วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 68, 69, 70, 71, 72, 73, 74 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๔ คาถา ความว่า
แท้จริง สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีเลยในแผ่นดิน
ธรรมชาติเช่นกับปัญญาไม่ควรติเตียน คนในโลกนี้
ย่อมบรรลุคุณวิเศษที่ยังไม่ได้ เพราะสัจจธรรม ปัญญา
และทมะ.
มารดาบิดา เป็นยอดเยี่ยมแห่งเผ่าพันธุ์ คนที่
สามชื่อว่ามีความอนุเคราะห์แก่บุตรนั้น ไม่มีเลย เมื่อ
รังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรบอกความลับสำคัญ
แม้แก่มารดาบิดานั้น.

เมื่อบุคคลรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรแพร่ง
พรายความลับที่สำคัญ แม้แก่บิดามารดา พี่สาว น้อง
สาว พี่ชาย น้องชาย หรือแก่สหาย แก่ญาติฝ่ายเดียว
กับตน.
ถ้าภรรยาสาวพูดไพเราะ ถึงพร้อมด้วยบุตรธิดา
รูปและยศ ห้อมล้อมด้วยหมู่ญาติ จะพึงกล่าวอ้อน
วอนสามี ให้บอกความลับ เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก

ไม่ควรแพร่งพรายความลับสำคัญ แม้แก่ภรรยานั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมโร ความว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่จะไม่
ตาย ไม่มีเลย. น อักษรในบทว่า ปฺาวิธา นตฺถิ ทำการเชื่อมบท
อธิบายว่า ชนิดของปัญญามีอยู่. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ดูก่อนนาคราช
แม้สัตว์ผู้จะไม่ตาย ไม่มีในโลกเลย ชนิดแห่งปัญญามีอยู่แท้ ชนิดแห่งปัญญา
กล่าวคือ ส่วนแห่งปัญญา ของผู้อื่นนั้น ไม่ควรนินทา เพราะเหตุชีวิตของตน.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปฺาวิธา ความว่า ธรรมชาติอื่นที่ ชื่อว่า
ไม่ควรนินทา เช่นกับปัญญาไม่มี เหตุไรท่านจึงนินทาชนิดแห่งปัญญานั้น.
ปาฐะว่า เยสํ ปน ปฺาวิธํปิ น นินฺทิตพฺพํ ดังนี้ก็มี ความก็ว่า
อนึ่ง แม้ชนิดแห่งปัญญาของคนเหล่าใด ไม่ควรนินทาชนิดแห่งปัญญา ของ
คนเหล่านั้นโดยตรงทีเดียว.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบททั้งหลาย มีอาทิว่า สจฺเจน นี้ มีอธิบายว่า คนในโลกนี้ย่อม
ประมวลมา คือนำมา ซึ่งคุณวิเศษ กล่าวคือสมาบัติ ๘ มรรคผลและนิพพาน
ที่ตนยังไม่ได้ คือได้ด้วยยาก ได้แก่ยังคุณวิเศษนั้นให้สำเร็จ ด้วยวจีสัจจะ ๑
สุจริตธรรม ๑ ธิติกล่าวคือปัญญา ๑ อินทริยทมะ การทรมานอินทรีย์ ๑
เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรติเตียนชีเปลือย จงติเตียนตัวเองผู้เดียวเถิด เพราะ
ชีเปลือยเป็นคนมีปัญญา เป็นคนฉลาดในอุบาย จึงหลอกถามความลับ คือ
มนต์อันลึกลับ ท่านได้.

บทว่า ปรมา ความว่า มารดาบิดาทั้งสองนี้ ชื่อว่า เป็นพงศ์พันธุ์
อันสูงสุดของเผ่าพันธุ์. บทว่า นาสฺส ตติโย ความว่า คนที่สามอื่นจาก
มารดาบิดา จะชื่อว่าเอื้อเอ็นดู ย่อมไม่มีสำหรับบุคคลนั้น อธิบายว่า คน
ฉลาดเมื่อรังเกียจว่า มนต์จะแตก ไม่ควรบอกความลับอันสำคัญ แม้แก่มารดา

บิดาทั้งสอง ตัวท่านเองกลับบอกความลับที่ตนมิได้บอกแก่มารดาบิดา แก่ชี
เปลือย. บทว่า สหายา วา ได้แก่ มิตรผู้มีใจดี. บทว่า สปกฺขา ได้แก่
ญาติข้างฝ่ายมารดาบิดา ลุง อา น้าหญิงเป็นต้น. ด้วยบทว่า เตสํปิ
นี้ พญาครุฑ แสดงความว่า คนฉลาดไม่ควรบอกความลับ แก่ญาติและมิตร

แม้เหล่านี้ ท่านสิกลับบอกแก่ชีเปลือย ท่านจงโกรธตนของตนเองเถิด. บทว่า
ภริยา เจ ความว่า ภรรยาสาวเจรจาน่ารัก ถึงพร้อมด้วยบุตรธิดา ถึงพร้อม
ด้วยรูปสมบัติ และยศศักดิ์ เห็นปานนี้ หากพูดว่า ท่านจงบอกความลับของ
ท่านแก่เรา ดังนี้ คนฉลาดก็ไม่ควรบอกแม้แก่ภรรยานั้น.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พญาครุฑ กล่าวคำเป็นคาถาต่อไปอีก ความว่า
บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับเลย ควรรักษา
ความลับนั้นไว้ เหมือนรักษาขุมทรัพย์ ความลับอัน
บุคคลอื่นรู้เข้าทำให้แพร่งพราย ไม่ดีเลย.

คนฉลาดไม่ควรขยายความลับแก่สตรี ศัตรู คน
มุ่งอามิส และแก่คนผู้หมายล้วงดวงใจ.
คนใดให้ผู้ไม่มีความคิดล่วงรู้ความลับ ถึงแม้เขา
จะเป็นคนใช้ของตน ก็จำต้องอดกลั้นไว้ เพราะกลัว
ความคิดจะแตก.

คนมีประมาณเท่าใด รู้ความลับที่ปรึกษากันของ
บุรุษ คนประมาณเท่านั้น ย่อมขู่ให้บุรุษนั้นหวาด
กลัวได้ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรขยายความลับ.

ในกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ควรพูดเปิดเผย
ความลับในที่สงัด ไม่ควรเปล่งวาจาให้เกินเวลา
เพราะคนที่คอยแอบฟัง ก็จะได้ยินข้อความที่ปรึกษา
กัน เพราะเหตุนั้น ข้อความที่ปรึกษากัน ก็จะถึง
ความแพร่งพรายทันที.

คาถาทั้ง ๕ คาถา จักมีแจ้งในบัณฑิตปัญหา ๕ ข้อ
ในอุมมังคชาดก.
พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ถัดนั้นไป ความว่า
ผู้มีความคิดอันลี้ลับในโลกนี้ ย่อมปรากฏแก่เรา
เปรียบเหมือนนครอันล้วนแล้ว ด้วยเหล็กใหญ่โต
ไม่มีประตู เจริญด้วยเรือนโรง ล้วนแต่เหล็กประกอบ
ด้วยคูอันขุดไว้โดยรอบ ฉะนั้น.

ดูก่อนปัณฑรกนาคราช ผู้มีลิ้นชั่ว คนจำพวกใด
มีความคิดลี้ลับ ต้องไม่พูดแพร่งพราย มั่นคงใน
ประโยชน์ของตน อมิตรทั้งหลายย่อมเว้นไกลจากคน
จำพวกนั้น ดุจคนผู้รักชีวิต เว้นไกลจากหมู่อสรพิษ
ฉะนั้น.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณฺฑสาลํ ความว่า ถึงพร้อมด้วย
เรือนโรง มีร้านตลาดเป็นต้น. บทว่า สมนฺตขาตาปริขาอุเปตํ ความว่า
ประกอบด้วยคูอันขุดรายไว้โดยรอบ. บทว่า เอวมฺปิ เม ความว่า บุรุษ
เหล่านั้น คือทุกจำพวกทีเดียว ผู้มีความลับในที่นี้ ย่อมปรากฏแก่เราแม้ฉัน

นั้น. ท่านอธิบายความไว้ว่า เครื่องอุปโภคของประชาชน ย่อมอยู่ภายในนคร
เหล็ก อันไม่มีประตูเข้าออกเท่านั้น คนที่อยู่ภายใน ก็ไม่ออกไปข้างนอก คน
ที่อยู่ข้างนอก ก็ไม่เข้าไปข้างใน ขาดการสัญจรไปมาติดต่อกันฉันใด บุรุษ
ทั้งหลายผู้มีความคิดลี้ลับ ต้องเป็นฉันนั้น คือให้ความลับของตนจางหายไป
ภายในใจของตนผู้เดียว ไม่ต้องบอกแก่คนอื่น.

บทว่า ทฬฺหา สทตฺเถสุ ความว่า เป็นผู้มั่งคั่งในประโยชน์ของ
ตน. พญาครุฑเรียก ปัณฑรกนาคราชว่า ทุชิวฺหา ผู้มีลิ้นชั่ว. บทว่า
พฺยวชนฺติ แปลว่า ย่อมหลีกห่างไกล. บทว่า วา ในบาทคาถาว่า อาสีวิสา
วาริว สตฺตสงฺฆา นี้ เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า ดุจชุมชนผู้มุ่งจะมีชีวิต

อยู่ เว้นไกลจากหมู่สัตว์ร้าย เหล่าอสรพิษฉะนั้น. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า
ศัตรูย่อมหลีกห่างไกลจากคน ผู้มีความคิดลี้ลับเหล่านั้น ดุจเหล่ามนุษย์ ผู้มุ่ง
จะมีชีวิตอยู่ ย่อมเว้นไกลจากหมู่สัตว์ร้าย เหล่าอสรพิษฉะนั้น คือไม่ได้โอกาส
ที่จะเข้าใกล้.

เมื่อพญาครุฑกล่าวธรรมอย่างนี้แล้ว ปัณฑรกนาคราชจึงกล่าวคาถา
ความว่า
อเจลกชีเปลือย ละเรือนออกบวช มีศีรษะโล้น
เที่ยวไปเพราะเหตุแห่งอาหาร เราได้ขยายความลับ
แก่มันซิหนอ เราจึงเป็นผู้ปราศจากประโยชน์และ
ธรรม.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนพญาครุฑ บุคคลผู้ละสิ่งที่ยึดถือว่าเป็น
ของเราแล้ว มาประพฤติเป็นนักบวช มีการทำอย่างไร
มีศีลอย่างไร ประพฤติพรตอย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็น
สมณะ สมณะนั้นมีการทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงแดน
สวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆาสเหตุ ความว่า ชีเปลือยนั้นไม่มี
สิริ เที่ยวแสวงหาของเคี้ยว ของฉัน เพื่อให้เต็มท้อง. บทว่า อปคตมฺหา
ความว่า เราปราศจาก คือเป็นผู้เสื่อมจากอรรถและธรรมแล้ว. ครั้นพญา-
นาคราชรู้อุบายวิธีเป็นสมณะของชีเปลือยแล้ว เมื่อจะถามข้อปฏิบัติของสมณะ
จึงกล่าวคำนี้ว่า กถํกโร ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสีโล ความว่า
ประกอบด้วยศีลอย่างไร?

บทว่า เกน วเตน ความว่า สมณะชื่อว่ามีพรต เพราะสมาทาน
พรตอย่างไร. บทว่า สมโณ จรํ ความว่า ผู้ที่ประพฤติบรรพชาอยู่ ต้อง
ละตัณหาที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว อย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะผู้ลอยบาป
แล้ว. บทว่า สคฺคํ ความว่า สมณะนั้นต้องทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงเทพนคร
อันเลิศด้วยดี.

พญาครุฑกล่าวตอบเป็นคาถา ความว่า
บุคคลผู้ละสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว มา
ประพฤติเป็นนักบวช ต้องประกอบด้วยความละอาย
ความอดกลั้น ความฝึกตน ความอดทน ไม่โกรธง่าย
ละวาจาส่อเสียด จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะนั้น
มีการกระทำอย่างนี้ จึงจะเข้าถึงแดนสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิริยา ความว่า แน่ะสหายนาคราช
บุคคลผู้ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ อันเป็นสมุฏฐานทั้งภายในภายนอก ด้วย
อธิวาสนขันตี กล่าวคือความอดกลั้น และประกอบด้วยการฝึกฝนทรมาน
อินทรีย์ มีปกติไม่โกรธ ละวาจาส่อเสียด และละตัณหากามารมณ์ได้แล้ว
ประพฤติบรรพชาอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะผู้กระทำอย่างนี้แหละ เมื่อ
กระทำกุศล มีหิริเป็นต้นเหล่านี้ ย่อมเข้าถึงสุคติสถานได้.

ปัณฑรกนาคราช ได้ฟังธรรมกถาของพญาครุฑนี้แล้ว เมื่อจะ
อ้อนวอนขอชีวิต จึงกล่าวคาถา ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พญาครุฑ ขอท่านจงปรากฏแก่ข้าพเจ้า
เหมือนมารดาที่กกกอดลูกอ่อนที่เกิดแต่ตน แผ่ร่างกาย
ทุกส่วนสัดปกป้อง หรือดุจมารดาผู้เอ็นดูบุตรฉะนั้น
เถิด.

คาถานั้น มีอธิบายดังนี้ มารดาเห็นบุตรอ่อนที่เกิดแต่ตัว เกิดแล้ว
ในสรีระของตน แล้วให้นอนในอ้อมอกให้ดื่มน้ำนม แผ่เรือนร่างทุกส่วนเพื่อ
ปกป้องบุตรไว้ คือมารดาไม่ไปจากบุตร บุตรก็ไม่ไปจากมารดาฉันใด ท่าน
จงปรากฏแก่เรา เหมือนฉันนั้นเถิด. บทว่า ทิชินฺท ความว่า ข้าแต่ราชา
แห่งทิชชาติ แม้ท่านก็จงโปรดเห็นแก่เรา โปรดให้ชีวิตแก่เรา ดุจมารดา
เอื้อเอ็นดูบุตร ด้วยดวงหทัยอันอ่อนโยนฉะนั้นเถิด.

ลำดับนั้น พญาครุฑเมื่อจะให้ชีวิตแก่พญานาค จึงกล่าวคาถานอกนี้
ความว่า
ดูก่อนพญานาคราชผู้มีลิ้นชั่ว เอาเถอะ ท่าน
จงพ้นจากการถูกฆ่าในวันนี้ ก็บุตรมี ๓ จำพวก คือ
ศิษย์ ๑ บุตรบุญธรรม ๑ บุตรตัว ๑ บุตรอื่นหามีไม่
ท่านยินดีจะเป็นบุตรจำพวกไหนของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุจฺจ แปลว่า จงพ้น. อีกอย่างหนึ่ง
ปาฐะพระบาลีก็เป็นอย่างนี้แหละ. บทว่า ทุชิวฺหา ความว่า พญาครุฑเรียก
พญานาคราชนั้นว่า ทุชิวฺหา ผู้มีลิ้นชั่ว. อธิบายว่า ขึ้นชื่อบุตรที่ ๔ อื่นไม่มี.
บทว่า อนฺเตวาสี ทินฺนโก อตฺรโช จ ได้แก่ บุตรผู้เล่าเรียนศิลปะ
หรือฟังปัญหาอยู่ในสำนัก.

บทว่า ทินฺนโก ได้แก่ บุตรที่คนอื่นยกให้ว่า เด็กนี้จงเป็นลูก
ของท่าน. บทว่า รชสฺสุ แปลว่า จงยินดี. ด้วยบทว่า อฺตโร นี้
พญาครุฑแสดงความว่า ในบุตร ๓ จำพวกนั้น ท่านจงเกิดเป็นอันเตวาสี
บุตรอย่างหนึ่งของเรา. ก็แหละครั้นพญาครุฑกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ลงจากอากาศ
วางพญานาคราชลงที่แผ่นดิน.

พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา
๒ คาถา ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พญาครุฑจอมทิชชาติ กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็โผ
ลงจับที่แผ่นดิน แล้วปล่อยพญานาคไปด้วยกล่าวว่า
วันนี้ ท่านรอดพ้นล่วงสรรพภัยแล้ว จงเป็นผู้อันเรา
คุ้มครองแล้ว ทั้งทางบกทางน้ำ.

หมอผู้ฉลาดเป็นที่พึ่งของคนไข้ได้ฉันใด ห้วงน้ำ
อันเย็น เป็นที่พึ่งของคนหิวระหายได้ฉันใด สถาน
ที่พักเป็นที่พึ่งของคนเดินทางได้ฉันใด เราก็จะเป็น
ที่พึ่งของท่าน ฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเจวํ วากฺยํ ความว่า พญาครุฑ
ครั้นกล่าวคำอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ปลดปล่อยนาคราชนั้น. บทว่า
ภุมฺยํ ความว่า พญาครุฑนั้น ก็ประดิษฐานบนพื้นภูมิภาค แม้ด้วยตนเอง
ปลอบโยนพญานาคราชผู้มีลิ้นชั่ว พลางกล่าวว่า วันนี้ท่านรอดพ้นแล้ว นับ

แต่วันนี้ไป ท่านล่วงพ้นภัยทั้งปวง จงเป็นผู้ที่เราคุ้มครองรักษา ทั้งทางบก
ทางน้ำเถิด. บทว่า อาตงฺกินํ แปลว่า ของคนไข้. บทว่า เอวมฺปิ เต
ความว่า เราจะเป็นที่พึ่งของท่าน (ดุจหมอผู้ฉลาด เป็นที่พึ่งของคนไข้เป็นต้น)
ฉะนั้น.

พญาครุฑปล่อยนาคราชไปว่า ท่านจงไปเถิด. นาคราชนั้นก็เข้าไปสู่
นาคพิภพ. ฝ่ายพญาครุฑกลับไปสู่สุบรรณพิภพ แล้วคิดว่า ปัณฑรกนาคราช
เราได้ทำการสบถ ให้เชื่อปล่อยไปแล้ว จะมีดวงใจต่อเราเช่นไรหนอ เราจัก
ทดลองดู แล้วไปยังนาคพิภพ ได้ทำลมแห่งครุฑ. พญานาคราชเห็นเช่นนั้น

สำคัญว่า พญาครุฑจักมาจับเรา จึงเนรมิตอัตภาพยาวประมาณพันวา กลืน
ก้อนหินและทรายเข้าไว้ในตัวหนัก นอนแผ่พังพานไว้ยอดขนดจดหางลง
เบื้องต่ำ ทำอาการประหนึ่งว่า มุ่งจะขบพญาครุฑ. พญาครุฑเห็นอาการเช่น
นั้น จึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แน่ะท่านผู้ชลามพุชชาติ ท่านแยกเขี้ยวจะขบ
มองดูดังจะทำกับศัตรูผู้อัณฑชชาติ ภัยของท่านมีมา
จากไหนกัน.
พญานาคราชได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
บุคคลพึงรังเกียจในศัตรูทีเดียว แม้ในมิตรก็ไม่
ควรไว้วางใจ ภัยเกิดขึ้นได้จากที่ที่ไม่มีภัย มิตรย่อม
ตัดโค่นรากได้แท้จริง.

จะพึงไว้วางใจในบุคคล ที่ทำการทะเลาะกันมา
แล้วอย่างไรได้เล่า ผู้ใดดำรงอยู่ได้ด้วยการเตรียมตัว
เป็นนิตย์ ผู้นั้นย่อมไม่ยินดีกับศัตรูของตน.

บุคคลพึงทำให้เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่น แต่ไม่
ควรจะวางใจคนอื่นจนเกินไป ตนเองอย่าให้คนอื่น
รังเกียจได้ แต่ควรรังเกียจเขา วิญญูชนพึงพากเพียร
ไปด้วยอาการที่ฝ่ายปรปักษ์จะรู้ไม่ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภยา ความว่า ภัยบังเกิดขึ้นจากมิตร
อันน่าจะเป็นที่ตั้งแห่งความปลอดภัย ย่อมตัดก่นโค่นราก กล่าวคือชีวิตได้
แท้จริง. บทว่า ตฺยมฺหิ เท่ากับ ตสฺมึ ได้แก่ ในบุคคลนั้น. บทว่า เยนาสิ
ได้แก่ บุคคลที่เคยกระทำการทะเลาะกันมาแล้ว. บทว่า นิจฺจยตฺเตน แปลว่า
ด้วยการเตรียมตัวเป็นนิตย์. บทว่า โส ทิสพฺภิ น รชฺชติ ความว่า ผู้ใด

ตั้งมั่น ด้วยการระมัดระวังเป็นนิตย์ ผู้นั้นย่อมไม่ยินดี ด้วยอำนาจความคุ้นเคย
กับศัตรูของตน แต่นั้น กิจที่ควรทำตามประสงค์ของศัตรูเหล่านั้น ก็มีไม่ได้.
บทว่า วิสฺสาสเย ความว่า บุคคลควรให้ผู้อื่นวางใจได้ในตน แต่ตนเอง
ไม่ควรวางใจเขา ตนอันผู้อื่นเขาไม่ระแวงแล้ว ตนต้องระแวงเขา. บทว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ภาวํ ปโร ความว่า บัณฑิตจะพยายามด้วยวิธีใด ๆ ก็หาทราบภาวะ (ความ
ประสงค์) ของฝ่ายปรปักษ์ได้ด้วยวิธีนั้น ๆ ไม่ เพราะฉะนั้น บัณฑิตควรทำ
ความพยายามเรื่อยไป. ที่กล่าวมานี้เป็นอธิบายของพญานาคราช. ครั้นสองสัตว์
(คือพญาครุฑ และพญานาคราช) เจรจากันอย่างนี้แล้ว ก็สมัครสโมสร
รื่นเริง บันเทิงกัน พากันไปยังอาศรมชีเปลือย.

พระบรมศาสดาเมื่อจะประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
สัตว์ทั้งสอง มีเพศพรรณดังเทวดา สุขุมาลชาติ
เช่นเดียวกัน อาจผจญได้ดี มีบุญบารมีได้ทำไว้
เคล้าคลึงกันไปราวกะว่า ม้าเทียมรถ พากันเข้าไปหา
กรัมปิยอเจลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมา ความว่า สัตว์ทั้งสองมี
ทรวดทรงสัณฐาณ ทัดเทียมกัน. บทว่า สุชยา ความว่า มีวัยเป็นสุข คือ
บริสุทธิ์. ปาฐะพระบาลีก็อย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน. บทว่า ปุฺกฺขนฺธา
ความว่า ราวกะว่ากองบุญ เพราะมีกุศลอันกระทำไว้แล้ว. บทว่า มิสฺสีภูตา
ความว่า สัตว์ทั้งสองจับมือกันและกัน เข้าถึงความเคล้าคลึงกันด้วยกาย. บทว่า
อสฺสวาหาว นาคา ความว่า เป็นบุรุษผู้ประเสริฐ คล้ายกับอัสดรสองตัว
เทียมที่แอกนำรถไป เข้าไปยังอาศรมของชีเปลือยนั้น.

ครั้นไปถึงแล้ว พญาครุฑคิดว่า พญานาคนี้คงจักไม่ให้ชีวิตแก่
ชีเปลือย เราก็จักไม่ไหว้มันผู้ทุศีล. พญาครุฑจึงยืนอยู่ข้างนอก ปล่อยให้
พญานาคเข้าไปยังสำนักชีเปลือยแต่ผู้เดียว.
พระบรมศาสดาทรงหมายเหตุนั้น จึงตรัสพระคาถานอกนี้ ความว่า

ลำดับนั้น ปัณฑรกนาคราชเข้าไปหาชีเปลือย
แต่ลำพังตนเท่านั้น แล้วได้กล่าวว่า วันนี้เรารอดพ้น
ความตาย ล่วงภัยทั้งปวงแล้ว คงไม่เป็นที่รักที่พอใจ
ท่านเสียเลยเป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยมฺหา ความว่า ปัณฑรกนาคราช
กล่าวบริภาษว่า เฮ้ย ! ชีเปลือยทุศีล ชอบพูดเท็จ เราคงไม่เป็นที่รักใคร่
พึงใจของท่านเลยนะ.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น ชีเปลือยจึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
พญาครุฑเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าปัณฑรกนาคราช
อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องสงสัย เรามีความรักใคร่ใน
พญาครุฑ ทั้งที่รู้ก็ได้กระทำกรรมอันลามก ไม่ใช่ทำ
เพราะความลุ่มหลงเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑรเกน ความว่า พญาครุฑนั้น
เป็นผู้ที่เรารักกว่าท่านปัณฑรกนาคราช ข้อนี้เป็นความจริง. บทว่า โส
ความว่า เรานั้นเป็นผู้ลำเอียงเพราะรักพญาครุฑนั้น จึงได้กระทำบาปกรรมนั้น
ทั้งที่รู้ ใช่จะทำเพราะโมหาคติก็หามิได้.

พญานาคราชได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาสองคาถา ความว่า
ความถือว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา หรือสิ่งนี้
ไม่เป็นที่รักของเรา ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่บรรพชิต ผู้
พิจารณาเห็นโลกนี้และโลกหน้า ก็ท่านเป็นคนไม่
สำรวม แต่ประพฤติลวงโลก ด้วยเพศของผู้สำรวมดี.

ท่านไม่เป็นอริยะ แต่ปลอมตัวเป็นอริยะ ไม่ใช่
คนสำรวม แต่ทำคล้ายคนสำรวม ท่านเป็นคนชาติ
เลวทราม ไม่ใช่คนประเสริฐ ได้ประพฤติบาปทุจริต
เป็นอันมาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เม ความว่า แน่ะท่านชีเปลือยทุศีล
นักพูดเท็จผู้เจริญ ความจริงสำหรับบรรพชิต ผู้เล็งเห็นโลกนี้และโลกหน้า
ย่อมไม่ถือว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา สิ่งนี้ไม่เป็นที่รักของเราเลย แต่ท่านเป็น
คนไม่สำรวม ประพฤติลวงโลกนี้ ด้วยเพศบรรพชิตของผู้มีศีลสำรวมดี. บทว่า
อริยาวกาโสสิ ความว่า มิใช่อริยะ ก็ปลอมตัวเป็นอริยะ. บทว่า อสฺโต

ความว่า มิใช่เป็นผู้สำรวมด้วยกายเป็นต้น. บทว่า กณฺหาภิชาติโก ความว่า
เป็นคนมีสภาพเลวทราม. บทว่า อนริยรูโป ความว่า ขาดหิริความละอาย
ต่อบาป. บทว่า อจริ ได้แก่ ได้กระทำ (บาปทุจริตมากมาย).

ครั้นปัณฑรกนาคราช ติเตียนชีเปลือยอย่างนี้แล้ว เมื่อจะสาปแช่ง
จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แน่ะเจ้าคนเลวทราม เจ้าประทุษร้ายต่อผู้ไม่
ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียด ด้วยคำสัตย์นี้ ขอศีรษะ
ของเจ้าจงแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง.

คาถานั้น มีอธิบายว่า เฮ้ย ! เจ้าคนเลวทราม ด้วยอันกล่าวคำสัตย์
นี้ว่า เจ้าเป็นคนมักประทุษร้ายต่อมิตร ผู้ไม่ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียด
ด้วย ขอศีรษะของเจ้า จงแตกออกเป็นเจ็ดภาค.

เมื่อพญานาคราชสาปแช่งอยู่อย่างนี้ ศีรษะของชีเปลือย ก็แตกออก
เป็นเจ็ดภาค. พื้นแผ่นดินตรงที่ชีเปลือยนั่งอยู่นั่นเอง ก็ได้แยกออกเป็นช่อง.
ชีเปลือยนั้นเข้าสู่แผ่นดิน บังเกิดในอเวจีมหานรก. พญานาคราชและพญาครุฑ
ทั้งสอง ก็ได้ไปยังพิภพของตน ๆ ตามเดิม.

พระบรมศาสดาเมื่อจะประกาศความที่ชีเปลือยนั้นถูกแผ่นดินสูบ จึง
ตรัสพระคาถาสุดท้าย ความว่า

เพราะเหตุนั้นแล บุคคลไม่พึงประทุษร้ายต่อ
มิตร เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทรามที่สุด
จะหาคนอื่นที่เลวกว่าเป็นไม่มี ชีเปลือยถูกอสรพิษ
กำจัดแล้วในแผ่นดิน ทั้งที่ได้ปฏิญญาว่า เรามีสังวร
ก็ได้ถูกทำลายลง ด้วยคำของพญานาคราช.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่ผลแห่ง
กรรม คือการประทุษร้ายมิตร เป็นของเผ็ดร้อน. บทว่า อาสิตฺตสตฺโต
ความว่า ชีเปลือยถูกอสรพิษกำจัดแล้ว. บทว่า อินฺทสฺส ความว่า ด้วยคำ
ของพญานาคราช. บทว่า สํวโร ความว่า อาชีวกผู้ปรากฏด้วยปฏิญญาว่า
เราเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวร ก็ได้ถูกทำลายลง.

พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัต
ก็กระทำมุสาวาทจนถูกแผ่นดินสูบ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ชีเปลือยได้มา
เป็นพระเทวทัต นาคราชได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนสุบรรณราช
ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาปัณฑรกชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสัมพุลาชาดก

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภพระนางมัลลิการาชเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
กา เวธมานา ดังนี้.

เรื่อง (ปัจจุบัน) ข้าพเจ้าพรรณนาไว้แล้วอย่างพิสดารในกุมมาส-
ปิณฑิกชาดก ก็พระนางมัลลิกานั้น ด้วยอานุภาพแห่งการถวายขนมกุมมาส
แด่พระตถาคตเจ้า ๓ ก้อน ได้ถึงความเป็นพระอัครมเหสี ของพระเจ้าปเสน-
ทิโกศล ในวันนั้นทีเดียว ถึงพร้อมด้วยกัลยาณธรรม ๕ ประการ มีตื่นก่อน
เป็นต้น ถึงพร้อมด้วยญาณความรู้ เป็นอุปัฏฐายิกาแห่งพระพุทธเจ้า เคารพ
ต่อพระสวามี ดังเทพยดา นั้นได้ปรากฏไปทั่วพระนคร อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุ

ทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย ข่าวว่า พระนางมัลลิกาเทวี
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร ทรงเคารพต่อพระสวามี ดุจเทพยดา พระศาสดา
เสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระนางมัลลิกานี้ ก็ทรงเคารพ
พระสวามี ดุจเทพยดาเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้าพรหมทัตในพระนครพาราณสี ทรง
พระนามว่า โสตถิเสนกุมาร พระราชาทรงสถาปนาพระราชโอรส ผู้เจริญวัย
แล้วนั้นไว้ในตำแหน่งอุปราช. พระอัครมเหสี ของโสตถิเสนกุมารนั้น พระ
นามว่าสัมพุลา มีพระรูปโฉมงดงาม เพรียบพร้อมไปด้วยสรีระอินทรีย์เปล่ง
ปลั่ง ปรากฏเหมือนเปลวประทีปโพลงอยู่ ในที่สงัดลม ในเวลาต่อมา โรคเรื้อน

เกิดขึ้นในสรีระของโสตถิเสนกุมาร พวกแพทย์ ไม่สามารถจะเยียวยารักษาได้
เมื่อโรคเรื้อนแตกออก พระราชกุมาร ก็เป็นผู้อันประชาชนพึงรังเกียจถึงความ


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เดือดร้อน ดำริว่า ราชสมบัติจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา เราจักไปตายอย่าง
อนาถาในป่า แล้วกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบ ละทิ้งตำหนักฝ่ายใน
เสด็จออกไปแล้ว พระนางสัมพุลาอัครมเหสี แม้อันพระราชกุมารให้กลับ
ด้วยอุบายเป็นอันมาก ก็ไม่ยอมกลับถ่ายเดียว ทูลว่า หม่อมฉันจักไปปฏิบัติ

ฝ่าพระบาทผู้พระสวามีในป่า แล้วตามเสด็จไปด้วย พระราชกุมารเข้าไปยังป่า
แล้ว สร้างบรรณศาลาขึ้น อยู่อาศัยในประเทศอันสมบูรณ์ ด้วยมูลผลาผล
ร่มเงา น้ำท่าอันหาได้ง่าย ราชธิดาผู้ชายา ก็ทรงปฏิบัติบำรุงพระราชกุมาร
พระนางปรนนิบัติอย่างไร? คือ พระนาง ตื่นแต่เช้า แล้วกวาดอาศรมบท
ตักน้ำใช้ น้ำฉัน เข้าไปตั้งไว้ น้อมไม้สีพระทนต์ และน้ำบ้วนพระโอษฐ์

เข้าไปถวาย ครั้นบ้วนพระโอษฐ์แล้ว ก็บดยาทาแผลของพระสวามี แล้ว
ให้เสวยผลาผลมีรสหวานอร่อย เมื่อพระสวามี บ้วนพระโอษฐ์ ล้างพระหัตถ์
แล้ว ทูลว่า ข้าแต่พระสวามี ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอเสด็จที่โปรด
อย่ามีความประมาท ถวายบังคมแล้ว ถือกระเช้า เสียม และขอสอย เข้าป่า แสวง
หาผลาผล นำผลไม้มาเก็บไว้ที่ข้างหนึ่ง แล้วเอาหม้อตักน้ำมาสรงสนาน

โสตถิเสนราชกุมาร ผู้พระสวามี ด้วยเครื่องสนานอันเป็นผงและเป็นก้อนต่าง ๆ
แล้วน้อมผลาผล อันมีรสอร่อยเข้าไปถวายอีก ครั้นเสวยเสร็จแล้ว พระนางก็
น้อมน้ำดื่มที่อบไว้เข้าถวาย พระองค์เองก็บริโภคผลาผล แล้วจัดแจงไม้เรียบเป็น

พระบรรจถรณ์ เตรียมไว้ เมื่อพระสวามีบรรทมบนไม้เรียบนั้นแล้ว ก็ทรงล้าง
พระบาท ทำการนวดฟั้นคั้นพระสรีรกาย แล้วเข้าไปนอนข้างที่พระบรรทม
พระนางสัมพุลา ปรนนิบัติพระสวามี โดยอุบายนี้แล.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
วันหนึ่ง พระนางกำลังเก็บผลไม้อยู่ในป่า เหลือบเห็นลำธารแห่งหนึ่ง
จึงยกกระเช้าลงจากศีรษะวางไว้ที่ฝั่งลำธาร คิดว่าเราจักอาบน้ำ แล้วลงไปอาบ
ขัดสรีรกายด้วยขมิ้น จนพระวรกายสะอาดดีแล้ว ขึ้นมา ยืนนุ่งห่มผ้าอันทอด้วย
เปลือกไม้ อยู่ที่ริมลำธาร ขณะนั้น รัศมีแห่งพระสรีรกายของพระนาง เป็น
เหตุให้ป่ามีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน.

ขณะนั้น อสูรตนหนึ่ง เที่ยวแสวงหาอาหารอยู่ เห็นพระนาง
สัมพุลาเข้า ก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ดูก่อนแม่นาง ผู้มีขาอันอวบอัด เธอเป็นใคร
มายืนสั่นอยู่ผู้เดียวที่ลำธาร ดูก่อนแม่นาง ผู้มีลำตัว
อันน่าเล้าโลมด้วยมือ เราขอถาม เธอจงบอกชื่อและ
เผ่าพันธุ์แก่เรา.

ดูก่อนแม่นาง ผู้มีเอวอันกลมกลึง ท่านเป็นใคร
หรือว่าเป็นลูกเมียของใคร เป็นผู้มีร่างอันสะคราญ ทำ
ป่าเป็นที่อยู่อาศัยแห่งสีหะและเสือโคร่ง ให้น่ารื่นรมย์
สว่างไสวอยู่ ดูก่อนนางผู้เจริญ เราคืออสูรตนหนึ่ง
ขอไหว้ท่าน ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กา เวธมานา ความว่า เพราะเธอ
อาบน้ำในลำธารหนาว จึงยืนสั่นอยู่. บทว่า สฺจิตูรุ แปลว่า แน่ะ
นางผู้มีช่วงขาอันอวบอัด. บทว่า ปาณิปเมยฺยมชฺเฌ แปลว่า ดูก่อนแม่
นางผู้มีเรือนร่าง อันน่าเล้าโลม ด้วยมือ. บทว่า กา วา ตฺวํ ความว่า

เธอเป็นใคร หรือว่า เป็นลูกเมียของใคร. บทว่า อภิวาเทมิ แปลว่า เรา
ขอไหว้เธอ. บทว่า ทานวาหํ ความว่า อสูรนั้นได้กล่าวว่า เราคืออสูรตน
หนึ่ง ขอความนอบน้อมนี้จงมีแก่เธอ เราขอประคองอัญชลีแก่เธอ.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระนางสัมพุลา ได้ฟังคำของอสูรนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๓ คาถา
ความว่า
คนทั้งหลาย รู้จักโอรสของพระเจ้ากาสีมีนามว่า
โสตถิเสนกุมาร เราชื่อสัมพุลา เป็นชายาของโสตถิ-
เสนกุมารนั้น ดูก่อนอสูร ท่านจงรู้อย่างนี้ ดูก่อนท่าน
ผู้เจริญ เราชื่อสัมพุลา ขอไหว้ท่าน ขอความนอบ
น้อมจงมีแก่ท่าน.

ดูก่อนท่านผู้เจริญ พระโอรสของพระเจ้าวิเทห-
ราช เดือดร้อนอยู่ในป่า เรามาพยาบาลพระองค์ผู้ถูก
โรคเบียดเบียนอยู่ตัวต่อตัว.
อนึ่ง เรามาเที่ยวแสวงหารวงผึ้ง และเนื้อมฤค
เราหาอาหารอย่างใดไป พระสวามีของเรา ก็ได้เสวย
อาหารอย่างนั้น วันนี้เมื่อไม่ได้อาหาร เธอคงจะหิว
โหยเป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวเทหปุตฺโต ได้แก่ พระกุมาร ผู้
เวเทหราชปิโยรส. บทว่า โรคสมฺมตฺตํ ได้แก่ ผู้อันโรคเบียดเบียนแล้ว.บทว่า
อุปฏฺ€หิ ความว่า เราต้องพยาบาล คือ ปรนนิบัติท้าวเธอ. ปาฐะว่า
อุปฏฺ€ิตา ดังนี้ก็มี. บทว่า วนมุฺฉาย ความว่า เราเที่ยวค้นเสาะแสวง
หาของป่า. บทว่า มธุมํสํ ความว่า (เราเที่ยวแสวงหา) ผลไม้รวงผึ้งที่ไม่

มีตัว และเนื้อมฤค อันเป็นส่วนเหลือเดนจากราชสีห์ และพยัคฆมฤค
เคี้ยวกิน. บทว่า ตํภกฺโข ความว่า เรานำอาหารสิ่งใดไป พระสวามีของ
เราก็ได้อาหารสิ่งนั้นเสวย. บทว่า ตสฺส นูนชฺช ความว่า เมื่อพระสวามี


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 68, 69, 70, 71, 72, 73, 74 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร