลนั้นแล้ว เราจะไปสู่เทวโลกในระหว่างได้ ท่านอย่ารีบด่วนไปเลย เมื่อก่อน แม้เราก็เป็นผู้กระทำความดี ขวนขวายในพราหมณ์และคฤหบดีทั...้งหลาย นั่งในที่เป็นที่วินิจฉัย แล้วพร่ำสอนตามบัญญัติ แห่งราชกิจอยู่เนืองๆ งดเว้นจากความยินดี ในกามคุณตลอดกาลประมาณเท่านี้.
ก็แลครั้นพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ตรัสบอกลาคุณาชีวกว่า ท่านกัสสปโคตร พวกข้าพเจ้าประมาทมาแล้วสิ้นกาลเท่านี้ แต่บัดนี้พวกข้าพเจ้า ได้อาจารย์แล้ว ตั้งแต่นี้ไปพวกข้าพเจ้า จะเพลิดเพลินยินดีอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น แม้การฟังธรรม ในสำนักของท่าน ให้มากมายยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ก็จะเป็นกาลเนิ่นช้า เสียเวลาของพวกข้าพเจ้าเปล่าๆ ท่านจงหยุดเถิด พวกข้าพเจ้าจักลาไปละดังนี้ จึงตรัสคาถาว่า
ถ้าการคบหาสมาคมของพวกข้าพเจ้า ในที่แห่งหนึ่งจักไม่เกิดผล คือ เมื่อผลบุญไม่มี แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่เราจะมาเยี่ยมท่านอีก
พระเจ้าวิเทหราชครั้นตรัสคำนี้แล้ว จึงเสด็จขึ้นสู่รถพระที่นั่ง กลับไปยังพื้นจันทกปราสาทอันเป็นพระราชนิเวศน์ของพระองค์.
ตอนแรกพระราชาเสด็จไปยังสำนักของคุณาชีวก ทรงทำนมัสการก่อน แล้วจึงได้ตรัสถามปัญหา ก็แล ในขณะก่อนเสด็จกลับ จึงไม่ทรงทำนมัสการคุณาชีวก แม้เพียงแค่การทำนมัสการ คุณาชีวกยังไม่ได้รับ เพราะตนปฏิเสธเหตุผลที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จึงกลายเป็นผู้ไม่มีคุณ ที่พระราชาจะต้องทดแทน เหตุไฉนเล่า ที่คุณาชีวกจะได้รับเครื่องพระราชทาน ลาภสักการะ มีข้าวสารอาหารแห้งเป็นต้น. ส่วนพระราชาทรงยังคืนนั้นให้ผ่านไป วันรุ่งขึ้นจึงให้ประชุมเหล่าอำมาตย์แล้วตรัสว่า พวกท่านจงบำเรอกามคุณกันเถิด นับแต่วันนี้ไปเราจะเสวยความสุขในกามคุณเท่านั้น อย่าพึงรายงานกิจการอื่นให้เราทราบเลย ผู้ใดผู้หนึ่งจงกระทำการวินิจฉัยเถิด ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงมัวเมาเพลิดเพลินยินดีอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2011, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๗ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ตั้งแต่รุ่งสว่าง พระเจ้าอังคติราชรับสั่งให้ประชุมเหล่าอำมาตย์ ในที่ประทับสำราญพระองค์แล้วตรัสว่า จงจัดกามคุณทั้งหลายเพื่อเราไว้ในจันทกปราสาทของเราทุกเมื่อ เมื่อข้อราชการลับและเปิดเผยเกิดขึ้น ใครๆ อย่าเข้ามาหาเรา อำมาตย์ผู้ฉลาดในราชกิจ ๓ นายคือ วิชยอำมาตย์ ๑ สุนามอำมาตย์ ๑ อลาตเสนาบดี ๑ จงนั่งพิจารณาข้อราชการเหล่านั้น พระเจ้าวิเทหราช ครั้นตรัสดังนี้แล้วจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงใส่ใจกามคุณใ...ห้มาก ไม่ต้องขวนขวายในพราหมณ์ คฤหบดีและกิจการอะไรเลย.
จำเดิมแต่ที่พระราชาติดข้องอยู่ในเปือกตมคือกามคุณนั้น มาจนถึงวันที่ ๑๔ ราชกัญญาพระนามว่ารุจา ผู้เป็นพระธิดาที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราช ได้ตรัสกะพระพี่เลี้ยงว่า ขอท่านทั้งหลาย ช่วยประดับให้ฉันด้วย และหญิงสหายทั้งหลายของเราจงประดับ พรุ่งนี้ ๑๕ค่ำ เป็นวันทิพย์ ฉันจะไปเฝ้าพระชนกนาถ. พระพี่เลี้ยงทั้งหลาย ได้จัดมาลัย แก่นจันทน์ แก้วมณี สังข์ แก้วมุกดาและผ้าต่างๆ สี อันมีค่ามาก มาถวายแก่พระนางรุจาราชกัญญา หญิง บริวารเป็นอันมาก ห้อมล้อมพระนางรุจาราชธิดาผู้มีพระฉวีวรรณงามผุดผ่อง ประทับนั่งอยู่บนตั่งทองงามโสภาราวกะนางเทพกัญญา.
ดังได้สดับมา ในวันที่ ๑๔ พระนางรุจาราชธิดา ทรงผ้าสีต่างๆ แวดล้อมไปด้วยหมู่กุมารี ๕๐๐ พาหมู่พระพี่เลี้ยงนางนม ลงจากปราสาท ๗ ชั้น ด้วยสิริวิลาสอันใหญ่ยิ่ง เสด็จไปยังจันทกปราสาท เพื่อเฝ้าพระชนกนาถ. ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราช ทอดพระเนตรเห็นพระธิดา ทรงมีพระทัยยินดี ชื่นบาน ให้จัดมหาสักกาหะต้อนรับ เมื่อจะส่งกลับ จึงได้พระราชทานทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้วส่งไปด้วย ตรัสว่า นี่ลูก เจ้าจงให้ทาน พระนางรุจานั้นเสด็จกลับไปยังนิเวศน์ของตนแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงทรงรักษาอุโบสถศีล ทรงให้ทานแก่คนกำพร้าคนเดินทางไกล ยาจกและวนิพกเป็นอันมาก.
ได้ยินว่า พระเจ้าวิเทหราช ได้พระราชทาน ชนบทแห่งหนึ่ง แก่พระธิดาพระนางรุจาเพื่อให้ทรงกระทำกิจทั้งปวง ด้วยรายได้จากชนบทนั้น ก็ในกาลนั้น เกิดคำโจทย์ขานขึ้นทั่วพระนครว่า พระราชาทรงอาศัยคุณาชีวก จึงทรงถือมิจฉาทิฏฐิ.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2011, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๘ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พวกพระพี่เลี้ยงนางนม ได้ยินเขาลือกันดังนั้น จึงมาทูลพระนางรุจาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เขาลือกันว่า พระชนกของพระองค์ ทรงสดับถ้อยคำ ของอาชีวกแล้วทรงถือมิจฉาทิฏฐิ และได้ยินว่าพระราชานั้น ตรัสสั่งให้รื้อโรงทานที่ประตูเมืองทั้ง ๔ และทรงข่มขืนหญิงและเด็กหญิงที่ผู้อื่นหวงห้าม มิได้ทรงพิจารณาถึงพระราชกรณียกิจเลย ทรงมัวเมาอยู่แต่ในกามคุณ. พระนางรุจานั้นได้ทรงสดับคำของพระพี่เลี้ยงนางนมเหล่านั้น ก็ทรงสลดพระหฤทัย จึงทร...งพระดำริว่า เพราะเหตุอะไรหนอ พระชนกของเราจึงเสด็จเข้าถามปัญหากะคุณาชีวก ผู้ปราศจากคุณธรรม ไม่มีความละอาย ผู้เปลือยกายเช่นนั้น สมณพราหมณ์ผู้มีธรรมเป็นกรรมวาที ควรที่จะเข้าไปถามมีอยู่มิใช่หรือ แต่เว้นเราเสียแล้ว คนที่จะปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระชนกของเรา ให้กลับตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิอีก คงจะไม่มีใครสามารถ ก็เราระลึกถึงชาติได้ถึง ๑๔ ชาติ คือ ที่เป็นอดีต ๗ ชาติ ที่เป็นอนาคต ๗ ชาติ เพราะฉะนั้น เราจะทูลแสดง กรรมชั่ว ที่ตนทำในชาติก่อน และแสดงผลแห่งกรรม ปลุกพระชนกของเราให้ทรงตื่น ก็ถ้าเราจักเฝ้าในวันนี้ไซร้ พระชนกของเราคงจะท้วงเราว่า เมื่อก่อนลูกเคยมาทุกกึ่งเดือน เพราะเหตุไรวันนี้จึงรีบมาเล่า ถ้าเราจะทูลว่า กระหม่อมฉันมาในวันนี้นั้น เพราะได้ทราบข่าวเล่าลือกันว่า พระองค์ทรงถือมิจฉาทิฏฐิ ดังนี้ คำของเราจะหมดคุณค่า ไม่หนักแน่น เพราะฉะนั้น วันนี้เราอย่าไปเฝ้าเลย ถึงวัน ๑๔ ค่ำ จากนี้ไป เฉพาะในวัน ๑๔ ค่ำในกาฬปักข์ เราจะทำเป็นไม่รู้ เข้าไปเฝ้า โดยอาการที่เคยเข้าไปเฝ้าในกาลก่อนๆ ครั้นเวลากลับ เราจักทูลขอพระราชทรัพย์พันหนึ่งมาทำงาน เมื่อนั้นพระชนกของเรา จักแสดงการถือมิจฉาทิฏฐิแก่เรา ลำดับนั้น เราจักมีโอกาสให้พระองค์ทรงละทิ้งมิจฉาทิฏฐินั้นเสียได้ด้วยกำลังของตน. เพราะฉะนั้น ในวัน ๑๔ ค่ำ พระนางรุจาราชธิดาจึงทรงใคร่จะไปเฝ้าพระชนกนาถ
ก็พระนางรุจาราชธิดานั้น ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เสด็จไป ณ ท่ามกลางหญิงสหาย เพียงดังสายฟ้าแลบออกจากกลีบเมฆ เสด็จเข้าสู่จันทกปราสาท พระนางรุจาราชธิดาเสด็จเข้าไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ถวายบังคมพระชนกนาถ ผู้ทรงยินดี ในวินัยแล้วประทับอยู่ ณ ที่ตั่งอันล้วนแล้วด้วยทองคำ วิจิตรด้วยรัตนะ ๗.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2011, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๙ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
ก็พระเจ้าวิเทหราช ทอดพระเนตรเห็นพระนางรุจาราชธิดา ผู้ประทับอยู่ท่ามกลางหญิงสหาย ซึ่งเป็นดังสมาคมแห่งนางเทพลอัปสร จึงตรัสถามว่าลูกหญิงยังรื่นรมย์อยู่ในรติวัฑฒปราสาท ที่สวยเหมือนเวชยันตปราสาท ซึ่งพ่อสร้างไว้เพื่อเจ้าอยู่หรือ และสระโบกขรณี อันมีส่วนเปรียบด้วยนันทโบกขรณี ซึ่งพ่อสร้างไว้เพื่อลูก เจ้ายังประพาสเที่ยวอยู่ในอุทยาน กับเล่นน้ำ อย่างเพลิดเพลินอยู่หรือ น...างกำนัลยังนำเอาของเสวยมากอย่างมาให้ลูกหญิงอยู่เสมอๆ หรือ ลูกหญิงและเพื่อนหญิงของลูก ยังเก็บดอกไม้ร้อยพวงมาลัยนั้นเล่นเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์หรือ ยังทำเรือนเฉพาะหลังเล็ก เล่นเพลิดเพลินอยู่หรือ พวกเจ้ายังกระทำเรือนดอกไม้ ห้องดอกไม้ ที่นั่งดอกไม้และที่นอนดอกไม้ เหมือนอย่างแข่งขันทำกันอย่างนี้ว่า เราจะทำให้ดีกว่านี้ และเล่นเพลิดเพลินอยู่หรือ ลูกหญิงขาดแคลนอะไรบ้าง เขารีบนำสิ่งของมาให้ ทันใจลูกอยู่หรือ ลูกรักเจ้าผู้มีพักตร์อันผ่องใส(หญิงสมัยโบราณ มีวิธีทำหน้าให้ผ่องใส จะใช้ปลายเมล็ดพันธุ์ผักกาดพอกหน้าไว้ก่อน เพื่อกำจัดโลหิตเสียที่ใบหน้า แต่นั้นทาด้วยผงดิน เพื่อทำโลหิตให้สม่ำเสมอ ต่อมาพอกด้วยปลายเมล็ดงา เพื่อทำผิวให้ผ่องใส) เพราะเจ้าชอบใช้เครื่องประเทืองผิวอะไรจงบอกแก่พ่อเถิด แม้สิ่งนั้นที่จะทำให้เจ้ามีพักตร์งดงามกว่าดวงจันทร์ พ่อจะได้ให้จัดแจงให้แก่ลูก.
พระนางรุจาราชธิดาได้สดับพระดำรัส ของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา กระหม่อมฉันย่อมได้ของทุกๆ อย่าง ในสำนักของทูลกระหม่อม พรุ่งนี้ ๑๕ ค่ำ เป็นวันทิพย์ ขอราชบุรุษทั้งหลายจงนำพระราชทรัพย์หนึ่งพันมาให้ กระหม่อมฉัน จักให้ทานแก่วนิพกทั้งปวงตามที่ให้มาแล้ว.
พระเจ้าอังคติราชได้สดับพระดำรัส ของพระนางรุจาราชธิดาแล้วตรัสว่า ลูกหญิงทำทรัพย์ให้พินาศเสียเป็นอันมาก หาผลประโยชน์มิได้ ลูกหญิงรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคข้าวน้ำเป็นแน่ อย่างนี้นะ ไม่ใช่บุญ เพราะบุญไม่เกิดมี แก่ผู้บริโภคหรือ ไม่บริโภค คนทั้งปวงพึงบริสุทธิ์ได้โดยไม่ล่วงเลย ๘๔ มหากัปป์แล
แต่เดิมพระเจ้าอังคติราชนั้น แม้พระราชธิดา เคยทูลขอ ก็ได้ให้ทรัพย์หนึ่งพัน ด้วยตรัสว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงให้ทาน แต่วันนั้นแม้ถูกพระราชธิดาทูลขอก็ไม่ให้ เพราะถือมิจฉาทิฏฐิจึงทรงนำแม้เรื่องแห่งวีชกบุรุษมาเป็นอุทาหรณ์แก่พระราชธิดาว่า
แม้วีชกบุรุษ กระทำกัลยาณกรรมในกาลก่อน พอได้ฟังคำของคุณาชีวกกัสสปโคตร ในกาลนั้นแล้ว ถอนหายใจฮึดฮัดร้องไห้น้ำตาไหล เพราะเห็นผลแห่งกัลยาณกรรมนั้น ทำให้บังเกิดในท้องของนางทาสี ลูกหญิงรุจาเอ๋ย ตราบที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ อย่าอดอาหารเลย ปรโลกไม่มี ลูกหญิงจะลำบากไปทำไม ไร้ประโยชน์ เพราะคุณาจารย์กล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลาย ผู้ผุดเกิดไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ยินดีในความพร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติชอบย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น เมื่อปรโลกมี โลกนี้ชื่อว่าพึงมี โลกนี้นั้นนั่นแลย่อมไม่มีและเมื่อมารดาบิดามี บุตรธิดาที่ชื่อว่าจะพึงมีนั้นนั่นแลย่อมไม่มี เมื่อธรรมมีสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมที่จะพึงมีนั้นนั่นแลย่อมไม่มี ลูกจะให้ทานไปทำไมจะรักษาศีลไปทำไม เดือดร้อนไปทำไมไร้ประโยชน์.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๐ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระนางรุจาราชธิดา ผู้มีพระฉวีวรรณงดงาม ทรงทราบกฎธรรมดาในอดีต ๗ ชาติ ในอนาคต ๗ ชาติ ได้สดับพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว ทรงพระประสงค์จะปลดเปลื้องพระชนกนาถจากมิจฉาทิฏฐิ จึงกราบทูลพระชนกนาถว่าแต่ก่อนกระหม่อมฉันได้ฟังมาเท่านั้น กระหม่อมฉันเห็นประจักษ์เองข้อนี้ว่า ผู้ใดเข้าไปเสพคนพาล ผู้นั้นก็เป็นพาลไปด้วย แม้คนหลงผิดด้วยอำนาจทิฏฐิ อาศัยคนหลงผิดด้วยอำนาจทิฏฐิ ย่อมถึงความหลงผิดยิ่งขึ้น หลงผิดหนักขึ้น เหมือนคนผู้หลงทาง อาศัยคนหล...งทางด้วยกัน ย่อมถึงความหลงข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ การที่พระองค์อาศัยคุณาชีวกผู้เป็นพาลไม่มีความละอายเปลือยกายล่อนจ่อน เช่นกับเด็กชาวบ้าน แล้วมาหลงผิดกับอลาตเสนาบดีผู้เสื่อมจากชาติ โคตร ตระกูล ประเทศ ความเป็นใหญ่ บุญและปัญญา และกับวีชกทาส ผู้มีปัญญา ผู้ไม่มีปัญญาทราม ผู้เสื่อมแล้วโดยส่วนเดียว เป็นการไม่สมควร เป็นการไม่เหมาะสมเลย เหตุไฉนพระองค์จึงไปหลงเชื่อกับคนเช่นนั้นเล่า
พระนางรุจาราชธิดาทรงติเตียนชนทั้ง ๒ นั้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงสรรเสริญพระชนกนารถ ด้วยทรงประสงค์จะปลดเปลื้องจากมิจฉาทิฏฐิจึง
กราบทูลว่า ขอเดชะ ก็พระองค์มีพระปรีชา ทรงเป็นผู้มีปัญญา ด้วยปัญญาอันได้ด้วยการใส่ใจถึงยศวัยและปัญญาเครื่องทรงจำ และการสนทนาธรรม เป็นนักปราชญ์ และ เป็นผู้ฉลาดในเหตุ ที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ โดยเป็นนักปราชญ์ จะทรงเป็นเช่นกับพวกคนพาล เข้าถึงซึ่งทิฏฐิอันเลวได้อย่างไร ข้าแต่พระชนกนาถ ก็ถ้าสัตว์จะบริสุทธิ์ได้ด้วยการท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ แม้คุณาชีวกก็ละกามคุณ ๕ แล้ว ถึงความเป็นคนเปลือยกายไม่มีสิริ ไม่มีความละอาย ไม่มีความแช่มชื่น เพราะความหลงผิดด้วยสามารถแห่งโมหะ เหมือนตั๊กแตนเห็นไฟโพลงในส่วนแห่งราตรี ไม่รู้ถึงทุกข์อันมีกองไฟนั้นเป็นปัจจัย ตกไปในกองไฟนั้นถึงความทุกข์ใหญ่ฉะนั้น ข้าแต่พระชนกนาถ ชนเป็นอันมาก ฟังคำของกัสสปโคตรว่า บริสุทธิ์ด้วยสงสาร ก็หลงเชื่อมั่นลงไปก่อนทีเดียวเพราะถือว่าผลของกรรมที่ทำดีและทำชั่วย่อมไม่มี เมื่อไม่รู้ก็ยึดเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ด้วยความเห็นผิด จึงปฏิเสธกรรม อธิบายว่า เมื่อปฏิเสธกรรมนั้นก็ชื่อว่าปฏิเสธผลแห่งกรรม เมื่อพวกเขายึดถือเอาโทษอันเป็นความปราชัยแห่งพวกเขาในชั้นต้นอย่างนี้ก็เป็นอันชื่อว่ายึดถือผิด ชนพาลเหล่านั้นเมื่อไม่รู้อย่างนี้ ยึดถือความฉิบหายด้วยการเห็นผิดดำรงอยู่ ย่อมชื่อว่าปลดเปลื้องออกจากความฉิบหายนั้นได้โดยยาก เหมือนปลาที่กลืนเบ็ดเข้าไป ปลดเปลื้องตนออกจากเบ็ดได้ยากฉะนั้น

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๑ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระนางรุจาราชธิดา ครั้นตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงพร่ำสอนพระราชาให้ยิ่งขึ้นไป จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
“ข้าแต่พระราชา กระหม่อมฉันจักยกตัวอย่างมาเปรียบถวายเพื่อประโยชน์แก่ทูลกระหม่อม บัณฑิตทั้งหลายในโลกนี้บางพวก ย่อมรู้เนื้อความได้ด้วยอุปมา เปรียบเหมือนเรือของพ่อค้า บรรทุกสินค้าหนักเกินประมาณ ย่อมนำสินค้าอันหนักยิ่งไปจมลงในมหาสมุทรฉันใด นรชนสั่งสมบาปกรรมทีละน้อยๆ ก็ย่อมพาเอาบาปอันหนักยิ่งไปจม...ลงในนรกมีมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖ ขุมและโลกันตนรกฉันนั้น ทูลกระหม่อมเพคะ อกุศลอันหนักของอลาตเสนาบดียังไม่บริบูรณ์ก่อน อลาตเสนาบดียังสั่งสมบาปอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติอยู่ ขอเดชะ ข้อที่อลาตเสนาบดีนั้น ได้รับความสุขอยู่ในบัดนี้ เพราะเป็นผลบุญที่ตนทำไว้แล้วในชาติปางก่อนนั่นเอง ข้าแต่ทูลกระหม่อม ความจริงผลแห่งการฆ่าโคอันชื่อว่าเป็นบาปอกุศล จักเป็นผลที่อลาตเสนาบดีจะได้รับในสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ก็หาไม่ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เลย บุญของอลาตเสนาบดีนั้นจะหมดสิ้น อลาตเสนาบดี ยินดีแต่ในอกุศลกรรมอันไม่ใช่คุณ หลีกละทางกุศลกรรมบถ ๑๐ อันเป็นทางตรง แล่นไปสู่ทางอกุศลกรรมบถ ๑๐ เดินไปตามทางอ้อมสู่นรก เมื่อนรชนสั่งสมบุญทีละน้อยๆ ปลดบาปที่หนักลง ยกกัลยาณกรรมขึ้นบนศีรษะแล้วไปสู่เทวโลก เหมือนวีชกบุรุษเป็นทาสยินดีในกรรมอันงาม มีจิตมั่นกระทำสวรรค์ไว้เป็นเบื้องหน้ามุ่งไปในสวรรค์ ยินดียิ่งในกัลยาณกรรม อันเป็นสุขสำราญ มีผลชื่นใจเวลาบาปกรรมนี้สิ้นไป เขาจักบังเกิดในเทวโลก เปรียบเหมือนตาชั่งที่กำลังชั่งของ ต้องยกตราชั่งให้สูงขึ้น แล้วคล้องไว้เพื่อรับสิ่งของที่หนัก ย่อมต่ำลงข้างหนึ่ง เมื่อเอาของหนักออกเสีย ข้างที่ต่ำก็จะสูงขึ้น แต่บัดนี้เขาเข้าถึงความเป็นทาส ได้มีบาปกรรมที่เขาทำไว้ในกาลก่อน อันเป็นทางเป็นไปเช่นนั้น เพราะผลแห่งกัลยาณกรรมหามิได้
พระนางรุจาราชธิดาเมื่อจะทรงประกาศความนี้จึงได้ตรัสว่า “นายวีชกะผู้เป็นทาส เห็นทุกข์ในตนวันนี้ เพราะได้เสพบาปกรรมที่ตนทำไว้ในปางก่อน บาปกรรมของเขาจะหมดสิ้น เขาจึงมายินดีในวินัยอย่างนี้ ทูลกระหม่อม อย่าคบหากัสสปคุณาชีวกคนเปลือยนี้ อย่าทรงดำเนินทางผิดอันเป็นทางไปนรก อย่าได้กระทำบาปเลยเพคะ”

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๒ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
บัดนี้พระนางรุจาราชธิดา เมื่อจะทรงแสดงโทษในการซ่องเสพบาป และคุณในการคบหากับกัลยาณมิตรแก่พระราชาจึงตรัสว่า “ข้าแต่พระราชบิดา บุคคลคบบุคคลใดๆ จะป็นสัปบุรุษก็ตาม อสัปบุรุษก็ตาม ผู้มีศีลก็ตาม ผู้ไม่มีศีลก็ตามเขาย่อมตกไปสู่อำนาจของนั้น บุคคลทำบุคคลเช่นใดให้เป็นมิตร และเข้าไปคบหาคนเช่นใด แม้เขาก็ย่อมเป็นคนเช่นนั้น เพราะการอยู่ร่วมกันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ผู้เสพย่อมติดนิสัยผู้ที่ตนเสพ ผู้ติดต่อย่อมติดนิสัยผู้ที่ตนติดต่อ ข้าแต่พระราชบิดา มิตรชั่ว เมื...่อเสพคบหากับคนอื่น และสนิทชิดเชื้อกับคนอื่น ย่อมจะทำบุรุษผู้ไม่ได้แปดเปื้อนกับบาป ให้มีอัธยาศัยเป็นเช่นเดียวกับตน เข้าไปเปื้อนคือ กระทำให้แปดเปื้อนบาปเหมือนกัน เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อมเปื้อนแล่งฉะนั้น นักปราชญ์ไม่ควรเป็นผู้มีคนลามกเป็นสหาย เพราะกลัวจะแปดเปื้อน การเสพคนพาลย่อมเป็นเหมือน บุคคลเอาใบหญ้าคาห่อปลาเน่า แม้หญ้าคาเหล่านั้น ที่ห่อของนั้นก็ย่อมมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งฟุ้งไป ฉะนั้น ส่วนการคบหาสมาคมกับนักปราชญ์ๆ กระทำผู้คบกับตนให้เป็นนักปราชญ์เหมือนกัน ย่อมเป็นเหมือนบุคคลเอาใบไม้ห่อของหอมมีกฤษณาและคันธชาตที่สมบูรณ์ด้วยกลิ่นหอมอย่างอื่นๆ แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรขจายไป ฉะนั้น เพราะเหตุที่ใบไม้ที่ห่อของหอมมีกฤษณาเป็นต้น ย่อมพลอยมีกลิ่นหอมไปด้วย ฉะนั้น พึงรู้อย่างนี้ว่า แม้เราก็เป็นบัณฑิต เพราะการซ่องเสพกับบัณฑิต เหมือนใบไม้สำหรับห่อกฤษณาฉะนั้น ครั้นรู้ความแก่กล้า ความแปรไป ความเป็นบัณฑิตของตนแล้ว พึงละอสัปบุรุษ คบหาแต่สัปบุรุษผู้เป็นบัณฑิต การคบหาสมาคมอสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัปบุรุษย่อมให้ถึงสุคติ มีมนุษย์ และสวรรค์ เป็นต้น”
“ข้าแต่ทูลกระหม่อม ชื่อว่า โลกนี้และโลกหน้า ย่อมมี และผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีและทำชั่ว ย่อมมี แต่สงสารกัปป์ไม่สามารถจะชำระสัตว์ทั้งหลายให้หมดจดได้ ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมหมดจดด้วยกรรมเท่านั้น อลาตเสนาบดีและวีชกะผู้เป็นทาส ย่อมระลึกได้เพียงชาติเดียวเท่านั้น มิใช่แต่ท่านเหล่านั้นเท่านั้นที่ระลึกชาติได้ แม้กระหม่อมฉันก็ระลึกถึงความที่ตนท่องเที่ยวในอดีตได้ถึง ๗ ชาติ ทั้งยังระลึกถึงชาติที่จะพึงไปจากนี้แม้ในอนาคตได้ถึง ๗ ชาติเหมือนกัน ข้าแต่พระจอมประชาชน ชาติที่ ๗ ของกระหม่อมฉันในอดีตกระหม่อมฉันเกิดเป็นบุตรนายช่างทองในแคว้นมคธ ราชคฤห์มหานคร กระหม่อมฉันได้คบหาสหายผู้ลามก ทำบาปกรรมไว้มาก เที่ยวคบชู้ภรรยาของชายอื่นเหมือนจะไม่ตาย กรรมนั้นยังไม่ให้ผล เหมือนไฟถูกเถ้าปกปิดไว้ ในกาลต่อมาด้วยกรรมอื่นๆ กระหม่อมฉันนั้น ได้เกิดในวั...งสรัฐเมืองโกสัมพี เป็นบุตรคนเดียวในสกุลเศรษฐี มีสมบัติถึง ๘๐ โกฏิ ผู้สมบูรณ์มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมาย คนทั้งหลายสักการะบูชาอยู่เป็นนิตย์ ในชาตินั้น กระหม่อมฉันได้คบหาสมาคมมิตรสหาย ผู้ยินดีในกรรมอันงาม ผู้เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต เขาได้แนะนำให้กระหม่อมฉัน รักษาอุโบสถศีล ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตลอดราตรี เป็นอันมาก กรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผล ดังขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ใต้น้ำ ครั้นภายหลัง ลำดับในบรรดากรรมชั่วมีประมาณเท่านี้ ของหม่อมฉัน กรรมใดที่หม่อมฉันกระทำแล้วในภรรยาของคนอื่นในมคธรัฐ ผลแห่งกรรมนั้นจึงติดตามมาถึงหม่อมฉัน หากถามว่า ผลแห่งกรรมนั้นจึงติดตามมาถึงหม่อมฉัน เหมือนอะไร? เฉลยได้ว่า เหมือนบุคคลบริโภคยาพิษฉะนั้น หมายความว่า กรรมนั้นย่อมถึงหม่อมฉัน เหมือนยาพิษที่ชั่วช้า กล้าแข็ง ร้ายกาจ กำเริบแก่บุคคลผู้บริโภคโภชนะอันมียาพิษฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในโรรุวนรกสิ้นกาลนานเพราะกรรมของตน หม่อมฉันเมื่อระลึกถึงทุกข์ที่หม่อมฉันเสวยในนรกนั้น ย่อมไม่ได้รับความสบายใจเลย หม่อมฉันย่อมเกิดแต่ความกลัวเท่านั้น ไม่ได้ความสุขเลย กระหม่อมฉันยังทุกข์เป็นอันมาก ให้สิ้นไปในนรกนั้นนานปี แล้วเกิดเป็นลาถูกเขาตอนอยู่ในภิณณาคตนคร ก็กลายเป็นลาที่สมบูรณ์ด้วยกำลัง คนทั้งหลายแม้ขึ้นขี่หลังลา นำลานั้นไปเทียมที่ยานน้อยให้ลากสัมภาระอันหนักไป”

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2011, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๓ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระนางรุจาราชธิดา เมื่อประกาศความนั้นจึงกล่าวว่า “กระหม่อมฉัน ก็เป็นลาที่นำพาลูกอำมาตย์ทั้งหลายไปด้วยหลังบ้าง ด้วยรถบ้าง ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ การที่หม่อมฉันหมกไหม้อยู่ในมหาโรรุวนรก และกรรมที่หม่อมฉันถูกตอนในกาลเป็นลาทั้งหมดนั่น เป็นผลของกรรมนั้น คือ กรรมที่หม่อมฉันคบชู้กับภรรยาของคนอื่น ก็แล ครั้นหม่อมฉันจุติตายจากชาติเป็นลานั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในกำเนิดลิงในป่า ครั้นในวันที่หม่อมฉันเกิด พวกลิงเหล่านั้นนำหม่อมฉัน...ไปแสดงแก่ลิงตัวเป็นจ่าฝูง ลิงตัวเป็นจ่าฝูงกล่าวว่า จงนำบุตรมาให้เรา ดังนี้แล้วจับไว้มั่นแล้วกัดลูกอัณฑะของลูกลิงนั้นถึงจะร้องเท่าไรก็ไม่ปล่อย”
เมื่อพระนางรุจาราชธิดาประกาศความนั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระชนกนาถ ผู้ปกครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติตายจากชาติลานั้นแล้ว ก็ไปเป็นลิงอยู่ในป่าสูง ถูกลิงจ่าฝูงคะนองปากขบกัดลูกอัณฑะ นั่นเป็นผลของการที่เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น”
เมื่อพระนางรุจาราชธิดาจะทรงแสดงชาติอื่นๆ จึงทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉัน จุติตายจากชาติเป็นลิงนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ ถูกเขาตอน กลายเป็นโค มีกำลังแข็งแรง กระหม่อมฉันต้องถูกเทียมด้วยยานอยู่สิ้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหย่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว มาบังเกิดเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นกระเทยนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรในนันทนวัน ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณะน่าใคร่ มีผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ เมื่อกระหม่อนฉันอยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก ๗ ชาติที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว จักไปเกิดต่อไป กุศลที่กระหม่อมฉันทำไว้ในเมืองโกสัมพีตามมาให้ผล กระหม่อมฉันจุติตายจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้วท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ข้าแต่พระมหาราชา กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั้งหลายสักการะแล้วเป็นนิตย์ตลอด ๗ ชาติ กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญิงตลอด ๖ ชาติ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐชาติที่ ๗ กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดาผู้ชาย เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา แม้วันนี้นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัย อยู่ในนันทนวัน เทพบุตรนามว่าชวะสามีกระหม่อมฉัน ยังรับพวงมาลัยอยู่ ๑๖ ปีในมนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา ๑๐๐ ปีในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาดังที่ได้กราบทูลให้ทรงทราบมานี้ กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไปทุกๆ ชาติ แม้ตั้งอสงไขยด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม (ยังไม่ให้ผลแล้ว) ย่อมไม่พินาศไป[กรรมที่จะส่งผลมี ๓ ประเภท คือ ทิฏฐเวทนียกรรม(กรรมที่ให้ผลในภพนี้) ย่อมให้ผลในอัตภาพนั้นนั่นเอง อุปปัชชเวทนียกรรม(กรรมที่ให้ผลในภพที่สองต่อจากภพนี้) ย่อมให้ผลในอัตภาพถัดไป ส่วนอปราปรเวทนียกรรมไม่ให้ผล(กรรมที่ให้ผลในภพที่สามเป็นต้นไป ต่อจากภพที่สอง หรือถ้ายังไม่ส่งผล ก็จะรอคอยส่งผลได้ทุกเมื่อที่ถึงพร้อมด้วยเหตุ จนกว่าจะปรินิพพาน) จักไม่พินาศไป]

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2011, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๔ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เพราะผลแห่งกรรมที่หม่อมฉันทำชู้กับภรรยาของคนอื่น หม่อมฉันจึงหมกไหม้ในนรก แล้วเสวยทุกข์อย่างใหญ่ในกำเนิดสัตว์เดียรฉาน ถ้าแม้บัดนี้ พระองค์ทรงเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก จักกระทำอย่างนี้พระองค์ก็จักเสวยทุกข์ เหมือนที่หม่อมฉันเสวยแล้วนั่นแลเพราะเหตุนั้นพระองค์อย่าได้ทรงกระทำอย่างนั้นเลย”
ได้ยินว่า พระนางรุจานั้นอยู่ในเทวโลกนั้นตรวจดูอยู่ว่า เรา มาสู่เทวโลกเห็นปานนี้ มาจากไหนหนอ? เห็นแล้วซึ่งความเกิดในเทวโลกนั้น เพราะจุติตา...ยจากความเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคะมาก ในแคว้นวัชชี จากนั้นพระนางรุจาราชธิดาตรวจดูว่า เพราะกรรมอะไรหนอ เราจึงบังเกิดในที่อันน่า รื่นรมย์เช่นนี้ เห็นแล้วซึ่งกุศลมีทานที่ตนทำแล้วเป็นต้น ทำให้บังเกิดในตระกูลเศรษฐีในกรุงโกสัมพี ตรวจดูว่า เราบังเกิดในอัตภาพเป็นกระเทย ในภพอดีตเป็นลำดับมาแต่ที่ไหน ดังนี้ ได้รู้แล้วว่า ตนเคยเสวยทุกข์ใหญ่ในกำเนิดโค ในทสันนรัฐ เมื่อหวลระลึกถึงชาติต่อจากนั้น ได้เห็นตนถูกตอนในกำเนิดลิง เมื่อหวลระลึกชาติถัดจากนั้น จึงหวลระลึกถึงภาวะที่ตนถูกตอนพืชในกำเนิดลา ในภินนาคตะรัฐ เมื่อหวลระลึกถัดจากชาตินั้นได้ระลึกถึงภาวะที่ตนบังเกิดในโรรุวนรก ลำดับนั้นเมื่อพระนางรุจาราชธิดาระลึกถึงภาวะที่ตนหมกไหม้ในนรก และทุกข์ที่ตนเสวยในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ความกลัวจึงเกิดขึ้น. ลำดับนั้น พระนางรุจาราชธิดา เมื่อหวลระลึกถึงชาติที่ ๖ ว่า เราเสวยทุกข์เห็นปานนี้เพราะกรรมอะไรหนอ จึงเห็นกัลยาณกรรมที่ตนกระทำในกรุงโกสัมพีในชาตินั้น แล้วทรงตรวจดู ชาติที่ ๗ ได้เห็นกรรม คือ การคบชู้กับภรรยาคนอื่นที่ตนทำเพราะอาศัยมิตรชั่วในมคธรัฐ จึงได้รู้ว่าเราเสวยทุกข์ใหญ่นั้น เพราะผลแห่งกรรมนั้น. ลำดับนั้นพระนางจึงตรวจดูว่า เราจุติจากชาตินี้แล้ว จักบังเกิดในภพไหนในอนาคต ได้รู้ว่า เราจักบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกเทวราชนั่นแลอีก ดำรงอยู่ตลอดชีวิต. เมื่อพระนางได้ตรวจดูบ่อยๆ อย่างนี้ ได้ทราบว่าในอัตภาพที่ ๓ จักบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกเทวราชนั่นแล. ส่วนชาติที่ ๔ และ ๕ ก็เหมือนกัน รู้ว่าเราจักบังเกิดเป็นอัครมเหสีของชวนะเทพบุตรในเทวโลกนั้นนั่นเอง แล้วตรวจดูถัดจากชาตินั้นไป รู้ว่าในอัตภาพที่ ๖ เราจุติตายจากภพดาวดึงส์นี้แล้ว จักบังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าอังคติราช เราจักมีนามว่า รุจา ดังนี้ จึงตรวจดูว่า ถัดจากชาตินั้นจักบังเกิด ณ ที่ไหน รู้ว่าในชาติที่ ๗ จุติจากชาตินั้นแล้ว จักบังเกิดเป็นเทพบุตร ผู้มีฤทธิ์มากในภพดาวดึงส์ จักพ้นจากความเป็นหญิง เพราะเหตุนั้น พระนางรุจาราชธิดาจึงตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงครอบครองวิเทหรัฐ หม่อมฉันอยู่ที่นั้นระลึกชาติได้ ๗ ชาติ แม้ในอนาคตจุติจากชาตินี้ไปก็ระลึกได้ ๗ ชาติเหมือนกัน”

เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๕ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ลำดับนั้น พระนางรุจาราชธิดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไปแก่พระราชบิดานั้นจึงตรัสว่า “ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ ชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือนบุคคลล้างเท้าสะอาดแล้วเว้นจากเปือกตม ฉะนั้น หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ ชาติไป ก็พึงยำเกรงสามี เหมือนนางเทพอัปสรผู้เป็นบาทบริจาริกายำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุ ยศและสุขอันเป็นทิพย์ก็พึงเว้นบาปทั้งหลาย ประพฤติแต่สุจริตธรรม ๓ อย่าง สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ควรเป็นผู้ไม...่ประมาทด้วยกาย วาจา ใจ มีปัญญาเครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ของตน นรชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ที่เป็นคนมียศ มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง นรชนเหล่านั้นได้สั่งสมกรรมดีไว้ในปางก่อนแล้ว โดยไม่ต้องสงสัย สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็นของแห่งตน คือเสวยผลของกรรมที่ตนทำนั่นเอง ไม่ใช่กรรมที่มารดาบิดาทำแล้วให้ผลแก่บุตรธิดา ไม่ใช่กรรมที่บุตรธิดาเหล่านั้นทำแล้วให้ผลแก่มารดาบิดา กรรมที่คนนอกนั้นกระทำจะให้ผลแก่คนนอกนั้นอย่างไร? ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์ทรงพระราชดำริ ด้วยพระองค์เองเถิด ข้าแต่พระจอมชน พระสนม(ผู้ทรงโฉมงดงาม)ปานดัง นางเทพอัปสรผู้ประดับประดาคลุมกายด้วยตาข่ายทองเหล่านี้ อันพระองค์ร่วมหลับนอนนั้น พระองค์ทรงได้มาเพราะกระทำการปล้นในหนทาง หรือตัดช่องย่องเบาเป็นต้นได้มา หรือได้มาเพราะอาศัยกัลยาณกรรมเป็นต้น”
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชกัญญานั้น ทรงยังพระราชบิดา ให้ทรงยินดีด้วยถ้อยคำอันไพเราะเห็นปานนี้ ด้วยประการฉะนี้ พระราชกุมารีผู้มีวัตรอันดีงามกราบทูลทางสุคติแก่พระชนกนาถ ประหนึ่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง และเมื่อจะทรงกล่าวธรรมแก่พระชนกนาถนั่นแหละได้ทรงกล่าวสุจริตธรรมด้วยนัยต่างๆ ด้วยประการฉะนี้แล”
พระนางรุจาราชธิดา ได้ทูลเล่าถึงชาติที่ตนเกิดมาแล้วในอดีต และแสดงธรรมถวายแด่พระชนกนาถ ตั้งแต่เช้าตลอดคืนยังรุ่งแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงถือถ้อยคำของคนเปลือยกาย ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเลย โลกนี้มี โลกหน้ามี สมณพราหมณ์มี ผลของความดีความชั่วก็มี ขอพระองค์จงทรงเชื่อฟังคำของกัลยาณมิตร เช่นกระหม่อมฉันกล่าวนี้เถิด อย่าได้ทรงแล่นไปในที่มิใช่ท่าเลย แม้เมื่อพระนางรุจาราชธิดา กราบทูลถึงอย่างนี้ ก็ไม่อาจปลดเปลื้องพระชนกจากมิจฉาทิฏฐิได้ ส่วนพระเจ้าอังคติราชทรงสดับวาจาอันไพเราะ ของพระราชธิดานั้นแล้ว ทรงปลื้มพระราชหฤทัย จริงอยู่ มารดาบิดา ย่อมรักเอ็นดูถ้อยคำของบุตรที่รัก แต่คำพูดนั้นหาทำให้บิดาละมิจฉาทิฏฐิได้ไม่. แม้ชาวพระนครก็ลือกระฉ่อนกันว่า พระนางรุจาราชธิดาทรงแสดงธรรม หวังจะให้พระชนกละมิจฉาทิฏฐิ มหาชนพากันดีใจว่า พระราชธิดาเป็นบัณฑิต ปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระชนกได้แล้ว จักถึงความสวัสดีแก่ชาวพระนครทั้งหลาย. พระนางรุจาราชธิดา เมื่อไม่อาจปลุกพระชนกให้ตื่นได้ก็ไม่ทรงละความพยายามเลย ทรงดำริหาช่องทางต่อไปว่า จักหาอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง มากระทำความสวัสดีแก่พระชนก แล้วประคองอัญชลีกรรมขึ้นเหนือพระเศียร นมัสการทิศทั้ง ๑๐ แล้วทรงอธิษฐานว่า ในโลกนี้ ย่อมมีสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีท้าวโลกบาล ท้าวมหาพรหมเป็นผู้บริหารโลก ข้าพเจ้าขอเชิญท่านเหล่านั้นมาปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิของพระชนกนาถของข้าพเจ้าด้วยกำลังตน เมื่อพระคุณของพระชนกนาถไม่มี ขอเชิญด้วยคุณด้วยกำลังและด้วยความสัจของข้าพเจ้า จงมาช่วยปลดเปลื้องความเห็นผิดนี้ จงได้มาทำความสวัสดีแก่สากลโลก.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๖ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นมหาพรหมนามว่า นารทะ ก็ธรรมดาพระโพธิสัตว์ มีอัธยาศัยใหญ่ด้วยเมตตาภาวนา เที่ยวตรวจดูโลกตามกาลอันสมควร เพื่อจะดูเหล่าสัตว์ผู้ปฏิบัติดีและปฏิบัติชั่วในวันนั้น ท่านตรวจดูโลกเห็นพระนางรุจาราชธิดานั้น กำลังนมัสการเหล่าเทวดาผู้บริหารโลก เพื่อจะปลดเปลื้องพระชนกนาถจากมิจฉาทิฏฐิ จึงมาดำริว่า คนอื่นเว้นเราเสีย ย่อมไม่สามารถเพื่อจะปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิ พระเจ้าอังคติราชนั้นได้ วันนี้เราควรจะไปกระท...ำการสงเคราะห์ราชธิดาและกระทำความสวัสดี แก่พระราชาพร้อมด้วยบริวารชนแต่จะไปด้วยเพศอะไรดีหนอ เห็นว่า เพศบรรพชิตเป็นที่รักเป็นที่เคารพ มีวาจาเป็นที่เชื่อฟังยึดถือของพวกมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราจะไปด้วยเพศบรรชิต ครั้นตกลงใจฉะนี้แล้ว ก็แปลงเพศเป็นมนุษย์ มีวรรณะดังทองคำน่าเลื่อมใสผูกชฏามณฑลอันงามจับใจ ปักปิ่นทองไว้ในระหว่างชฎา นุ่งผ้าพื้นแดงไว้ภายใน ทรงผ้าเปลือกไม้ย้อมฝาดไว้ภายนอก กระทำเฉวียงบ่าผ้าหนังเสืออันแล้วไปด้วยเงิน ซึ่งขลิบด้วยดาวทองแล้วเอาภิกขาภาชนะทองใส่สาแหรกอันประดับด้วยมุกดาช้าง ๑ เอาคนโทน้ำแก้วประพาฬใส่ในสาแหรกอีกข้าง ๑ เสร็จแล้วก็ยกคานทองอันงามงอนขึ้นวางเหนือบ่า แล้วเหาะมาโดยอากาศ ด้วยเพศแห่งฤาษีนี้ ไพโรจน์โชติช่วง ประหนึ่งพระจันทร์ (เพ็ญ) ลอยเด่นบนพื้นอากาศ เข้าสู่พื้นใหญ่แห่งจันทกปราสาท ได้ยื่นอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์พระเจ้าอังคติราช
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
“ในกาลนั้น นารทมหาพรหม ผู้สถิตอยู่ในพรหมโลกนั่นแล ได้เพ่งดูชมพูทวีป ได้เห็นพระเจ้าอังคคิราช ผู้ยึดถือความเห็นผิด ในสำนักของคุณาชีวก จึงลงมาจากพรหมโลกถึงถิ่นมนุษย์ ลำดับนั้น นารทมหาพรหมได้ยินอยู่ที่ปราสาทเบื้องพระพักตร์แห่งพระเจ้าวิเทหราช ผู้แวดล้อมไปด้วยหมู่อำมาตย์ประทับอยู่ จึงยืนอยู่บนอากาศ ก็พระนางรุจาราชธิดานั้น ทรงยินดีร่าเริงว่า ท้าวเทวราชนั้น จักมาทำความกรุณาในพระชนกนาถของเรา ด้วยความอนุเคราะห์แก่เรา ดังนี้จึงน้อมกายลงนมัสการนารทมหาพรหม เหมือนต้นกล้วยทองที่ถูกลมพัดต้องฉะนั้น
ฝ่ายพระราชา พอเห็นนารทมหาพรหม ถูกเดชแห่งพรหมคุกคามแล้ว ทรงหวาดพระทัย ไม่สามารถจะทรงดำรงอยู่บนราชอาสน์ของพระองค์ได้ จึงเสด็จลงจากราชอาสน์ประทับยืนอยู่ที่พื้น พระราชาทรงสำคัญว่า ผู้นี้ชรอยว่า เป็นวิชาธรบ้างหรือหนอ จึงไม่ทรงไหว้เลย แล้วตรัสถามพระนารทะถึงเหตุที่เสด็จมา และนามและโคตรว่า “ท่านมีผิวพรรณงามดังเทวดา ส่องรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ ดังพระจันทร์ ท่านมาจากไหนหนอ ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกนามและใครแก่ข้าพเจ้า คนในมนุษยโลกย่อมรู้จักท่านอย่างไรหนอ.

เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๗ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ลำดับนั้น นารถฤาษี คิดว่า พระราชานี้สำคัญว่า ปรโลกไม่มี เราจักถามเฉพาะปรโลกแก่พระราชานั้นก่อน ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
“อาตมภาพมาจากเทวโลกเดี๋ยวนี้เอง ส่องรัศมี สว่างจ้าไป ทั่วทิศดังพระจันทร์ มหาบพิตรตรัสถาม แล้ว อาตมภาพขอถวายพระพรนามและโคตรให้ทรงทราบ คนทั้งหลายเขารู้จักอาตมภาพ โดยนามว่า นารทะ และโดยโคตรว่ากัสสปะ”
ลำดับนั้น พระเจ้าอังคติราชทรงพระดำริว่า เรื่...องปรโลกเราจักไว้ถามภายหลัง เราจักถามถึงเหตุที่เธอได้ฤทธิ์เสียก่อน แล้วจึงตรัสคาถาว่า
“สัณฐานของท่าน การที่ท่านเหาะไป และยืนอยู่บนอากาศได้น่าอัศจรรย์ ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามความนี้กะท่าน เออ เพราะเหตุอะไร ท่านจึงมีฤทธิ์เช่นนี้”
ลำดับนั้น ท่านนารทฤาษีจึงทูลว่า “คุณธรรม ๔ ประการนี้คือ วจีสัจจะ ๑ ธรรม (คือสุจริตธรรม ๓ ประการ และฌานธรรมอันเกิดแต่การบริกรรมกสิณ) ๑ ทมะการฝึกอินทรีย์ ๑ จาคะ(การสละกิเลส และการสละไทยธรรม) ๑ อาตมภาพได้ทำไว้ในภพก่อน เพราะคุณธรรมทั้งปวง ที่อาตมภาพเสพมาดีแล้วนั้น คือได้อบรมมาแล้วนั่นแล อาตมภาพจึงไปไหนๆ ได้ตามความปรารถนาเร็วทันใจ คือว่า อาตมภาพจะไปในแดนของเทวดา และแดนของมนุษย์ได้ตามความปรารถนา.
แม้เมื่อพระโพธิสัตว์กราบทูลอย่างนี้ พระเจ้าอังคติราชก็ไม่ทรงเชื่อปรโลก เพราะทรงยึดถือมิจฉาทิฏฐิเสียมั่นดีแล้ว จึงตรัสคาถาว่า “ผลของบุญมีอยู่หรือ” แล้วจึงตรัสคาถานี้ว่า “เมื่อท่านบอกความสำเร็จแห่งบุญ ชื่อว่าท่านบอกความอัศจรรย์ ถ้าแลเป็นจริงอย่างท่านกล่าว ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงพยากรณ์ให้ดี”



นารทฤาษีจึงทูลว่า “ขอถวายพระพร ข้อใดพระองค์ทรงสงสัย เชิญมหาบพิตรตรัสถามข้อนั้น กะอาตมภาพเถิด อาตมภาพจะถวายวิสัชนา จะไม่กราบทูลโดยเหตุ เพียงปฏิญาณไว้เท่านั้น จักกระทำให้พระองค์หมดความสงสัย ด้วยการกำหนดด้วยญาณแล้วกล่าวเหตุ และด้วยปัจจัยอันเป็นเหตุให้ธรรมเหล่านั้นตั้งขึ้น”
“ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้ กะท่าน ท่านถูกถามแล้วอย่าได้กล่าวมุสากะข้าพเจ้า ข้อที่คนพูดกันอย่างนี้ว่า เทวดามี มารดาบิดามี ปรโลกมีนั้น เป็นจริงหรือ”
พระนารทฤาษีจึงกราบทูลว่า “ดูก่อนมหาบพิตร เทวดามี มารดาบิดามี ที่นรชนพูดกันว่า ปรโลกมี แม้นั้นก็มีอยู่จริงทีเดียว นรชนผู้ติดอยู่ในกามและหลงงมงายเพราะโมหะจึงไม่รู้ คือย่อมไม่ทราบปรโลก”
พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงพระสรวลตรัสว่า “ดูก่อนนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่าปรโลกมีจริง สถานที่อยู่ในปรโลกของเหล่าสัตว์ผู้ตายไปแล้วก็ต้องมี ท่านจงให้ทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะแก่ข้าพเจ้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าจะใช้ให้ท่านหนึ่งพันกหาปณะในปรโลก”
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อจะกล่าวติเตียนในท่ามกลางบริษัทจึงทูลว่า “ถ้าอาตมภาพรู้ว่ามหาบพิตรทรงมีศีลทรงรู้ความประสงค์ของสมณพราหมณ์ คือรู้ว่า สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรมมีความต้องการด้วยสิ่งนี้ ในเวลานี้ เป็นผู้กระทำกิจนั้นๆ ชื่อว่ารู้ความประสงค์เมื่อเช่นนี้อาตมภาพจึงยอมให้ทรัพย์แก่ท่าน ๕๐๐ กหาปณะ

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2011, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๓๘ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงพระสรวลตรัสว่า “ดูก่อนนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่าปรโลกมีจริงสถานที่อยู่ในปรโลกของเหล่าสัตว์ผู้ตายไปแล้วก็ต้องมี ท่านจงให้ทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะแก่ข้าพเจ้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าจะใช้ให้ท่านหนึ่งพันกหาปณะในปรโลก”
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อจะกล่าวติเตียนในท่ามกลางบริษัทจึงทูลว่า “ถ้าอาตมภาพรู้ว่ามหาบพิตรทรง...มีศีลทรงรู้ความประสงค์ของสมณพราหมณ์ คือรู้ว่า สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรมมีความต้องการด้วยสิ่งนี้ ในเวลานี้ เป็นผู้กระทำกิจนั้นๆ ชื่อว่ารู้ความประสงค์เมื่อเช่นนี้อาตมภาพจึงยอมให้ทรัพย์แก่ท่าน ๕๐๐ กหาปณะ
แต่มหาบพิตรเป็นคนหยาบช้า ทารุณ ยึดถือมิจฉาทิฏฐิกำจัดทานและศีล ผิดในภรรยาของคนอื่น จุติสวรรคตจากโลกนี้แล้ว จักเกิดในนรก ใครจะไปในนรกนั้นทวงเอาทรัพย์กะมหาบพิตร ผู้หยาบช้าผู้อยู่ในนรกว่า ท่านจงให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ด้วยอาการอย่างนี้ ในปรโลกเล่า ผู้ใดในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่วเกียจคร้าน มีกรรมอันหยาบช้าบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ให้หนี้ในผู้นั้น เพราะจะไม่ได้ทรัพย์คืนจากคนเช่นนั้น ส่วนบุคคล ขาดกำลังทรัพย์ ผู้ขยันหมั่นเพียร ฉลาดในการยังทรัพย์ให้เกิด มีศีล รู้ความประสงค์ คนที่มีทรัพย์ทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นแล้ว ย่อมเอาโภคทรัพย์มาเชื้อเชิญเอง ด้วยคิดว่า ท่านทำกรรมของตนแล้วยังทรัพย์ให้เกิด พึงนำมาใช้ให้เรา
พระเจ้าอังคติราช ถูกพระนารทฤาษีกล่าวข่มขู่ด้วยประการฉะนี้ ก็หมดปฏิภาณที่จะตรัสโต้ตอบ มหาชนต่างพากันร่าเริงยินดี เล่าลือกันทั่วพระนครว่า “วันนี้ท่านนารทฤาษีผู้เป็นเทพมีฤทธิ์มาก ปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระเจ้าอยู่หัวได้” ด้วยอานุภาพของพระมหาสัตว์ ชนชาวมิถิลาผู้อยู่ไกลแม้ตั้งโยชน์ก็ได้ยินพระธรรมเทศนาของพระมหาสัตว์ในขณะนั้นสิ้นด้วยกันทุกคน ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงคิดว่า พระราชานี้ยึดมิจฉาทิฏฐิเสียมั่นแล้ว จำเราจะต้องคุกคามด้วยภัยในนรก ให้ละมิจฉาทิฏฐิแล้วให้ยินดีในเทวโลกอีกภายหลัง ดังนี้แล้วจึงกราบทูลว่า “ขอถวายพระพร ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงละทิฎฐิไซร้ ก็จักต้องเสด็จสู่นรกซึ่งเต็มไปด้วยทุกขเวทนา” แล้วเริ่มกล่าวนิรยกถาว่า
“ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จไปจากที่นี่แล้ว จักทอดพระเนตรเห็นพระองค์เองอยู่ในนรกนั้น ซึ่งถูกฝูงการุมยื้อแย่งฉุดคร่าอยู่ ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะมหาบพิตรผู้ตกอยู่ในนรก ถูกฝูงกา ฝูงแร้ง ฝูงสุนัข รุมกัดกิน ตัวขาดกระจัดกระจาย เลือดไหลโทรม”
ก็แล ครั้นพระนารทฤาษี พรรณนาถึงนรกอันเต็มไปด้วยฝูงกาและนกเค้าแก่ท้าวเธอแล้ว จึงกราบทูลว่า “ถ้าพระองค์ไม่ไปเกิดในที่นั้น ก็จักบังเกิดในโลกันตนรก” เพื่อจะทูลชี้แจงโลกันตนรกนั้นถวายจึงกล่าวคาถาว่า
“ดูก่อนมหาบพิตร มิจฉาทิฎฐิบุคคลบังเกิดในโลกันตนรกใด ในโลกันตนรกนั้นมืดที่สุด เป็นที่ห้ามการเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ ไม่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ โลกันตรกมืดตื้ออยู่ทุกเมื่อ น่ากลัว กลางคืนกลางวัน ไม่ปรากฏ เจ้าหนี้ผู้ต้องการทรัพย์คนไรเล่า จะพึงเที่ยวไปในสถานที่เช่นนั้นได้”

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร