วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 13:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Tj1.jpg
Tj1.jpg [ 74.65 KiB | เปิดดู 1627 ครั้ง ]
กรรมดำ กรรมขาว

นอกจากเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วแล้ว ยังมีการอธิบายกรรมอีกนัยหนึ่ง โดยอธิบายถึงกรรมดำกรรมขาว จำแนกเป็นกรรม 4 ประการ คือ

1. กรรมดำมีวิบากดำ ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดย ส่วนเดียว เช่น เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา

2. กรรมขาวมีวิบากขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็งอยากได้ มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ

3. กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทั้งทุกข์ระคนกัน

4. กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำ เจตนาใดเพื่อละกรรมขาวอันมีวิบากขาว และเจตนาใดเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เช่น ผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด โพชฌงค์เจ็ด

1. คำนำ

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ด้วยพระบารมีธรรมของพระบรรพจารย์ด้วยบรามีธรรมของท่านธรรมอธิการ และนักธรรมอาวุโสทุกท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมบุญสนทนากับท่านทั้งหลาย ในหัวข้อเรื่อง "กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด"

อะไรคือ "กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ?"

การที่เรารู้เรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด มันสำคัญอย่างไรต่อชีวิตของเรา?

เราจะพยายามไขข้อ ข้องใจเล่านี้และหวังอย่างยิ่งว่าเมื่อจบการบรรยายนี้แล้ว จะทำให้ท่านสามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นในเรื่องของกฎแห่งกรรมและการเวียนว่าย ตายเกิด ก่อนอื่นข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องๆ หนึ่ง

ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสาวัตถีได้ตรัสถามพระสงฆ์พุทธสาวกว่า

"ในแผ่นดินที่เราปกครองอยู่ทำไมราษฎรทั้งหลายจึงแตกต่างกัน? บางคนเกิดมายากจนต้องทุกข์ยากลำบาก ในขณะที่บางคนเกิดมาร่ำรวยมีเกียรติยศชื่อเสียง ทำไมบางคนเกิดมาเป็นคนดีมีศีลธรรมแต่บางคนเป็นอาชญากร ? บางคนยินดีที่ได้เกิดมา แต่บางคนกลับสาปแช่งการเกิดของเขา"

อันที่แท้จริงแม้ในทุกวันนี้ ถ้าเรามองดูรอบๆ ตัวเราจะเห็นชีวิตที่แตกต่างกันได้อย่างง่าย บางคนเกิดมาในบ้านของมหาเศรษฐีและสนุกเพลิดเพลินกับชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะเดียวกันกับที่บางคนตกอยู่ในความยากจนได้รับความลำบากแสนเข็ญ

บางคนเกิดมาสวยงามและมีคนหลงรักมากมาย ในขณะที่บางคนต้องทนอยู่กับหน้าตาขี้เหร่และรูปร่างที่อัปลักษณ์ตั้งแต่เกิด

บางคนเกิดมาร่างกายสมบูรณ์ แต่บางคนอ่อนแอและถูกโรคภัยไข้เจ็บคุกคามเบียดเบียน บ้างก็เกิดมาเป็นคนพิการปัญญาอ่อน

บางคนครอบครัวอยู่อย่างกลมเกลียวมีความสุข แต่บางคนครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นชะตาชีวิตที่แต่ละคนจะต้องได้รับ

พุทธสาวกผู้รอบรู้มิได้ตอบพระเจ้ากรุงสาวัตถีในทันที แต่ได้ถามพระองค์ว่า "ข้าแต่มหาบพิตร ทำไมผลไม้ถึงรสชาดที่แตกต่างกันล่ะ บ้างก็หลานบ้างก็เปรี้ยว บางผลสดสวยสมบูรณ์ดี บางผลแคระแกรนและลีบ

พระราชาทรงครุ่นคิดสักครู่แล้วตรัสตอบว่า "อาจเป็นเพราะสภาพและชนิดของเมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกัน"

พระสงฆ์สาวกจึงพูดขึ้นว่า "ถูกต้องแล้ว มหาบพิตร" พืชที่ปลูกให้ผลต่างกันก็เพราะเมล็ดพันธุ์ที่ต่างกัน มนุษย์มีโชคชะตาแตกต่างกันก็เพราะผลกรรมที่ต่างกันนั่นเอง จากคำตอบของพุทธสาวกนี้เป็นคำอธิบายให้พวกเราได้รู้ว่า

คนเราเกิดมาต่างกันและมีวิถีชีวิตที่ต่างกันก็เพราะ

"แต่ละคนต่างมีกรรมเป็นของตนเองโชคชะตา และวิถีชีวิตของมนุษย์ที่เขาประสอบอยู่ในเวลานี้ก็เป็นผลมาจากการกระทำของเขาเองในอดีต"

2. "กฎแห่งกรรม" คือ อะไร ?

"กรรม" คือ กฎของเหตุและผล นั่นคือ

"เหตุ" ที่ได้กระทำนำมาซึ่ง "ผล" ที่ต้องได้รับ

"ผล" ที่ได้รับอยู่ในขณะนี้แสดงถึง "เหตุ" ที่เคยกระทำไว้แต่ก่อน

มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เหมือนกับที่เราเพาะปลูกเมล็ดมะม่วง ต่อมาเราก็ได้รับต้นมะม่วงและเมื่อเราเห็นต้นมะม่วงโตเราก็จะย่อมรู้ได้ว่า มันมาจากเมล็ดมะม่วง เช่นเดียวกัน ถ้าคนเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ มาตลอดชีวิต ในชีวิตหน้าเราก็จะพบชีวิตที่สุขสบาย ในทางตรงกันข้ามหากคนที่ทำแต่ความชั่วมาตลอดชีวิตต่อไปในภายหน้าเขาก็ต้อง ประสบแต่ความทุกข์ยากลำบาก ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่ไม่พึงปรารถนา

"กรรม" ให้ผลในรูปลักษณ์ต่างๆ และสามารถพบเห็นได้ในทุกๆ คน ดังเช่น

คำพูดที่ว่า "หว่านพืชเช่นไรได้รับผลเช่นนั้น" หมายความว่า เราปลูกพืชชนิดใด เราปลูกพืชชนิดใด เราก็จะได้รับผลของพืชเช่นนั้น ถ้าเราปลูกแตงโมเราก็ต้องได้ผลเป็นลูกแตงโม ถ้าเราปลูกลิ้นจี่ เราย่อมจะหวังได้เลยว่าต้องได้ผลเป็นลิ้นจี่แน่นอน ถ้าหากมิเป็นเช่นนั้นแล้วชีวิตของชาวสวนคงมีแต่ความยุ่งยากวุ่นวายเพราะจะ หวังอะไรไม่ได้เลยว่า เมล็ดที่ตนปลูกลงไปนั้นจะออกลูกเป็นอะไรกันแน่ !

ในด้านคณิตศาสตร์

คุณครูจะสอนเราว่า 1+1 = 2 ......... 1+1 คือ "เหตุ" และ "ผล" ต้องเป็น 2 แน่นอน

ในด้านฟิสิกซ์

คุณครูก็จะสอนว่า "การกระทำทุกอย่างย่อมต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ"

เมื่อน้ำมีอุณหภูมิที่ 0 องศาเซลเซียส มันต้องแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง

การลดอุณหภูมิ คือ กระทำเหตุ

น้ำแข็งที่ได้ คือ ผลลัพธ์

ในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์

คุณครูพละจะสอนเราเสมอว่า "ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง" แต่ถ้าเราสูบบุหรี่จัด ปอดของเราจะถูกทำลาย ถ้าเราดื่มเหล้ามากๆ เป็นประจำจะเป็นโรคตับแข็ง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือความเป็นเหตุและผลที่ตามมา

ในด้านมนุษย์สัมพันธ์

คนที่มีแต่ความหยิ่งยโสจองหองคิดว่าตนจะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ คนอื่นทำผิดหมด เขาก็จะมีแต่ความสูญเสีย ขาดเพื่อนสนิท ถ้าคนเรารู้จักมีเมตตามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ปฏิบัติต่อผู้อื่น ด้วยความจริงใจด้วยความเคารพยกย่องให้เกียรติ เขาก็ย่อมได้รับไมตรีจิตและแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่คอยเมตตาให้ความช่วยเหลือ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นลักษณะของ "กรรม" และ "ผลของกรรม" ในรูปแบบที่ต่างกันไปตามเหตุและปัจจัย

กรรมในแง่มุมต่างๆ

ให้เรามาศึกษา "กรรม" ให้ลึกลงไปอีกใน 2 แง่มุม คือ

1. ระยะเวลาที่กรรมจะปรากฏผล และผลกรรมนั้นจะยาวนานแค่ไหน ?

(กรรมที่เห็นผลทันตาและกรรมที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ)

"กรรม" ให้ผลในระยะเวลาที่ต่างกันตาม "เหตุ" ตาม "ชนิด" ของมัน เช่นเดียวกับพืชยกตัวอย่าง มะเขือเทศใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็ให้ผล ต้นมะละกอก็จะใช้เวลาไม่กี่เดือนจึงให้ผล แต่ถ้าเป็นต้นทุเรียนต้องใช้เวลาถึง 7 ปีจึงจะให้ผล

ในเรื่องกรรมของเรา บางคนได้รับผลจากการกระทำของตนทันทีในชาตินี้ บางคน อาจได้รับผลกรรมของตนในอนาคตหรือชาติหน้า

กรรมที่ส่งผลให้เราต้องได้รับจะมากน้อยยาวนานหรือระยะสั้นๆ ก็เปรียบได้กับ ถ้าเรามีงานที่ค้างอยู่มากมาย เราก็อาจจะไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในวันเดียว เราย่อมต้องใช้เวลานานหลายวันกว่าที่จะสะสางให้เสร็จเรียบร้อย

ในทำนองเดียวกัน ถ้าในอดีตเราทำควมชั่วที่ร้ายแรงและทำไว้มาก ผลกรรมก็จะปรากฏขึ้นรวดเร็วและต้องชดใช้ไปอีกนาน บางทีอาจต้องชดใช้ไปถึงชาติหน้ากว่าผลกรรมนั้จะหมดสิ้น

ในการสสร้างความดี และบุญกุศลไว้มากๆ ก็เช่นเดียวกัน เหตุนี้เองที่คนดีมากมายในชาตินี้กลับมีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก ก็เนื่องมาจากกรรมชั่วในอดีตส่งผลมาให้เขาต้องชดใช้

และในหลายกรณีที่คน ชั่วในเวลานี้ มีชีวิตอยู่สุขสบายก็เพราะเขากำลังเสวยผลบุญที่ตัวเขาและบรรพบุรุษได้สะสม ไว้ในอดีต แต่กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ทุกวันก็จะต้องส่งผลเป็นรายการต่อไปแน่นอน

2. กุศลกรรมและอกุศกรรม (หรือกรรมดีกรรชั่ว, กรรมบริสุทธิ์ และกรรมไม่บริสุทธิ์)

"กุศลกรรม" หมายถึง กรรมดีหรือกรรมบริสุทธิ์

"อกุศลกรรม" หมายถึง กรรมชั่วหรือกรรมไม่บริสุทธิ์

ฉะนั้น กรรมดีจะให้ผลที่ดี และกรรมชั่วจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี
เหมือนดัง
เมล็ดพันธุ์ที่ดี .............ย่อมให้ผลที่ดี
เมล็ดพันธุ์ที่เลว...........ย่อมให้ผลที่เลว

พระอรหันต์จี้กงได้กล่าวไว้ว่า "คนที่มีโชคดี คือ คนที่ได้สะสมกรรมดีไว้ทุกวัน
ปากพูดแต่คำที่ดีงาม
ตามองแต่สิ่งที่ดีงาม
กายก็กระทำแต่สิ่งที่ดีงามไปด้วย
3 ปีที่สะสมแต่ความดี เบื้องบนก็จะประทานอนาคตที่ดีแก่เขา

หากคนที่สะสมแต่ความชั่ว 3 อย่างไว้ตลอดเวลา
ปากพูดแต่คำที่ไม่ดี
ตามองหาแต่สิ่งที่ไม่ดี
กายก็กระทำชั่วอยู่เสมอๆ
3 ปีต่อมาโชคร้ายทั้งหลายก็จะมาถึงเขา"

เราสามารถรู้ได้ว่า กรรมใดเป็นกรรมดี กรรมใดเป็นกรรมเลว ก็อาศัย "จิต" ที่มองไม่เห็น คนที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ทำทุกอย่างโดยไม่รู้จักแบ่งแยก คือ คนที่ทำตามกิเลสตัณหาความอยากของเขา ไม่ใช่ทำตามจิตที่มีมโนธรรมสำนึก

กรรมชั่ว หรือ อกุศลกรรม จะเกิดกับผู้ที่กระทำทุกอย่างโดยยึดความต้องการของตัวเองเป็นส่วนใหญ่

ทุกวันนี้ที่ทุกคนทั้งหลายทำทุกอย่างตามที่เขาพอใจอยากจะทำ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ก็เพราะเขาไม่เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง โลกหน้ามีจริง นรก-สวรรค์ มีจริง และคิดว่าไม่มีใครจะมาพิพากษาตัดสินการกระทำของเขาได้ คนที่คิดอย่างนี้เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างเรพาะความเชื่อที่ผิดๆ การไม่รู้ความจริงอันถูกต้องจะก่อให้เกิดความพินาศแก่ตัวเขาเอง เป็นเรื่องที่น่าสังเวชจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่รู้จักสำนึกในพระคุณของพ่อแม่ ผลที่ได้รับก็คือ เขาจะถูกคนทั้งหลายรังเกียจและมีลูกหลายที่อกตัญญูต่อเขาดังเช่นที่เขาเคย ปฏิบัติมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ "เหตุต้นและผลกรรม" ทั้งสิ้น

เพื่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งในเรื่องของ "กรรม" ยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าอยากจะเล่าเรื่องราว เรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง

ยังมีนายพรานคนหนึ่งอาศัยอยู่ชายป่า ตลอดชีวิตนายพรานผุ้นี้ได้ฆ่านกและสัตคว์ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน เมื่อตายไปผลกรรมที่เขาฆ่าสัตว์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เขาจึงถูกพิพากษาให้เกิดมาชดใช้กรรม 3 ชาติ

ในชาติแรก เขาต้องได้ไปเกิดเป็นคนยากจนเข้นแค้นและถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน
เหตุผล...... ก็เพราะเขาทำให้สัตว์ต้องตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

ในชาติที่ 2 เขาต้องไปเกิดเป็นคนพิการตาบอล ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบาก
เหตุผล...... ก็เพราะเขาไม่เคยนึกถึงผลที่เกิดตามมาว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่สัตว์ ทั้งหลายถูกเขาฆ่าตาย ลูกๆ ของสัตว์เหล่านั้นจะต้องอดตายหรือถูกศัตรูจับไปกิน

ในชาติที่ 3 เขาต้องเกิดมาโดยไม่มีแขน
เหตุผล...... ก็เพราะเขาได้ใช้แขนไปในทางที่ผิล สร้างแต่ความเดือนร้อน แทนที่จะใช้ทำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

หลังจากที่ยมบาลได้พิพากษาโทษเขาแล้ว นายพร้านผู้นั้นก็ไปเกิดชดใช้กรรมของเขา

ในชาติแรกที่เขาเกิดมา แม่ของเขาต้องตายไปในทันที พออายุได้ 3 ขวบ พ่อก็ป่วยตาย ทิ้งให้ลุงของเขาเป็นผู้เลี้ยงดู จนกระทั่งอายุได้ 6 ขวบเขาก็ถูกส่งไปทำงานเป็นคนเลี้ยงสัตว์อยู่ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง

นับแต่นั้นมาเขาต้องทำงานดูแลฝูงวัว ได้รับความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่วัยเด็กไม่ว่าอากาศจะร้อนสักเพียงไรหรือหนาว เย็นแค่ไหน เขาก็ต้องออกไปเลี้ยงสัตว์ทุกวัน จนบางครั้งเขาอยากจะฆ่าตัวตายเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ เขามักจะนึกถามตัวเองว่า "ทำไมฟ้าจึงไม่ยุตธรรมกับฉันเลย?"

มีใครบ้างที่สงสารเขา วันเดือนปีที่ผ่านไปแม้เขาจะต้องทำงานหนักทั้งๆ ที่อายุยังน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้จักรับผิดชอบและประหยัดอดออมจึงเป็นที่ชื่นชอบ ของนายจ้าง เขามักจะได้รับคำชมบ่อยๆ

หมู่บ้านที่บรรดาคนเลี้ยงสัตว์อาศัยอยู่นั้นไม่ไกลจากเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง แต่การที่จะไปถึงตัวเมืองชาวบ้านทั้งหลายก็จะต้องข้ามแม่น้ำที่กั้นอยู่ ในช่วงฤดูฝนน้ำจะท่วมสูงทำให้ชาวบ้านต้องเสียชีวิตถูกน้ำพัดพาไปในระหว่าง ข้ามฟาก เหตุการณือันน่าเศร้าสลดเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี สร้างความสลดหดหู่ใจให้แก่เด้กเลี้ยงวัวผู้นี้เป็นอันมาก แต่ก็สุดวิสัยที่จะช่วยอะไรได้เพราะเขาอายุยังน้อยเกินไป

เมื่อเขาเริ่มเติมโตขึ้นจึงหัดว่ายน้ำในแม่น้ำ จนกายเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกาจด้วยความสามารถเขาได้ช่วยชีวิตผู้คนหลายสิบคน ให้รอดตายจากการจมน้ำ ชาวบ้านทั้งหลายต่างมอบความรักและซาบซึ้งใจในความดีของเขา

เวลาผ่านไปเมื่อเขาอายุได้ 18 ปี วันหนึ่งชายหนุ่มผู้นี้ได้เข้าไปพบนายของเขา และแนะนำชักชวนให้ท่านสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนั้น เขาให้เหตุผลว่า ไไม่เพียงแต่จะช่วยให้ชีวิตผู้คนปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังจะช่วยรักษาทรัพย์สินที่ต้องสูญเสียไปอย่างมากมาย กระผมคิดว่า เจ้านายเป็นผู้ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะริเริ่มการสร้างสะพานในครั้งนี้ เพราะท่านร่ำรวยมากและมีน้ำใจที่สุดในหมู่บ้านนี้"

นายของเขาหยุดคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า "นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย"

"ไม่มีปัญหา" ชายหนุ่มรีบตอบ "กระผมยินดีที่จะเอาเงินทั้งหมดที่ได้สะสมไว้มาร่วมสมทบด้วยขอรับ"

ด้วยความจริใจและปรารถนาจะทำสิ่งที่เกิดคุณประโยชน์ต่อสาธารณะชน เจ้านายอขงเขาจึงตกลงใจโดยมีเงื่อนไขให้ชายหนุ่มผู้นี้วางแผนควบคุมดูแลการ ก่อสร้างสะพานทั้งหมด

จากนั้นมาเขาก็เริ่มดำเนินการสร้างสะพานอย่างไม่ต้องรีรอ ขระที่งานสร้างสะพานดำเนินไปได้ 1 ใน 3 ส่วน ระหว่างที่เขาช่วยคนงานทุบหิน เศษหินได้กระเด็นเข้าแทงนัยน์ตาทั้งสองข้าง ทำให้เขาต้องตาบอดสนิท แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมหยุดสร้างสะพาน

เมื่องานแล้วเสร็จไปได้ 2 ใน 3 ส่วน ขณะที่เขากำลังทำงาน ก็เกิดอุบัติเหตุตกจากสะพาน แขนทั้งสองแลกเหลว จนหมอไม่มีทางรักษาจำต้องตัดทิ้ง ชายหนุ่มผู้มีน้ำใจงามจึงกาลายเป้นคนตาบอดไม่มีแขน แม้ว่าเขาจะได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยย่อท้องต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น เขายังคงมุ่งมั่นที่จะควบคุมการสร้างสะพานให้ถึงที่สุด

ต่อมาไม่นานสะพานก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ ชาวบ้านทั้งหมดจึงได้เชื้อเชิญให้นายจ้างเศรษฐีมาเป้นประะานทำพธีเปิดใช้ สะพานนี้

แต่ท่านเศรษฐีกลับยิ้มและตอบว่า "การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนี้เป็นความคิดริเริ่มของชายหนุ่มลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้มาจากเงินที่เขาได้สะสมไว้ ฉะนั้นลูกจ้างหนุ่มผู้นี้จึงสมควรได้รับเกียรติให้เป็นผุ้ทำพิธีเปิดสะพาน นี้"

ชาวบ้านทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงเห็นพ้องต้องกันเชื้อเชิญชายหนุ่มผู้พิการให้เป็นประธานในพิธี

ขณะนั้นมีท่านเสนาบดีจากราชสำนักมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานเปิดสะพานด้วย ทุกคนพากันเดินไปยังสะพาน ฝูงชนต่างโห่ร้องฉลองชัยด้วยความยินดี

แต่ครั้งไปถึงสะพาน ท้องฟ้าที่สว่างไสวอยู่เมื่อสักครู่ กลับมืดครื้มเป็นสีดำอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นได้เกิดฟ้าผ่าลงมาถูกชายหนุ่มผู้มาเป็นประธานในพิธีอย่างฉับพลัน เขาถูกเผาไหม้จนเกรียมทั้งๆ ที่ร่างยังคงยืนตระหง่านอยู่

ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างสงบลงชาวบ้านก็เกิดความฉุนเฉียวและเกรี้ยวกราดขึ้นว่า

"ทำไมถึงได้เกิดฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างนี้?"
"ชายผู้นี้ไม่เคยทำผิดคิดร้ายอะไร แต่ทำไมต้องกลับมาถูกฟ้าผ่าตาย?"
"คนทำดีมาตลอดกลับไม่ได้ดี ต้องตายอ่างน่าอนาถ เรื่องเช่นนี้ "ฟ้า" ยังไม่รู้จักแยกแยะดีเลว"

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอกันไปต่างๆ นานา ท่านเสนาบดีผู้อาวุโส ได้เดินไปยังร่างที่ไหม้เกรียมของชายผุ้น่าสงสารแล้วท่านจึงก้มลงเขียนข้อ ความลงบนข้อมือของร่างที่ไร้วิญญาณนั้ว่า
"คนดีที่ถูกฟ้าพิฆาต"

และแล้วร่างกายของชายหนุ่มผู้สร้างแต่ความดีมาตลอดก็ล้มลง พร้อมกับทิ้งปริศนาที่น่าฉงนสงสัยในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วและการเกิดใหม่ ภายในสมองของผู้คนเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเป้นคนดีไปทำไม? ในเมื่อสวรรค์ยังไม่รู้จักแบ่งแยกดีชั่ว"

อีกไม่กี่วันต่อเมื่อท่านเสนาบดีผู้อาวุโสกลับมาถึงราชสำนึก ก้ได้รับแจ้งข่างว่าพระราชโอรสของพระองค์จักรพรรดิ์ประสูติแล้ว แต่ทรงร้องไห้ไม่ยอมหยุด ท่านเสนาบดีจึงได้ขอพระราชานุญาตเข้าเฝ้าพระโอรส

ครั้นเจ้าชายองค์น้อยได้พบท่านเสนาบดีก็ทรงหยุดร้องทันที เมื่อท่านเสนาบดีผู้ชราเข้าชมพระบารมีราชโอรสอย่างใกล้ชิด ก็ต้องตกใจมากที่ได้เห็นบนข้อพระหัตถ์ปรากฎมีอักษรเขียนไว้ว่า
"คนดีที่ถูกฟ้าพิฆาต"

ท่านจึงทราบทันทีว่าพระราชโอรสขององค์จักรพรรดิ์คือ ชายหนุ่มผู้สร้างสะพานซึ่งบัดนี้เขาได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว

ข่าวที่น่าอัศจรรย์ได้แพร่ขยายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านในหมู่คนเลี้ยงสัตว์ และราษฎรทั้งหลายจึงเกิดความกระจ่างและหมดสิ้นความสงสัยในเรื่องของ "กฎแห่งกรรมและการกลับชาติมาเกิด"

จากเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมด คงช่วยชี้ให้เราได้เห็นว่า วิบากกรรมทั้งหลายที่เราได้รับล้วนเป็นผลจากการกระทำของเราเองทั้งสิ้น ฉะนั้นเราต้องมีสติระลึกอยู่เสมอว่า "ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?"

พระพุทธองค์ตรัสว่า "หว่านพืชเช่นไร ก็ได้รับผลเช่นนั้น"
เพราะฉะนั้นต่อไป ภายภายหน้าหากเราเกิดโมโหเพราะมีคนดูถูกเรา ก็จงย้อนระลึกนึกถามตัวเองก่อนว่า "เราเคยดูถูกคนอื่นบ้างไหม?" และควรจะบอกกับตัวเองว่า "สิ่งที่เราได้รับอยู่นี้เป็นผลจากการกระทำที่ไม่ดีของเราในอดีต เราควรยอมรับเคราะห์กรรมนี้โดยไม่เคืองแค้นใครๆ เมื่อมันผ่านพ้นไปก็คือ เราได้ชดใช้หนี้กรรมของเราให้หมดไปครั้งหนึ่ง"

แท้จริงแล้วการที่เราทำอย่างนี้ ไม่เพียงแต่ชดใช้หนี้กรรมเท่านั้น แต่เรายังได้พิจารณาอุปนิสัย มีความอดกลั้นแลฝึกหัดระงับอารมณ์ของเราด้วย

อะไรคือการกลับชาติมาเกิด ?
"อะไรเกิดขึ้นกับเรา หลังจากที่เราตายแล้ว?" ตามหลักของพุทธศาสนาการเกิดใหม่ จะมีขึ้นหลังจากเราจบสิ้นชีวิตในโลกนี้แล้ว คนเราแต่ละคนล้วนมีชีวิตมาในอดีตมากมายหลายชีวิตแล้ว และยังคงต้องมีชีวิตต่อไปอีกหลายชีวิตในอนาคตข้างหน้า เป้นวัฏฏะจักรที่หมุนเวียนไปไม่สิ้นสุด

การกลับชาติมาเกิด หมายถึง การเกิดใหม่ในชีวิตหน้าหลังจากที่เราจบสิ้นชีวิตในชาตินี้แล้ว
กรรมในอดีต (1) คือ เหตุปัจจัยของการเกิดในปัจจุบัน
กรรมในอดีต (1) + กรรมปัจจุบัน (2) คือเหตุปัจจัยของการเกิดในอนาคต

อดีต ------------> ปัจจุบัน -------------> อนาคต --------------> - - - - - - - - - - -
.........กรรม 1..................กรรม 1 + กรรม 2

ปัจจุบันเป็นผลของอดีตและเป็นตัวกำหนดอนาคต
ดังคำกล่าวว่า
เมื่อวานเป็น "เหตุ" วันนี้เป็น "ผล"
วันนี้เป็น "เหตุ" พรุ่งนี้เป็น "ผล"

คนที่ไม่เชื่อเรื่อง "การกลับชาติมาเกิด" ก็เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของมัน คนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่าชีวิตของเราเหมือนกับหลอดไฟฟ้า เมื่อตายไปก็ไม่มีอะไรเหลือ หากเราไตร่ตรองพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้ว่ หลอดไฟจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกระแสไฟฟ้าเท่านั้น เมื่อหลอดไฟเสื่อมสภาพหมดอายุการใช้งานหลอดนั้นก็เสียไป แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับกระแสไฟฟ้ล่ะ? มันจะสูญสิ้นไปด้วยหรือเปล่า? ไม่อย่างแน่นอน !

เราทุกคนทราบดีว่า พลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นและทำลายไปได้ เป็นแต่ว่ามันสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานเครื่องจักรกล พลังงานเคมี ฯลฯ นั่นก็คือกระแสไฟฟ้าอาจเปลี่ยนไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่นทำให้เตาไฟฟ้าเกิดความร้อน ทำให้ตู้เย็นเกิดความเย็น ทำให้พัดลมหมุน เป็นต้น

ถ้าจะพูดว่ากรรมและการเวียนวายตายเกิดไม่มี เพราะเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จึงเป็นการสรุปอย่างคนไม่มีเหตุผล

กระแสไฟฟ้าซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จากปฏิกิริยาของมัน เป็นพลังงานที่มีอยู่จริงแม้แต่คนตาดีก็ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่าง และไม่รู้เลยว่าแสงสว่างเป็นอย่างไร

ไม่กี่ปีมานี้หลักฐานต่างๆ และเอกสารมากมายได้ถูกรวบรวมพิมพ์ออกเผยแพร่เพื่อพิสูจน์ว่า การเกิดใหม่นั้นมีจริง มีผู้คนจำนวนมากที่สามารถจำเรื่องราวในอดีตของชาติได้ เขาสามารถบอกเล่ารายละเอียดถึงสถานที่ ผู้คนในอดีต ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

มีกรณีหนึ่งของนาง รูส ซิมมอน (Ruth Simmon) ซึ่งเกิดและอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาแต่เธอจำอดีตชาติได้ว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนเธอคือ นายบิลเดย์ มัมฟี่ร์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1789 เธอสามารถบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในสมัยนั้น เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเรื่องราวที่เธอเล่าเป้นจริงถูกต้องทุกประการ ทั้งๆ ที่ นางรูส ซิมมอน ไม่เคยเดินทางออกจากสหรัฐอเมริกาเลย

อีกกรณีหนึ่ง สตรีชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้จำอดีตของตนเองได้ 2 ชาติ ในชาติแรกเธอจำได้ว่าเธอเกิดเป็นหญิงชาวไอริซ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อกรีนฮอลท์ (Greenhalgh) ในศตวรรษที่ 17 เมื่อตรวจสอบจากประวัติศาสตร์พบว่า หมู่บ้านนั้เคยมีอยู่จริงเมื่อเกือบ 300 ปีก่อน

ในชาติที่สอง เธอจำได้ว่าได้เกิดเป็นพยาบาลชาวอังกฤษที่มีหน้าที่คอยดูแลเด็กๆ ในเมืองดาวน์แฮม (Downham) ในปี ค.ศ. 1902 เมื่อสืบค้นจากข้อมูลของทางการซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้ที่เมืองดาวน์แฮม ได้พิสูจน์ว่านางพยาบาลที่อ้างถึงมีตัวตนอยู่จริง

"สถานที่เกิดของสรรพสัตว์ หรือ ภูมิวิถีทั้ง 6"
1. เทวภูมิ เป็นที่ซึ่งบรรดาเทพพรหมสถิตอยู่ คนที่กระทำแต่ความดีในขณะมีชีวิตอยู่แต่ไม่รับรู้วิถีธรรมจะเกิดอยู่ในเทวโลกนี้

2. กึ่งเทวภูมิ (อสูร) เป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณที่ทำความดีในโลกมนุษย์แต่ไม่สามารถ ขจัดความอิจฉาริษยา ความโลภ ความโกรธ ความอคติคิดร้าย ความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตได้

3. มนุษย์ภูมิ คือ โลกมนุษย์ที่คนเราเกิดมา ไม่ว่าจะเป้นคนร่ำรวย คนยากจน คนดีหรือคนเลว ก็จะมาเกิดอยู่ในแดนมนุษย์นี้ คนที่บำเพ็ญตัวเองในโลกมนุษย์และมีบุญสัมพันธ์ได้พบ "วิถีธรรม" ก็จะสามารถพ้นจากภูมิวิถีทั้ง 6 นี้ เข้าสู่แดนนิพพานได้ ในอีกด้านหนึ่งหากคนทำแต่สิ่งชั่วร้ายก่ออาชญากรรมสร้างความเดือดร้อนเขาก็ จะต้องไปเกิดอยู่ใน 3 ภพภูมิแห่งความทุกข์ยากซึ่งอยู่ต่ำลงไปได้แก่ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และนรกภูมิ

4. เดรัจฉานภูมิ คือสภาพความเป้นอยู่ของสัตว์ประเภทต่างๆ บนโลกนี้ แบ่งลักษณะของการเกิดได้แก่ :
......1. สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น ม้า วัว แพะ ฯลฯ
......2. สัตว์ที่เกิดในไข่ เช่น นก งู สัตว์เลื้อยคลาน ฯลฯ
......3. สัตว์ที่เกิดในที่ชื้นแฉะ เช่น สัตว์ทะเล ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ
......4. สัตว์ที่เกิดแล้วแปรสภาพ เช่น แมลงต่างๆ แมลงวัน ยุง ผีเสื้อ ฯลฯ ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะต้องเปลี่ยนสภาพรูปร่างหลังจากการเกิดครั้งแรก และอยู่ในสภาพที่เปลี่ยนไปจนถึงวาระสุดท้าย

5. เปตรภูมิ เป็นที่อยู่ของจิตวิญญานซึ่งต้องทุกข์ทรมานกับความหิวกระหาย อันเนื่องจากไม่เคยทำบุญกุศล ไม่เคยบริจาคทานใดๆ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณของพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำ

6. นรกภูมิ เป็นที่ซึ่งดวงวิญญาณของคนที่กระทำผิดศีละรรม สร้างแต่กรรมชั่วขณะ เมื่อยังมีชีวิตต้องไปรับโทษทัณฑ์ อยู่อย่างทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส

ในภพภูมิของเทพพรหม ภูมิกึ่งเทวภูมิ (หรือแดนอสูร) และโลกมนุษย์ จะมีความสุขกว่าสัตว์โลก เปรตและในนรก แต่ไม่ว่าจะเกิดอยู่ในภพภูมิไหน ภพภูมิที่เราจะต้องไปเกิดและสภาพของการเกิดขึ้นอยู่กับการกระทำ (กรรม) ในอดีตและปัจจุบันของเรานั้นเอง อายุขัยของแต่ละชีวิตใน 6 ภุมิก็แตกต่างกันไม่มีใครจะอยู่ได้ตลอดไป

ทั้ง 6 ภูมินี้มีแต่โลกมนุษยืเท่านั้นที่ดีที่สุดเพราะเป็นสถานที่ทุกคนสามารถบำเพ็ญฝึกฝน ตนเอง และมีกายสังขารที่จะสามารถสร้างสมคุณความดีและบุญกุศลได้

การเวียนว่ายจะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังมี "ความอยาก" ในทางโลก ตราบนั้น เราก็ยังต้องเกิดอยู่ร่ำไป หกาเราโชคดีมีรากบุญมาพบวิถีธรรม และได้เรียนรู้ "สัจจธรรม" ตั้งใจบำเพ็ญตนเอง ก็จะสามารถพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หมดสิ้นความทุกข์ทั้งปวง ดังเช่นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพรอรหันต์สาวกทั้งหลายได้บำเพ็ญจนสำเร็จ ธรรมบรรลุปณิธานสูงสุดไปก่อนหน้าแล้ว ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีเลิศแก่พวกเราทุกคน

4. ข้อปฏิบัติที่สำคัญในชีวิตของเรา ที่มีผลต่อกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด 3 ข้อ ได้แก่ :
ก. ไม่ทำความชั่วใดๆ ตั้งใจทำแต่ความดี เมื่อเราได้รู้ถึงผลกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเราจะต้องสำรวมระมัด ระวังในการกระทำของเรา คือ ต้องพยายามหลีกเว้นการทำชั่วพยายามทำแต่ความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ พึงจดจำไว้เสมอว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" บางเวลาที่เราพลั้งเผลอทำผิด เราก็ควรสำนึกผิดขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วย้อนพิจารณาความผิดที่ได้ กระทำไปแล้ว พิจารณาความผิด ที่ได้กระทำไปแล้ว เพื่อหาหนทางแก้ไขปรับปรุงตัวเองเสียใหม่

กฎ 4 ข้อสำหรับหลีกเลี่ยงความชั่ว
1. ไม่มองสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
2. ไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
3. ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
4. ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย

มันเป็นกฎที่ง่ายๆ แต่ยากที่จะทำได้สำเร็จ เคล็ดลับก็คือ เราจะต้องเชื่อฟังมโนธรรมสำนึกของเรา เพื่อที่จะได้ไม่ถูกกิเลสครอบงำ หากเราพยายามฝึกฝนตามกฎ 4 ข้อนี้ กิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ มลายสิ้นไป จิตใจของเราย่อมมีแต่ความสะอาด สงบ และแจ่มใส

ข. ตั้งใจบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง สร้างสมความดีเพื่อชดใช้หนี้สิ้นเวรกรรม
ถ้าเราเป็นหนี้ใครสักคนหนึ่ง เราก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินให้ได้มากพอที่จะใช้หนี้ เช่นเดียวกับคนเราแต่คนก็มีหนี้สิ้นเวรกรรมมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป เพราะฉะนั้นทุกคนจำเป็นต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง เพื่อชดใช้หนี้สิ้นบาปเวรที่เคยก่อไว้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะเมื่อเราได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมอันจะนำพาเราให้กลับสู่ "นิพพาน" พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิทั้ง 6 เจ้าหนี้นายเวรที่เราเคยค้างก็จะต้องติดตามทวงหนี้และฉุดดึงเราไว้ไม่ให้ สามารถก้าวสู่ "นิพพาน" ได้ เหมือนกับถ้าเราเป็นหนี้ธนาคารเพียง 1 บาทและตัดสินใจว่าจะเดินทางไปต่างประเทศไม่กลับมาอีกแล้ว แน่นอนธนาคารจะต้องติดตามทวงหนี้ที่เราติดค้างให้ได้

เหตุผลสำคัญประการหนึ่ง ที่เราสามารถรับการ "ถ่ายทอดวิถีธรรม" ก็เพราะด้วยพระบารมีของพรอรหันต์จี้กงผู้แบกภาระถ่ายทอดวิถีธรรมฉุดช่วยชาว โลก พระอาจารย์ทรงค้ำประกันและยืนยันกับเจ้าหนี้นายเวรของเราว่า หลังจากที่เราได้รับวิถีธรรมแล้วทุกคนจะตั้งใจบำเพ็ญธรรมสร้างบุญกุศลชดใช้ หนี้บาปเวรที่เคยกระทำต่อพวกเขาทั้งหมด ดังนั้เราควรระลึกถึงพระคุณของพระอาจารย์และไม่ทำให้ท่านผิดหวังในตัวเรา

ค. ฝึก "กินเจ" ให้มาก
ผู้คนทั่วไปมักพูดว่า "มีใจเมตตาก็พอแล้ว ทำไมต้องกินเจด้วย" แท้จริงแล้ว "การกินเจ" มิใช่แค่การแสดงของจิตที่เปี่ยมเมตตาเท่านั้น แต่เป็เรื่องของผู้ที่รู้แจ้งในกฎแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องของสุขภาพร่างกายและการยเตรียมตัวบำเพ็ญตนไปสุ่ความหลุดพ้น

บาปที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือ "การฆ่า" และอานิสงส์ที่จะทำให้มนุษย์อายุยืนยาวสุขภาพแข็งแรงก็คือ "การไม่ฆ่าสัตว์"

ไม่ว่ากินเนื้อ หรือ กินเจก็เพื่อเพียงให้อิ่มท้อง

แต่กินเนื้อร่างกายสะสมโรคภัยไข้เจ็บ แก่เร็ว อายุสั้น ตายไว การกินเจทำให้ร่างกายสะอาดมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ก่อโรคภัยร้ายแรงให้กับตัวเอง อายุยืนยาว

ถ้าหากเราเข้าใจ "กฎแห่งกรรม" และ "การเวียนว่ายตายเกิด" อย่างลึกซึ้งเราสมควรที่จะหันมา "กินเจ" กันหรือไม่?

สรุป
การที่เรามีโอกาส เรียนรู้กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดให้กระจ่างแจ้ง จะทำให้เรามองเห็นชีวิตได้อย่างลึกซึ้งขึ้น เมื่อเรารู้ว่าการกระทำทุกอย่างของเราจะส่งผลให้เราต่อไปในภายหน้าไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน ความรู้นี้จะให้ความหวัง ความมั่นใจและความหนักแน่นในความเชื่อที่จะทำความดี รู้จักให้อภัยในความผิดของผู้อื่น

หากเราไม่ต้องการตกอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 เมื่อได้รับวิถีะรรมแล้วก็ควรบำเพ็ญธรรมอย่างจริงใจเพื่อให้พบกับชีวิตที่ นิรันดรในที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร