วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 17:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 904 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่ใหญ่ กังวล:

อ้างคำพูด:
ถ้าเป็นวันนี้เราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรอดไม๊ คนเราเวลาเจ็บเวลาป่วย กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก ณ วันนี้เราเลยต้องพยายามรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรง เพื่อจะได้อยู่เป็นที่พึ่งทางใจให้ลูกไปนานๆ
..

อะจ๊ากกก..ได้งัย แบบนี้เสียหมด หมดหน้าตักเลย ถูกกินเรียบแน่..แก้ไขด่วน แก้ด่วนครับ ให้คิดใหม่ว่า..

ถ้าเป็นวันนี้เราก็ยิ่งมั่นใจและแน่ใจว่าจะรอดกว่าตอนนั้นอีก เพราะมีตนเป็นเกราะเป็นที่พึ่งที่วางใจได้ว่าแม้ตายก็"ไปดี" ไม่ใช่มีคนทั้งโขยงล้อมรอบมาโปรยยาหอมหรอกว่าเราจะยังอยู่อีกน้านนน หรือหายแน่ๆ แล้วเราจึงหาย..ไอ้ที่ไม่ตายคราก่อนน่ะไม่ใช่เพราะกำลังใจที่ใหนหรอก แต่เพราะ"กำลังบุญ"ที่คุ้มตัวไม่ให้ตายต่างหาก...

โฮ โฮ่ โห้ ดันยกความดีให้คนอื่นเสียฉิบ..ตายกันจริงๆจะไปไหนล่ะนี่...สงสัยไปไต่ตอมแถวกำลังใจละหนา...กรรมจริงๆ ทำความเห็นให้ตรงถูกครับพี่ อย่าดีใจเลยที่มีคนมาเยี่ยมตอนใกล้ตายน่ะ ส่วนมากแล้ว จิตไม่ค่อยเกิดกุศลเท่าไรหรอก เห็นก็แต่เพ้อเจ้อนั่นแหละมาก ฝึกนอนคิดถึงพระพุทธเจ้าเงียบๆไว้ให้คุ้นดีกว่าครับ ปลอดภัยกว่าจริงๆ... :b5: :b1: :b46: :b47: :b48: :b55:..เง่ย!!ขอรับ.. :b14:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 15:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 09:21
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณปราณีมากที่เป็นกำลังใจ ตอนนี้พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว

ขอบคุณ คุณตามากที่เตือนสติ เกือบหลงทางแล้วเชียว ดีที่ได้คุณตาช่วยดึงรั้งไว้

สมมุตินะว่าถ้ามีคนกำลังจะตาย แล้วมีคนมายืนล้อมรอบบอกว่าไปที่ชอบๆเถอะนะอยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ แล้วคนนั้นจะยังทำจิตให้สงบอยู่ได้อีกหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


-dd- เขียน:
อ้างคำพูด:
แต่ทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่ที่ใจเราเองว่าจะเข้มแข็งได้แค่ไหน ตอนนี้ก็แค่อยากมีเพื่อนหรือใครสักคน(เพื่อนจริงๆที่ไม่ใช่แฟน)ที่เราสามารถ ระบายความในใจได้ทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องบางอย่างพูดไปแล้วมันไม่จบแค่คนตรงหน้า แต่มันกระจายไปทั่ว เราเองจะเสียหาย ตอนนี้ก็เหลือแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ค่อยๆทำใจไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเอง


พี่ใหญ่ดีขึ้นจริงๆ และผมเห็นด้วยว่า"บางเรื่อง"ไม่จำเป็นต้องเล่าในที่ธารณะจะดีกว่า...ว่ากันที่จริง มันคงไม่นอกเหนือไปจากอำนาจของโลภะโทสะโมหะหรอกครับ เมื่อพี่ใหญ่มีหลักจากธรรมะแล้วก็สามารถประยุกต์ใช้ได้เสมอ การอาศัยหลัก ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ความเมตตาขันติ อุเบกขา ตลอดจนการเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม เป็นหลักการที่ต้องนำมาบริหารในชีวิตตลอดเวลาเพื่อแก้ทุกข์ ไม่มีสูตรสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งหรอกครับ...

ที่สำคัญคือการเพิ่มพูนปัญญาเพื่อเสริมความเข้มแข็งในตนให้มาก อย่าคิดว่าต้องอาศัยคนอื่นๆมารับรองความสุขของเราเสมอ ไม่งั้นจะคุ้นชินกับการพึ่งพาทางอารมณ์จนเดินเองไม่เป็น..

ดูคุณย่าทักฯและคุณยายลูกโป่งเถิดครับ นี้คือตัวอย่างที่เห็นชัด นอกจากฝ่าทุกข์ใจและกายสาหัสเฉียดตายมาได้อย่างงดามด้วยธรรมแล้ว ยังนำหลักธรรมมาเผยแผ่ช่วยคนทุกข์อื่นๆอีก น่าปลื้มใจจริงที่ได้รู้จักแม้เพียงทางอักษรเท่านั้นก็ตาม.. :b8:


สวัสดีค่ะ คุณตา-dd-และกัลยาณมิตรทุกท่าน

ขอบคุณ&อนุโมทนาบุญกับกำลังใจและคำแนะนำดีดีที่คุณตา-dd-มีให้กับทุกท่าน
ขอบคุณคุณตา-dd-ที่มีความรู้สึกดีดีให้เสมอ

ธรรมะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้สิ่งดีดีเกิดขึ้นกับชีวิต
หมั่นสร้างสมบุญบารมี หมั่นสร้างอริยทรัพย์ภายใน ภายนอก
หากเราหมั่นสะสมผลบุญ ใจของเราก็จะคุ้นเคยกับการทำสิ่งดีดีิอยู่เสมอ
อุปสรรคใดใดที่พบเจอ สิ่งดีดีที่เราคุ้นชินที่จะทำ
จะช่วยให้เราวางใจในสิ่งที่เป็นปัญหาได้
แก้ไขให้ได้ให้ดี แก้ไม่ได้ก็ปล่อยวาง
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ สิ่งที่เราควรรักษาให้ดี
คือ ใจทีมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
มีเพียงใจดวงนี้ ที่จะอยู่เป็นเพื่อนเราไปทุกภพทุกชาติ
...หมั่นดูแลรักษาใจให้ดีเสมอ...

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 22:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สมมุตินะว่าถ้ามีคนกำลังจะตาย แล้วมีคนมายืนล้อมรอบบอกว่าไปที่ชอบๆเถอะนะอยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ แล้วคนนั้นจะยังทำจิตให้สงบอยู่ได้อีกหรือ


อ้าว ก็นี่ไง ถึงได้บอกให้"ฝึก"นอนคิดเงียบๆคนเดียวให้คุ้นไว้ จะมีแมวมารุมส่งไปที่ชอบ ๆก็ไม่หวั่นแล้ว เพราะใจคิดถึงพระพุทธเจ้าอยู่ และจึงบอกว่า ไม่ควรมีใครมารุมล้อมเวลาจะตายน่ะดีที่สุดแล้ว ซึ่งในทางปฏิบัติน่ะ ยากส์เพราะอย่างน้อยก็ต้องมีคนหามไปหาหมอก่อน ยกเว้นโชคดีได้ตายคนเดียว..พอเจอหมอก็ต้องเจอเข็มมีดเลื่อย และพยาบาล ที่มาตบหน้าตบตัวกระตุ้นให้ตื่นให้หายใจ มายัดสาย อะไรๆสารพัดใส่ตัว เจาะคิอดูดเสมหะจ้าละหวั่น เมื่อไม่เคยฝึกมาอย่างดี ใจก็หวั่นไหวจนได้ตายกันไปโดยยังไม่ทันรักษาน่ะแหละ หรือลูกเต้าเหล่ากอมาร้องระงม ด้วยความวิตกทำนองว่าแล้วต่อไปนี้เขาจะอยู่กันอย่างไร โฮ้ย ครานี้ความกังวลจะมีสักปานใดคนตายด้วยกังวล ก็ได้มาไต่ตอมตามตัวหัวหูของลูกเหล่ากอน่ะแหละจะไปไหนพ้น...แล้วเราเลือกได้ไหมว่าขอตายแบบสงบๆ เพราะเลือกไม่ได้จึงต้องเตรียมไว้นี่ไง :b1: :b5: :b7:เง่ย ขอรับ! :b2:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 16:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 09:21
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณตาบรรยายซะเห็นภาพชัดแจ๋วเลย ถ้าตายแบบไม่ต้องทรมานก็ดีนะ หวังว่าเราคงมีบุญช่วยเสริมส่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทุกข์ใจ เขียน:
ขอบคุณ คุณปราณีมากที่เป็นกำลังใจ ตอนนี้พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว

ขอบคุณ คุณตามากที่เตือนสติ เกือบหลงทางแล้วเชียว ดีที่ได้คุณตาช่วยดึงรั้งไว้

สมมุตินะว่าถ้ามีคนกำลังจะตาย แล้วมีคนมายืนล้อมรอบบอกว่าไปที่ชอบๆเถอะนะอยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ แล้วคนนั้นจะยังทำจิตให้สงบอยู่ได้อีกหรือ


สวัสดีค่ะ คุณทุกข์ใจ(สุขใจ)

ชีวิตก็มีแค่สุขกับทุกข์
มีทุกข์มาก ทุกข์น้อยต่างกันไป
สุดท้าย ก็เหลือแต่ตัวเราเองจริงจริง
เราจะสุข จะทุกข์
ก็เพราะใจที่เราคิดไปเอง
หมั่นดูแลใจของเราดีกว่าคุณทุกข์ใจ(สุขใจ)

ลูกโป่งว่าคุณทุกข์ใจ(สุขใจ) ผ่านอะไรมาเยอะ
ชีวิตที่มีตอนนี้ ก็มีแต่ดีขึ้น ดีขี้นตลอด
อย่ากังวลกับเรื่องที่มาทำให้เราปวดใจเลยนะคะ
คุณทุกข์ใจ(สุขใจ) คนดี
ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไปให้ดีให้ได้
...เพื่อตัวเองเพื่อลูกที่รักของคุณ...
รักษาใจให้ดีนะคะ

เป็นกำลังใจให้คุณเสมอค่ะ

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 141


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อจรัญท่านเคยเทศน์ให้ฟังว่า คนแก่สมัยก่อนจะรู้ว่าตัวเองจะตายวันไหนก็จะสั่งเสียลูกหลานและลากันเอาไว้พอถึงเวลาลูกหลานก็จะนำดอกไม้ธูปเทียนมาจุดลา แล้วบอกให้ไปอย่างสงบนะ ท่านก็จะหลับตานึกถึงพระรัตนตรัยแล้วจากไปอย่างสงบ หลวงพ่อบอกว่าทุกคนต้องเป็นไปตามกรรม อย่าห่วงหน้าพะวงหลัง บทสรุปทุกอย่างจะอยู่ตอนที่จะตายแล้วเปลี่ยนภพชาติว่าเรามีใจสงบแค่ไหน

แต่สมัยนี้คงเหมือนอย่างที่คุณ dd พูด เพราะถ้าไม่พาไป รพ.ก็จะกลายเป็นลูกอกตัญญู

ช่วงนี้อากาศในกรุงเทพเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกพี่ใหญ่อย่าลืมรักษาสุขภาพนะคะ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องสมมุต..ว่า..เรากำลังจะตาย..กันบ่อย ๆ

:b12: :b12:

จะได้เคย.. :b12: :b12:

และทำตอนจะนอน..นี้..ใกล้เคียงที่สุด

พอหัวถึงหมอน..ท่านอนหง่ายนะ..แล้วให้นึก..เรากำลังจะตาย..

แหม่..ได้อารมณเชียวละท่าน
:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 23:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 01:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตอนที่น้องสาวป่วยหนัก....ลุกไปไหนไม่ได้
เวลาไปเยี่ยมเขา...มักจะพูดเสมอว่า...."ซ้อมตายดู"....และเขาจะย้ำนัก
ย้ำหนาว่า....ถ้าอาการเขาหนัก....ขอให้เขาได้อยู่เงียบๆ...อย่าให้ใคร
มาพูดอะไร?....หรือมาร้องไห้ใกล้ๆเขา...ช่วยปล่อยให้เขาไป...
แบบสงบเงียบที่สุดนะ

ไม่เข้าใจความหมายในตอนนั้น....แต่ตอนนี้เข้าใจถ่องแท้แล้วว่า
น้องสาวเขาก้าวหน้ากว่าเราไปตั้งเจ็ดปี....เขารู้อะไรๆ ได้ดีเกินกว่า
เราจะเข้าใจเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว.....ตอนนี้ถ้าได้ข่าวว่าใครก็ตามที่ได้ตาย
แบบนอนหลับแล้วไปเลย....รู้สึกยินดีไปกับเขา...ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด
ที่จะหมายความว่าเขาได้ไปดี....แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์มากที่จะเป็นอย่างนั้น

เราสองพี่น้อง มักจะพูดคุยเรื่องความตายกันเป็นเรื่องธรรมดา
สั่งเสียกันไว้...เขาจะพูดเสมอว่า...เขาหมดหน้าที่แล้ว...ถ้าเขาไม่อยู่
เราต้องเป็นฝ่าย...ดูแลเด็กๆ...ซึ่งหมายถึงของเขาสอง ของเราสอง
รวมเป็นสี่....และปากับแม่ด้วย....เน้นเรื่องให้ลูกๆรู้จักเข้าวัด...เน้นให้
สอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ....แต่ก็บอกให้เราว่า...ให้แนะนำพวกเขา...
อย่า"สั่ง"

ตอนนั้น...ใครๆ ก็หาว่าเราสองคนพี่น้องเพี๊ยนๆ...เพราะพูดถึงแต่เรื่อง
"ความตาย".....มานึกทบทวนความหลังแล้ว...เพิ่งจะรู้ว่า...เราสูญเสีย
กัลยาณมิตรที่ดีเลิศ...ในรูปแบบของน้องสาวไป....โดยไม่รู้ตัวเลย
เมื่อก่อนเศร้าโศรกต่อการจากไปของน้องสาว...แต่ตอนนี้กลับรุ้สึก
เสียดาย...และสังเวชตัวเองที่อยู่ใกล้คนดีๆ...ของดีๆ...กลับรับอะไร
ไม่ได้เลย....เพราะมัวแต่ไปทุกข์โศรกเรื่องของ "หัวใจ" ที่ไร้สาระ

รู้แล้วว่า "ซ้อมตาย" ตามที่น้องสาวเคยทำก็คือ
"การตั้งอยู่บนความไม่ประมาท" ซึ่งเป็นปัจฉิมวาท
ของพระพุทธองค์นั้นเอง....สาธุ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


กบนอกกะลา เขียน:
ต้องสมมุต..ว่า..เรากำลังจะตาย..กันบ่อย ๆ

:b12: :b12:

จะได้เคย.. :b12: :b12:

และทำตอนจะนอน..นี้..ใกล้เคียงที่สุด

พอหัวถึงหมอน..ท่านอนหง่ายนะ..แล้วให้นึก..เรากำลังจะตาย..

แหม่..ได้อารมณเชียวละท่าน
:b12: :b12:


อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณกบนอกกะลา :b1:
ขอบคุณที่มาแนะนำให้ระลึกถึงความตาย
ลูกโป่งพยายามนึกถึงทุกวัน ตั้งแต่เช้าเลยค่ะ
พยายายามระลึกถึงบ่อยๆ
เวลาจะทำอะไรจะได้รีบทำ ตั้งใจทำ ใส่ใจทำ
เพราะไม่รู้หากไม่รีบทำจะได้มีเวลาทำหรือไม่

ชอบชื่อคุณจัง...ดูแล้วเหมือนอิสระเสรีดีจัง :b20: :b39:


:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


taktay เขียน:
ตอนที่น้องสาวป่วยหนัก....ลุกไปไหนไม่ได้
เวลาไปเยี่ยมเขา...มักจะพูดเสมอว่า...."ซ้อมตายดู"....และเขาจะย้ำนัก
ย้ำหนาว่า....ถ้าอาการเขาหนัก....ขอให้เขาได้อยู่เงียบๆ...อย่าให้ใคร
มาพูดอะไร?....หรือมาร้องไห้ใกล้ๆเขา...ช่วยปล่อยให้เขาไป...
แบบสงบเงียบที่สุดนะ

ไม่เข้าใจความหมายในตอนนั้น....แต่ตอนนี้เข้าใจถ่องแท้แล้วว่า
น้องสาวเขาก้าวหน้ากว่าเราไปตั้งเจ็ดปี....เขารู้อะไรๆ ได้ดีเกินกว่า
เราจะเข้าใจเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว.....ตอนนี้ถ้าได้ข่าวว่าใครก็ตามที่ได้ตาย
แบบนอนหลับแล้วไปเลย....รู้สึกยินดีไปกับเขา...ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด
ที่จะหมายความว่าเขาได้ไปดี....แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์มากที่จะเป็นอย่างนั้น

เราสองพี่น้อง มักจะพูดคุยเรื่องความตายกันเป็นเรื่องธรรมดา
สั่งเสียกันไว้...เขาจะพูดเสมอว่า...เขาหมดหน้าที่แล้ว...ถ้าเขาไม่อยู่
เราต้องเป็นฝ่าย...ดูแลเด็กๆ...ซึ่งหมายถึงของเขาสอง ของเราสอง
รวมเป็นสี่....และปากับแม่ด้วย....เน้นเรื่องให้ลูกๆรู้จักเข้าวัด...เน้นให้
สอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ....แต่ก็บอกให้เราว่า...ให้แนะนำพวกเขา...
อย่า"สั่ง"

ตอนนั้น...ใครๆ ก็หาว่าเราสองคนพี่น้องเพี๊ยนๆ...เพราะพูดถึงแต่เรื่อง
"ความตาย".....มานึกทบทวนความหลังแล้ว...เพิ่งจะรู้ว่า...เราสูญเสีย
กัลยาณมิตรที่ดีเลิศ...ในรูปแบบของน้องสาวไป....โดยไม่รู้ตัวเลย
เมื่อก่อนเศร้าโศรกต่อการจากไปของน้องสาว...แต่ตอนนี้กลับรุ้สึก
เสียดาย...และสังเวชตัวเองที่อยู่ใกล้คนดีๆ...ของดีๆ...กลับรับอะไร
ไม่ได้เลย....เพราะมัวแต่ไปทุกข์โศรกเรื่องของ "หัวใจ" ที่ไร้สาระ

รู้แล้วว่า "ซ้อมตาย" ตามที่น้องสาวเคยทำก็คือ
"การตั้งอยู่บนความไม่ประมาท" ซึ่งเป็นปัจฉิมวาท
ของพระพุทธองค์นั้นเอง....สาธุ :b8:


อนุโมทนาสาธุกับเรื่องเล่าดีดี... :b36:
ที่อ่านแล้วซาบซึ้งใจค่ะ...คุณทักทาย คนดีเสมอ :b20:
คุณทักทายโชคดีนะคะ...ที่มีน้องสาวที่น่ารักและแสนดี :b1:

ชีวิตแต่ละคนช่างสั้นนักนะคะ
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่อาจรู้ได้
เวลาที่เราเหลืออยู่ ก็ไม่รู้จะอีกนานเท่าไหร่
หมั่นละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสกันดีกว่า
เวลาที่ผ่านไป ก้เหมือนเอาชีวิตเราไปด้วย...อย่าประมาท
ทำให้ดีทีสุดในแต่ละวันแต่ละเวลา...เท่าที่เราสามารถทำได้
แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง...ก็ไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว
พร้อมเดินทางไปสู่โลกใบใหม่ในทันที :b39:

ธรรมใดๆก็ไร้ค่า...ถ้าไม่ทำ


:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลูกโป่ง เขียน:
คุณทักทายโชคดีนะคะ...ที่มีน้องสาวที่น่ารักและแสนดี :b1:


กว่าจะรู้...ก็หลังจากเขาเสียไปได้ตั้งเจ็ดปีแล้ว
ทักทายไม่ฉลาดเลยใช่ไหมค่ะ? ยายโป่ง..... :b2: :b2: :b2:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 08 พ.ค. 2010, 23:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน:
ต้องสมมุต..ว่า..เรากำลังจะตาย..กันบ่อย ๆ

:b12: :b12:

จะได้เคย.. :b12: :b12:

และทำตอนจะนอน..นี้..ใกล้เคียงที่สุด

พอหัวถึงหมอน..ท่านอนหง่ายนะ..แล้วให้นึก..เรากำลังจะตาย..

แหม่..ได้อารมณเชียวละท่าน
:b12: :b12:


:b8: ครับท่านผู้มีอิสระเสรีเหนืออื่นใด... :b4: :b12: :b27: :b27:
ผมทำทุกวันแล้ว ยังทะลึ่งตื่นมาเข้าเว็บธรรมจักรได้จนบัดนี้.. :b7: :b1: :b9:

ลูกโป่ง:
อ้างคำพูด:
ลูกโป่งพยายามนึกถึงทุกวัน ตั้งแต่เช้าเลยค่ะ
พยายายามระลึกถึงบ่อยๆ
เวลาจะทำอะไรจะได้รีบทำ ตั้งใจทำ ใส่ใจทำ
เพราะไม่รู้หากไม่รีบทำจะได้มีเวลาทำหรือไม่


:b8: ขอรับคุณยายลูกโป่ง คนดีของทุกคน ผู้มีกำลังใจชุ่มเย็นแผดเผาเอาความเร่าร้อนของกิเลสในใจออกได้เมื่อได้อ่านคำแนะนำทุกอัน .. :b8: :b27: :b27: :b27:

taktay:

อ้างคำพูด:
รู้แล้วว่า "ซ้อมตาย" ตามที่น้องสาวเคยทำก็คือ
"การตั้งอยู่บนความไม่ประมาท" ซึ่งเป็นปัจฉิมวาท
ของพระพุทธองค์นั้นเอง....สาธุ


:b8: ครับท่านย่าฯ ผู้รู้จักธรรมะตั้งนานแล้วแต่ไม่รู้ตัวว่า"อิน"มากจนสามารถคุยกับน้องเรื่องตายได้อย่างปกติ คนที่ไม่ีรู้จักธรรม คุยกันเรื่องนี้ไม่ได้หรอกครับ...เขาถือว่าอัปมงคล ช่างไม่รู้เลยว่าถ้าไม่เคยคิดถึงความตายเลยน่ะแหละอัปมงคลแล้ว....อนุโมทนาในบุญเก่าที่ย่าทำมาไว้ดีแล้วด้วยครับ.. :b8: :b4: :b4:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 08 พ.ค. 2010, 12:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


taktay เขียน:
ลูกโป่ง เขียน:

คุณทักทายโชคดีนะคะ...ที่มีน้องสาวที่น่ารักและแสนดี :b1:


กว่าจะรู้...ก็หลังจากเขาเสียไปได้ตั้งเจ็ดปีแล้ว
ทักทายไม่ฉลาดเลยใช่ไหมค่ะ? ยายโป่ง..... :b2: :b2: :b2:


ไม่เป็นไรหรอกคุณย่าทักทาย
รู้ช้า...ก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย :b1:
เก็บสิ่งดีดีไว้ในความทรงจำที่มีค่าของเรา
เพื่อเตือนใจว่า ขณะนี้ เวลานี้ เดี๋ยวนี้
หากมีโอกาสทำดี คิดดี พูดดี
ไม่ว่ากับใคร ก็รีบทำเสีย...เพราะอะไรอะไรมันก็ไม่แน่

ขอบคุณที่อยู่ข้างๆกันเสมอ


:b48: รักและคิดถึงฝากท้องฟ้ามาให้นะ...คนดี :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b1: ขออนุญาตนำบทความธรรมะมาฝากนะคะ...กัลยาณมิตรทุกท่าน

รูปภาพ

ระลึกถึงความตายสบายนัก
: การเจริญมรณสติในชีวิตประจำวัน โดย พระไพศาล วิสาโล



ระลึกถึงความตายสบายนัก:การเจริญมรณสติในชีวิตประจำวัน
โดย พระไพศาล วิสาโล
เครือข่ายพุทธิกา /จัดพิมพ์



(ได้รับหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ เล่มนี้จากงานศพญาติเมื่อวันก่อน
อ่านแล้ว "ได้" อะไรมากมาย ขอหยิบยกบางส่วนมาแบ่งปันค่ะ)


ระลึกถึงความ ตายสบายนัก
มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
ทำ ให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ


พระศาสนโสภณ (จตตสลลเถร)



สำหรับคนทั่วไปไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความตาย
เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น
หากยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด
ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป
ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปรารถนาของทุกคน
รองลงมาจากความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ
แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือเราทุกคนต้องตาย


ความตายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็จริง
แต่ใครบ้างที่ยอมรับความจริงข้อนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ผู้คนเป็นอันมากจึงพยายามหนีห่างความตายให้ไกลที่สุด
ขณะเดียวกันก็พยายามไม่นึกถึงมัน โดยทำตัวให้วุ่น
หาไม่ก็ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับความสุขและการเสพ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีชีวิตราวกับลืมตาย
ดังนั้นจึงไม่พอใจหากมีใครพูดถึงความตายให้ได้ยิน
ถือว่าเป็นอัปมงคล คำว่า “ความตาย”กลายเป็นคำอุจาดที่แสลงหู
ต้องเปลี่ยนไปใช้คำอื่นที่ฟังดูนุ่มนวล เช่น “จากไป” หรือ “สิ้นลม”


ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว
แต่แทนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า
คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ “ไปตายเอาดาบหน้า”
คือ ความตายมาถึงเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกที
แต่วันนี้ขอสนุกหรือขอหาเงินก่อน
ผลก็คือเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า
จึงตื่นตระหนก ร่ำร้อง ทุรนทุราย ต่อรอง ผัดผ่อน
ปฏิเสธผลักไส ไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ
แต่ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะมีใครช่วยเหลือได้
เตรียมตัวเตรียมใจเพียงใด ก็ได้รับผลเพียงนั้น
ถ้าเตรียมมามากก็ผ่านความตายได้อย่างสงบราบรื่น
ถ้าเตรียมมาน้อย ก็ทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าจะหมดลม
หากความตายเปรียบ เสมือนการสอบ ก็เป็นการสอบที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง


จะว่าไปชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คือโอกาสสำหรับการเตรียมตัวสอบครั้งสำคัญนี้
สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตล้วนมีผลต่อการสอบดังกล่าว
ไม่ว่าการคิด พูด หรือทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม
การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยไม่เคยสูญเปล่าหรือเป็นโมฆะ
ที่สำคัญก็คือการสอบดังกล่าวมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ไม่มีการแก้ตัวหรือสอบซ่อม
หากสอบพลาดก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลพวงจนสิ้นลม



รูปภาพ


ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับผู้ใช้ชีวิตอย่างลืมตาย
หรือคิดแต่จะไปตายเอาดาบหน้า
แต่จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี
อันที่จริงถ้ารู้จักความตายอยู่บ้าง
ก็จะรู้ว่าความตายนั้นมิใช่เป็นแค่ “วิกฤต” เท่านั้น
แต่ยังเป็น “โอกาส”อีกด้วย กล่าวคือเป็นวิกฤตในทางกาย
แต่เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ
ในขณะที่ร่างกายกำลังแตกดับ ดิน น้ำ ลม ไฟ
กำลังเสื่อมสลาย หากวางใจได้อย่างถูกต้อง
ก็สามารถพบกับความสงบ
ทุกขเวทนาทางกายมิอาจบีบคั้นบั่นทอนจิตใจได้
มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้สัมผัสกับความสุขและรู้สึกโปร่งเบาอย่างยิ่ง
เมื่อป่วยหนักในระยะสุดท้าย
เพราะความตายมาเตือนให้เขาปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยแบกยึดเอาไว้
หลายคนหันเข้าหาธรรมะจนค้นพบความหมายของชีวิตและความสุขที่แท้
ขณะที่อีกหลายคนเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วก็หันมาคืนดีกับคนรักจนไม่
เหลือสิ่งค้างคาใจใด ๆ และเมื่อความตายมาถึง
มีคนจำนวนไม่น้อยที่จากไปอย่างสงบ
โดยมีสติรู้ตัวกระทั่งนาทีสุดท้ายยิ่ง
ไปกว่านั้นมีบางท่านที่เห็นแจ้งในสัจธรรมจากทุกขเวทนา
อันแรงกล้าที่ปรากฏเฉพาะหน้า จนเกิดปัญญาสว่างไสว
และปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
บรรลุธรรมขั้นสูงได้ใน ขณะที่หมดลมนั้นเอง


สำหรับผู้ใฝ่ธรรม ความตายจึงมิใช่ศัตรู
หากคือครูที่เคี่ยวเข็ญให้เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
คอยกระตุ้นเตือนให้เราอยู่อย่างไม่ประมาท
และไม่หลงเพลิดเพลินกับสิ่งที่มิใช่สาระของชีวิต
ขณะเดียวกันก็สอนแล้วสอนเล่าให้เราเห็นแจ้งในสัจธรรมของชีวิต
ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรน่ายึดถือ
และไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็นของเราได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
ยิ่งใกล้ความตายมากเท่าไร
คำสอนของครูก็ยิ่งแจ่มชัดและเข้มข้นมากเท่านั้น
หากเราสลัดความดื้อดึงได้ทันท่วงที
นาทีสุดท้ายของเราจะเป็นนาทีที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง
เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกนาทีนั้นว่า “นาทีทอง”



รูปภาพ


ทำไมถึงกลัวตาย :
ความตายไม่ว่าจะน่ากลัวอย่างไรในสายตาของคนทั่วไป
ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย
ความตายหากวัดที่การหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้น
ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์
แต่ความกลัวตายนั้นสามารถหลอกหลอนคุกคามผู้คนนานนับปีหรือยิ่งกว่านั้น
ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไร ก็ทุกข์เมื่อนั้น
จึงมีภาษิตว่า “คนกล้าตาย ครั้งเดียว
แต่คนขลาดตายหลายครั้ง”
ความกลัวตายยังน่ากลัวตรงที่เป็นแรงผลักดัน
ให้เราพยายามผลักไสความตายออกไปให้ไกลที่สุด
จนแม้แต่จะคิดถึง เรียนรู้ หรือทำความรู้จักกับมัน ก็ยังไม่กล้าทำ
เพราะเห็นความทุกข์เป็นศัตรู


ทำใจให้คุ้นชินกับ ความตาย :
ไม่ว่าจะหลีกหนีให้ไกลเพียงใด เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น
ในเมื่อจะต้องเจอกับความตายอย่างแน่นอน
แทนที่จะวิ่งหนีความตายอย่างไร้ผล
จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาเตรียมใจรับมือกับความตาย
ในเรื่องนี้ มองแตญ ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวแนะนำว่า
“เราไม่รู้ว่าความตายคอยเราอยู่ ณ ที่ใด
ดังนั้นขอให้เราคอยความตายทุกหนแห่ง”


รูปภาพ


เราสามารถทำใจให้คุ้นชินกับความตาย
ได้ด้วยการระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอ
นั่นคือเจริญ “มรณสติ” อยู่เป็นประจำ



การเจริญมรณสติคือการระลึกหรือเตือนตนว่า ...


๑) เราต้องตายอย่างแน่นอน


๒) ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ
อาจเป็นปีหน้า เดือนหน้า พรุ่งนี้ คืนนี้ หรืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้
เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องสำรวจหรือถามตนเองว่า...


๓) เราพร้อมที่จะตายหรือยัง
เราได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง
และพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งทั้งปวงแล้วหรือยัง


๔)หากยังไม่พร้อม เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
เร่งทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จสิ้น อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า
หาไม่แล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยก็ได้

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่
ได้ตรัสแนะนำให้ภิกษุเจริญมรณสติเป็นประจำ
อาทิ ให้ระลึกเสมอว่า เหตุแห่งความตายนั้นมีมากมาย
เช่น งูกัด แมลงป่องต่อย ตะขาบกัด หาไม่ก็อาจพลาดพลั้งหกล้ม
อาหารไม่ย่อย ดีซ่าน เสมหะกำเริบ ลมเป็นพิษ
ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์ทำร้าย จึงสามารถตายได้ทุกเวลา
ไม่กลางวันก็กลางคืน ดังนั้นจึงควรพิจารณาว่า
บาปหรืออกุศลธรรมที่ตนยังละไม่ได้
ยังมีอยู่หรือไม่ หากยังมีอยู่ ควรพากเพียร ไม่ท้อถอย
เพื่อละบาปและอกุศลธรรมเหล่านั้นเสีย
หากละได้แล้ว ก็ควรมีปีติปราโมทย์
พร้อมกับหมั่นเจริญกุศลธรรมทั้งหลายให้เพิ่มพูนมากขึ้น
ทั้งกลางวันและกลางคืน


แม้กระทั่งเมื่อพระองค์ใกล้จะปรินิพพาน
โอวาทครั้งสุดท้ายของพระองค์ก็ยังเน้นย้ำถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ดังตรัสว่า

“สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”


รูปภาพ


คัดลอกจาก... http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 2&gblog=54

:b48: :b8: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 08 พ.ค. 2010, 14:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 904 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร