วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ย. 2025, 14:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ถันทั้งสองของลูกเป็นแน่ เหมือนลูกอ่อนที่เกิดแต่ตน
ของมารดา ตะโพกอันกลมผึ่งผายของลูก ผูกรัดด้วย
สร้อยสะอิ้งทอง ก็จะถูกกษัตริย์ทั้งหลายตัดเป็นชิ้น ๆ
แล้วโยนทิ้งไปในป่า ฝูงสุนัขจิ้งจอก ก็จะพากันมาฉุด
คร่าไปกิน ฝูงสุนัขป่า ฝูงกา ฝูงสุนัขจิ้งจอกและสัตว์
ที่มีเขี้ยวเหล่าอื่น ซึ่งมีอยู่ได้กินนางประภาวดีแล้ว คง

ไม่รู้จักแก่กันเป็นแน่ ข้าแต่พระมารดา ถ้ากษัตริย์
ทั้งหลายผู้มาแต่ที่ไกล ได้นำเอาเนื้อของลูกไปหมด
แล้ว พระมารดาได้ทรงโปรดขอเอากระดูกมาเผาเสีย
ในระหว่างทางใหญ่ ขอพระมารดาได้สร้างสวนดอก

ไม้แล้ว จงปลูกต้นกรรณิการ์ในสวนเหล่านั้น ข้าแต่
พระมารดา ในกาลใด ดอกกรรณิการ์เหล่านั้นเบ่ง
บานแล้ว ในเวลาหิมะตกในฤดูเหมันต์ ในกาลนั้น
ขอพระมารดา พึงระลึกถึงลูกว่า ประภาวดีมีผิวพรรณ
อย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กกฺกูปนิเสวิตํ ความว่า ผัดแล้วด้วย
แป้งสำหรับผัดหน้า ๕ อย่างเหล่านี้คือ สาสปกักกะ แป้งที่ทำด้วยเมล็ดพันธุ์
ผักกาด ๑ โลณกักกะ แป้งที่ทำด้วยเกลือ ๑ มัตติกกักกะ แป้งที่ทำด้วยดิน ๑
ติลกักกะ แป้งที่ทำด้วยเมล็ดงา ๑ หลิททกักกะ แป้งที่ทำด้วยขมิ้น ๑. บทว่า

อาทาสทนฺตาถรุปจฺจเวกฺขิตํ ได้แก่ ส่องแล้วที่กระจกมีด้ามอันทำด้วยงา
คือ มองดูที่กระจกนั้นแล้วแต่งตัว. บทว่า สุภํ ได้แก่ มีใบหน้าอันงดงาม.
บทว่า วิรชํ ได้แก่ ปราศจากละออง คือหมดมลทินเครื่องเศร้าหมอง. บทว่า
อนงฺคณํ ได้แก่ เว้นจากโทษมีฝีและสิวเป็นต้น. บทว่า ฉุฑฺฑํ ความว่า
ข้าแต่พระมารดา ใบหน้าของลูกสวยออกอย่างนี้ คงจะถูกพวกกษัตริย์ทั้งหลาย


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
โยนทิ้งเสียในบัดนี้เป็นแน่. บทว่า วเน คือ ในราวป่า. พระนางคร่ำครวญว่า
หน้าของพระนางจักทิ้งอยู่ในป่า. บทว่า อสิเต ได้แก่ ดำเป็นมันขลับ. บทว่า
เวลฺลิตคฺเค ได้แก่ มีปลายงอนขึ้นข้างบน. บทว่า สีวถิกาย คือในสุสาน.
บทว่า ปริกฑฺฒยนฺติ ความว่า พวกแร้งทั้งหลาย ที่ชอบเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์
ก็จะเอาเท้าทั้ง ๒ ตะกุยยื้อแย่งผมของลูกซึ่งงามถึงเพียงนี้เป็นแน่. บทว่า คยฺห

ธํโก คจฺฉติ เยน กามํ ความว่า ข้าแต่พระมารดา นกชื่อว่า ธังกะ
จักโฉบเอาแขนของลูกที่สวยออกอย่างนี้ไปจิกกินแล้ว จักบินไปตามความ
ปรารถนา. บทว่า ตาลูปนิเภ ได้แก่ คล้ายกับผลตาลมีสีเหลืองดุจทอง.
บทว่า กาสิกจนฺทเนน ได้แก่ ลูบไล้แล้วด้วยจุณไม้จันทน์มีเนื้ออันละเอียด.
บทว่า ถเนสุ เม ความว่า ข้าแต่พระมารดา สุนัขจิ้งจอกมาเห็นนมทั้ง ๒

ข้างของลูกงามออกอย่างนี้ ซึ่งตกอยู่ในสุสาน ก็จะเอาปากกัดคร่อมลงที่นมทั้ง
๒ ข้าง ของลูกนั้นเป็นแน่แท้ ประดุจลูกอ่อนของมารดาผู้เกิดแต่ตนของตน
ฉะนั้น. บทว่า โสณี คือ แผ่นสะเอว. บทว่า สุโกฏฺฏฺตํ ได้แก่ ที่บุคคล
เอาไม้คางโคทุบแต่งจนงามดี. บทว่า อวตฺถํ คือทิ้งแล้ว. บทว่า ภกฺขยิตฺวา

ความว่า ข้าแต่พระมารดา สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนเท่านี้เหล่านี้ เคี้ยวกินเนื้อ
ของลูกแล้ว จักไม่แก่เป็นแน่แท้. บทว่า สเจ มํสานิ หาเรสุํ ความว่า
ข้าแต่พระมารดา ถ้าพวกกษัตริย์เหล่านั้น ยังมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันในลูก พึง
แล่เนื้อของลูกออก เมื่อเป็นเช่นนั้น พระมารดาจงขอเอากระดูกมา. บทว่า

อนุปนฺเถ ทหาถ นํ ความว่า พระนางประภาวดีทูลว่า ขอพระมารดา
พึงเผาลูกเสีย ในระหว่างแห่งทางเล็กและทางใหญ่. บทว่า เขตฺตานิ ความว่า
ข้าแต่พระมารดา ขอให้พระมารดาจงสร้างสวนดอกไม้ขึ้น ในบริเวณสถานที่
ที่เผาศพของลูกแล้ว. บทว่า เอตฺถ ความว่า พึงปลูกต้นกรรณิการ์ทั้งหลาย
ในบริเวณเนื้อที่เหล่านั้นด้วย. บทว่า หิมจฺจเย ได้แก่ ในเดือน ๔ ที่พ้น
จากหิมะตกแล้ว. บทว่า สเรยฺยาถ ความว่า พระมารดาพึงเอาดอกไม้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เหล่านั้นบรรจุจนเต็มผอบแล้ว วางไว้ ณ พระเพลา แล้วพึงระลึกว่า ประภาวดี
ลูกของเรา มีผิวพรรณดังดอกกรรณิการ์ ดังนี้.

พระนางประภาวดีนั้นถูกมรณภัยคุกคามแล้ว จึงทรงบ่นเพ้ออยู่บน
พระตำหนักของพระมารดา ด้วยประการฉะนี้. ฝ่ายพระเจ้ามัททราชก็ตรัสสั่ง
อำมาตย์ให้ถือขวานและระฆังแล้ว ทรงบังคับว่า นายเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร จง
มาในที่นี้เดี๋ยวนี้ การที่นายเพชฌฆาตนั้นเข้ามา ก็ปรากฏทั่วไปในเรือนหลวง
ทั้งสิ้น. ลำดับนั้น พระมารดาของพระนางประภาวดีทรงสดับว่า นาย
เพชฌฆาตนั้นมาแล้ว ก็เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงเพรียบพร้อมด้วยความ
เศร้าโศก ได้เสด็จไปยังพระตำหนักของพระราชา.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระมารดาของพระนางประภาวดีเป็นขัตติยานี
มีพระฉวีวรรณดุจดังเทพอัปสร ได้ประทับยืนอยู่แล้ว
ทอดพระเนตรเห็นดาบและธนู วางอยู่ตรงพระพักตร์
พระเจ้ามัททราชภายในบุรี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทฏฺฐาสิ ความว่า พระนางเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ
เสด็จไปยังพระตำหนักของพระราชาแล้ว ประทับยืนอยู่. บทว่า ทิสฺวา
อสิญฺจ สูณญฺจ ความว่า พระนางทอดพระเนตรเห็นขวานและธนู ที่เขา
วางไว้บนพื้นใหญ่ข้างพระพักตร์พระราชา อันประดับประดาแล้ว ณ ภายในบุรี
จึงทรงรำพันอยู่ตรัสพระคาถาว่า

พระองค์จะทรงฆ่าพระธิดาของหม่อมฉัน บั่น
ให้เป็นท่อน ๆ ด้วยดาบนี้ แล้วจะประทานแก่กษัตริย์
ทั้งหลาย แน่หรือเพค่ะ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คำว่า ดาบ ในคาถานั้น พระองค์ตรัสประสงค์ถึงขวาน. จริงอยู่
ขวานนั้นชื่อว่าดาบ ในที่นี้. บทว่า สุสญฺญํ ตนิมชฺฌิมํ ได้แก่ ฟันให้
เป็นท่อนถึงกลางตัว.

ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะทรงให้พระเทวีนั้นรู้สำนึก จึงตรัสว่า
ดูก่อนพระเทวี ท่านพูดอะไร ก็พระธิดาของท่านมาทอดทิ้งพระราชาผู้เลิศใน
ชมพูทวีปทั้งสิ้น ด้วยรังเกียจว่า มีรูปร่างชั่วช้า เมื่อหนทางที่มายังไม่พินาศ
ทีเดียว ก็พาเอาความตายมาโดยหน้าผาก บัดนี้ จงรับผลแห่งความเป็นอิสระ
เพราะอาศัยรูปของตนเถิด. พระนางได้ทรงสดับพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว
จึงเสด็จไปยังพระตำหนักของพระธิดา ทรงรำพันเพ้อตรัสว่า

พระลูกน้อยเอ๋ย พระราชบิดาไม่ทรงกระทำตาม
คำของแม่ผู้ใคร่ประโยชน์ เจ้านั้นจะเปรอะเปื้อนโลหิต
ไปสู่สำนักพระยายมในวันนี้ ถ้าบุรุษผู้ใดไม่ทำตามคำ
ของบิดามารดาผู้เกื้อกูลมองเห็นประโยชน์ บุรุษผู้นั้น
ย่อมได้รับโทษอย่างนี้ และจะต้องเข้าถึงโทษที่ลามก
กว่า ในวันนี้ ถ้าลูกจะทรงไว้ซึ่งกุมาร ทรงโฉมงดงาม

ดังสีทอง เป็นกษัตริย์เกิดกับพระเจ้ากุสราช สวม
สร้อยสังวาลย์แก้วมณีแกมทอง อันหมู่พระญาติบูชา
แล้วไซร้ ลูกก็จะไม่ต้องไปยังสำนักของพระยายม
ลูกหญิงเอ๋ย เสียงกลองชัยเภรีดังอยู่อึงมี่ และเสียง
ช้างร้องก้องอยู่ ในตระกูลแห่งกษัตริย์ทั้งหลายใด
ลูกเห็นอะไรเล่าหนอที่มีความสุขยิ่งกว่าตระกูลนั้น จึง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ได้มาเสีย เสียงม้าศึกคึกคะนอง ร้องคำรนอยู่ที่ประตู
เสียงกุมารร้องรำทำเพลงอยู่ ในตระกูลกษัตริย์ทั้งหลาย
ลูกเห็นอะไรเล่าหนอ ที่มีความสุขยิ่งไปกว่าตระกูลนั้น
จึงได้มาเสีย ในตระกูลแห่งกษัตริย์ทั้งหลาย มีนกยูง
นกกระเรียนและนกดุเหว่า ส่งเสียงร้องก้องเสนาะ
ไพเราะจับใจ ลูกเห็นอะไรเล่าหนอที่จะมีความสุขยิ่ง
ไปกว่าตระกูลนั้น จึงได้มาเสีย.

ในคาถานั้น พระเทวีตรัสเรียกพระนางประภาวดีนั้นว่า ดูก่อนลูกน้อย
ดังนี้. คำนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ในวันนี้เจ้าจะกระทำอะไรในที่นี้ เจ้าไปใน
วังของสามี ย่อมมัวเมาด้วยความเมาในรูป เพราะฉะนั้น พระราชบิดาจึงไม่
ยอมกระทำตามคำของแม่ แม้จะอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ในวันนี้ เจ้านั้นจะต้อง
เปื้อนด้วยโลหิตไปสู่สำนักพระยายม คือไปสู่ภพแห่งพระยามัจจุราช. บทว่า

ปาปิยญฺจ ได้แก่ ย่อมเข้าถึงโทษอันชั่วช้ากว่าโทษที่ได้รับอยู่นี้อีกด้วย. บทว่า
สเจว อชฺช ธาเรสิ ความว่า แน่ะแม่ ถ้าเจ้าไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งจิตใจ
ก็จะได้พระโอรส มีรูปโฉมงดงามดังสีทองเหมือนกับรูปร่างของตัว ซึ่งได้แล้ว
เพราะอาศัยพระเจ้ากุสราชผู้เป็นจอมแห่งชน. บทว่า ยมกฺขยํ ความว่า แม้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะไม่ต้องไปสู่นิเวศน์แห่งพระยายม. บทว่า ตโต ความว่า
ในตระกูลแห่งกษัตริย์ใด มีความสนุกสนานเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ เจ้าเห็น
อะไรเล่า ที่มีความสุขยิ่งไปกว่าสถานที่เช่นนั้น คือแต่ราชตระกูลกุสาวดี ที่
ครึกครื้นอยู่ด้วยเสียงแห่งกลองชัย และเสียงคึกคะนองร้องคำรนแห่งช้างและ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นกกระเรียนในระหว่างทาง จึงได้มาเสียในที่นี้. บทว่า หสิสติ แปลว่า
ร้องดังก้อง. บทว่า กุมาโร ได้แก่ กุมารคนธรรพ์นักฟ้อนรำ ซึ่งศึกษา
ชำนาญดีแล้ว. บทว่า อุปโรทติ ได้แก่ ถือเอาดนตรีชนิดต่าง ๆ แล้วทำ
การขับร้อง. บทว่า โกกิลาภินิกุชฺชิเต ความว่า ในตระกูลแห่งพระเจ้า-
กุสราช มีพวกนกกาเหว่าทั้งหลายร้องระงมอยู่ ประหนึ่งเซ็งแซ่ไปด้วยการ
บำรุงบำเรอด้วยการฟ้อนรำขับร้องประโคม อันเป็นไปตลอดเวลาเย็น และ
เวลาเช้า.

พระเทวีนั้น ทรงเจรจากับพระนางประภาวดี ด้วยคาถามีประมาณ
เท่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงทรงดำริว่า ถ้าในวันนี้ พระเจ้ากุสราชผู้เป็น
จอมแห่งชน พึงประทับอยู่ในที่นี้ไซร้ ก็จะทรงออกตีพระราชาทั้ง ๗ พระนคร
เหล่านี้ ให้แตกหนีไป พึงเปลื้องเสียซึ่งพระลูกของเรา ให้พ้นจากความทุกข์
แล้ว พึงพาลูกของเรากลับไป แล้วตรัสคาถาว่า

พระเจ้ากุสราชพระองค์ใด ผู้มีพระปรีชาอย่าง
ยอดเยี่ยม ผู้ย่ำยีกษัตริย์ทั้ง ๗ พระนคร ทรงปราบปราม
แคว้นอื่นให้พ่ายแพ้ พึงทรงปลดเปลื้องเราทั้งหลาย
ให้พ้นจากทุกข์ได้ พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น
ประทับอยู่ที่ไหนหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสฬารปญฺญาโณ ได้แก่ ผู้มีปัญญายิ่ง.
ในลำดับนั้น พระนางประภาวดีจึงทรงดำริว่า เมื่อมารดาของเรา
พรรณนาคุณของพระเจ้ากุสราชอยู่ ปากย่อมไม่เพียงพอ เราจักบอกว่าพระเจ้า
กุสราชนั้นทรงทำการงาน ในหน้าที่พนักงานห้องเครื่องต้น ประทับอยู่ในที่นี้
นั่นแหละ แด่พระมารดานั้นก่อน จึงทูลเป็นคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระเจ้ากุสราชพระองค์ใด ผู้มีพระปรีชาอย่าง
ยอดเยี่ยม ผู้ย่ำยีกษัตริย์ทั้ง ๗ พระนคร ทรงปราบ-
ปรามแคว้นอื่นให้พ่ายแพ้ จักทรงกำจัดกษัตริย์เหล่านั้น
ทั้งหมดได้ พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ประทับอยู่
ที่นี่แหละเพค๊ะ.

ลำดับนั้น พระมารดาของพระนางประภาวดีนั้น จึงทรงดำริว่า ลูกเรา
คนนี้ เห็นจะหวาดกลัวต่อมรณภัย จึงละเมอเพ้อไป ดังนี้แล้ว จึงตรัสเป็น
พระคาถาว่า

เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร จึงได้พูดอย่างนี้ หรือ
ว่าเจ้าเป็นอันธพาล จึงได้พูดอย่างนี้ ถ้าพระเจ้ากุสราช
พึงเสด็จมาจริง ทำไมพวกเราจะไม่รู้จักพระองค์เล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลา ได้แก่ เป็นผู้โง่เขลาไม่มีความรู้.
บทว่า กึ น ชาเนมฺ ความว่า เพราะเหตุไร แม่จึงไม่รู้จักพระองค์. ด้วยว่า
พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น เพียงแต่ได้เสด็จมาถึงกลางทางเท่านั้น ก็จะต้อง
ส่งพระราชสาส์นมาถึงยังพวกเรา เสนาประกอบไปด้วยองค์ทั้ง ๔ มีธงชักขึ้น-
ไสว ก็ต้องปรากฏ ก็ลูกกล่าวถึงพระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น เพราะกลัวตาย
กระมัง.

เมื่อพระมารดาตรัสอย่างนี้ พระนางประภาวดีจึงทรงดำริว่า พระ-
มารดาของเราไม่ยอมเชื่อ และไม่ทรงทราบว่าพระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น
เสด็จมาประทับอยู่ในที่นี้ถึง ๗ เดือนแล้ว เราจักแสดงพระเจ้ากุสราชนั้นแก่
พระมารดา จึงจับพระหัตถ์พระมารดา ทรงเปิดบานพระแกล ทรงยื่นพระหัตถ์
ออกไปแล้ว ทรงชี้ให้ทอดพระเนตร พร้อมกราบทูลเป็นพระคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระเจ้ากุสราชนั้น ทรงปลอมพระองค์เป็นบุรุษ
พนักงานเครื่องต้น ทรงพระภูษาหยักรั้งมั่นคง กำลัง
ก้มพระองค์ล้างหม้ออยู่ ในระหว่างพระตำหนักของ
พระกุมารีทั้งหลายเพค๊ะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุมารีปุรมนฺตเร ความว่า จงประทับ
ยืนที่หน้าต่าง ทอดพระเนตรไปในระหว่างพระตำหนักของเหล่ากุมารีผู้เป็น
พระราชธิดาของพระองค์เถิด. บทว่า สํเวลํ ความว่า กำลังนุ่งหยักรั้ง
ล้างหม้ออยู่.

ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทรงพระดำริว่า วันนี้ ความ
ปรารถนาของเราคงถึงที่สุด พระนางประภาวดีกลัวตายหนักเข้า คงทูลพระ
มารดาและพระบิดาให้ทรงทราบว่า เรามาอยู่ที่นี่เป็นแน่แท้ เราจะจัดแจงล้าง
ถ้วยชามแล้ว จักเก็บไว้ ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปตักน้ำมาแล้ว ก็ลงมือล้างถ้วย
ชามทั้งหลายอยู่ ลำดับนั้น พระมารดาจึงบริภาษพระนาง ตรัสเป็นพระคาถาว่า

เจ้าเป็นหญิงชั่วช้าจัณฑาลหรือ หรือว่าเจ้าเป็น
หญิงประทุษร้ายตระกูล เจ้าเกิดแล้วในตระกูลพระเจ้า
มัททราช เหตุใดจึงทำพระสวามีให้เป็นทาส.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวณี ได้แก่ ช่างถาก. บทว่า อาทูสิ
กุลคนฺธินี ได้แก่ หรือว่าเจ้าเป็นหญิงประทุษร้ายตระกูล. บทว่า กามุกํ
ความว่า เจ้าเกิดในตระกูลเห็นปานนี้ เหตุไรจึงได้ทำพระสวามีของตนให้เป็น
ทาสเล่า.

ในลำดับนั้น พระนางประภาวดี ทรงพระดำริว่า พระมารดาของเรา
เห็นจะไม่ทรงทราบว่า พระเจ้ากุสราชนี้ เสด็จมาประทับอย่างนี้ เพราะอาศัย
เรา จึงทูลคาถานอกนี้ว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
หม่อมฉันไม่ได้เป็นหญิงชั่วช้าจัณฑาล ไม่ใช่
เป็นหญิงประทุษร้ายตระกูล นั่นพระเจ้ากุสราช พระ
โอรสของพระเจ้าโอกกากราช ขอความเจริญจงมีแด่
พระมารดา แต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยว่า เป็นทาส.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอกฺกากปุตฺโต ความว่า ข้าแต่พระ
มารดา นั่นคือพระโอรสแห่งพระเจ้าโอกกากราช แต่พระแม่เจ้าทรงเข้าพระ
ทัยว่าเป็นทาส หม่อมฉันจะเรียกพระเจ้ากุสราชนั้นว่า เป็นทาสเพราะเหตุอะไร.
บัดนี้ พระนางประภาวดี เมื่อจะทรงพรรณนาถึงพระเกียรติยศของพระเจ้า
กุสราชพระองค์นั้น จึงทูลว่า

ขอความเจริญจงมีแด่พระมารดา พระราชาพระ
องค์ใด ทรงเชื้อเชิญพราหมณ์สองหมื่นคน ให้บริโภค
ภัตตาหาร ในกาลทุกเมื่อ พระราชาพระองค์นั้น คือ
พระเจ้ากุสราชพระโอรสแห่งพระเจ้าโอกกากราช แต่
ว่าพระมารดาเข้าพระทัยว่าเป็นทาส ขอความเจริญจง
มีแด่พระมารดา เจ้าพนักงานทั้งหลาย เตรียมช้างไว้

สองหมื่นเชือก ในกาลทุกเมื่อ เพื่อพระราชาพระองค์
ใด พระราชาพระองค์นั้น คือพระโอรสของพระเจ้า
โอกกากราช แต่ว่าพระมารดาเข้าพระทัยว่าเป็นทาส
ขอความเจริญจงมีแด่พระมารดา เจ้าพนักงานทั้งหลาย

เตรียมรถไว้สองหมื่นคัน ในกาลทุกเมื่อ เพื่อพระราชา
พระองค์ใด พระราชาพระองค์นั้น คือพระโอรสของ
พระเจ้าโอกกากราช แต่ว่าพระมารดาเข้าพระทัยว่า
เป็นทาส ขอความเจริญจงมีแด่พระมารดา เจ้าพนัก


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2019, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
งานทั้งหลาย เตรียมรีดนมโคไว้สองหมื่นตัว ในกาล
ทุกเมื่อ เพื่อพระราชาพระองค์ใด พระราชาพระองค์
นั้น คือพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราช แต่ว่าพระ
มารดาเข้าพระทัยว่า เป็นทาส.

ก็เมื่อพระนางประภาวดีนั้น ทรงพรรณนาถึงพระอิสริยยศ ของพระ
มหาสัตว์ด้วยคาถา ๕ คาถาอย่างนี้แล้ว ลำดับนั้น พระมารดาของพระนาง
ก็ทรงเชื่อ ด้วยทรงพระดำริว่า ลูกสาวของเราคนนี้ กล่าวถ้อยคำอย่างไม่
สะทกสะท้าน ถ้อยคำนี้คงเป็นอย่างนี้แน่ จึงรีบเสด็จไปยังพระตำหนักของพระ
ราชา กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ ท้าวเธอก็เสด็จไปยังพระตำหนักของ

พระนางประภาวดีโดยด่วน ตรัสถามว่า เป็นความจริงหรือลูก ได้ยินว่า พระ
เจ้ากุสราช เสด็จมาในที่นี้ พระนางประภาวดี กราบทูลว่า เป็นความจริงเช่น
นั้น ข้าแต่พระบิดา พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ทรงทำหน้าที่พนักงานเครื่อง
ต้นแก่พระธิดาทั้งหลายของพระองค์ ถึงวันนี้ล่วงไปได้ ๗ เดือนแล้ว ท้าว

เธอยังไม่ทรงเชื่อพระนาง จึงตรัสถามนางค่อม นางก็กราบทูลตามความเป็น
จริงทุกประการ พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงติเตียนพระธิดา จึง
ตรัสพระคาถาว่า

ดูก่อนเจ้าผู้เป็นพาล เจ้ากระทำกรรมอันชั่วร้าย
เหลือเกิน ที่เจ้าไม่บอกพ่อว่า พระเจ้ากุสราชผู้เป็น
กษัตริย์ มีทแกล้วทหารมาก ผู้เป็นพระยาช้าง มาด้วย
เพศแห่งกบ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2019, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ คือ โดยส่วนเดียวเท่านั้น.
พระราชาพระองค์นั้น ครั้นทรงติเตียนพระธิดาแล้ว ก็รีบเสด็จไปยัง
สำนักของพระโพธิสัตว์นั้นโดยด่วน ทรงมีปฏิสันถารอันพระโพธิสัตว์ทรงกระ-
ทำแล้ว จึงทรงประคองอัญชลี เมื่อจะทรงแสดงโทษของพระองค์ จึงตรัส
พระคาถาว่า

ข้าแต่พระมหาราชผู้จอมทัพ ขอพระองค์ได้ทรง
พระกรุณาโปรดงดโทษแก่หม่อมฉันด้วย ที่ไม่ทราบ
ว่าพระองค์เสด็จมาในที่นี้ ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จักด้วย
เถิด.

พระมหาสัตว์เจ้า ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราจัก
กล่าวคำตัดพ้อต่อว่าขึ้น หัวใจของท้าวเธอ ก็จักแตกเสียในที่นี้เป็นแน่ เราควร
จักเอาใจท้าวเธอไว้ ประทับยืนอยู่ในระหว่างภาชนะทีเดียว ตรัสคาถานอกนี้ว่า

คนเช่นหม่อมฉัน มิได้ปกปิดเลย หม่อมฉันนั้น
เป็นพนักงานเครื่องต้น พระองค์เท่านั้นทรงเลื่อมใส
แก่หม่อมฉัน ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ แต่พระองค์
ไม่มีกรรมชั่วช้า ที่หม่อมฉันจะต้องอดโทษ.

พระราชา ทรงได้รับปฏิสันถารจากสำนักของพระโพธิสัตว์เจ้านั้นแล้ว
จึงเสด็จขึ้นสู่ปราสาท รีบตรัสสั่งให้หาพระนางประภาวดีมาเฝ้า ทรงหวังจะส่ง
ไปเพื่อต้องการให้อดโทษ จึงตรัสคาถาว่า

ดูก่อนเจ้าคนพาล เจ้าจงไปขอขมาโทษพระเจ้า
กุสราช ผู้มีกำลังมากเสียเถิด พระเจ้ากุสราชที่เจ้าขอ
ขมาแล้ว จักประทานชีวิตให้เจ้า.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2019, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระนางประภาวดีนั้น ได้สดับพระดำรัสของพระบิดาแล้ว จึงพร้อม
ด้วยพระภคินีทั้งหลาย และพวกนางบริจาริกาเป็นจำนวนมาก เสด็จไปยังสำนัก
ของพระโพธิสัตว์นั้น ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ประทับยืนอยู่ด้วยเพศแห่งคน
ล้างหม้อเช่นนั้นแล ทรงทราบว่า พระนางประภาวดีนั้น เสด็จมายังสำนักของ
พระองค์ จึงทรงพระดำริว่า วันนี้เราจักทำลายมานะของแม่ประภาวดี ให้นาง

หมอบลงในโคลนใกล้เท้าของเราให้จงได้ จึงทรงราดน้ำที่พระองค์ตักมาทั้ง
หมด ทรงเหยียบย่ำที่ประมาณเท่ามณฑลแห่งลานนวดข้าว ทำให้เป็นโคลน
ไปหมด พระนางประภาวดีนั้น เสด็จไปยังสำนักของพระเจ้ากุสราชผู้พระโพธิ-
สัตว์นั้น ทรงหมอบลงที่ใกล้พระบาทของพระองค์ ประทับนั่งที่โคลนแล้ว
ทรงขอโทษพระโพธิสัตว์นั้น.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

พระนางประภาวดี ผู้มีผิวพรรณดังเทพธิดา ทรง
รับพระดำรัสของพระบิดาแล้ว ได้ซบพระเศียรลง
กอดพระบาทพระเจ้ากุสราช ผู้มีพระกำลังมาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิรสา ความว่า พระนางประภาวดี
ทรงหมอบพระเศียรลง แล้วทรงจับพระเจ้ากุสราชที่พระบาท ก็แล ครั้นทรง
จับแล้ว เมื่อจะยังพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ให้ทรงอดโทษ จึงได้ภาษิตพระคาถา
๓ คาถาว่า

ราตรีเหล่านี้ที่ล่วงไป เว้นจากพระองค์นั้นเพียง
ใด หม่อมฉัน ขอถวายบังคมพระยุคลบาท ของพระ
องค์ด้วยเศียรเกล้าเพียงนั้น ขอพระองค์โปรดอย่าทรง
พิโรธหม่อมฉันเลย หม่อมฉัน ขอตั้งสัตว์ปฏิญาณ
แก่พระองค์ โปรดทรงสดับหม่อมฉันเถิด เพค่ะ

หม่อมฉันจะไม่พึงทำความชิงชัง แก่พระองค์อีกต่อ
ไปละ ถ้าพระองค์จะไม่ทรงโปรดกระทำตามคำของ
หม่อมฉัน ผู้ทูลวิงวอนอยู่เช่นนี้ พระบิดาคงเข่นฆ่า
หม่อมฉัน แล้วทรงประทานแก่กษัตริย์ทั้งหลาย ณ
กาลบัดนี้เป็นแน่.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2019, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รตฺยา ได้แก่ ทั้งกลางคืนและกลางวัน.
บทว่า ตา อิมา ได้แก่ ราตรีเหล่านี้นั้นทั้งหมด ล่วงไปแล้วเว้นจากพระ
องค์. บทว่า สจฺจนฺเต ปฏิชานามิ ความว่า ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉัน
กระทำการเกลียดชังพระองค์ ตลอดกาลมีประมาณเพียงเท่านี้ บัดนี้หม่อมฉัน

จะขอปฏิญาณคำสัตย์อย่างนี้แก่พระองค์ พระองค์จงสดับถ้อยคำอื่นอีก จำ
เดิมแต่นี้ไป หม่อมฉัน จักไม่กระทำการเกลียดชังพระองค์อีกต่อไป. บทว่า
เอวญฺเจ ความว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงทำตามถ้อยคำของหม่อมฉัน ผู้วิงวอน
อยู่อย่างนี้.

พระราชา ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักพูด
ว่า เธอคนเดียวเท่านั้น จักรู้เรื่องนี้ ดังนี้ หัวใจของนางก็จักแตก เราจัก
ปลอบใจเธอ แล้วจึงตรัสว่า

เมื่อพระน้องรักอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ไฉนพี่จัก
ไม่ทำตามคำของพระน้องเล่า พี่ไม่โกรธพระน้องเลย
นะคนงาม อย่ากลัวเลยประภาวดี พี่ขอตั้งสัตย์ปฏิ-
ญาณต่อพระน้อง โปรดขอจงทรงฟังพี่เถิดนะ พระ
ราชบุตรี พี่จะไม่พึงกระทำความเกลียดชัง แก่พระ
น้องนางอีกต่อไปละ ดูก่อนน้องประภาวดี ผู้มีตะโพกอัน

กลมผึ่งผาย พี่สามารถจะทำลายตระกูลกษัตริย์มัททราช
มากมายแล้ว นำพระน้องนางไปได้ แต่เพราะความ
รักพระน้องนาง พี่จึงสู้ยอมทนทุกข์มากมาย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2019, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ น กาหามิ ความว่า เพราะเหตุไร
เราจึงจะไม่ทำตามคำของเธอเล่า. บทว่า วิกุทโธ ตยสมิ ความว่า เราไม่
มีความโกรธ ไม่มีความแค้นเคืองต่อเธอเลย. บทว่า สจจนเต ความว่า
เราจักขอให้ปฏิญาณคำสัตย์นี้แก่เธอสัก ๒ ข้อ คือ จะไม่ขอโกรธเคือง ๑

ไม่ทำความเกลียดชัง ๑. บทว่า ตว กามา ความว่า เพราะรักใคร่ คือ
ปรารถนาเธอ. บทว่า ติติกขิสสํ แปลว่า อดทน. บทว่า พหุมททกุลํ
หนตวา ความว่า เราสามารถที่จะฆ่าตระกูลพระเจ้ามัททราชแล้ว นำเอาเธอ
ไปโดยพลการก็ได้

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ทอดพระเนตรเห็นพระนางประภาวดี
พระอัครมเหสีของพระองค์ ประหนึ่งว่า เทพกัญญาผู้เป็นบริจาริกาของท้าว
สักกเทวราช ก็ทรงยังขัตติยมานะให้บังเกิดขึ้น ทรงพระดำริว่า ได้ทราบว่า
เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ทั้งคน พระราชาทั้งหลายเหล่าอื่น จักมาแย่งเอาพระอัคร-
มเหสีของเราไปเชียวหรือ จึงทรงแสดงท่าทางอันสง่าเสด็จลงไปยังพระลาน

หลวง ประดุจราชสีห์ ทรงประกาศบันลือเปล่งเสียงโห่ร้องตบพระหัตถ์อยู่
เอ็ดอึงว่า ชาวเมืองทั้งสิ้น จงทราบเถิดว่า เรามาแล้ว ตรัสสั่งว่า บัดนี้
เราจักจับกษัตริย์ทั้ง ๗ พระนครเหล่านั้น จับให้ได้ทั้งเป็น ท่านทั้งหลายจง
จัดแจงเทียมรถเป็นต้นมาให้เรา แล้วตรัสคาถาอันเป็นลำดับไปว่า

เจ้าพนักงานทั้งหลาย จงตระเตรียมรถและม้า
อันวิจิตรด้วยเครื่องอลังการต่าง ๆ ให้มั่นคงแข็งแรง
ท่านทั้งหลายจงเห็นความพยายามของเรา ผู้กำจัดศัตรู
ทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไปในบัดนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานาจิตฺเต ได้แก่ วิจิตรด้วยเครื่อง
อลังการต่าง ๆ. บทว่า สมาหิเต นี้ ท่านกล่าวหมายถึงม้าทั้งหลาย อธิบายว่า
ม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้ว ไม่พยศ. บทว่า อถ ทกฺขถ เม เวคํ ความว่า
ท่านทั้งหลายจักได้เห็นความหาญศึกของเราในกาลนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2019, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงส่งพระเจ้ามัททราชไปด้วยพระดำรัสว่า ขึ้น
ชื่อว่า การจับพระราชาทั้ง ๗ พระนคร เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเอง พระองค์
จงเสด็จไปสรงสนาน ทรงประดับร่างกายแล้ว เสด็จขึ้นไปยังปราสาทเถิด.
ฝ่ายพระเจ้ามัททราช ก็ได้ทรงส่งพวกอำมาตย์ไป เพื่อทำการอุปัฏฐากพระ
โพธิสัตว์เจ้านั้น. พวกอำมาตย์เหล่านั้น พากันจัดแจงกั้นพระวิสูตรล้อมรอบ

ที่ประตูห้องเครื่องต้นนั้นทีเดียว แล้วให้พวกเจ้าพนักงานช่างกัลบก เข้าไป
ตัดพระเกศา ปลงพระมัสสุพระโพธิสัตว์เจ้านั้น. พระองค์ทรงใช้ช่างทำการ
ปลงพระมัสสุเสร็จแล้ว ทรงสรงสนานชำระพระเศียรเกล้า ทรงประดับเครื่อง
แต่งตัวสำหรับกษัตริย์ทั้งหมด มีอำมาตย์ทั้งหลายห้อมล้อมเป็นบริวาร เสด็จ

ขึ้นสู่ปราสาท ทอดพระเนตรดูไปรอบ ๆ ทุกทิศแล้ว ทรงปรบพระหัตถ์อยู่
ฉาดฉาน. สถานที่ที่พระองค์ทรงมองดูแล้วก็หวั่นไหว. พระองค์จึงตรัสว่า
ท่านทั้งหลายจงคอยดูการบุกเข้าต่อสู้กับข้าศึกของเราในบัดนี้.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

ก็นารีทั้งหลาย ภายในพระราชวัง ของพระเจ้า
มัททราชนั้น พากันมองดูพระโพธิสัตว์เจ้า ผู้เสด็จ
เยื้องกรายดุจราชสีห์ ทรงปรบพระหัตถ์เสวยพระกระ-
ยาหารถึงสองเท่าพระองค์นั้น.

คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ก็พวกหญิงพากันเปิดหน้าต่าง ใน
ภายในบุรีแห่งพระราชาแล้ว มองดูพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ผู้ทรงเยื้องกรายและ
ปรบพระหัตถ์อยู่ในที่นั้น.

ลำดับนั้น พระเจ้ามัททราช ทรงส่งช้างตัวประเสริฐ อันประดับแล้ว
มีควาญช้างประจำพร้อมเสร็จไปถวาย. ท้าวเธอเสด็จขึ้นประทับบนคอช้างซึ่งมี
เศวตฉัตรอันยกขึ้นแล้ว ตรัสว่า พวกท่านทั้งหลายจงพาพระนางประภาวดี
มาเถิด แล้วให้พระนางประทับนั่ง ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ อันจตุรงคินีเสนา

แวดล้อมเป็นกระบวนทัพ เสด็จออกทางประตูด้านทิศปราจีน ทอดพระเนตร
เห็นกองทัพของข้าศึก จึงเปล่งพระสุรสีหนาทขึ้น ๓ ครั้งว่า เราคือพระเจ้า
กุสราช ใครรักชีวิต ก็จงยอมอ่อนน้อมกับเราเสียเถิด แล้วได้ทรงกระทำการ
ปราบปรามกษัตริย์ทั้ง ๗ พระนคร.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร