วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 05:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 65, 66, 67, 68, 69, 70, 71 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วคฺคู ความว่า งามวิลาส. บทว่า สุเภ
แปลว่า งดงาม. บทว่า อปฺปฏิเม ความว่า งดงามหางาอื่นในแผ่นดินนี้
เปรียบมิได้.
เมื่อนายพรานนั้นหลีกไปแล้ว ช้างทั้งหลายก็มาถึง ไม่ทันเห็นปัจจา-
มิตร.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถา
ความว่า
ช้างเหล่านั้นตกใจ ได้รับความเสียใจ เพราะ
พญาช้างถูกยิง พากันวิ่งไปยังทิศทั้ง ๘ เมื่อไม่เห็น
ปัจจามิตรของพญาช้าง ก็พากันกลับมายังที่อยู่ของ
พญาช้าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภยทฺทิตา ความว่า อันความกลัวต่อ
มรณภัย เข้าไปคุกคามแล้ว บทว่า อฏฺฏา แปลว่า ถึงความทุกข์. บทว่า
คชปจฺจามิตฺตํ ได้แก่ บุคคลผู้เป็นศัตรูของพญาช้าง. บทว่า เยน โส
ความว่า พญาช้างนั้นทำกาลกิริยาล้มลง ณ ลานอันกว้างใหญ่ คล้ายภูเขา
ไกรลาส ช้างทั้งหลายพากันมายังสถานที่นั้น.

ฝ่ายนางมหาสุภัททา ที่มาพร้อมกับช้างเหล่านั้นก็ดี ช้าง ๘,๐๐๐
ทั้งหมดนั้นก็ดี ต่างร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้น แล้วพากันไปยังสำนักแห่ง
พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้กุลุปกะของพระมหาสัตว์บอกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ปัจจยทายกของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ทำกาละเสีย
แล้ว นิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายไปดูซากของปัจจยทายกนั้น ในป่าช้าเถิด.

ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ รูป ก็เหาะมาทางอากาศลงตรงที่ลานใหญ่.
ขณะนั้น ช้างหนุ่ม ๒ เชือก ช่วยกันเอางาเสยยกสรีระร่างของพญาช้าง ให้จบ
พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วยกขึ้นสู่จิตกาธารทำฌาปนกิจ. พระปัจเจกพุทธเจ้า

ทั้งหลาย กระทำการสาธยายธรรมอยู่ที่ป่าช้าตลอดคืนยังรุ่ง. ช้างทั้ง ๘,๐๐๐
ครั้นดับธาตุเสร็จสรงสนานแล้ว เชิญนางมหาสุภัททาเป็นหัวหน้า แห่มายัง
สถานที่อยู่ของตน ๆ.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ตรัสพระคาถา
ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ช้างเหล่านั้น พากันคร่ำครวญร่ำไห้อยู่ ณ ที่นั้น
ต่างเกลี่ยอังคารขึ้นบนกระพองของตน ๆ แล้วยกเอา
นางสัพพภัททาผู้เป็นมเหสี ให้เป็นหัวหน้า พากัน
กลับยังที่อยู่ของตนทั้งหมด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปํสุกํ ได้แก่ ฝุ่นสรีรังคารที่ป่าช้า.
ฝ่ายนายพรานโสณุดร เอางาทั้งคู่มายังไม่ถึง ๗ วัน ก็ถึงพระนคร
พาราณสี.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถา ความว่า

นายพรานนั้น นำงาทั้งคู่ของพญาคชสาร อัน
อุดม ไพศาล งดงาม ไม่มีงาอื่นในปฐพีจะเปรียบได้
ส่องรัศมีดุจสีทอง สว่างไสวไปทั่วทั้งไพรสณฑ์ มา
ถึงยังพระนครกาสีแล้ว น้อมนำงาทั้งคู่เข้าไปถวาย
พระนางสุภัททา กราบทูลว่า พญาช้างล้มแล้ว ขอ
เชิญพระนางทอดพระเนตรงาทั้งคู่นี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุวณฺณราชีหิ ความว่า ส่องรัศมีดุจ
สีทอง. บทว่า สมนฺตโมทเร ความว่า แผ่รัศมีดุจสีทองไปรอบ ๆ ทั่ว
ตลอดทั้งไพรสณฑ์. บทว่า อุปเนสิ ความว่า ฝ่ายนายพรานโสณุดร ส่งข่าว
ไปทูลพระนางเทวีว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะนำงาทั้งคู่ อันเปล่งปลั่งมีรัศมี ๖
ประการ ของพญาช้างฉัททันต์เข้ามาถวาย ขอพระองค์ได้โปรดให้ประดับ

ตกแต่งพระนคร เมื่อพระนางเทวีกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ ให้ประดับ
ตกแต่งพระนครดุจเทพนครแล้ว ก็เข้าสู่พระนคร ขึ้นไปยังปราสาทน้อมงา
ทั้งคู่เข้าไป ครั้นน้อมเข้าไปแล้ว ก็กราบทูลว่า ขอเดชะพระแม่เจ้า ได้ทราบว่า
พระแม่เจ้าก่อความขุ่นเคืองเหตุเล็กน้อย ไว้ในพระทัยต่อพญาช้างใด ข้าพระ-
พุทธเจ้าฆ่าพญาช้างนั้นตายแล้ว โปรดทรงทราบว่า พญาช้างตายแล้ว ขอ


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เชิญพระแม่เจ้าทอดพระเนตร นี้ คือ งาทั้งสองของพญาช้างนั้น แล้วได้ถวาย
งาไป. พระนางสุภัททาจึงเอางวงตาลทำด้วยแก้วมณี รับคู่งาอันวิจิตร มีรัศมี
๖ ประการ ของพระมหาสัตว์เจ้า มาวางไว้ที่อุรุประเทศ ทอดพระเนตรดูงา
แห่งสามีที่รักของพระองค์ในปุริมภพ พลางระลึกว่า นายพรานโสณุดรฆ่า
พญาช้างที่ถึงส่วนแห่งความงามเห็นปานนี้ ให้ถึงแก่ชีวิต ตัดเอางาทั้งคู่มา

เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงพระมหาสัตว์ ก็ทรงบังเกิดความเศร้าโศกไม่สามารถที่จะ
อดกลั้นได้ ทันใดนั้น ดวงหทัยของพระนางก็แตกทำลายไป ได้ทำกาลกิริยา
ในวันนั้นเอง.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ตรัสพระคาถา
ความว่า

พระนางสุภัททาผู้เป็นพาล ครั้นทอดพระเนตร
เห็นงาทั้งสองของพญาคชสารอันอุดม ซึ่งเป็นปิย-
ภัสดาของตนในชาติก่อนแล้ว หทัยของพระนางก็
แตกทำลาย ณ ที่นั้นเอง ด้วยเหตุนั้นแล พระนางจึง
ได้สวรรคต.

ลำดับนั้น เมื่อพระธรรมสังคาหกเถระเจ้าทั้งหลาย จะสรรเสริญ
พระคุณแห่งพระทศพล จึงกล่าวคำเป็นคาถาอย่างนี้ ความว่า

พระบรมศาสดาได้บรรลุสัมโพธิญาณแล้ว มี
พระอานุภาพมาก ได้ทรงทำการแย้มในท่ามกลาง
บริษัท ภิกษุทั้งหลายผู้มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พากัน
กราบทูลถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ทรงทำ
การแย้มให้ปรากฏ โดยไร้เหตุผลไม่.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายจงดู
กุมารีสาวคนนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติ
อนาคาริยวัตร นางกุมารีคนนั้นแล เป็นนางสุภัททา
ในกาลนั้น เราตถาคตเป็นพญาช้างในกาลนั้น.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นายพรานผู้ถือเอางาทั้งคู่ ของพญาคชสารอัน
อุดม หางาอื่นเปรียบปานมิได้ในปฐพี กลับมายัง
พระนครกาสีในกาลนั้น เป็นพระเทวทัต.
พระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากความกระวนกระวาย
ความเศร้าโศก และกิเลสดุจลูกศร ตรัสรู้ยิ่งด้วย
พระองค์เองแล้ว ได้ตรัสฉัททันตชาดกนี้ อันเป็น
ของเก่า ไม่รู้จักสิ้นสูญ ซึ่งพระองค์ท่องเที่ยวไปตลอด
กาลนาน เป็นบุรพจรรยาทั้งสูงทั้งต่ำว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คราวครั้งนั้นเรายังเป็น
พญาช้างฉัททันต์ อยู่ที่สระฉัททันต์นั้น เธอทั้งหลาย
จงทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้แล.

คาถาเหล่านี้ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย สรรเสริญพระคุณของ
พระทศพล รจนาให้ปรากฏไว้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิตํ อกาสิ
ความว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ แล้ว
มีพระอานุภาพมาก วันหนึ่งประทับนั่งเหนือธรรมาสน์ อันอลงกต ท่ามกลาง
บริษัท ในธรรมสภาอันประดับตกแต่งแล้ว ทรงกระทำการยิ้มแย้ม. บทว่า

นานากรเณ ความว่า ภิกษุทั้งหลาย ผู้มหาขีณาสพ กราบทูลถามว่า ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาทรงทำการแย้มอย่างไร้
เหตุผลไม่ ก็การแย้มพระองค์ทรงกระทำแล้ว อะไรหนอเป็นเหตุให้พระองค์
ทรงทำการแย้ม.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า ยมททฺสาถ ความว่า อาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาถูกทูล
ถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะตรัสบอกเหตุที่พระองค์ทรงทำการแย้ม ทรงชี้ภิกษุณี
สาวรูปหนึ่งตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพบหรือเห็นนางกุมา-
ริกานี้ใด ซึ่งกำลังรุ่นสาว ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เข้าถึง คือบวชประพฤติ
อนาคาริยวัตรในพระศาสนานี้ นางกุมาริกานั้นคือ พระนางสุภัททาราชกัญญา
ในคราวนั้น ซึ่งใช้นายพรานโสณุดรไปว่า เจ้าจงเอาลูกศรอาบด้วยยาพิษ ไป
ยิงฆ่าพญาช้างเสีย คราวนั้นเราเป็นพญาช้าง ผู้ซึ่งนายพรานโสณุดรไปยิงให้
ถึงสิ้นชีวิต.

บทว่า เทวทตฺโต ความว่า ภิกษุทั้งหลาย นายพรานโสณุดรในครั้ง
นั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต ในบัดนี้. บทว่า อนาวสูรํ ตัดบทเป็น น
อวสูรํ แปลว่า ชั่วพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต. บทว่า จิรรตฺตสํสิตํ ความว่า
นับแต่กาลอันยาวนานนี้ ทรงท่องเที่ยวไปแล้ว คือทรงแล่นไปแล้ว ได้แก่
ทรงประพฤติมาแล้วโดยลำดับ ในที่สุดแห่งโกฏิกัปมิใช่น้อย. ท่านกล่าวคำ

อธิบายไว้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระพุทธเจ้า ชื่อว่า ทรงปราศจากความ
กระวนกระวาย เพราะทรงปราศจากกิเลสมีราคะเป็นต้น ชื่อว่า ทรงปราศจาก
ความเศร้าโศก เพราะไม่มีความเศร้าโศก อันเกิดแต่ญาติและทรัพย์เป็นต้น
ชื่อว่า ปราศจากลูกศร เพราะปราศจากลูกศร มีลูกศรคือราคะเป็นต้น

รู้ชัดด้วยพระองค์เองแล้ว ได้ตรัสเรื่องนี้อันเป็นของเก่า (ชั่วพระอาทิตย์ยังไม่
อัสดงคต) นับแต่กาลอันนานนี้ แม้ที่ทรงท่องเที่ยวไป ในที่สุดแห่งโกฏิกัป
มิใช่น้อย อันชื่อว่าเป็นพระจรรยาทั้งสูงทั้งต่ำ เพราะทรงสูงด้วยสามารถแห่ง
บุรพจรรยาของพระองค์ และเพราะต่ำ ด้วยสามารถแห่งจรรยาของพระนาง

สุภัททาราชธิดา และนายพรานโสณุดร ดุจทรงระลึกได้ถึงสิ่งที่กระทำด้วย
ความหลง ด้วยปราศจากความหลง สิ่งที่กระทำเวลาเช้าได้ในตอนเย็นวันนั้น
ทีเดียว.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า โว ในบทว่า อหํ โว นี้เป็นเพียงนิบาต. ความก็ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลนั้น เราได้เป็นพญาช้างอยู่ที่สระฉัททันต์นั้น. บทว่า
นาคราชา ความว่า และเมื่ออยู่ในคราวนั้นใช่ว่าจะเป็นใครอื่นก็หามิได้ ที่แท้
ก็คือเราผู้เป็นพญาช้างฉัททันต์. บทว่า เอวํ ธาเรถ ความว่า เธอทั้งหลาย
จงทรงจำ คือจดจำ ได้แก่เล่าเรียนชาดกนี้ไว้ ด้วยประการฉะนี้.
ก็แลคนเป็นอันมากฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้สำเร็จเป็นพระ-
โสดาบันเป็นต้น (ส่วน) นางภิกษุณีนั้น เจริญวิปัสสนาแล้ว ภายหลังได้
บรรลุพระอรหัตผล ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาฉัททันตชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสัมภวชาดก

พระบรมศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพระปัญญาบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า รชฺชฺจ
ปฏิปนฺนสฺสา ดังนี้.

เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้ง ในมหาอุมมังคชาดก. ส่วนเรื่องในอดีตมีว่า
พระราชาทรงพระนามว่า ธนัญชยโกรัพยะ เสวยราชสมบัติในอินทปัตต-
นคร แคว้นกุรุ พราหมณปุโรหิต นามว่า สุจีรตะ ได้เป็นผู้กล่าวสอน
อรรถธรรมของพระองค์. พระราชาทรงบำเพ็ญบุญกุศลมีทานเป็นต้น ทรง

ครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม ครั้นวันหนึ่ง จะทรงถกปัญหาชื่อธัมม-
ยาคะ จึงเชิญสุจีรตพราหมณ์ให้นั่งบนอาสนะ ทรงทำสักการะแล้ว เมื่อจะ
ตรัสถาม ได้ตรัสคาถา ๔ คาถา ความว่า

ดูก่อนท่านอาจารย์ สุจีรตะ เราทั้งหลายได้
ราชสมบัติและความเป็นใหญ่แล้ว ยังปรารถนาอยาก
ได้ความเป็นใหญ่ยิ่งขึ้น เพื่อปราบดาภิเษกครอบครอง
พื้นปฐพีนี้.

โดยธรรมไม่ใช่โดยอธรรม เราหาชอบใจอธรรม
ไม่ ดูก่อนท่านอาจารย์สุจีรตะ การประพฤติธรรมเป็น
กิจของพระราชาโดยแท้.
ดูก่อนพราหมณ์ เราทั้งหลายจะไม่ถูกนินทาทั้ง
ในโลกนี้และโลกหน้า ด้วยเหตุใด และจะได้รับ
เกียรติยศ ในเทวดาและมนุษย์ด้วยเหตุใด ขอท่านจง
บอกเหตุนั้น ๆ แก่เรา.

ดูก่อนพราหมณ์ เราปรารถนาจะกระทำตามอรรถ
และธรรม เราถามท่านแล้ว ขอจงบอกอรรถและธรรม
นั้นด้วยเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รชฺชํ ความว่า ดูก่อนท่านอาจารย์
เราทั้งหลายได้ราชสมบัติในอินทปัตตนครอันมีปริมณฑลถึง ๗ โยชน์นี้ และ
ได้รับความเป็นใหญ่กล่าวคืออิสรภาพในกุรุรัฐ อันมีปริมณฑลถึง ๓๐๐ โยชน์
แล้ว.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า ปฏิปนฺนา แปลว่า บรรลุแล้ว. บทว่า มหนฺตํ ความว่า
คราวนี้เรายังปรารถนาความเป็นใหญ่ยิ่งขึ้น. บทว่า วิเชตุํ ความว่า เรายัง
ปรารถนาความเป็นใหญ่เพื่อปราบดาภิเษกครอบครองแผ่นดินนี้ โดยธรรม
บทว่า กิจฺโจว ความว่า การประพฤติธรรมเป็นกิจ คือเป็นพระราชกรณีย์
ที่สำคัญกว่าอวเสสชน. อธิบายว่า โลกคล้อยตามพระราชา เมื่อพระราชา
มีธรรม ชาวโลกทั้งหมดก็เป็นผู้มีธรรม เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าธรรมนี้เป็นกิจ
ของพระราชาทีเดียว.

บทว่า อิธเจวานนฺทิตา ความว่า พระราชาตรัสถามธัมมยาคปัญหา
กะพราหมณ์ปุโรหิตว่า เราทั้งหลายจะไม่ถูกนินทาในโลกนี้และโลกหน้า ด้วย
เหตุใด. บทว่า เยน ปปฺเปมุ ความว่า เราทั้งหลายจะไม่เกิดในนรกเป็นต้น
พึงถึงยศคือความเป็นใหญ่ ได้แก่ ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงามในเทวโลก
และมนุษยโลกด้วยเหตุใด ท่านจงบอกเหตุนั้นแก่เรา.

บทว่า โยหํ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราปรารถนาจะกระทำด้วย
สมาทานแล้วประพฤติด้วย ซึ่งอรรถคือผลวิบากและธรรมคือเหตุแห่งผลนั้น
และยังอรรถธรรมนั้นให้เกิดขึ้นด้วย. บทว่า ตํ ตฺวํ ความว่า เมื่อเราปรารถนา
จะขึ้นสู่ทางอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพานโดยสะดวกแล้ว เป็นผู้หาปฏิสนธิมิได้
เมื่อท่านถูกถามถึงอรรถและธรรมนั้น จงบอกคือกล่าวกระทำให้ปรากฏเถิด.

ก็ปัญหานี้ ลึกซึ้งเป็นพุทธวิสัย ควรที่จะถามเฉพาะพระสัพพัญญู-
พุทธเจ้าเท่านั้น เมื่อพระสัพพัญญูพุทธเจ้าไม่มี ควรถามพระโพธิสัตว์ ก็เพราะ
สุจีรตปุโรหิต มิใช่พระโพธิสัตว์ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาถวายได้ และเมื่อ
ไม่สามารถ ก็ไม่ทำการถือตนว่าเป็นบัณฑิต เมื่อจะกราบทูลความที่ตนไม่
สามารถจึงกล่าวคาถา ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ขอเดชะพระขัตติยราช พระองค์ทรงปรารถนา
จะปฏิบัติตามอรรถและธรรมใดนอกจากวิธุรพราหมณ์
แล้ว ไม่มีใครอื่นที่จะสมควรชี้แจงอรรถและธรรมนั้น
ได้.

คาถานั้นมีอธิบายดังนี้ ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ปัญหานี้ ใช่วิสัย
ของคนเช่นข้าพระพุทธเจ้าไม่ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นเบื้องต้น เบื้องปลายของ
ปัญหานั้นเลยทีเดียว เป็นเหมือนเข้าสู่ที่มืด แต่ราชปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสี
ชื่อวิธุรพราหมณ์มีอยู่ เขาพึงเฉลยปัญหานั้นได้ เว้นเขาเสียแล้วใครอื่นไม่สามารถ
ที่จะแสดงอรรถและธรรมที่พระองค์ทรงปรารถนาจะกระทำได้.

พระราชาทรงสดับถ้อยคำของสุจีรตพราหมณ์แล้วตรัสสั่งว่า ท่าน-
พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรีบไปยังสำนักของวิธุรพราหมณ์เถิด มีพระประ-
สงค์จะส่งเครื่องบรรณาการไปพระราชทาน จึงตรัสพระคาถา ความว่า

ดูก่อนท่านอาจารย์ สุจีรตะ มาเถิดท่าน เราจะ
ส่งท่านไปยังสำนักของวิธุรพราหมณ์ ท่านจงนำเอา
ทองคำแท่งนี้ไปมอบให้ เพื่อรับคำอธิบาย ซึ่งอรรถ
และธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนฺติกํ แปลว่า สู่สำนัก. บทว่า นิกฺขํ
ความว่า ทองคำหนัก ๕ ชั่งเป็นนิกขะหนึ่ง แต่พระเจ้าธนัญชยโกรัพยะ พระ-
ราชทานทองคำพันลิ่มจึงตรัสอย่างนี้. บทว่า อิมํ ทชฺชา ความว่า เมื่อ
วิธุรพราหมณ์นั้นกล่าวธัมมยาคปัญหานี้แล้ว ท่านพึงนำไปทำการบูชามอบลิ่ม-
ทองคำพันหนึ่งนี้ แก่วิธุรพราหมณ์นั้น เพื่อขอรับคำอธิบายอรรถและธรรม.

พระเจ้าธนัญชยโกรัพยะ ครั้นตรัสสั่งอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งให้เอาทองคำ
ควรค่าแสนหนึ่งมาแผ่เป็นแผ่น เพื่อจะได้จารึกคำวิสัชนาปัญหา ให้จัดยาน-
พาหนะสำหรับเดินทาง จัดพลนิกายสำหรับเป็นบริวาร แลจัดเครื่องราชบรร-


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ณาการเสร็จแล้ว ก็ทรงส่งไปในขณะนั้นทีเดียว ส่วนสุจีรตพราหมณ์ออกจาก
พระนครอินทปัตต์แล้ว หาได้ตรงไปยังพระนครพาราณสีทีเดียวไม่ เหล่า
บัณฑิตอยู่ในที่ใด ๆ ก็เข้าไปยังที่นั้น ๆ จนถ้วนทั่ว ไม่ได้รับผลกล่าวคือการ
กล่าวแก้ปัญหาในชมพูทวีปทั้งสิ้น จนลุถึงพระนครพาราณสีโดยลำดับยึดเอาที่

พัก ณ ที่แห่งหนึ่ง ไปยังนิเวศน์ของวิธุรพราหมณ์พร้อมด้วยคนใช้สองสามคน
ในเวลาอาหารเช้า บอกเล่าธุระที่ตนมาให้ทราบ อันวิธุรพราหมณ์เชิญเข้าไป
เห็นวิธุรพราหมณ์กำลังรับประทานอาหารอยู่ในเรือนของตน.

เมื่อพระบรมศาสดาจะทรงประกาศ ทำเนื้อความนั้นให้ชัดขึ้น จึงตรัส
พระคาถาที่ ๗ ความว่า

มหาพราหมณ์ผู้ภารทวาชโคตรนั้น ได้ไปถึงสำ-
นักของวิธุรพราหมณ์แล้ว เห็นท่านพราหมณ์ กำลัง
บริโภคอาหารอยู่ในเรือนของตน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาธิปฺปาคา ความว่า สุจีรตพราหมณ์
ภารทวาชโคตร มุ่งไปคือบรรลุถึงแล้ว. บทว่า มหาพฺรหฺมา ได้แก่
มหาพราหมณ์. บทว่า อสมานํ แปลว่า กำลังบริโภคอยู่.

ก็สุจีรตพราหมณ์นั้น สมัยเป็นเด็ก เป็นเพื่อนกันกับวิธุรพราหมณ์
เรียนศิลปวิทยาในสำนักอาจารย์เดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงร่วมรับประทานอาหาร
กับท่านวิธุรพราหมณ์ทันที ในเวลารับประทานเสร็จ นั่งพักสบายแล้วถูกถามว่า
สหายรัก ท่านมาธุระอะไร? เมื่อจะบอกเหตุที่มา จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ความว่า

พระเจ้าโกรัพยราชผู้เรืองพระยศ ทรงส่งเราให้
เป็นทูตมา พระเจ้าโกรัพยผู้ยุธิฏฐิลโคตร ดำรัสถาม
ถึงอรรถและธรรม ได้ตรัสแล้วดังนี้ วิธุรสหายรัก
ท่านถูกถามถึงอรรถและธรรมนั้นแล้ว กรุณาบอกเรา
ด้วย.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฺโหํ ความว่า เราเป็นทูตของ
พระเจ้าโกรัพยะผู้ยงยศ. บทว่า ปหิโต ความว่า เราถูกพระองค์ตรัสสั่งให้
เป็นทูต จึงมาที่นี่. บทว่า ปุจฺเฉสิ ความว่า พระเจ้าธนัญชยราชผู้ยุธิฏฐิล-
โคตรนั้น ตรัสถามปัญหาชื่อธัมมยาคะ เราไม่อาจจะแก้ได้ เรารู้ว่า ท่านจัก
สามารถ จึงกราบทูลพระองค์ท่านให้ทรงทราบ พระองค์พระราชทานเครื่อง-

บรรณาการ เมื่อจะทรงส่งเรามายังสำนักของท่าน เพื่อถามปัญหา ได้ตรัสสั่งว่า
เจ้าจงไปยังสำนักของวิธุรพราหมณ์ ถามถึงแนวอรรถและธรรมแห่งปัญหานี้
บัดนี้เราถามท่านแล้ว ท่านจงบอกอรรถและธรรมนั้น.

ก็ในครั้งนั้น ท่านวิธุรพราหมณ์ คิดว่า เราจักกำหนดจิตของมหาชน
ดังนี้ จึงวุ่นอยู่กับการวินิจฉัยความ คล้ายกับปิดกั้นแม่น้ำคงคา ไม่มีโอกาส
ที่จะแก้ปัญหานั้นได้ เมื่อจะบอกความข้อนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๙ ความว่า

ดูก่อนพราหมณ์ เราคิดว่าจักกั้นแม่น้ำคงคา
แต่ไม่อาจจะกั้นแม่น้ำใหญ่นั้นได้ เพราะเหตุนั้นโอกาส
นั้นจักมีได้อย่างไร เมื่อท่านถามถึงอรรถและธรรม
เราจึงไม่อาจจักบอกได้.

คาถานั้นมีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนสหายพราหมณ์ เราเกิดความกังวล
ขวนขวายว่า จักปิดกั้นแม่น้ำคงคา คือคติจิตต่างๆ กันของมหาชน ก็ไม่
สามารถจะกั้นเสียงอันดังนั้นได้ เพราะฉะนั้น จักมีโอกาสได้อย่างไรกัน เมื่อ
โอกาสไม่มี เราก็วิสัชนาชี้แจ้งแก่ท่านไม่ได้ เมื่อไม่ได้ความที่จิตแน่วแน่
และไม่มีโอกาส ถึงจะถูกท่านถามก็ไม่สามารถจะบอกอรรถและธรรมแก่ท่านได้.

ครั้นวิธุรพราหมณ์ กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงบอกว่า บุตรชายของเราเป็น
คนฉลาด มีปัญญาปราดเปรื่องกว่าเรา เขาจักพยากรณ์ได้ ท่านจงไปสำนัก
ของเขาเถิด ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๑๐ ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แต่ภัทรการะ ผู้เป็นบุตรเกิดแต่อกของเรามีอยู่
เชิญท่านไปถามอรรถและธรรมกะเธอดูเถิด ท่าน-
พราหมณ์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอรโส ได้แก่ ผู้เจริญแล้วในอก. บทว่า
อตฺรโช แปลว่า เกิดเพราะตน.

สุจีรตพราหมณ์ ฟังดังนั้น จึงออกจากเรือนของวิธุรพราหมณ์ ไปยัง
นิเวศน์ของภัทรการมาณพ ในเวลาที่เธอรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นั่งอยู่
ท่ามกลางบริษัทของตน.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถา
ที่ ๑๑ ความว่า

มหาพราหมณ์ผู้ภารทวาชโคตรนั้น ได้ไปถึง
สำนักของภัทรการะ ได้เห็นเธอกำลังนั่งอยู่ในเรือน
ของตน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวสฺมนิ แปลว่า ในเรือน.

สุจีรตพราหมณ์ไปที่นั้นแล้ว อันภัทรการมาณพจัดการต้อนรับ และ
ทำสักการะเคารพ นั่งแล้วถูกถามถึงเหตุที่มา จึงกล่าวคาถาที่ ๑๒ ความว่า
เราเป็นราชทูตของพระเจ้าโกรัพยราช ผู้ยงยศ
ทรงส่งมา พระองค์ผู้ยุธิฏฐิลโคตร ตรัสถามถึงอรรถ
และธรรม ได้ตรัสแล้วอย่างนี้ ดูก่อนภัทรการมาณพ
เธอจงบอกอรรถและธรรมนั้นแก่เราด้วย.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น ภัทรการมาณพจึงกล่าวกะ สุจีรตพราหมณ์ว่า ข้าแต่คุณพ่อ
ข้าพเจ้าเคลิบเคลิ้มอยู่ในปรทาริกกรรมทุก ๆ วัน จิตของข้าพเจ้ามัวหมอง
ด้วยเหตุนั้น จึงไม่สามารถจะวิสัชนาแก่ท่านได้ แต่น้องชายของข้าพเจ้า
ชื่อว่า สัญชยกุมาร มีญาณประเสริฐกว่าข้าพเจ้ายิ่งนัก เชิญท่านถามเขาเถิด
เขาจักแก้ปัญหาของท่านได้ ดังนี้แล้ว เมื่อจะส่งไปยังสำนักของน้องชาย ได้
กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนทิ้งหาบเนื้อ แล้ววิ่งตาม
เหี้ยไป ถึงจะถูกถามอรรถและธรรม ก็ไม่อาจจะบอก
แก่ท่านได้ ข้าแต่ท่านพราหมณ์สุจีรตะ น้องชายของ
ข้าพเจ้าชื่อว่า สัญชัย มีอยู่ เชิญท่านไปถามอรรถและ
ธรรมกะเธอดูเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มํสกาชํ ความว่า บุรุษหาบก้อนเนื้อ
เดินทางไป พบลูกเหี้ยเข้าในระหว่างทาง จึงทิ้งหาบเนื้อเสีย ไล่ติดตามลูกเหี้ย
นั้น ฉันใด ข้าพเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทอดทิ้งภรรยาผู้อยู่ในอำนาจ ใน
เรือนของตัว มัวติดพันหญิงที่ผู้อื่นรักษาคุ้มครอง เมื่อภัทรการมาณพจะแสดง
ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น.

ในขณะนั้นเอง สุจีรตพราหมณ์จึงไปยังนิเวศน์ของสัญชยกุมาร อัน
สัญชยกุมารทำสักการะเคารพแล้ว ถูกถามถึงเหตุที่มา จึงแจ้งให้ทราบ.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา
๒ คาถา ความว่า

มหาพราหมณ์ผู้ภารทวาชโคตรนั้น ได้ไปถึงยัง
สำนักสัญชยกุมารแล้ว ได้เห็นสัญชยกุมารนั่งอยู่ใน
นิเวศน์ของตน จึงพูดว่า
เราเป็นราชทูตของพระเจ้าโกรัพยราช ผู้ยงยศ
ทรงส่งมา พระองค์ผู้ยุธิฏฐิลโคตร ดำรัสถามอรรถ
และธรรม ได้ตรัสว่าดังนี้ ดูก่อนสัญชยกุมาร เจ้าถูก
ถามแล้วจงบอกอรรถและธรรมนั้นเถิด.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็ในครั้งนั้น สัญชยกุมารกำลังคบหาภรรยาของผู้อื่นอยู่ทีเดียว.
ลำดับนั้น เธอจึงบอกสุจีรตพราหมณ์ว่า พ่อคุณ ข้าพเจ้ากำลังคบหาภรรยา
ผู้อื่นอยู่ และเมื่อคบหาก็ต้องข้ามแม่น้ำไปฝั่งโน้น มฤตยูคือความตาย ย่อม
กลืนกินข้าพเจ้า ซึ่งกำลังข้ามแม่น้ำอยู่ทั้งเช้าทั้งเย็น ด้วยเหตุนั้น จิตของ

ข้าพเจ้าจึงขุ่นมัว ไม่สามารถบอกอรรถธรรมแก่ท่านได้ แต่ข้าพเจ้ามีน้องชาย
อยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า สัมภวกุมาร แต่เกิดมาอายุได้เพียงเจ็ดปี มีญาณความรู้
เหนือข้าพเจ้า ตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า เธอจักบอกแก่ท่านได้ เชิญท่าน
ไปถามดูเถิด เมื่อจะประกาศความนั้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

ข้าแต่ท่านสุจีรตพราหมณ์ มัจจุราชย่อมกลืนกิน
ข้าพเจ้า ทั้งเช้าและเย็นถึงถูกท่านถาม ก็ไม่สามารถ
จะบอกอรรถและธรรมแก่ท่านได้.
ท่านพราหมณ์สุจีรตะ น้องชายของข้าพเจ้ามีอยู่
ชื่อว่า สัมภวกุมาร เชิญท่านไปถามอรรถและธรรม
กะเธอดูเถิด.

สุจีรตพราหมณ์ได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า ปัญหานี้จักเป็นของอัศจรรย์
ในโลกนี้ ชะรอยจะไม่มีใครที่ชื่อว่าสามารถเพื่อจะวิสัชนาปัญหานี้ แล้วได้
กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ชาวเราเอ๋ย ปัญหานี้เป็นธรรม น่าอัศจรรย์จริง
เราไม่พอใจเลย ชนทั้ง ๓ คน คือ บิดาและบุตรสองคน
ยังไม่มีปัญญารู้แจ้งธรรมนี้.

ท่านทั้งหลายถูกถามแล้ว ยังไม่สามารถบอก
อรรถและธรรมนั้นได้ เด็กเจ็ดขวบถูกถามถึงอรรถ
และธรรม จะรู้เรื่องได้อย่างไร?


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นายํ ความว่า นี้เป็นปัญหาธรรมที่น่า
อัศจรรย์ ชื่อว่าคนผู้สามารถบอกปัญหาธรรมนี้ไม่มีเลย เพราะเหตุนั้น เด็ก
ที่ท่านพูดว่า จักบอกได้นี้ เราไม่พอใจเลย. สุ อักษรในบทว่า เต สุ นี้
เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า วิธุรพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี ภัทรการมาณพ
และสัญชยกุมารบุตรก็ดี รวมเป็น ๓ คนทั้งบิดาและบุตร ยังไม่รู้แจ้ง คือยัง
ไม่ทราบชัด ซึ่งธรรมนี้ด้วยปัญญาได้ คนอื่นใครเล่าจักรู้. บทว่า น นํ

ความว่า ท่านทั้ง ๓ คนถูกถามแล้ว ยังไม่สามารถบอกได้ เด็กอายุ ๗ ขวบ
ถูกถามแล้ว จักรู้ได้อย่างไรกัน คือ จักสามารถรู้ได้ด้วยเหตุไฉน?

สัญชยกุมารได้ฟังดังนั้น จึงชี้แจงว่า ท่านอย่าเข้าใจว่า สัมภวกุมาร
เป็นเด็ก ถ้าท่านมีความต้องการด้วยการวิสัชนาปัญหา ท่านจงไปถามเขา
ดูเถิด เมื่อจะประกาศเกียรติคุณของกุมารน้องชาย โดยแสดงใจความให้เข้าใจ
ได้กล่าวคาถา ๑๒ คาถา ความว่า

ดูก่อนท่านพราหมณ์ ท่านยังไม่ได้ถามสัมภว-
กุมาร อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเธอเป็นเด็ก ท่านถามสัมภว
กุมารแล้ว จะพึงรู้อรรถและธรรมได้.
พระจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ
ย่อมสว่างไสวล่วงหมู่ดาวทั้งปวง ในโลกนี้ด้วยรัศมี
ฉันใด

สัมภวกุมารแม้ยังเป็นเด็กก็ฉันนั้น ย่อมไพโรจน์ล่วง
บัณฑิตทั้งหลาย เพราะประกอบด้วยปัญญา ดูก่อนท่าน
พราหมณ์ ท่านยังไม่ได้ถามสัมภวกุมาร อย่าเพิ่งเข้าใจ
ว่า เธอเป็นเด็ก ท่านถามสัมภวกุมารแล้วจะพึงรู้อรรถ
และธรรมได้.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 65, 66, 67, 68, 69, 70, 71 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร