วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 12:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2025, 23:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 44

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมข้าวฟ่างจึงอร่อย



“คำว่าอร่อยนี้เป็นคำที่เราสมมติขึ้นมา ถ้าเป็นฝรั่งเขาก็ไม่ได้พูดอย่างนี้ เขาไม่ได้สื่อออกมาทางเสียงว่าอร่อย แต่เขาสื่อออกมาทางเสียงว่าดีลีฌัซ (Delicious)”

พิสมัยเริ่มเปิดฉากขึ้นมา

แม้จะสื่อออกมาทางเสียงไม่เหมือนกัน แต่ทั้งฝรั่งและข้าวฟ่างต่างก็มีลักษณะอาการที่เหมือนกัน นั่นก็คือมีความต้องการที่จะกินอีก และถ้ามีความต้องการที่จะกินอีก แต่ไม่มีกินมันก็จะต้องพยายามขวนขวายหามากินให้ได้ ตามความรุนแรงมากน้อยที่ต่างกันของเหตุปัจจัยในแต่ละคน

ความต้องการที่จะกินอีกนี้มันมีที่มาอย่างไร มันก็มีที่มาจากสิ่งที่เรากินเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายของเรา แล้วมันแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ

ตัวอย่างที่เราเห็นง่ายๆ เช่นข้าวฟ่างชอบกินข้าวขาหมู เลยกินข้าวขาหมูบ่อย ไขมันมันก็เข้าไปสะสมในร่างกายของข้าวฟ่างจนข้าวฟ่างเกิดโรคอ้วน

พอข้าวฟ่างอ้วน ข้าวฟ่างก็ตัวใหญ่ พอข้าวฟ่างตัวใหญ่ ความต้องการกินข้าวขาหมูก็มากกว่าคนตัวนิดเดียวเพราะมันใช้พลังงานมากกว่า แล้วมันหิวเร็วกว่า มันก็เลยต้องกินมากกว่าเด็กตัวกระจิริดอย่างแน่นอน พอกินมากมันก็อ้วนมากขึ้น มากจนหมอบอกให้เลิกกินนะ เดี๋ยวกลิ้งได้

นี่เป็นการแสดงออกมาที่เห็นชัด มันสะสมไว้จนเห็นประจักษ์ออกมา ข้าวฟ่างดูแล้วเข้าใจดีเลยเพราะเห็นชัด นี่เป็นผลกระทบทางร่างกาย

ถ้าเป็นผลทางจิตใจ เช่นสมมติเป็นข้าวขาหมูเจ้าที่ข้าวฟ่างชอบ มันก็ไปสะสมสิ่งที่ ข้าวฟ่างเรียกว่าอร่อยอยู่ในจิตใจของข้าวฟ่างแล้วมันก็แสดงออกมาเมื่อมันมีโอกาส จนบางครั้งข้าวฟ่างก็อยากกินอีกจนเกิดทุกข์

เรื่องของการเกิดทุกข์ หรือเหตุเกิดทุกข์ เราอาจจะใช้ปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น และเป็นระบบขึ้น

ปฏิจฺจ แปลว่า อาศัย, สํ แปลว่า พร้อม ร่วมกัน, อุปฺปาท แปลว่า เกิดขึ้น รวมกันแปลว่า อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นพร้อมกัน

ข้าวฟ่างตักข้าวฟ่างต้มราดด้วยน้ำกะทิเข้าปาก ในปากมันก็มีลิ้น เมื่อข้าวฟ่างที่มีรสกลมกล่อมเข้าไปกระทบกับลิ้น ตัวข้าวฟ่างก็อร่อย ปรากฏการณ์ตอนข้าวฟ่างกระทบลิ้นแล้วตัวข้าวฟ่างอร่อยนี้เราเรียกว่า ผัสสะ

คำว่าผัสสะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทบกันของอายตนะคู่ใดคู่หนึ่งใน 6 คู่ เราเรียกว่าผัสสะทั้งหมด

คราวก่อนเราเคยพูดกันว่า เมื่อตากระทบรูปเกิดจักขุวิญญาณ....ตากระทบรูปเกิดจักขุวิญญาณ ตากระทบรูปเกิดจักขุวิญญาณ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าผัสสะ มันเป็นเรื่องของตากับรูป

คราวนี้มันเป็นเรื่องของลิ้น เราเลยต้องท่องใหม่เป็น ลิ้นกระทบรส เกิดชิวหาวิญญาณ ...ลิ้นกระทบรส เกิดชิวหาวิญญาณ .....ลิ้นกระทบรส เกิดชิวหาวิญญาณ.. ลิ้นเป็นอายตนะภายใน รสเป็นอายตนะภายนอก เมื่อกระทบกันเกิด ชิวหาวิญญาณ ชิวหาก็คือลิ้น รสก็คือรส วิญญาณก็คือรับรู้ รวมกันแปลว่า ลิ้นรับรู้รส

พอประจวบกันทั้งสามอันนี้ เราเรียกว่าผัสสะ เมื่อผัสสะมันก็ต้องเกิดเวทนาตามสายของปฏิจจสมุปบาท เวทนาตัวนี้ก็คือ ชอบกิน พอเวทนาแล้วก็เกิดตัณหาตามมา

ตัณหาคือความอยากที่เป็นไปตามอำนาจของเวทนา เมื่อข้าวฟ่างชอบกินข้าวฟ่าง เวทนามันก็ต้องเป็นแบบชอบ ตัณหามันก็เป็นความอยากแบบชอบตามไปด้วย แล้วมันก็เป็นธรรมดาตามธรรมชาติที่จะเกิดอุปาทาน คือไปยึดมั่นถือมั่นเอาว่าอยากแบบชอบ

เมื่อมีอุปาทานแล้ว คือไปยึดมั่นถือมันแล้ว มันก็ต้องมีอะไรซักกะอย่างละ ที่ไปยึดมั่น ถือมั่นมัน ปัญหาคือ อะไรล่ะที่ไปยึดมั่นถือมั่นมัน

ท่านอาจารย์พุทธทาส อินฺทปญฺโญ แห่งสวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านบอกว่า

“ตัวกูผู้อยากนี่แหละ ที่ไปยึดมั่น ถือมั่นมัน แล้วก็อยากเอามาเป็นของกูต่อ กลายเป็นยึดถือเป็นตัวตนไป จากตัณหามาเป็นอุปทานมันเป็นอย่างนี้” ท่านเทศน์ไว้อย่างเงี๊ยะ

เมื่อเกิดอุปาทานแล้วมันก็เกิดภพ คือความมีแห่งบุคคลนั้นก่อรูปขึ้นมา แล้วมันก็มีความรู้สึกเป็นชาติ เป็นบุคคลนั้นในความรู้สึก เป็นตัวกู เป็นของกู เต็มความหมาย

พอมีชาติเป็นตัวกูของกูแล้ว ก็เอาอะไรทุกๆอย่าง มาเป็นตัวกู มาเป็นของกู แล้วก็จบลงด้วยความทุกข์

นั่นหมายถึงเกิดปฏิจจสมุปบาทเต็มรอบแล้ว อาจารย์พุทธทาสท่านยังเทศน์ต่อไปอีกด้วยว่า

“ถ้าเรากินอาหารอร่อยเมื่อไร นั่นหมายถึง ปฏิจจสมุปบาทเต็มรอบแล้ว”

ถ้าไม่มีกินเราก็จะเกิดทุกข์ ต้องขวนขวายหามากินให้ได้ ดีไม่ดีต้องไปขโมยเขา หรือเราอาจจะหาวิธีอะไรก็ได้ เพื่อที่จะได้กิน เพราะกินแล้วอร่อยดี

คำว่าอร่อยนี่ก็แปลก อร่อยจากคำข้าวกับอร่อยจากคำเคี้ยว ก็ไม่เหมือนกัน แยกคำว่าอร่อยให้ย่อยลงไปอีกก็ใช่ว่า คำว่าอร่อยจะเหมือนกัน

อร่อยจากคำข้าวแรก หรือคำข้าวฟ่างแรก ข้าวฟ่างรู้สึกถึงรสหอมมันมากกว่ารสหวาน รสหอมมันคือกะทิที่คั้นจากมะพร้าวสดๆ ที่ลอยอยู่เหนือข้าวฟ่างต้มที่ใส่น้ำตาลเล็กน้อย

ในคำข้าวแรก ถ้าเราเคี้ยวหลายครั้ง ความอร่อยมันก็มีความแตกต่างกันออกไป ถ้าเราเคี้ยว 10 ครั้ง ความอร่อยมันก็จะมีความแตกต่างกันทั้ง 10 ครั้ง แต่ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างไร ก็จะหนีไม่พ้นความรู้สึก 3 อย่างนี้ คือ อร่อย หรือไม่อร่อย หรือไม่อาจบอกได้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย คือว่ามันอร่อยก็ไม่ใช่ ไม่อร่อยก็ไม่เชิง อย่างนี้ศัพท์เฉพาะทางของพระท่านเรียกว่า เวทนา

ตัดตอนมาส่วนหนึ่งจากสายของปฏิจจสมุปบาท ที่ท่านแสดงไว้ว่า

............เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมี ภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ
....แล้วต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงทุกข์

เราจะเริ่มต้นพิจารณากันที่นามรูปเป็นเหตุ สฬายตนะเป็นผล ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องของเหตุและผล เมื่อมีเหตุ ผลจึงเกิด มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้

นามรูปก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ที่มันรวมๆ กันมาเป็นตัวข้าวฟ่างนี่แหละ ภาษาพระเขาสมมติชื่อว่านามรูป ภาษาที่บ้านหรือภาษาที่โรงเรียนเขาสมมติชื่อว่าข้าวฟ่าง หรือชื่อพิสมัยอะไรพวกเนี๊ยะ

ส่วนสฬายตนะ มันก็เป็นธาตุอีกนั่นแหละ แต่ธรรมชาติเอาธาตุ 6 ธาตุที่กล่าวมานี้ไปผสมกันในส่วนผสมแบบที่หนึ่ง เรียกว่าตา แล้วเอา 6 ธาตุที่ว่านี้ไปผสมในสัดส่วนแบบที่สองเรียกว่า หู ส่วนผสมแบบที่สาม เรียกว่าจมูก ส่วนผสมส่วนแบบที่สี่ เรียกว่าลิ้น ส่วนผสมแบบที่ห้า เรียกว่ากาย แล้วก็ส่วนผสมแบบที่หก เรียกว่าใจ

แล้วเราก็เอาทั้งหกตัวนี้ มาสมมติชื่อใหม่เรียกเป็นอายตนะภายในทั้งหกในตัว ข้าวฟ่าง หรือเรียกว่าอินทรีย์ทั้งหก ก็ได้

ส่วนภายนอกตัวของข้าวฟ่างมันก็มีหกอย่างอีกเหมือนกัน คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สมมติชื่อพวกนี้เป็นอายตนะภายนอก แล้วถ้ารวมๆ กับพวกอายตนะภายในทั้งหกแล้ว รวมเรียกพวกนี้ทั้งหมดว่า สฬายตนะ

เมื่อข้าวฟ่างตักข้าวฟ่างไปกระทบกับลิ้น มันก็เกิดชิวหาวิญญาณ (คือการรับรู้ทางลิ้น) ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ผัสสะ ซึ่งผัสสะตัวนี้ เป็นตัวเดียวกันกับผัสสะที่สายของ ปฏิจจสมุปบาทแสดงไว้ว่า เพราะมี สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เมื่อมีผัสสะแล้ว มันก็ต้องเกิดเวทนาตามสายปฏิจจสมุปบาท ดังที่กล่าวไว้ว่า เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เวทนาที่ว่านี้ เป็นความรู้สึกพอใจ มันอร่อยเพราะออกรสเค็มๆ มันๆ และในรสเค็มๆ มันๆ ของคำข้าวฟ่างคำนี้แหละ ถ้าเราเคี้ยวต่อ ความรู้สึกมันก็จะเปลี่ยนไป ความเค็มความมันของมันลดลงแล้ว

แม้มันลดลง แต่มันก็ยังอร่อย แม้อร่อยลดลง แต่เราก็ยังมีความพอใจในรสของมัน

ถ้าเราเคี้ยวครั้งที่สาม สี่ ห้า ไปเรื่อยๆ ความพอใจในรสอร่อยก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆอีก จนกระทั่งเราเฉยๆ เพราะมันไปผสมกับน้ำลายจนจืดไปแล้ว

ในช่วงที่เราเคี้ยวในคำข้าวแรกนี้ มันก็จะเกิดเวทนา ทั้งชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ หลายครั้ง ชอบก็พอใจ ไม่ชอบก็ไม่พอใจ ปฏิจฺจสมุปบาท เกิด...ดับ...เกิด...ดับ หลายครั้ง ในคำข้าวที่ข้าวฟ่างตักข้าวฟ่างเข้าปาก เคี้ยวไป 10 ครั้ง ปฏิจฺจสมุปบาทก็เกิดขึ้น 10 ครั้ง เพราะในแต่ละครั้ง รสมันไม่เหมือนกันเลย เราพอใจไม่เท่ากันสักครั้ง

มันไม่อร่อยแล้วนี่ ข้าวฟ่างเลยกลืนมันลงไปในท้องซะเลย หมดไปแล้วคำข้าวแรก ข้าวฟ่างก็เริ่มต่อ ตักข้าวฟ่างในคำที่สองใส่ปากใหม่

เหมือนเดิม เคี้ยวครั้งแรกมันก็เค็มๆ มันๆ ดี ผลก็คือมีความพอใจ ปฏิจฺจสมุปบาท ครบรอบอีกครั้ง พอเคี้ยวลงไปอีก มันก็เกิดรสที่เปลี่ยนแปลงไปอีก เราก็อร่อยในรสที่แตกต่างกันออกไปเรื่อยๆ ปฎิจฺจสมุปบาทครบรอบไปเรื่อยๆ ตามเวทนาในแต่ละคำข้าวและคำเคี้ยว

พอเกิดเวทนา ถ้าเราจัดการกับมันไม่ดี มันก็จะเข้าไปกองอยู่ในเวทนาขันธ์ พูดง่ายๆคือชอบหรือไม่ชอบมันเข้าไปกองอยู่ในร่างกายของเรา(ขันธ์แปลว่ากลุ่มแปลว่าก้อน แปลว่ากอง)

เวทนาขันธ์มันก็มีเวทนาแบบชอบหรืออร่อย คือสุขเวทนา แบบไม่ชอบหรือไม่อร่อย คือทุกขเวทนา แบบไม่อาจเรียกได้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย คือ อทุกขมสุขเวทนา ข้าวฟ่างชอบกินข้าวฟ่าง เวทนาขันธ์ มันก็ปรุงใหญ่ แล้วสัญญามันก็ไปหมายมั่นความชอบความอร่อยนี้ไว้ เก็บสะสมแล้วก็กองไว้ในร่างกาย เหมือนไขมันมันเข้าไปกองสะสมในตัวข้าวฟ่างอย่างนั้นแหละ

ขันธ์ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ 5 กลุ่ม คือรูป (Form) หมายถึงส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรม เวทนา (Feeling) คือความชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ สัญญา (Perception) คือจำได้หมายรู้ ข้าวฟ่างที่มันมีความอร่อยแบบนี้ ข้าวฟ่างจำมันได้ สังขาร (Conception) คือความคิดปรุงแต่ง อยากกินอีก วิญญาณ (Consciousness) คือการรับรู้ช่วงตอนผัสสะ

เมื่อความอร่อยมันเข้าไปกองอยู่ในเวทนาขันธ์แล้ว สัญญาขันธ์มันก็ทำงานต่อ มันเนื่องกัน เพราะมันอยู่ในร่างกายข้าวฟ่างนี่เอง สัญญาขันธ์ก็คือความจำได้หมายรู้

ข้าวฟ่างเคยกินข้าวฟ่างมาก่อน ข้าวฟ่างก็เอาความจำ หรือสัญญาในช่วงที่ชอบกินข้าวฟ่างมาตั้งแต่ตอนเด็กที่มันกองเก็บไว้ในร่างกาย ที่มันนองเนื่องอยู่ในใจ ว่าพอใจ วันดีคืนดีมีอะไรมากระตุ้นให้เรานึกถึงมัน เราก็เก็บมาคิดปรุงแต่ง (สังขาร) ว่าอยากกินอีก ...อยากกินอีก...อยากกินข้าวฟ่างอีก

เพราะกินแล้วอร่อยดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2025, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 44

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อานาปานสติ



“คราวก่อน เราเล่าให้ข้าวฟ่างฟังแล้วว่าทำไมข้าวฟ่างจึงกินข้าวฟ่างแล้วอร่อย ก็เลยได้รับคำตอบว่า เหตุที่ข้าวฟ่างกินข้าวฟ่างแล้วอร่อยก็เพราะข้าวฟ่างขาดสติ”

พิสมัยเริ่มวิสัชนาต่อ

โดยปกติแล้ว สิ่งของที่ขาดหายไป บางสิ่งบางอย่างเราอาจจะหาใหม่เพิ่มเติมได้ สติก็เหมือนกัน เมื่อขาดหายไปบ้าง เราก็อาจหาใหม่เพิ่มเติมได้เช่นกัน วิธีการหาใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ การฝึกสติ

การฝึกสติก็มีหลายแบบหลายวิธี อย่างที่เราคุ้นๆกันก็เช่น วิธีบริกรรมพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ วิธีพองหนอยุบหนอ หายใจเข้าพองที่ท้อง หายใจออกยุบที่ท้อง วิธีสัมมาอรหัง เพ่งลูกแก้วหรือองค์พระที่ศูนย์กลางกายเหนือสะดือ วิธีอานาปานสติ คือการดูลม หรือสังเกตลมที่ผ่านปลายจมูกก็ได้ หรือดูลมยาวๆ ตามลมไปก็ได้ บางทีดูไปดูมา ดูตามลมจนเหนื่อย เราก็เลยดูมันที่จุด...จุดเดียว คือที่ปลายจมูกอย่างนี้ก็ได้

ท่านว่า เหมือนเราไกวเปลเด็ก ตอนแรกเรากลัวเด็กจะตกจากเปล เราก็เลยต้องดูเด็กในเปลที่แกว่งไปไกวมาซ้ายทีขวาที แต่พอดูไปดูมา หันไปหันมาจนเมื่อยคอแล้ว เห็นว่าเด็กไม่ตกจากแปลแน่แล้ว เรารู้จังหวะมันแล้ว เราก็อาจจะดูมันที่จุดกลางเปลหรือจุดใดจุดหนึ่ง จุดเดียวก็ได้ เพราะเราดูจนรู้แน่แก่ใจแล้วว่า เด็กไม่ตกแน่ เลยดูมันอยู่ที่จุดๆ เดียวก็พอ

เวลาดูลมของอานาปานสติที่จุดๆ เดียวนี้บางทีเขาก็ดูที่ปลายจมูก เพราะเป็นทางผ่านของลมหายใจจากนอกร่างกายเข้าสู่ในร่างกาย ท่านบอกว่ามันเป็นต้นลม

ต้นลมมันก็ที่ปลายจมูก กลางลมมันก็ที่หน้าอก ปลายลมมันก็ที่ท้อง ท่านบอกว่าอย่างนั้น แต่ถ้าพูดแบบนี้เดี๋ยวคนฝึกยุบหนอพองหนอจะต่อว่าเอา แล้วเลิกอ่านเลย เพราะยุบหนอพองหนอเขาดูที่ท้อง ท้องมันก็ปลายลม

ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตพูดใหม่เอาใจคนฝึกแบบพองยุบก็ได้ว่า ท้องมันก็เป็นต้นลมเหมือนกัน เพราะตอนเราหายใจออก ท้องมันก็เป็นต้นลม ลมออกทิ้งที่ปลายจมูก ปลายจมูกมันก็เป็นปลายลม

ความจริงต้นลม กลางลม ปลายลมมันก็ลมเส้นเดียวกัน วิธีไหนก็ได้ ฝึกให้ได้ที่แล้วมันก็จะเหลือจิตอยู่ตัวเดียว หรือจะสมมติชื่อให้เป็นอะไรก็ได้ ตัวรู้ก็ได้ ตัวรู้ตัวเดียวลอยอยู่ภายในร่างกายของเรา อย่างนี้ก็ได้

มันก็เหมือนกันกับตอนที่เราหิวอยากจะกินอาหาร เราจะใช้ตะเกียบกินก็ได้ ช้อนกินก็ได้ อิ่มเหมือนกัน อิ่มแล้วก็เอาเวลาที่เหลือไปทำการงานอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อ คงไม่มีใครมาเถียงกันว่า ใช้ช้อนกินอิ่มดีกว่าใช้ตะเกียบกิน หรือใช้ตะเกียบกินอิ่มดีกว่าใช้ช้อนกิน

วิธีการฝึกจิตให้เหลือตัวจิตดวงเดียวหรือจิตที่มีสมาธินี่ก็เหมือนกัน ป่วยการที่จะเถียงกันว่าวิธีไหนดีกว่ากัน พอฝึกได้วิธีใดวิธีหนึ่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว วิธีอื่นเราแอบไปทำแป๊บเดียวก็ได้แล้ว เหมือนเราฝึกกินช้อนเป็นได้ไม่นาน เราก็จะสามารถกินตะเกียบเป็นเหมือนกัน

เป็นอันว่าเราจะทดลองฝึกวิธีกินช้อนกันก่อนก็แล้วกัน สมมติว่าวิธีกินช้อนเป็นวิธีอานาปานสติ เพราะฉะนั้นเราก็เลยจะเล่าให้ข้าวฟ่างฟังถึงวิธีฝึกสติแบบที่เรียกว่า อานาปานสติกันก่อนก็แล้วกัน

อานะ แปลว่า หายใจเข้า
อปานะ แปลว่า หายใจไม่เข้า อะ แปลว่าไม่ อปานะ แปลว่าหายใจไม่เข้า ซึ่งก็คือ หายใจออก

ดังนั้น อานาปานะ ก็คือ การหายใจเข้าและการหายใจออก บวกกับคำว่าสติ เลยกลายมาเป็นอานาปานสติ แปลว่า สติกำหนดลงไปที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก นี่เป็นการแปลคัมภีร์ตามแบบฝ่ายพระสูตร

แต่ถ้าตามแบบคัมภีร์ของฝ่ายพระวินัย เขาแปลคำว่า อานะก็คือออก และ อปานะก็คือเข้า ดังนั้น อานาปานสติ ก็คือสติกำหนดลงไปที่ลมหายใจออกลมหายใจเข้า

เราก็เดาต่อไปตามความคิดเห็นของเราเลยว่า เพราะเด็กเกิดมาจะร้องไห้จ๊ากก่อนเลย แสดงว่าหายใจออกก่อน ขืนหายใจเข้าก่อน เด็กก็คงหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอดเป็นโรคปอดบวมแน่ อีกอย่างหนึ่ง เด็กก็คงต้องสั่งอะไรที่มันยังคั่งค้างอยู่ในรูจมูกออกมาก่อนกระมัง แล้วจึงหายใจเข้า

แปลกนิ เด็กเกิดมาพร้อมเสียงร้องไห้เลย แสดงว่าเศร้าใจที่ต้องเกิดมา เพราะเกิดมางวดนี้มีความทุกข์รออยู่เบื้องหน้าจมเลย แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ที่เป็นกองเชียร์กลับชอบใจ หัวเราะกันใหญ่ คงดีใจมั้ง ที่มีเพื่อนมาร่วมแบกทุกข์อีกคนหนึ่ง ถ้าเด็กไม่ร้องไห้ผู้ใหญ่ก็ต้องรีบตีเด็กใหญ่ เพื่อให้เด็กร้องไห้ ถ้าเด็กไม่ยอมร้องไห้จริงๆ เพราะขี้เกียจเกิดมาแบกทุกข์ ผู้ใหญ่ก็เลยต้องร้องห่มร้องไห้แทน เพราะเสียใจที่เด็กได้ตายไปแล้ว

โลกนี้มักจะมีอะไรแปลกๆ เสมอ ร้องไห้ท่ามกลางเสียงหัวเราะ หัวเราะท่ามกลางเสียงร้องไห้ โลกมันจึง ชุลมุนชุลเก ยุ่งเหมือนยุงตีกันอยู่แบบนี้ ว่าแล้วเราก็กลับมาเข้าเรื่อง การกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ของเรากันต่อดีกว่า

“เราจะกำหนดลมหายใจเข้าก่อนหรือกำหนดลมหายใจออกก่อน ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน แต่ในช่วงที่เริ่มฝึก เพื่อความสะดวกที่จะได้ทำไปพร้อมๆ กันอย่างมีระบบระเบียบ เราอาจทำแบบง่ายๆ ตามแบบที่ครูบาอาจารย์หลายท่านแนะนำกันต่อๆ มา นั่นก็คือการหายใจเข้าก่อนแล้วจึงหายใจออกก็แล้วกัน ง่ายดี”

พิสมัยแนะนำ

เอาเลย ฝึกเลย ฝึกเลย ฝึกเดี๋ยวนี้เลย เอาที่ปัจจุบันนี้เลย ธรรมะเป็นเรื่องของปัจจุบัน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ทันทีเลย เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์

แล้วปกติเราก็ต้องหายใจอยู่แล้ว ไม่ต้องหาอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติมอีก ฝึกกันได้แบบง่ายๆ ทุกคนเลย

ผู้หญิงก็ฝึกได้ ผู้ชายก็ฝึกดี ใครว่าผู้หญิงฝึกได้ไม่ดีเท่าผู้ชาย อย่าไปเชื่อ ใครๆ ก็ฝึกได้ดีหมด เหมือนกันทุกคน

ไม่ว่าเป็นคนผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ทุกสีผิวฝึกได้หมด ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนๆ ลัทธิใดๆ ก็ฝึกได้หมดเหมือนกัน เพราะทุกคนต้องหายใจอยู่แล้ว

เอาละ เราจะจัดการพิสูจน์เดี๋ยวนี้เลย เอาให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย

ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเราจนถึงเดี๋ยวนี้ เราได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นมา ก็มากแล้ว เราจะมาลองทำประโยชน์ให้กับตัวเองบ้าง ซักห้านาทีสิบนาที จะเป็นไรไป แป๊บเดียวเท่านั้นเอง

“แป๊บเดียวที่ว่านี้ บางทีเราอาจจะได้รับประโยชน์คุ้มค่าเกินกว่าที่เราคิดก็ได้ มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตแบบเดิมๆ ของเรา ให้เป็นชีวิตใหม่ที่จ๊าบกว่าเดิมก็ได้ ถ้าเราทำถูกต้อง ถ้าเราหายใจถูกต้อง แล้วก็หายใจถูกวิธี” พิสมัยพยายามโน้มน้าว

“ลองหายใจเข้าดูซิ หายใจเข้า...ก็สบายยยย....ลองใหม่ ลองใหม่..”

หายใจเข้า ก็สบายยยยย.....นึกเอาไว้ก่อนว่าสบาย....นึกเอาไว้ก่อนว่าสบาย....

หายใจออก ก็สบายยยยย....นึกเอาไว้ก่อนว่าสบาย....นึกเอาไว้ก่อนว่าสบาย....

“หายใจเข้าทำไมมันถึงสบาย”

ก็เพราะเราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปในร่างกาย มันก็เลยสบาย.....

ในร่างกายเรามีออกซิเจนเป็นตัวขับเคลื่อน เราได้รับออกซิเจนมากๆ มันดีอยู่แล้ว เพราะออกซิเจนมันเป็นปราณที่ทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เราไม่ต้องไปสูดออกซิเจนหรือสูดอากาศถึงชายทะเลหรือในป่าเขา นั่งอยู่ตรงเนี๊ยะ ถ้าหายใจถูกวิธี มันก็เป็นการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ได้ปริมาณออกซิเจนเหมือนในป่าในเขาหรือชายทะเลเลย มันก็เลยสบายยย...

“หายใจออกก็สบาย ทำไมมันจึงสบาย”

ก็เพราะเราหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นของเสียในร่างกายออกไป มันก็สบาย..

“หายใจเข้า มันก็เลย...สบาย....หายใจออก... มันก็เลย.....สบาย....”

“หายใจเข้า...... สบายยยย.................หายใจออก..... สบายยยย...”

เอาละ เราจะเริ่มฝึกแล้วนะ ตั้งใจดี..ดี...แล้วมันจะได้สิ่งดี..ดี..กลับมาเอง แต่เราก็ไม่ต้องไปหวัง ไม่ต้องไปอยากว่ามันว่าจะดี ทำดีแล้วมันก็จะ ดี...ดี...ดี...ในขณะทำนี่แหละ

เคล็ดลับข้อแรกคือ อย่าได้ไปหวัง อย่าได้ไปอยากว่าจะได้ดี แต่ถ้าเราทำถูกต้องมันก็จะดีเอง อยากมันเป็นกิเลส ถ้าเราไปอยากมันเมื่อไรเราจะปฏิบัติให้ถึงจุดหมายได้ช้ามาก นี่คือเคล็ดลับที่นักปฏิบัติทุกคนรู้แจ้งอยู่แก่ใจ แต่ตอนปฏิบัติ คือตอนทำ เราก็ต้องทำให้ดี..ดี..

ตอนเป็นนักเรียน ถ้าเราทุ่มเวลาให้กับการอ่านหนังสือให้ดี..ดี มันก็เข้าใจ พอไปสอบก็จะได้คะแนนดี..ดี ไปเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปหวังไม่ต้องไปอยาก ว่าจะได้คะแนนดี..ดี มันได้มาเอง สอบเสร็จนอนร้องเพลงรอเกรดดี..ดี ได้เลย

ตอนเราจะเริ่มฝึกสมาธิ เราก็จะต้องตั้งใจฝึกให้ดี..ดี เราจะทุ่มเวลาให้มันสักแป๊บนึงนี่แหละ ทำให้ดีๆ แล้วเราก็จะได้อะไรที่ดีๆ ออกมาเอง เอาใหม่....เอาใหม่

หายใจเข้า สบายยยย.....หายใจออก สบายยยย..

“ได้เรื่องแล้ว ชักจะได้เรื่องแล้ว พร้อมยัง ทำให้เต็มที่นะ ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เอาที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด” พิสมัยกระตุ้น

เอาตอนนั่งอ่านนี่แหละ นั่งตัวตรง..ตรง ยืดตัวตรง..ตรง ดำรงสติให้มั่น........แล้วหายใจเข้าให้ลึกกก.....ลึกกกกกก.......ลองทำดู ลองทำดู เอาเลย.... เอาเลย

“หายใจเข้าให้ลึกกก.........ลึกกกกก.......ให้เต็มปอดเลย......แล้วก็หายใจออกให้.......ยาววว.....ยาวววว......ให้หมดปอดเลย ออกทางจมูกก่อนนะ อย่าออกทางปาก เข้าก็ทางจมูก แล้วก็ออกก็ทางจมูก เข้าให้ลึกๆ นี่ใช้เวลาเท่าไรก็ได้ ยิ่งนานยิ่งดี ออกให้ยาวๆ ก็เหมือนกัน นานเท่าไรก็ได้แต่ยิ่งนานก็ยิ่งดี ทำใหม่ ทำใหม่”

หายใจเข้าให้ ลึกกก....ลึกกกก........หายใจออกให้..ยาววว.....ยาวววว........

หายใจเข้าให้ ลึกกก....ลึกกกก........หายใจออกให้..ยาววว.....ยาวววว........

“เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ...เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงมั๊ย.....”

ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย......

“อ้าว แล้วกัน...ความจริงเราว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ...แต่ข้าวฟ่างไม่รู้เอง..”

พิสมัยบอก...

“คือตอนที่เราหายใจเข้า เรารับรู้ว่าเราหายใจเข้า ตอนที่เราหายใจออกเราก็รับรู้ว่าเราหายใจออก”

ปกติเราจะรู้ว่าคนที่มีชีวิต ต้องหายใจ มันเป็นปราณ มันเป็นลมปราณที่มีออกซิเจนอยู่ มันทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างที่ได้เล่าไปแล้ว

“แต่เรา..ไม่รู้สึกว่าเราหายใจ..ใช่หรือไม่...”

เรารู้ว่าคนเราต้องหายใจ........แต่เราไม่รู้สึกว่าเรากำลังหายใจในช่วงเวลาปกติ

เอ..แปลกดีนะ..พูดไง..งง..งง..

เอาใหม่ หายใจเข้าใหม่....ทำเลย...ทำเลย..

หายใจเข้าให้ ลึกกก....ลึกกกก........หายใจออกให้..ยาววว.....ยาวววว........

หายใจเข้าให้ ลึกกก....ลึกกกก........หายใจออกให้..ยาววว.....ยาวววว........

ฮั่นแน่...เริ่มรู้สึกตอนเราหายใจเข้า หายใจออกแล้ว

แล้วไง....รู้ก็รู้ซิ.....

แต่เมื่อกี๊ก่อนที่เราจะพูดคุยกันนั้น เราไม่รู้สึกเลยว่าเรากำลังหายใจ แสดงว่าตอนนี้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่งแล้ว ใช่ป๊ะ

เรารู้ว่าเรามีการหายใจ เพราะเรารับรู้ได้จาก....ลมหายใจ.....ของเราเอง

การหายใจ กับลมหายใจมันคนละตัวกัน การหายใจเป็นกริยา เป็น Verb เป็นกริยาอาการ แต่ ลมหายใจ เป็น Noun หรือเป็นนาม ที่เราจับต้องได้ด้วยประสาทสัมผัสที่มันมาสัมผัสกับรูจมูกของเรา การหายใจทำให้เกิดลมหายใจ

ตัวลมหายใจนี่มันเป็นโผฏฐัพพะ คือสิ่งที่มากระทบผิวหนัง มันก็เป็นอายตนะภายนอก ตามที่เคยกล่าวมาแล้วในบทก่อน

อายตนะภายนอกก็มี 6 สิ่ง สิ่งที่มันมาสัมผัสทางกายเราเรียกมันว่าโผฏฐัพพะ ส่วนกายหรือในที่นี้ก็คือผิวหนังมันเป็นอายตนะภายใน โผฏฐัพพะเป็นอายตนะภายนอก สำหรับ 5 คู่ที่เหลือก็คือ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส และใจกับธรรมารมณ์

อายตนะภายนอกพวกนี้ ถ้าเรานั่งสมาธิแล้วเพ่งมัน มันก็จะกลายมาเป็นอารมณ์ (Object) ที่ถูกเราเพ่ง หรือพูดให้ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าเราเพ่ง (Meditate) ที่ลมหายใจมันก็จะเป็นการนั่งสมาธิโดยมีลมหายใจเป็นอารมณ์

ทำไมจึงต้องมีลมหายใจเป็นอารมณ์ ก็เพราะลมหายใจตัวนี้สติของเราไปกำหนดไว้ ตามความหมายของวิธีการฝึกอานาปานสติที่ว่า เอาสติไปกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก

เมื่อเราเอาสติไปกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ สติมันก็ไม่หนีไปไหน มันก็อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมหายใจมันก็เลยเป็นสิ่งที่ยึดหน่วงสติไว้

คำว่า สิ่งที่ยึดหน่วง เราอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ก็ได้ เพราะในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานปี 2542 ให้ความหมายของคำว่าอารมณ์ไว้ว่า อารมณ์เป็นนาม แปลว่าสิ่งที่ยึดหน่วงจิตโดยผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น รูปเป็นอารมณ์ของตา โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์ของกาย เป็นต้น

เราจะต้องยึดหน่วงอะไรไว้สักอย่างหนึ่งเวลานั่งสมาธิ เพราะถ้าเราไม่ยึดหน่วงอะไรไว้เลยมันก็จะลอยไปลอยมา กลายเป็นนั่งใจลอยไม่ใช่การนั่งสมาธิเป็นแน่

ตัวที่เราจะยึดหน่วงเอาไว้ได้ดีที่สุดก็คือลมหายใจของเรานี่แหละ เพราะมันเป็นวัตถุ หรือเป็น Object ที่มันวิ่งเข้ามาชนโครม...โครมเข้ากับรูจมูกของเราอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ตอนเราสูดลมหายใจเข้า สูดลมหายใจออก ขณะที่เรานั่งสมาธินี่แหละ

เห็นไหม เมื่อก่อนเราไม่รู้จักกับ...ลมหายใจ....แต่ตอนนี้เรารู้จักกับ...ลมหายใจ...ของเราแล้ว....โดยที่เราเพ่งที่ตัวลมหายใจ แล้วถ้าเราทำติดต่อกันไปเรื่อยเรื่อย..แบบกัดติดไม่ปล่อย...จนเรารู้จักกับลมหายใจของเรานาน...นานแล้ว ได้เรื่องเลย เราจะรู้จักกับสติ

แล้วถ้าเราทำต่อไปเรื่อยเรื่อย...เราก็จะรู้จักกับจิต...แต่ตอนนี้ช่างมันก่อน.......เอาเป็นว่าตอนนี้เรารู้จักแต่เพียง..ลมหายใจ...แค่นี้ก็เจ๋ง สุด สุด แล้ว

อ้าว...เฟ้ย..เฟ้ย......ลมหายใจของข้าวฟ่างหายไปไหนแล้วเนี๊ยะ.........พิสมัยหลอกให้ข้าวฟ่างอ่านเพลินไปหน่อย ลมหายใจมันเลยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

หายใจเข้าให้ ลึกกก....ลึกกกก........หายใจออกให้..ยาววว.....ยาวววว........

หายใจเข้าให้ ลึกกก....ลึกกกก........หายใจออกให้..ยาววว.....ยาวววว........

อ๋อ อ๋อ ...ยังอยู่...อิ..อิ.. เผลอแป๊บเดียว ไม่รู้ว่าลมหายใจหายไปไหนซะแล้ว

ลมหายใจนี่ก็ช่างกระไรเลย ชอบหนีข้าวฟ่างไปเที่ยวอยู่เรื่อยเลย....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2025, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 44

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเหมือนวัวป่า



คราวที่แล้วเราได้คุยให้ข้าวฟ่างฟังถึงเรื่อง การหายใจกับลมหายใจ แล้วก็ให้ข้าวฟ่างทำความรู้จักกับลมหายใจ จนเราคุ้นเคยกันกับลมหายใจเป็นอย่างดีแล้ว

คราวนี้เราน่าจะมาทำความรู้จักกับจิตกันบ้างก็ถ้าจะดี วิธีที่จะทำความรู้จักกับจิต และเข้าถึงจิตแบบง่ายๆ ก็คงจะต้องใช้วิธีสื่อผ่านนิทานเซ็นที่มีชื่อเรื่องว่า จิตเหมือนวัวป่า

วัวป่าที่ว่านี้ ชื่อมันก็สื่อความหมายในตัวอยู่แล้วว่า เป็นวัวที่เกิดในป่าอันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมัน คราวนี้เมื่อมันเกิดมาแล้ว มันก็วิ่งกันไปวิ่งกันมา อยู่ในป่าเขาตามธรรมชาติของมัน กิจกรรมหลักของมันหลังจากกินเสร็จมันก็ถ่ายของเสียออกมา แล้วก็กินต่อ ถ่ายของเสียต่อ แล้วก็วิ่งต่อไปในสถานที่ต่างๆ ในป่าเขานั่นแหละ ตัวมันไม่ค่อยได้ทำประโยชน์อะไรมากนัก เป็นเรื่องของการเตร็ดเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวหากินไปตามเรื่องตามราวของมันมากกว่า ว่าโดยสรุปก็คือวันๆ มันก็วิ่งวกไปวนมาอยู่ในป่าตามวิถีชีวิตประจำวันของมัน จนกระทั่งมันตายไป

จิตของเราก็เหมือนกัน คิดโน่นคิดนี่ แว็ปไปวนมา ทั้งเรื่องโน้นทั้งเรื่องนี้ คิดได้คิดดี คิดวนไปเวียนมาทั้งวัน จนมึนไปหมด บางเรื่องที่คิดไปนั้นก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรมากนัก ครั้นพอเรามีความจำเป็น จะให้มันคิดแบบเป็นเรื่องเป็นราวก็คิดไม่ได้ เพราะมันหมดพลังไปกับความคิดที่ฟุ้งซ่าน ที่เราไม่อยากจะคิดเหล่านี้ไปเสียแล้ว

แม้ขณะนี้ก็เถิด กำลังอ่านเรื่องจิตกับวัวป่าอยู่ดีๆ อ้าว ความคิดแว็บไปถึงไหนแล้ว กลับมาเร๊ว กลับมาเร็ว จิตจ๋าจิต มาอยู่ที่เรื่องวัวป่านะ

เจ้าวัวป่าที่ว่านี้ความจริงมันก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เอาเสียเลยทีเดียว ถ้าเรารู้จักใช้มัน ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีคนฉลาดอยู่คนหนึ่งคิดว่า เอ นี่ถ้าเราไปไล่จับเอาวัวป่าที่มันมีแรงมากมายก่ายกองเหล่านี้มาใช้งานได้ มันก็น่าจะดีนะ เอามาฝึกทำไร่ไถนาลากเกวียนให้เราก็ได้ มันก็คงจะทำประโยชน์ให้กับเราแน่ๆ ดีกว่าที่จะปล่อยให้มันวิ่งวกไปเวียนมาอยู่ในป่าเขาตามธรรมชาติของมัน แล้วมันก็ตายไป

แต่เราคงจะต้องจับวัวป่ามาให้ได้เสียก่อน วิธีการจับเราก็คงจะต้องไปหาเชือกมาสักเส้นหนึ่ง แล้วก็เอาเชือกนี่แหละไปคล้องคอวัวป่ามันมาให้ได้ เมื่อคล้องวัวป่ามาได้แล้ว เราก็จะได้ทำการฝึกวิธีทำไร่ไถนาให้มัน แล้วเราก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้ ตัววัวป่ามันก็จะมีมูลค่าประโยชน์ขึ้นมา แล้วก็เป็นกำลังสำคัญในการทำมาหากินของเราสืบต่อไป ดีทั้งตัววัวป่า ดีทั้งตัวเรา ที่ไปจับมันมา

จิตของเราก็เหมือนกัน มันวิ่งไปวิ่งมาคิดโน่นคิดนี่จนเพลียไปหมด ถ้าเราสามารถจับมันไว้ได้ เราก็คงสามารถนำพลังจิตอันมากมายก่ายกองของมันนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

การจับวัวป่าเราก็ใช้มือกับเชือกไปคล้องมันมาไว้เพื่อใช้งาน แล้วการจับจิตเล่า เราใช้อะไรไปคล้องมัน

ความจริงแล้ว วิธีจับจิตมาไว้ใช้งานนั้นมีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายและสะดวกวิธีหนึ่งก็คือวิธีที่เรียกว่า อานาปานสติ คือสติกำหนดลงไปที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก


จิต ................. เหมือน............... วัวป่า
|..............................................|
|..............................................|
ลมหายใจ.....................................เชือก
|..............................................|
|..............................................|
 สติ.........................................มือ 

ลมหายใจนั้น ในบทที่ผ่านมา เรารู้จักกับมันแล้ว เราคุ้นเคยกับมันแล้ว เรารู้ว่ามันอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ถ้าเราหายใจเข้าให้ ลึกกกก...ลึกกกกกก.....หายใจออกให้ ยาวววว...ยาวววว...เราก็จะพบ จะเห็น แล้วก็รู้จักกับลมหายใจของเรา

อ้างย้อนกลับไปถึงคำจำกัดความของอานาปานสติ ที่กล่าวไว้ว่า อานาปานสติ ก็คือสติกำหนดลงไปที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

ลมหายใจเรารู้จักแล้ว แล้วสตินั้นเล่า คืออะไร อยู่ที่ไหน

“เมื่อวานนี้นะ เราเดินออกจากบ้านจะมาขึ้นรถเมล์”

พิสมัยเริ่มเล่า

“พอเดินออกมาได้ซักประมาณ 400 เมตรเห็นจะได้ นึกสงสัยขึ้นมาว่า เอ..ตอนที่เราออกจากบ้านมานี่ เราล็อคกุญแจที่ประตูบ้านหรือยังเนียะ นึกเท่าไรๆ ก็นึกไม่ออก เลยโมโหอยู่ในใจแล้วบ่นกับตัวเองว่า ว้า.. เรานี่ถ้าจะไม่มีสติเอาเสียเลย มันน่าเขกหัวตัวเองนักเชียว”

ว่าแล้วเราก็เดินย้อนกลับไปดูที่ประตูบ้านอีกครั้ง ปรากฏว่ากุญแจถูกล็อคเรียบร้อยแล้ว เราล็อคมันเอง เราทำไปโดยอัตโนมัติอย่างงั้นแหละ จำไม่ได้หรอกว่าเราทำไปแล้ว เออ นี่เราถ้าจะไม่มีสติจริงๆ

วันนี้เราเลยเอาใหม่ เช้าตื่นขึ้นมาเราก็นึกเอาไว้เลยว่า คราวนี้แหละ เราจะไม่ให้ขาดสติแบบเมื่อวานอีกแล้ว พอออกจากบ้านแล้วล็อคกุญแจปุ๊บ เราก็นึกไว้เลยว่า ล็อคแล้ว..ล็อคแล้ว..ล็อคแล้ว...นึกไปเรื่อยๆ ว่าล็อคแล้ว...ล็อคแล้ว...ล็อคแล้ว...นึกไปจนถึงจุดๆ เดิมที่ 400 เมตรเมื่อวานนี้แหละ แล้วเราก็นึกออกเลยว่า อ๋อ เราได้ล็อคกุญแจบ้านเรียบร้อยแล้ว

สบายเรา ไม่ต้องเดินกลับไปดูกุญแจบ้านเหมือนเมื่อวานนี้อีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องโมโหตัวเองว่าขาดสติอีกด้วย

เพราะฉะนั้น สติก็คือตัวนึกนั่นเอง ช่วงเวลาที่เรานึก..นึก..นึก..อยู่ ช่วงเวลานั้นก็คือช่วงเวลาที่เรามี สติ..สติ..สติ..อยู่

ดังนั้น การฝึกอานาปานสติของเราก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่นึกลงไปที่ลมหายใจก็พอ นึก..นึก..นึก..ลงไปที่ลมหายใจเข้า นึก..นึก..นึก..ลงไปที่ลมหายใจออก หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า สติอยู่ที่ลมหายใจเข้า สติอยู่ที่ลมหายใจออกหรือ สติจับอยู่ที่ลมหายใจเข้า สติจับอยู่ที่ลมหายใจออก ก็ได้

แต่ก็ต้องนึกให้มันติดต่อกันให้ตลอดนะ จะไปนึกลงไปที่ลมหายใจมั่ง แล้วไปแอบนึกถึงแฟนมั่ง นึกถึงกิ๊กมั่ง อย่างนี้ไม่ได้ ต้องนึกแต่ลมหายใจอย่างเดียว แล้วเราก็จะจับตัวจิตของเราเอาไว้ได้

ฟังๆ ดูแล้วมันง่าย พอเรานึกไปที่ลมหายใจแล้ว เราก็จะจับตัวจิตได้ แล้วเอาจิตไปใช้งาน แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันคงจะไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะจิตมันเหมือนวัวป่า

วัวป่าเวลาเราเอาเชือกไปคล้องมันจะจับมัน มันยอมให้เราคล้องไหม มันก็ไม่ยอม มันก็ต้องดิ้นต้องพยายามหนีเรา เราก็ต้องจับเชือกไว้ให้แน่นๆ โดยทฤษฎีแล้ว เราไม่ให้เชือกหลุดมือเป็นใช้ได้ เราจะสามารถจับมันได้ แต่ถ้าเชือกมันหลุดมือแล้ววัวป่าก็จะหายไปพร้อมเชือกเลย

จิตของเราก็เหมือนกัน เราจะจับมัน เราก็ต้องนึกลงไปที่ลมหายใจของเรานี่แหละ ลมหายใจมันคล้ายเชือกที่เราคล้องวัวป่า นึกลงไปที่ลมหายใจเหมือนเราเอามือไปจับที่เชือก อย่าให้มันหลุดมือไป นึกให้มันติดกับลมหายใจให้ตลอด แล้วเราจะจับตัวจิตได้

แต่ถ้านึกไม่ติดกับลมหายใจแล้วมันหลุดออกไปตอนวิกฤติแล้วแย่เลย เราจะตามหามันยากมาก เพราะมันตกใจที่มีคนไปจับมัน มันก็เลยวิ่งเตลิดหนีหายไปลิบเลย

มันก็เหมือนกันกับวัวป่าที่ปกติมันก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในป่า เผลอๆ มันอาจจะวิ่งผ่านหน้าเราไป ผ่านหน้าเรามาเป็นปกติ แถมบางครั้งมันอาจจะยืนเอียงคอหยุดดูเราด้วยความสงสัย

แต่วันดีคืนดีเราเอาเชือกไปไล่คล้องคอมันจนมันตกใจแล้วดิ้นใหญ่ ถ้าเราจับมันไม่ได้แล้วมันดิ้นหลุดหนีไปได้ คราวนี้แหละยากมากเลย ถึงแม้เราจะเพียรพยายามหาตัวมันจนพบ แต่การที่จะได้มีโอกาสไปอยู่ใกล้ๆ กับมันเพื่อเอาเชือกไปคล้องคอมันนั้น มันเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเสียนี่กระไร เพราะตอนนี้วัวป่ามันไม่ไว้ใจเราเสียแล้ว

ใช่แล้ว ข้าวฟ่างนึกออกแล้ว ข้าวฟ่างเคยฝึกนั่งสมาธิ นึกลงไปที่ลมหายใจเข้า นึกลงไปที่ลมหายใจออกแบบนี้แหละ นึกไปนึกมานึกจนจิตชักจะสงบ จนเห็นแสงไฟมันสว่างวูบวาบไปหมด แล้วตัวมันก็เลยชักจะเบาขึ้น...เบาขึ้น ตัวมันกำลังจะลอย แล้วลมหายใจมันหายไปไหนก็ไม่รู้ ข้าวฟ่างก็เลยตกใจกลัวตายขึ้นมา รีบลืมตาขึ้นมาทันทีเลย

จนเดี๋ยวนี้ข้าวฟ่างอยากจะให้อาการแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่มันก็ไม่เกิดแล้ว เพราะจิตมันตกใจหนีหายไปแล้ว เหมือนวัวป่าที่มันตกใจหนีหายไปอย่างนั้นแหละ

“ถูกต้อง”

พิสมัยบอก

“ตอนนั้นข้าวฟ่างเอาสติไปนึกอยู่ที่ลมหายใจ แล้วตัวลมหายใจมันก็ไปคล้องตัวจิตได้มาแล้ว เหมือนเราเอามือไปจับเชือกแล้วไล่คล้องวัวป่าเอาไว้ได้แล้ว”

ตอนนั้นวัวป่ามันยังไม่เชื่องมันก็ดิ้น เหมือนจิตดิ้นนี่แหละ จิตดิ้นจนเรานึกรู้สึกกับลมหายใจไม่ชัด เหมือนวัวดิ้นสะบัดเชือกไปสะบัดเชือกมาจนเรามองเห็นเส้นเชือกไม่ชัดอย่างนั้นแหละ ความจริงเชือกมันยังมีอยู่ ลมหายใจมันก็ยังมีอยู่ เหมือนกัน

กรณีเชือกพันกันไปพันกันมา สะบัดไปสะบัดมาอย่างนี้ พรานผู้เชี่ยวชาญในการจับวัวป่าเขาทำอย่างไร

เขาก็ต้องมีวิธีการของเขา เช่น ผ่อนสั้นผ่อนยาวเชือกเส้นนั้น อาจจะผ่อนเชือกให้มันยาวออกไปให้มากๆ จนมันเหนื่อยแล้วดึงสู้กับมัน หรือจับเชือกไว้แน่นๆ หรือวิธีอื่นๆ โดยอาศัยประสบการณ์ของเขา

ในกรณีจับจิตของเราก็เหมือนกัน เราก็ต้องจับลมหายใจ หรือนึกลงไปที่ลมหายใจ จนได้ประสบการณ์จับตัวจิตของเราเอง เช่น การสาวลมหายใจเข้าให้ลึกกก...ลึกกก...ออกให้ยาวว...ยาววววว..หรือคอยผ่อนลมหายใจให้มันสั้นๆ หายใจเข้าให้สั้นๆ หายใจออกให้สั้นๆ เพื่อเป็นการผ่อนสั้นผ่อนยาวให้จิตมันหายพยศ แล้วมันก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปเอง

ถึงตอนนี้เราก็จะจับตัวจิตมาได้ คราวนี้แหละ พอเราจับมันมาได้แล้ว เราก็จะสามารถนำเอามันมาฝึกเพื่อใช้งานได้ เหมือนเราฝึกวัวป่าไว้ใช้งาน ฉันใดก็ฉันนั้น

ที่สำคัญเราจะต้องนึกอยู่ที่ลมหายใจอยู่ตลอดเวลา ถ้านึกหลุดจากลมหายใจแล้ว มันก็เหมือนเราทำเชือกหลุดจากมือตอนวัวป่าดิ้น แล้ววัวป่ามันตกใจวิ่งหนีหายไป

ดังนั้นวิธีที่จะจับจิตเอามาฝึกไว้ เพื่อใช้งาน

“ให้ข้าวฟ่างทำอยู่อย่างเดียว ก็คือนึกไม่ให้หลุดไปจากลมหายใจ”

เอ้า...ทำเลย ทำเลย ลึกให้มากที่สุด ยาวให้มากที่สุด เหมือนสร้างเชือกให้ยาวววว.....ที่สุด เป็นทุนไว้ต่อสู้กับวัวป่า

แล้วเวลาเราต่อสู้กับวัวป่า เราก็จะปล่อยให้วัวป่ามันดึงกองเชือก กองโต..โต ไปเรื่อย..เรื่อย ไม่สุดซักที อย่างงี้ก็ได้ ส่วนเราไม่ต้องออกแรงดึงเชือกสู้กับมันเลย วัวป่าซะอีก มันก็จะเหนื่อย แล้วก็ยอมสยบเรา

หายใจเข้าให้ลึกก...ลึกกกก......หายใจออกให้ยาวว...ยาวววว...

หายใจเข้าให้ลึกก...ลึกกกก......หายใจออกให้ยาวว...ยาวววว...

นึกเข้าไปที่ลมหายใจ...นึกเข้าไปที่ลมหายใจ............... แล้วก็

หายใจเข้าให้ลึกก...ลึกกกก......หายใจออกให้ยาวว...ยาวววว...

หายใจเข้าให้ลึกก...ลึกกกก......หายใจออกให้ยาวว...ยาวววว...

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า.......นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก........

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า.......นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก........

เอ้า..หลับตา..หลับตา...ปิดเปลือกตาให้เบาเบา อย่าให้แน่น....แล้วก็...

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า.......นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก........

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า.......นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก........

อ้าว...ลืมตาแล้วเหรอ...เนียะ...ทำไปหยั่งเงี๊ยะ อีกไม่นานเราก็จะจับตัวจิตได้

เราขออนุโมทนาด้วยนะ......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2025, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 44

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราพบแล้ว






ว๊าว! ข้าวฟ่างพบแล้ว....ข้าวฟ่างชักจะทำได้แล้ว รู้จักกับลมหายใจแล้ว รู้จักกับสติแล้ว ไม่ยากเลย ข้าวฟ่างก็ทำตามที่พิสมัยเล่านี่แหละ แอบไปปลีกวิเวกอยู่ในที่เงียบๆ คนเดียว ปฏิบัติคนเดียว อาทิตย์เดียวรู้เรื่องเลย อ๋อจิตมันอยู่ที่นี่เอง

จิตมันก็อยู่ในเส้น..เส้นเดียวกันกับลมหายใจแล้วก็สติ นั่นแหละ เหมือนกันกับวัวป่า ที่มันอยู่บนเส้นเชือกเส้นเดียวกันกับมือที่เราถือเชือก

“แล้วจิตมันมีรูปร่างลักษณะรายละเอียด เป็นอย่างไร”

นั่นซิ ข้าวฟ่างชักลังเล เพราะแอบไปฝึกอาทิตย์เดียว แม้จะรู้ว่าจิตมันอยู่ที่นี่ แน่ แน่ เลย แต่ก็ยังมองเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรเลย

“ตอนเราจะไปจับวัวป่านั้น เรารู้รูปร่างลักษณะวัวป่าในส่วนที่เป็นรายละเอียดหรือไม่”

พิสมัยตั้งคำถามให้ข้าวฟ่างขบคิด

“เราเห็นแต่มือแล้วก็เชือกเท่านั้น สองอย่างนี้เราเห็นมัน รู้ลักษณะของมัน”

แล้วพิสมัยก็วิเคราะห์ต่อให้ข้าวฟ่างฟังว่า

“แม้เราจะรู้ว่าวัวป่ามันมีรูปร่างอย่างไร แต่ลักษณะที่เป็นรายละเอียด เช่น สีคล้ำมากคล้ำน้อย เขายาวมากยาวน้อย มีจุดดำขาวกี่จุด ขนยาวหรือขนสั้น เป็นวัวป่าที่เป็นโรคปากและเท้าเปื่อยหรือไม่ ต่างๆ เหล่านี้เป็นรายละเอียดที่เราไม่รู้

แต่ถ้าเราจับมันมาได้แล้ว ฝึกจนเชื่อง แล้วเราได้พิจารณามันใกล้ๆ เราก็จะรู้ลักษณะที่เป็นลายละเอียดของมัน”

จิตก็เหมือนกัน ตอนแรกเรายังไม่รู้ลักษณะที่เป็นรายละเอียดของมัน เรารู้แต่ลมหายใจแล้วก็สติ ลมหายใจมันก็เหมือนเชือก สติมันก็เหมือนมือ ดังนั้นถ้าเราเอาสติกับลมหายใจไปคล้องจิตมาได้ แล้วค่อยๆ พิจารณามัน คราวนี้แหละ เราก็จะรู้ลักษณะที่เป็นรายละเอียดของจิต เหมือนเรารู้ลักษณะที่เป็นรายละเอียดของวัวป่าอย่างนั้นแหละ

แต่ ปัญหาในการปฏิบัติของนักปฏิบัติที่มักจะพบเห็นกันเกือบทุกคน ก่อนจะเจอกับตัวจิตก็คือ เรื่องของลมหายใจ ดังนั้น ถ้าเราพบปัญหานี้ เราก็อาจจะนึกถึงเรื่องการจับวัวป่าก็ได้ เพราะลมหายใจมันเหมือนเชือก

เรื่องก็คือ ในบางช่วงเรามองไม่เห็นเชือก เราก็วิเคราะห์ว่า ก็เพราะวัวป่ามันเชื่องแล้ว เราก็เลยสามารถเอามือไปจับตัววัวป่าได้ เชือกมันก็เลยไม่ตึง อาจห้อยอยู่ระหว่างมือที่จับเชือกกับวัวป่า มือมันก็เลยบังเชือกไว้ หรือถ้าเรามองมาจากด้านตรงข้ามของวัวป่า หรืออีกด้านหนึ่งของวัว ตัววัวมันก็จะบังเชือกอยู่มันเลยคล้ายกับไม่มีเชือก

ลมหายใจก็เหมือนกัน พอจิตใจเราชักสงบ ตัวสติกับตัวจิตมันก็จะอยู่ใกล้กัน ลมหายใจมันก็เลยเบามากคล้ายไม่มีลมหายใจ อย่างงี้ดี เราเรียกว่าจิตเริ่มมีสมาธิแล้ว

เอ..ใช่ซิ แล้วคำว่าสมาธิเนียะ ข้าวฟ่างเคยได้ยินเขาพูดกันบ่อย มันหมายความว่าอย่างไรกัน ทำอย่างไรข้าวฟ่างจึงจะรู้ว่าข้าวฟ่างได้สมาธิหรือยัง แล้วมันไปถึงระดับไหนแล้ว

“ศัพท์คำว่า สมาธิ ในภาษาไทยเราสามารถแยกแยะออกได้เป็น 2 ความหมายใหญ่ๆ เหมือนกันกับคำว่าแกงอย่างนั้นแหละ”

พิสมัยไขข้อข้องใจให้ข้าวฟ่าง

“ถ้าเราพูดถึงแกงเราจะต้องพูดให้ชัดๆ ลงไปว่าเราจะไปแกง หรือเราจะไปเอาแกงที่เราแกงเสร็จแล้วมากิน ถ้าเราไปแกงก็หมายถึงกริยาอาการที่เราเข้าไปปรุงเพื่อให้เกิดแกงขึ้นมา ปรุงแกงเพื่อที่จะได้แกง ทำแกงเพื่อให้เกิดแกง”

คำว่าสมาธิก็เหมือนกัน มันมี 2 ความหมาย ไปทำสมาธิหรือไปใช้สมาธิที่เราทำมาได้แล้ว

การที่เราจะไปทำแกงเพื่อให้เกิดแกงที่มีสูตรเจ๋ง มันก็ต้องมีหลายเหตุ หลายปัจจัย หลายสิ่ง มันต้องมีอุปกรณ์การปรุงที่ดี มีเครื่องปรุงที่ดี แล้วก็มีเทคนิคการปรุงที่ดี รวมทั้งต้องมีเวลาให้มัน เราก็หัดปรุงของเราไปเรื่อยๆ ครั้งแรกๆ อาจจะไม่ได้สูตรเจ๋ง กินบ้างทิ้งบ้าง แต่ถ้าเราทนฝึกไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะได้แกงสูตรเจ๋งเข้าสักวันหนึ่งจนได้

ถ้าได้แกงสูตรเจ๋งแล้ว เราก็เอาแกงไปใช้งานได้ดีก็แล้วกัน จะใช้งานอย่างไรมันก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเรา เช่น เราจะเอามากินเองมันก็เจ๋ง จะเอาไปให้คนอื่นกินคนอื่นก็ว่าเจ๋งด้วย ถ้าเอาไปขายก็ขายดิบขายดี เพราะเราปรุงได้แกงสูตรเจ๋ง

พอเราฝึกแกงจนได้แกงสูตรเจ๋งของเราแล้ว เวลาเราต้องการจะใช้งานมันอีก เราก็ใช้เวลาปรุงแป็บเดียว เราก็ได้แกงที่เจ๋งเหมือนเดิม พอเพื่อนอยากจะกินเราก็วิ่งหายเข้าไปในครัวเดี๋ยวเดียว เราก็ได้แกงสูตรเจ๋งมาเลี้ยงเพื่อนแล้ว ขืนมัวไปฝึกทำแกงเพื่อให้ได้แกงสูตรเจ๋งใหม่คงไม่ทันกาล เพื่อนหนีหมด

สมาธิก็เช่นกัน เราจะต้องฝึกทำสมาธิก่อนเพื่อให้ได้สมาธิมาใช้งาน ช่วงการฝึกก็อาจจะยากหรือใช้เวลาเหมือนการฝึกแกง แต่ถ้าฝึกจนได้สมาธิแล้ว ครั้งต่อไปเราก็จะสามารถเรียกสมาธิสูตรเจ๋งที่เราเคยฝึกมาแล้ว มาใช้งานได้เลย

แกงสูตรเจ๋งเวลาเรากินมันก็รู้สึกว่ามันเจ๋งดี พอเอาไปให้เพื่อนกินเพื่อนก็ชมใหญ่ พอเราเอาไปขายก็ขายดิบขายดี เราก็เลยมั่นใจว่านี่แหละเป็นแกงสูตรเจ๋งของเรา

“แล้วสมาธิสูตรเจ๋งที่ว่านี้ มันเป็นอย่างไร” ข้าวฟ่างชักจะสงสัย

สมาธิสูตรเจ๋งเราก็ต้องวัดเอาเอง เราก็ต้องประเมินผลเอาเอง จะให้คนอื่นประเมินผลหรือให้คนอื่นชิมแบบชิมแกงมันไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของสันทิฏฐิโก ที่แปลว่ารู้เห็นได้ด้วยตนเอง แต่มันก็จะต้องมีเค้าลางให้เราเห็นบ้างเล็กน้อย ว่านี่มันเป็นสมาธิสูตรเจ๋งแล้วหรือยัง

จิตที่เป็นสมาธินั้น ตามหลักทฤษฏีเขากล่าวไว้ว่าจะต้องประกอบด้วยอาการ 3 อย่างนี้คือ บริสุทธิ์ ตั้งมั่น แล้วก็พร้อมใช้ หรือ ปริสุทโท สมาหิโต กัมมนีโย หรือ Purity Steadiness Activeness ก็ได้ ความหมายเหมือนกัน เพียงแต่สื่อกันคนละภาษาเท่านั้น

จิตบริสุทธิ์หรือปริสุทโท นั้น มันบริสุทธิ์เพราะไม่มีอะไรรบกวน เมื่อไม่มีอะไรรบกวนมันก็ตั้งมั่นอยู่ได้ เหมือนน้ำถ้าบริสุทธิ์มันก็ตั้งมั่นเป็นน้ำอยู่ได้ แต่ถ้าเราเอาดินไปใส่ในน้ำตั้งมากมายก่ายกอง มันก็เลยกลายเป็นโคลน ไม่สามารถตั้งมั่นเป็นน้ำอยู่ได้ จิตก็เหมือนกัน มันต้องบริสุทธิ์ มันจึงตั้งมั่น

พอจิตมันตั้งมั่นหรือสมาหิโตแล้ว เราก็ทำอะไรได้หลายอย่างหลายชนิด กองทหารที่ตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้ง เขาก็ทำอะไรได้หลายอย่าง เช่นซ้อมรบ ฝึกแถวทหาร เลิกแถวทหาร หรืออื่นๆ เพื่อการพัฒนาความพร้อมของกองทหาร

จิตก็เหมือนกัน พอตั้งมั่นแล้ว เราก็อาจใช้จิตที่มีพลังมากมายก่ายกองนี้ทำอะไรได้หลายอย่าง เช่นเราเห็นแสงสว่างอยู่ทั่วไปหมดตอนเราหลับตานั่งสมาธิ เราก็อาจจะเคี่ยวให้แสงสว่างนี้มันข้นจนมันเข้ามารวมศูนย์อยู่ที่จุดๆ เดียวก็ได้ หรืออาจจะพูดอีกภาษาหนึ่งเราก็อาจจะกล่าวว่า เราจะ Concentrate มันลงไปให้มันรวมศูนย์เลย เราจะเคี่ยวมันให้มันเข้มข้นขึ้นจนเกิดสมาธิเลย อย่างงี้ก็ได้ นี่เป็นคุณสมบัติของจิตที่เป็นสมาธิ

หรือเราเบื่อมัน เราก็อาจจะขยับจุดที่ว่านี้เคี่ยวต่อ ให้มันเข้มสุดๆ แบบเอาเลนส์นูนมารองรับแสงแดดโฟกัสให้มันสว่างลุกพรึบขึ้นใหม่เลย อย่างนี้ก็ได้

หรือพวกที่ชอบเย็นๆ ธาตุเย็นๆ อาจจะโฟกัสจุดจุดใดตามที่ตนถนัดให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นน้ำพุพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมา แล้วบังคับให้มันพุ่งขึ้นไปใหม่ อ้าว เมื่อกี๊นี้มันพุ่งขึ้นไปทางซ้ายเหรอ เอาใหม่ เอาใหม่ คราวนี้ให้มันพุ่งขึ้นไปทางขวา หรือให้มันพุ่งขึ้นไปกลางกระหม่อมเลย อย่างนี้ก็ได้ แล้วแต่คนถนัด เพราะคนเราย่อมมีทั้งธาตุน้ำธาตุไฟธาตุอื่นๆ หลายธาตุตามที่ได้กล่าวมาแล้ว นี่เป็นวิธีการพัฒนาความพร้อมของจิต

อันสุดท้ายที่ทำให้เรารู้ว่าจิตของเราเป็นจิตที่เป็นสมาธิก็คือ จิตพร้อมใช้ หรือกัมมนีโย กัมมนียะ แปลว่า เหมาะสมที่จะทำหน้าที่การงาน

เหมือนวัวป่าที่เราจับมันมาได้แล้ว แต่มันยังไม่เชื่อง เมื่อเราต้อนมันให้เข้าไปอยู่ในฐานที่ตั้ง หรือให้มันตั้งมั่นแล้ว เราก็เริ่มฝึกให้มันทำไร่ไถนาจนมันชำนาญ พร้อมใช้งานได้เลย ฝึกเสร็จมันนอนต่อ แต่พอจะให้มันไถนามันก็พร้อมใช้งานได้เลย ไถได้เลย

เหมือนจิตเราตอนที่มันตั้งมั่น เราก็ฝึกพวกแสงไฟพวกน้ำพุ หรือบางคนก็ทำดิ่งเลย คือดิ่งลงไปลึก...ลึก..ให้เงียบสงัดเลย ว่างสบายภายในร่างกายของเราเลย อย่างนี้ก็ได้ ตามถนัดของแต่ละคน พอฝึกได้ที่เราก็พร้อมใช้งานได้เลย นี่เป็นลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิแล้ว เหมือนสูตรแกงที่เจ๋งแล้ว รอการใช้งานจากเราได้เลย

เอ้า....

ตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น (อุชุง กายัง ปะณิธายะ, ปริมุขัง สะติง อุปัฏฐเปตวา : ตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น)...ทำเลย..ทำเลย...

ตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น.......หายใจเข้าให้ลึกกก..ลึกกกกก..... เอาใหม่... เอาใหม่

หายใจเข้าให้ลึกกก...ลึกกกก........หายใจออกให้ยาววว....ยาวววววว...

หายใจเข้าให้ลึกกก...ลึกกกก........หายใจออกให้ยาววว....ยาวววววว...

นึกเข้าไปที่ลมหายใจด้วย...นึกเข้าไปที่ลมหายใจด้วย..แล้ว..หลับตา..หลับตาเบาเบา..

หายใจเข้าให้ลึกกก...ลึกกกก........หายใจออกให้ยาววว....ยาวววววว...

หายใจเข้าให้ลึกกก...ลึกกกก........หายใจออกให้ยาววว....ยาวววววว...

“เห็นการเปลี่ยนแปลงไม๊..เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไม๊...ถ้าไม่เห็น...ไม่เป็นไร ทำต่อไปเรื่อยๆ จะหนึ่งวัน หรือหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี หรือหลายปีก็แล้วแต่ ทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ของอะไรที่เราชอบมันศรัทธามัน แล้วเรามีเวลาให้มัน เราทำสำเร็จแน่ ขอให้มีสองสิ่งนี้คือชอบมัน แล้วก็มีเวลาให้มัน เราทำสำเร็จแน่”

พิสมัยพูดให้กำลังใจข้าวฟ่าง

“แต่ถ้าข้าวฟ่างเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว เอาใหม่ เอาใหม่ ทำขั้นสูงแบบมืออาชีพเขาทำกันเลย......มันเป็นสูตรเรียนลัด ที่จะทำให้ข้าวฟ่างบรรลุถึงเป้าหมายได้เร็วๆ ไง....”

เราเป็นคนประเภท สัมฤทธิ์คตินิยม หรือ Pragmatism คือทำให้มันง่ายๆ แล้วเห็นผลทันทีเลย ดีกว่า ยังไม่ต้องประดิดประดอย คือให้มันสัมฤทธิ์ผลเอาไว้ก่อน เหมือนกับสมัยก่อนคนเค้าจะกินกาแฟ เค้าอาจจะต้องไปต้มกาแฟกิน มันจึงช้า กว่าที่เราจะได้กินมันนาน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยมีคนบางคนคิดกาแฟพร้อมดื่มหรือพวก Instance coffee ทั้งหลายขึ้นมา ตักกาแฟใส่ถ้วย ใส่น้ำตาล เทน้ำร้อนที่ต้มเดือดแล้วลงไป กินได้เลย ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งเร็วใหญ่มีแบบซองที่มีทั้งกาแฟ น้ำตาล แล้วก็ครีม พอฉีกใส่ถ้วยเทน้ำเดือดลงไป กินได้เลย

เรากินกาแฟก็มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ง่วงหรือเพื่อให้กระปรี้กระเปร่า กินพวก Instance นี่...ให้ผลทันทีเลย ทันทีทั้งได้กิน ทันทีทั้งแก้ง่วง แล้วเราก็ไปทำงานต่อได้เลย ได้งานเพิ่มขึ้นอีกตั้งมากมาย เก็บไว้ตอนที่เรามีเวลาว่างจากการทำงาน แล้วเราอยากจะกินกาแฟที่อร่อยกว่า เราอาจจะไปเอาเครื่องต้มกาแฟมาต้ม จะเลือกกาแฟชนิดไหนก็ได้ จะให้อร่อยแบบไหนก็ได้ เพราะงานเราทำเสร็จแล้ว

สูตร นี่ไงใช่เลย ที่เราจะเล่าให้ฟังนี้ ก็เป็นการทำแบบง่ายๆ แต่ให้ผลทันทีเลย เป็น Instance concentration เลย นี่เป็นการทำสมาธิที่ให้ผลได้อย่างเฉียบพลัน

ลองทดลองเทียบความเย็นร้อน ของลมหายใจเข้า กับลมหายใจออกดูว่า ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก อันไหนมันเย็นร้อนกว่ากัน โดยปกติแล้วลมหายใจเข้ามันจะเย็นกว่าลมหายใจออก แล้วเราก็สังเกตไปเรื่อยๆ เราจะเรียนลัดแล้ว.....เราจะเรียนลัดแล้ว.....

เอ้า..ทำเลย...ทำเลย..

เข้า...เย็นนน....................................ออก...ร้อนนน....................................

เข้า...เย็นนน....................................ออก...ร้อนนน....................................

เห็นข้อแตกต่างยัง เห็นความแตกต่างยัง ถ้ายังไม่เห็น ทำต่อ ทำต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เห็นเอง......

เข้า...เย็นนน....................................ออก...ร้อนนน....................................

เข้า...เย็นนน....................................ออก...ร้อนนน....................................

ถ้าเห็นแล้ว เอาตัวเย็นร้อนที่สัมผัสมาได้นั่นแหละมาทำเชื้อ แล้วทำต่อเลย ทำต่อเลย ใกล้ความจริงแล้ว เอาเลย.... เอาเลย....

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า....แล้วรู้ว่ามันเย็นนนนนนนนน

นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก..แล้วรู้ว่ามันร้อนนนนนนนนน

รู้สึกขนลุกไม๊.....รู้สึกขนลุกไม๊.....

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า....แล้วรู้ว่ามันเย็นนนนนนนนน

นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก..แล้วรู้ว่ามันร้อนนนนนนนนน

ช่างมัน ช่างมัน ขนลุกไม่ลุกช่างมัน อย่าไปสนใจอะไรมันมาก มันอยากจะลุกก็ลุก มันไม่อยากลุกก็ไม่ลุก ถ้าลุกก็ดี ไม่ลุกก็ดี มันเป็นอาการตามธรรมชาติของมันเท่านั้น

เอาใหม่.....เอาใหม่.......

หลับตา หลับตา หลับตาเบาเบา ....ดูความเย็นกับความร้อน...ของลมหายใจ

นึกเข้าไปที่ลมหายใจเข้า....แล้วรู้ว่ามันเย็นนนนนนนนน

นึกเข้าไปที่ลมหายใจออก..แล้วรู้ว่ามันร้อนนนนนนนนน

ทำไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าเมื่อไรที่เรารู้สึกเย็น นั่นหมายถึงเราหายใจเข้า เมื่อไรที่เรารู้สึกร้อนนั่นหมายถึงเราหายใจออก

ทำไปเรื่อยๆ จนความเย็นความร้อนมันอยู่ในระดับใกล้กันมากๆ แล้วมาลอยคลอเคลียรอความสมดุลอยู่ที่ปลายจมูกของเราเอง หรือที่ไหนก็ได้แล้วแต่ๆ ละคน แล้วคราวนี้แหละ เสร็จเรา

เมื่อความเย็นความร้อนมันใกล้กันมาก มันก็ใกล้ๆ หนึ่งเดียวขึ้นมาทุกที เมื่อมันเป็นหนึ่ง เราก็สามารถจะโน้มเคลื่อนมันไปไหนก็ได้หรือให้หยุดนิ่งก็ได้ แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเรา หรือจุดมุ่งหมายของเรา แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมันก็จะไม่พ้นจุดมุ่งหมาย 4 อย่างนี้ คือ

เพื่อทิฏฐะธรรมิกสุขหรือเพื่อความสุขทันตาเห็น อันที่สองก็คือเพื่อญาณทัสสนะ ที่เป็นหูทิพย์ตาทิพย์ อันที่สามก็คือเพื่อความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะ อันสุดท้ายก็คือ เพื่อสิ้นอาสวะ

เพื่อความสุขทันตาเห็น หรืออาจเรียกว่าความสุขในปัจจุบันก็ได้ อันนี้อาจจะไม่ยากนัก ทำตามที่เราเล่ามาจนรู้สึกว่าลมหายใจมันเหลือน้อยที่สุดก็ใช้ได้แล้ว พอลมหายใจเหลือน้อยก็แสดงว่าเราใช้ลมหายใจน้อย ใช้ออกซิเจนน้อย ดังนั้นถ้าเราสูดลมหายใจเบาๆ เพิ่มขึ้นมาอีกนิด อีกนิดหนึ่งจริงๆ อาจขยับลมหายใจที่มันลอยๆ อยู่ที่ปลายจมูกซักครึ่งฟองที่ลอยอยู่ก็พอ แต่เอ๊ะ ครึ่งฟองมันมองไม่เห็นภาพ งั้นครึ่งช้อนชาก็ได้ มันก็จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นอีกตั้งมากมายก่ายกอง มากกว่าสุขจากลมหายใจที่เราสูดตามปกติร้อยเท่าพันเท่า โอ้ นี่คือความสุขทันตาเห็น แต่ต้องเป็นอย่างนี้นานๆ นะ ไม่ใช่มีความสุขแป็บเดียว แล้วก็ต้องรีบลืมตาขึ้นมานั่งหอบเป็นชั่วโมง เพราะมันขาดอากาศหายใจ แบบนี้ต้องฝึกใหม่ ฝึกให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก

เพื่อญาณทัสสนะ อันนี้เป็นพวกหูทิพย์ตาทิพย์ มันวิเศษน่าอัศจรรย์ หรืออาจใช้ในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเรา ที่เราจะฝึกมัน แล้วก็แล้วแต่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ถ้าเราชอบก็ฝึกในสาขาที่เราชอบ เหมือนตอนสมัยที่เรายังไม่ได้เข้าโรงเรียน เรียนหนังสือ เราก็ไม่รู้หรอกว่าในโรงเรียนมีการสอนวิชาเลข วิชาเคมี วิชาชีวะ จนเราเข้าเรียน เราจึงรู้ว่ามีวิชาเหล่านี้ แล้วเราก็ดูว่าเราชอบสาขาอะไร เราก็ศึกษาลงลึกในสาขาวิชานั้นเพื่อเป็นวิชาชีพ สมาธิก็เช่นเดียวกัน พอเราฝึกแล้วเราก็รู้ว่ามันมีสาขาย่อยๆ ที่ให้เราเลือกฝึกตามความชอบใจของเรามากมาย ถ้าเราชอบในสาขานั้นๆ แล้วเราก็จะฝึกได้ดี

เพื่อความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะ อันนี้เราก็กำหนดของเราไป อย่างเช่นเวทนาเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร ดับลงอย่างไร คอยติดตามต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเราคอยติดตามลมหายใจอย่างที่เคยทำมาอย่างนั้นแหละ เมื่อเราคอยติดตามทำมันอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา แบบกัดไม่ปล่อย สติสัมปชัญญะมันก็จะไม่หนีไปไหน ฝึกเสร็จเวลาเราจะเรียกใช้ เราก็เรียกสติสัมปชัญญะที่เราเคยฝึกมาแล้ว ออกมาใช้ได้เลย หรือบางทีมันก็ออกมาเองตามธรรมชาติ แล้วแต่สถานการณ์ในช่วงนั้นๆ ว่ามันเป็นอย่างไร

เพื่อสิ้นอาสวะ ก็คือการพิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเบญจขันธ์ (ขันธ์ 5) ที่เป็นอุปาทานขันธ์ ที่เราไปยึดถือว่ามันเป็นตัวเรา ของเรา หรือยึดถือว่าเป็นตัวกู ของกู ซึ่งพอเราพิจารณาไป ปรากฏว่ามันไม่ใช่ เพราะมันก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปตลอด ก็เลยตกผลึกออกมาว่าทุกสิ่งเป็นอตัมมยตา แปลว่ากูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย เป็นอันว่าจบกัน จบหลักสูตรแล้ว หลุดพ้นแล้ว...บรรลุถึงปลายทางของพุทธศาสนาแล้ว

วรรคสุดท้ายนี้ เราจะขอยกนิทานบาลีเรื่อง อีนุงตุงนังตะลุ๊งตุ้งแช่กับสัตว์ทั้ง 5 มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าข้าวฟ่างจะได้ใช้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากนิทานเรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจ เสริมความเพียรพยายามในการฝึกอานาปานสติต่อไป เรื่องก็มีอยู่ว่า

ถ้าจับนกใหญ่ งู * สุนัขจิ้งจอก แล้วก็เต่า อย่างละตัว ผูกเชือกตัวละเส้นแล้วเอาปลายเชือกทั้ง 5 มามัดติดกัน พอเราปล่อยมือจากปลายเชือกเท่านั้นเอง สนุกกันใหญ่ นกก็จะบินขึ้นฟ้า งูก็จะเข้าโพลง เหี้ยก็จะลงน้ำ (ว้า....ชื่อไม่ไพเราะเลย น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นตัวเงินตัวทองมากกว่า..นิ แต่จะเปลี่ยนชื่อก็เกรงว่าเจ้าของตำราที่เราไปลอกเขามา จะต่อว่าเอา ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย ตั้งชื่อมันว่าเหี้ยเหมือนเดิมก็แล้วกัน).... เจ้าสุนัขจิ้งจอกก็จะไปป่าช้า เจ้าเต่าก็จะไปที่สระน้ำ มันก็เลยดึงกันใหญ่

สมมติว่าตัวหนึ่งชนะไปแล้ว มันก็เลยหมดแรง จะของีบเอาแรงสักพัก......

อ้าว... ตัวอื่นมีแรงขึ้นมาอีกแล้ว มันดึงกลับไปอีกแล้ว... เลยผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่อย่างนี้แหละ ไม่มีความสงบเลย ไม่มีความสุขเลย

เหมือนกัน เรามีตา หู จมูก ลิ้น แล้วก็กาย รวม 5 สิ่ง ส่วนเจ้าใจเราที่เป็นสิ่งที่ 6 นี้ก็มักจะอ่อน ชอบ เออ ออ ห่อหมกไปตามความต้องการของพวกเจ้าพ่อทั้ง 5 สิ่งนี้ ไปพบเห็น ซึ่งในแต่ละวัน ตาเราก็จะวิ่งไปหารูปที่มันชอบ หูก็จะวิ่งไปหาเสียงที่มันชอบ จมูกก็จะวิ่งไปหากลิ่นที่มันชอบ ลิ้นก็จะวิ่งไปหารสมันชอบ กายก็จะวิ่งไปหาสัมผัสที่มันชอบ มันก็เลยชักคะเย่อกันใหญ่ เดี๋ยวก็อยากจะกินข้าวฟ่าง เดี๋ยวก็อยากจะไปช๊อปปิ้งดูของสวยๆ คิดดูก็แล้วกัน ใจมันจะไม่มีวันนิ่ง มันจะไม่มีวันพบกับความสุขเอาเสียเลย ในแต่ละวัน เพราะมันร้อนรนไปหมด

แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ข้าวฟ่างชักสงสัย พิสมัยเล่นเล่าแต่ปัญหา ไม่เห็นเล่าถึงวิธีแก้ไขเลย

“อานาปานสติช่วยได้...”

พิสมัยสรุป

“เอ้า..เตรียมตัว เตรียมตัว.....”

หายใจเข้า...รู้ว่าเย็นนนนน...เอาใหม่..นึกเข้าไปที่ลมหายใจด้วย...เอาใหม่..เอาใหม่...

หายใจเข้า...รู้ว่าเย็นนนนน............หายใจออก....รู้ว่าร้อนนนนน......

หายใจเข้า...รู้ว่าเย็นนนนน............หายใจออก....รู้ว่าร้อนนนนน......

หลับตา..........หลับตาเบาเบา...............................

เย็นนนนนน..........ร้อนนนนนน
เย็นนนนน........ร้อนนนนน
เย็นนนน.....ร้อนนนน
เย็นนน....ร้อนนน
เย็นน....ร้อนน
เย็น......ร้อน
เย็น...ร้อน
เย็นร้อน
OOO
OO
O


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2025, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 44

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอกสารน่าอ่านต่อ


ประดิษฐ์ มีสุข. เคมีชีวิต:ชีวเคมีเบื้องต้น. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2524.

ปรีชา สุวรรณพินิจ และ นงลักษณ์ สุวรรณพินิจ. ชีววิทยา1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.

ปัญญานันทภิกขุ. นานาจิตตัง. อ่านได้ในอินเตอร์เน็ตที่
http://www.panya.iirt.net/read/all-html/130816.html

พระครูเกษมธรรมทัต. หลักการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน4. วัดมเหยงคณ์
จังหวัดอยุธยา. กรุงเทพมหานคร:โอวเอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์, 2546.

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม(ฉบับเดิม). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัท
สหธรรมิกจำกัด, 2544.

พระธรรมวิสุทธิกวี. บทอบรมสมาธิภาวนาหลักสูตรขั้นต้น. กรุงเทพมหานคร:ห้างหุ้นส่วนจำกัด
โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2543.

พุทธทาสภิกขุ. ปรมัตถสภาวธรรม. สุราษฎร์ธานี:ธรรมทานมูลนิธิ, 2543.

พุทธทาสภิกขุ. คู่มือปฏิบัติอานาปานสติฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ, 2543.

ภาควิชาปฐพีวิทยา. ปฐพีวิทยาเบื้องต้น. คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2548.

ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊กส์
พับลิเคชั่นส์, 2542.

วศิน อินทสระ. หลักธรรมอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
ธรรมดา, 2548.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2025, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 44

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาแอบดูปกิณกคดีเกี่ยวกับผู้เขียนกันมั่งดีกว่า


จบการศึกษาปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย * ตี๊ด * ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของ
มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของรัฐ ที่ตั้งอยู่ในเขต กทม. [เสียง*ตี๊ด*นี่ ผู้เขียนขออนุญาตเซ็นเซ่อร์ฮะ ขอประทานโทษทุกท่านด้วย ฮะ]

จบการศึกษาปริญญาตรีทางด้านนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย * ตี๊ด ตี๊ด * ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย
ของรัฐที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล [ตี๊ด อีกแล้ว ตี๊ดยันเลย คือผู้เขียนกลัวว่า มหาวิทยาลัยเขาจะว่าเอา ฮะ ว่าไม่ได้คิดที่จะผลิตบัณฑิต ที่เขียนเรื่อง เขียนราวอะไร แผลง แผลง อย่างนี้ เล๊ย]

จบการศึกษาปริญญาโททางด้านศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัย * ต๊อด * ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย
เอกชน ที่ตั้งอยู่ในเขต กทม. [ถูกดูดไปแล้วฮะ ชื่อของมหาวิทยาลัย คือหม่าม้า ของผู้เขียนไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านเลยอยากจะให้ผู้เขียนเรียน ท่านบอกว่าเรียนไปเฮอะ จะได้ไม่ต้องทำงานหนักประเภทต้องแบก ต้องหาม ต้องคาน ต้องคอน อะไรพวกเนี๊ยะ ตอนนั้นผู้เขียนก็ไม่ค่อยมีความเข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าต้องทำงานประเภทต้องแบก กับไม่ต้องแบก นี่มันหนักหนาสาหัสมากกว่ากันอย่างไร เพราะยังไม่เคยทำงานแบบใดเลย ได้แต่เรียน แต่เมื่อให้เรียนผู้เขียนก็ชอบซิฮะ เพราะตอนไปโรงเรียนก็จะได้ไม่ถูกใช้ทำโน่นใช้ทำนี่ ใช้ทำงานกระจุกกระจิกทุกเรื่อง คือไม่ต้องทำงานบ้านว่างั้นเหอะ ไม่ต้องทำงานยังไม่พอ บางทีก็เอางานที่ทำไม่ได้จากโรงเรียนมาฝากให้หม่าม้าทำอีกต่างหาก หม่าม้าก็ไม่ว่าอะไร ก็เห็นช่วยทำ ผู้เขียนก็เลยเรียนไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรนักในตอนเรียน ชีวิตของผู้เขียนตอนเรียนก็เลยเรียบๆ ง่ายๆ เพราะมีคนสนับสนุน ผู้เขียนซะอีกที่ตอนจบก็อยากจะจบแบบได้คะแนนดีๆ แต่ตอนครูให้ทำการบ้าน ให้ท่องหนังสือ ผู้เขียนก็ขี้เกียจทำการบ้าน ขี้เกียจท่องหนังสือ จะให้ท่องท่าเดียว ผู้เขียนก็เลยท่องมั่ง ไม่ท่องมั่ง แล้วก็จำได้มั่ง จำไม่ได้มั่ง มันก็เลยเรียนจบแบบทุลักทุเลแบบนี้แหละ ถ้าจะให้ย้อนอดีตแล้ว คือมันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นเพียงความคิดของผู้เขียนเองเท่านั้น ถ้าย้อนเวลาหาอดีตได้แล้ว ตอนนั้นผู้เขียนจะขยันทำการบ้าน ขยันท่องหนังสือให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะได้ทำให้หม่าม้าของผู้เขียนชื่นใจมากกว่านี้]

จบการศึกษาปริญญาโททางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบัน * ต๊อด ต๊อด * ซึ่งเป็น
มหาวิทยาลัยของรัฐที่ตั้งอยู่ในเขต กทม. [ถูกดูดเลยกลายเป็นเรื่องปกติตามฟอร์ม ฮะ ผู้เขียนก็ศึกษาตามแบบที่เขาเรียกกันว่าการศึกษาในระบบ เพื่อเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่เขากำหนดเอาไว้ว่า เวลาเราจะไปทำงาน เขาก็เอากระดาษแผ่นนี้แหละมากำหนดค่าตัวของเรา คือกำหนดเงินเดือนเริ่มต้นให้เราตามแบบของมนุษย์เงินเดือนน่ะฮะ ซึ่งผู้เขียนก็ต้องเห็นพ้องตามสมมติอยู่แล้ว ไม่งั้นอยู่ในโลกนี้ลำบาก แต่ก็มีความเห็นเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า เราอาจจะยืดหยุ่นเล็กน้อยว่า ขั้นตอนก่อนที่จะได้กระดาษแผ่นนี้มา ไม่ต้องท่องตามครูมากก็ได้ ถ้าเข้าหลักเข้าเกณฑ์ก็ได้คะแนนเพื่อผ่านวิชานั้นด้วยเหมือนกัน คือพูดง่ายๆ ว่า Think out of box ได้ หรือคิดนอกกรอบได้ น่ะฮะ อ้าว ทั้งปะกิต ทั้งไทย ทั้งบาลี มั่วซั่วกันไปหมด ผิดมั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าผิดท่านผู้อ่านช่วย E-mail ไปบอกด้วยนะฮะ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยฮะ พอแก้เสร็จแล้วจะส่งเล่มแก้แถมให้อีกเล่ม เอ้า แน่ะ ติดสินบนซะแล้ว คืออยากได้ส่วนที่ผิดนะฮะ จะได้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองได้ฮะ กลับเรื่องเดิมต่อนะฮะ คืออ้ายคิดนอกกรอบนี่ มันก็ต้องแล้วแต่ลักษณะโครงสร้างเนื้อหาในวิชานั้นๆ ด้วยนะฮะ แล้วครูก็ต้องเก่งแล้วก็ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวนักเรียนไปเปิดอินเตอร์เน็ตเจอเรื่องใหม่ๆ ส่งครู แล้วครูไม่ให้คะแนนเพราะยังไม่รู้เรื่องเลย อย่างนี้ครูถูกนักเรียนไล่ทุบหัวแน่ แฮะ แฮะ ความจริงแล้ว การศึกษาในระบบตามรูปแบบก่อนเข้ามหาวิทยาลัยคือโรงเรียน แล้วก็ระบบในมหาวิทยาลัยอย่างนี้ มันมีกันทั่วโลกมานานแล้ว อย่างมหาวิทยาลัยนาลันทานี่ก็มีมาเป็นพันปี มันเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้มันดีขึ้น ให้มันเติบโตขึ้น ให้สมองมันเจริญขึ้นควบคู่กันกับการเจริญเติบโตทางร่างกาย แล้วมันก็จะได้ทำงานดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น เมื่อทำงานดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น มันก็ดีอยู่แล้ว แสดงว่าเรามีธรรมะดี เพราะท่านอาจารย์พุทธทาสแห่งสวนโมกขพลารามท่านเทศน์เอาไว้ว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม เมื่อเราทำงานดีก็แสดงว่าเราปฏิบัติธรรมดีไปด้วย เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ว่านี้ มันก็อยู่ในส่วนของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่บางทีพวกฝรั่งเขาเรียกว่า Human Resource Management หรือ HRM แล้วบางท่านเขาก็แบ่งไว้ว่ามันอาจทำได้ 3 แนวทาง ซึ่งแนวทางที่ว่านี้เขาบอกว่าเป็นแนวทางที่เรียกว่า การให้การศึกษา (Education) ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ผู้เขียนศึกษามาแล้วตั้งแต่เด็กนั่นแหละ คือเริ่มศึกษาตั้งแต่ประถมปีที่ 1 แล้วศึกษามาเรื่อยๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำงานในอนาคต (Focus on a future job for the learner) ตามที่เราต้องการ]

เคยทำงานในรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวง *ตุ๊ก*ปฏิบัติงานที่จังหวัดนราธิวาส[ถูกดูดอีกเหมือนกัน
เพราะขืน ไม่ดูดท่านจะว่าเอาว่า ออกไปแล้วยังมาอ้างถึงอีก ช่วงเวลาที่ทำงานอยู่ก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไรให้หน่วยงานดีขึ้นเลย ความจริงท่านจะว่าหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือว่าเราคิดฟุ้งซ่านกินปูนร้อนท้องไปเอง สรุปก็คือเคยทำงานที่นี่มาก็แล้วกัน คือผู้เขียนก็เหมือนคนอื่นๆ ท่านอื่นๆ นั่นแหละฮะ พอจบก็ต้องหางานทำ เมื่อหางานได้แล้วก็ต้องทำงาน จะมาแบมือขอตังจากหม่าม้าไม่ได้แล้ว จบแล้ว ชีวิตสบายๆ ที่อยู่ในมหาวิทยาลัย มีคนเขาเคยทำการวิจัยมานานแล้วว่า ในช่วงชีวิตของคนเราที่สบายที่สุดก็คือ ช่วงที่อยู่ในมหาวิทยาลัยนี่แหละ เวลาตอนเรียนก็ไม่ถูกบังคับให้อยู่ในกฎระเบียบมากเหมือนตอนอยู่โรงเรียน ดังนั้น ก็ทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างสบายๆ แถมไม่ต้องหาเงินเอง ขอลูกเดียว จึงใช้เงินได้อย่างสบาย แต่ตอนเรียนผู้เขียนก็ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยนะ คนส่วนใหญ่จะบอกว่าผู้เขียนขี้เหนียว ผู้เขียนก็ฟังไปเรื่อยๆ พอฟังไปได้บ่อยๆ มันก็คงจะเก็บกดมั้ง โอ้โฮ ตอนมาทำงานเท่านั้นแหละ หาเงินได้เองเท่านั้นแหละ ผู้เขียนใช้เงินใหญ่ กู้หนี้ยืมสินยุ่งไปหมด พอเงินเดือนออกแทนที่เราจะได้ใช้ กลับถูกเขาหักหนี้ไปเกือบหมดแล้ว นี่หมายถึงหนี้ในระบบนะฮะ ฮั่นแน่ ใช้ศัพท์ทันสมัยซะด้วย คือหนี้แบบกู้ยืมเงินสวัสดิการจากหน่วยงานอะไรแบบเนี๊ยะ ตอนใช้หนี้เขาก็หักเอาจากเงินเดือนนี่แหละตั้งแต่ก่อนจะถึงมือเรา พอถึงมือเราก็เลยเหลือนิดเดียว ไม่พอกินไม่พอใช้ อ้าว แล้วทำไงล่ะ มันก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจากแหล่งนอกระบบน่ะซิ ก็กู้หมุนไปหมุนมายุ่งอีนุงตุงนังไปหมด ไม่คิดต่อดีกว่า คิดแล้วผู้เขียนปวดหัว แฮะ แฮะ]

เคยรับราชการในกระทรวง *ตุ๊ก* [ฮั่นแน่ รู้นะ ตุ๊กเสียงเดียวกันกับกระทรวงที่ผ่านมาเลยแสดง
ว่าต้องเป็นกระทรวงเดียวกัน คือพี่ชายอยากให้รับราชการ บอกว่ามันเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แม้จะทีละไม่มากแต่ก็ซึมออกมาเรื่อยๆ ไม่อดตาย ท่านว่างั้น พอพูดถึงพี่ชายคนนี้แล้วก็เลยนึกถึงเทียนไข พี่ชายคนนี้เปรียบได้เลย กับเทียนไขที่ยอมเผาตัวเองเพื่อให้เกิดแสงสว่างส่องทาง ให้ผู้อื่นก้าวเดินต่อไปข้างหน้า มิใยว่าใครจะเพียรพยายามตามไปลบเศษของเปลวเทียน ที่ตกลงสู่พื้นทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน แล้วบอกกับคนอื่นว่าฉันเดินมาได้ด้วยความสามารถของฉันเองนะ แต่พี่ชายคนนี้ยังมั่นคง ไม่หวั่นไหว ยังคงพยายามที่จะเผาตัวเองเพื่อส่องทางให้ผู้อื่นต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เห็นแล้วน่าเลื่อมใส ความจริงแล้วผู้เขียนไม่ค่อยชอบรับราชการเท่าไร แต่ก็ต้องยอมเออ ออ ห่อหมกด้วย ตามแบบวัฒนธรรมไทยๆ ที่นับถือพุทธศาสนากัน แล้วคนส่วนใหญ่เขาก็ทำกันแบบนี้ คือถือเอาความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้ง กตัญญูแปลว่ารู้คุณท่าน กตเวทีแปลว่าสนองคุณท่าน สรุปก็เลย ทำก็ทำ ดีเหมือนกันไม่ต้องหางานใหม่ ก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองเท่าไรหรอกฮะ ก็เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยมาเรื่อยๆ แต่ก็ เอ ไม่ทราบนะฮะ ว่าคิดเองเออเอง เข้าข้างตัวเอง ยกหางตัวเองหรือเปล่า คือว่าผู้เขียนก็ทำไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ให้คุ้มกับภาษีอากรของประชาชนน่ะฮะ พวกข้าราชการนี่เค้า อยู่ได้ด้วยภาษีอากรของประชาชนที่เขาจ่ายให้รัฐ แล้วรัฐก็จ่ายมาเป็นเงินเดือนของข้าราชการอีกทีหนึ่ง]

เป็นอาจารย์พิเศษ และอาจารย์ผู้สอบวิทยานิพนธ์นักศึกษา ที่มหาวิทยาลัย * ติ๊ง * ซึ่งเป็น
หนึ่งในห้าของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของรัฐ ที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล [ หนึ่งในห้าของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของรัฐ ..หนึ่งในห้าของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของรัฐ...อ๋อ.. คนละเสียงดูดกันกับมหาวิทยาลัยแรกโน้น แสดงว่าคนละที่กัน ]

ประกาศนียบัตร การจัดการฐานข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ทางด้านบัญชี จากสถาบัน*แต๊ด* ซึ่งเป็น
สถาบันนานาชาติที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย [สมัยนี้เขาบอกว่าจะคำนวณอะไรจะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หมด จะมัวมานั่งนับนิ้วมือหรือใช้กระดาษทด บวกลบคูณหารกันอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ทันสมัย ไม่รวดเร็ว คนอื่นเขาทำเสร็จก่อนเราแล้วก็เอาผลที่ได้ไปใช้ก่อนเรา จึงประสบผลสำเร็จก่อนเรา แล้วเราก็เลยไล่ตามเขาไม่ทัน แนวคิดในการบริหารองค์กรสมัยใหม่เพื่อให้บริการแก่ผู้รับบริการนั้น เขาบอกว่าผู้รับบริการต้องการสิ่งที่เรียกว่า Better Cheaper Faster เขาว่างั้น ผู้เขียนก็เลยต้องไปฝึกอบรมวิธีการจัดการฐานข้อมูล คือเอาข้อมูลที่เป็นตัวเลขมากๆ มารวมกันไว้ที่ฐานๆ หนึ่ง ในที่นี้ก็คือในเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วก็จัดระบบให้มันดีๆ เวลาเรียกมันขึ้นมาใช้งาน จะได้เรียกง่ายๆ แล้วก็ใช้เวลาไม่มาก เหมือนกับเราจัดหนังสือในห้องสมุดหรือตู้หนังสือบ้านเราอย่างงั้นแหละ จัดให้มันเข้าที่เข้าทางเข้าฐาน จะได้ไม่กินเนื้อที่มาก เวลาเรียกใช้มันจะได้รวดเร็ว ผู้เขียนก็เลยต้องไปฝึกทำฐานข้อมูล (Database) พวกนี้ตามๆ เขาไป เพราะตอนนี้เราเลิกเรียนแบบศึกษา (Education) แล้ว ความรู้ที่เรียนๆ มาชักหมดแล้ว หรือไม่ทันสมัยแล้ว เขาก็เลยต้องให้ไปฝึกอบรมเพิ่มเติม แล้วเอามาใช้งานได้เลย คือตอนเรียนมันเป็นการเรียนแบบกว้างๆ เพราะมหาวิทยาลัยที่เขาสอนผู้เขียน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้เขียนจะไปทำงานเน้นหนักไปในด้านใด หน่วยงานเขาก็เลยต้องส่งไปฝึกอบรม การทำแบบนี้ ตามตำราภาษาฝรั่งเขาก็บอกว่า ไป Training เป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ เอามาใช้งานตอนทำงานนี่แหละ (Focus on the present job for the learner) บางท่านแยกย่อยลงไปอีกว่า อย่างเงี๊ยะ เป็น Off the job training สรุปก็คือ แบบนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์]

ประกาศนียบัตร การสำรวจเพื่อการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและสังคมครัวเรือน จากสถาบัน
*แต๊ด แต๊ด* ซึ่งเป็นสถาบันนานาชาติที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทย [เรียกว่าสมัยใหม่เขาจะวิเคราะห์กันไปหมด คือวิเคราะห์ทั้งภาวะทางด้านเศรษฐกิจ แล้วก็ภาวะทางด้านสังคม แต่บางครั้งภาวะทางด้านสังคมก็ไม่ค่อยจะได้วิเคราะห์กันเท่าไร แต่ไปเน้นการวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐกิจกันใหญ่ คือว่าอยากให้คนรวยๆ กันโดยถ้วนหน้า ว่างั้นเถิด จริงๆ แล้ว รวยๆ มันก็ดีอยู่ แต่วิธีการที่จะได้มาซึ่งความรวยนะซิ ทำได้ไม่กี่คน เพราะโดยหลักแล้วทรัพยากรมันมีจำกัด แต่ใจเรามันก็อยากจะได้โน่นได้นี่กันแยะๆเกือบทุกคน แถมถูกกระตุ้นโดยการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ (Endless demand... Limited resource) เมื่อมันเป็นอย่างนี้มันก็ต้องมีการแย่งชิงกัน เมื่อมีการแย่งชิงกัน มันก็ต้องมีคนที่แย่งชิงเขามาได้ แล้วก็ต้องมีคนถูกเขาแย่งชิงไป คนที่ไปแย่งชิงเขามาได้เขาก็จะมีอำนาจเพิ่มขึ้น แล้วก็ไปแย่งชิงต่อไปได้อีกเรื่อยๆ แล้วก็มีกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำไปทำมาเลยเหลือคนที่ไปแย่งชิงเขามาได้อยู่ไม่กี่คน เป็นเจ้าพ่ออยู่ไม่กี่คน นอกนั้นเป็นคนถูกแย่งชิงหมด เรียกว่าเหลือคนรวยๆ อยู่ไม่กี่คน ไม่กี่ตระกูล สภาพเศรษฐกิจที่เราเห็นจนเจนตามันเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราย้อนกลับไปดูทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันแล้ว มันก็มาจากปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่ง อย่าไปเอ่ยถึงชื่อท่านเลย ท่านเขียนไว้ในหนังสือเมื่อปี ค.ศ. 1776 กล่าวถึงแนวคิดและทฤษฎีของท่านที่จะทำให้ประเทศร่ำรวยเศรษฐกิจจะเฟื่องฟู มันก็จะมีวิธีการต่างๆ อยู่หลายอย่างก็แล้วกัน อย่างน้อยๆก็ต้องมีการผลิตกันขนานใหญ่ แล้วก็บริโภคกันขนานใหญ่ มันจึงจะบรรลุเป้าตามทฤษฎีนี้ คือต้องผลิตวัตถุกันให้มากๆ แล้วก็บริโภควัตถุกันให้มากๆ เรียกว่าเป็นวัตถุนิยมกันให้เต็มสูบ นิยมแปลว่า กำหนด คือใช้วัตถุเป็นตัวกำหนดการดำเนินชีวิตของเรามันจึงจะดี เห็นไม๊ ตอนนี้แนวคิดของท่านผู้นี้ก็ใช้กันอยู่แพร่หลายทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ก็เห็นใช้กันอย่างสนุกสนาน แต่ถ้าย้อนกลับไปดูแนวคิดของท่าน ก่อนที่จะเขียนออกมาเป็นหนังสือที่เป็นตำราหลักของวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้นี่ซิ น่าต๊กกะใจ ท่านบอกไว้ว่า พื้นฐานของคนเรามันมีความละโมบแล้วก็เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว(Wealthy = Greedy + Selfish)ถ้าส่งเสริมให้แต่ละคนแสดงสันดานดิบของตัวเองแย่งชิงทรัพยากรกัน แต่ละคนก็จะได้รวยๆ กัน มาก มาก แล้วถ้าเอาความร่ำรวยของแต่ละคนมารวมๆ กัน เป็นภาพรวมของประเทศ ก็จะกลายเป็น ขนาดจีดีพี(GDP)ของประเทศนั้น ประเทศไหนที่มีขนาดจีดีพีใหญ่..ใหญ่..ประเทศนั้นก็จะร่ำรวยมาก แล้วทุกๆ ประเทศก็จะได้ร่ำรวยกันโดยถ้วนหน้าทั่วโลกถ้าแย่งชิงกัน เขาว่างั้น ดังนั้น โลกยุคหลังๆ ของเราเลยมีคนที่มีคุณธรรมน้อยลงไปกว่าสมัยโบราณมาก เพราะแย่งกันรวย รวยจริงรวยปลอมก็ไม่รู้ บางคนหน้าฉากรวยหลังฉากหนี้ ผู้เขียนเลยคิดว่า น่าจะใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงแบบในหลวงของเรา น่าจะดีกว่า]

เคยปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าคณะผู้วิเคราะห์ทางด้าน*ต๊อง*ในโครงการ*ต๊องต๊อง *ซึ่งเป็นโครงการ
เงินให้ (Grant) ที่จังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ [คือในโลกมันก็มีหลายประเทศ บางประเทศก็มีเงินมาก บางประเทศก็มีเงินน้อย ประเทศที่มีเงินมากเขาก็บริจาคเงินให้ประเทศที่มีเงินน้อย ในรูปโครงการช่วยเหลือต่างๆ ตามที่ประเทศที่มีเงินน้อยจะเขียนโครงการขอไป ในโครงการที่ว่านี้เป็นของฝรั่ง เจ้าของโครงการเขาให้เงินครึ่งหนึ่ง แล้วให้รัฐบาลไทยออกสมทบอีกครึ่งหนึ่ง พอเขาให้มาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะให้เงินมาเฉยๆ ให้เราเอาเงินมาถลุงกันเล่นๆ อย่างสบายอุรา เพราะมันไม่ใช่เงินบาทสองบาท เขาก็ต้องบริหารจัดการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของเขาละ ดังนั้นเขาก็ต้องวิเคราะห์ประเมินผลกันมากมายหลายด้าน ผู้เขียนจับพลัดจับผลูท่าไหนอย่างไรก็ไม่ทราบ ต้องไปวิเคราะห์เพื่อประเมินผลด้าน*ต๊อง*ที่ถูกดูดไปนี้กับเขาด้วย อ้าว อ่านมาถึงตอนนี้เดี๋ยวท่านผู้อ่านรำคาญปาหนังสือเล่มนี้ทิ้งแน่ เพราะยิ่งอ่านยิ่งงง ไม่รู้ว่าเขียนเรื่องอะไร คือว่า ในโครงการหนึ่งๆ มันก็จะมีการวิเคราะห์ประเมินผลในเรื่องต่างๆ อาทิ เช่น การผลิต การบัญชี การส่งเสริม หรือพวกวิเคราะห์เศรษฐกิจต่างๆ อะไรพวกเนี๊ยะ ผู้เขียนก็จับพลัดจับผลูไปกับเขาเรื่องหนึ่งก็แล้วกันฮะ ส่วนชื่อโครงการนั้นก็ต้อง *ต๊อง ต๊อง* คือ ดูด ดูด แน่ๆ อยู่แล้ว เพราะขืนไม่ดูดใครรู้ว่าผู้เขียนคือใคร มีหวังผู้เขียนตายแน่ๆ ถูกเขาตามเก็บหนังสือเล่มนี้ไปชั่งกิโลขายจนผู้เขียนหมดทุน ไม่มีทุนพิมพ์หนังสือแจกแน่ แจกเท่าไรถูกเอาไปชั่งกิโลขายเกลี้ยง เพราะตอนนั้นหน้าที่มันพาไป แล้วทะเล่อทะล่าไปเหยียบตาปลา โดยไปวิเคราะห์ประเมินผลเขาเอาไว้มากไปหน่อยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พอถึงตอนนี้เลยชักผวากลัว โดนเจาะยาง แฮะ แฮะ]

เคยเป็นฝ่ายปฏิบัติการประสานงานในโครงการ * ตุ๊ก ตุ๊ก * ซึ่งเป็นโครงการเงินให้ (Grant)
ที่รัฐบาลไทยให้แก่รัฐบาลอื่น [เขียนถึงโครงการเมื่อกี๊นี้ไปแล้ว นึกขึ้นมาได้ว่าขืนเขียนแบบนี้มีหวังถูกต่อว่าเอาแน่เลยว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง เอาอะไรมาพูด ประเทศเราพัฒนาแล้ว ตึกรามบ้านช่องออกใหญ่โตเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วทำไมต้องไปรับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ความจริงแล้ว เขาให้เราก็มี แล้วก็เราให้เขาก็มีเหมือนกัน อย่างเช่นโครงการที่ว่านี้ แต่โครงการนี้ผู้เขียนทำงานเป็นคนคอยหิ้วกระเป๋า กะ ชงกาแฟให้หัวหน้า ดังนั้นพอหัวหน้าสั่งให้ชงกาแฟ ผู้เขียนก็ชงตามสั่ง ถ้าหัวหน้าบอกว่าหวานไป ผู้เขียนก็ลดน้ำตาลลงนิดหนึ่งตามสั่งอีกเหมือนกัน เพราะถ้าขืนไปใส่น้ำตาลเพิ่มมีหวังวงแตก ถูกไล่กลับกลางคันแน่ๆ]

ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้น 2 จากโครงการพัฒนาตาม *แต๊ง* ในการปฏิบัติงาน
ที่จังหวัดเพชรบูรณ์และปราจีนบุรี[สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกมันก็มีการพัฒนาในตัวของมันเองอยู่แล้ว มันเป็นไปตามหลักธรรมะ อย่าไปพัฒนาเพื่อเพิ่มกิเลสมากเป็นใช้ได้ สำหรับโครงการนี้ก็ไม่ได้ไปพัฒนาเพื่อเพิ่มกิเลส คือให้อยู่กันแบบธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะธรรมะคือธรรมชาติ พัฒนาให้มันเป็นไปตามธรรมะให้มากที่สุด แม้หัวเผือกหัวมันที่มันอยู่ในดินมันก็ต้องพัฒนาตัวมันให้ โตขึ้นๆ อยู่แล้วตามหลักธรรมะ พัฒนาแปลว่าเจริญขึ้นหรือภาษาฝรั่งเขียนว่า Development ภาษาบาลีเขียนว่าภาวนาตัวเดียวกันหมด สมมติชื่อต่างกัน เจริญขึ้นตามแบบหัวเผือกหัวมัน มันเป็นการเจริญขึ้นตามแบบที่เรามองเห็นเป็นรูปธรรมเลย แต่ของเราหรือของมนุษย์เรา หรือในหนังสือเล่มนี้จะเน้นไปที่ส่วนของนามธรรม คือการพัฒนาจิตหรือจิตภาวนามากกว่า]

นักธรรมตรี จากสำนักเรียนวัด * ติ๊ง ติ๊ง * ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี [ คือทำงานไปทำงาน
มา มันก็เป็นทุกข์อยู่ดี ไม่ใช่ว่าทำงานแล้ว มีเงินใช้แล้ว ไม่ทุกข์ ก็ไม่ใช่ เลยคิดศึกษาธรรมะกับเขาบ้าง ก็รู้สึกดีขึ้นนะฮะ ไม่ใช่งานๆๆๆ อยู่อย่างเดียว มันก็ต้องมีอย่างอื่นบ้าง ก็เหมือนกันทุกตำราว่าจะต้องเป็นแบบนี้ ตำราฝรั่งที่ว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็เหมือนกัน เขาบอกว่าจะต้องเรียน เพื่อไปหางานทำ พอหางานทำได้แล้ว จะทำงานจริงๆ ในรายละเอียดบางครั้งทำไม่ได้ ก็ต้องไปฝึกอบรมเอา มันก็ทำได้แล้วงานทุกชนิด คราวนี้พอทำงานแล้วบางทีมันก็ต้องมีเบื่อๆ เซ็งๆ มั่ง อาจจะต้องไปดูหนังฟังเพลง หรือพักผ่อน หรือเจ็บป่วยก็ไปหาหมอ ก็จะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจแข็งแรงขึ้น ว่างั้นเถิด เขาเลยเรียกมันว่าเป็นการพัฒนาตัวมนุษย์นี่แหละ (Development) อย่างพวก ส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น โดยให้ไปออกกำลังกายหรือไปพักผ่อนนันทนาการบ้าง แล้วถ้าเจ็บป่วยก็ไปหาหมอทั้งป่วยกายและป่วยใจ การพัฒนาแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับตัวงานที่ทำ (Not focus on any job) แต่มันก็ทำให้สุขภาพดี แล้วส่งผลต่อมาให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราดีขึ้นด้วย สรุปก็คือตำราฝรั่งบางเล่มเขาบอกว่า Human Resource Management มันอาจแบ่งเป็นสาม Approach คือ Education, Training แล้วก็ Development แต่ตัวที่เราต้องการจะพูดถึงจริงๆก็คือ ตัว Development นี่แหละ เพราะตัวนี้พระพุทธเจ้าทำมาก่อนเป็นพันๆ ปีแล้ว Development แปลว่าพัฒนา หรือภาวนา หรือเจริญขึ้น พวกนี้ความหมายเดียวกันหมด พระพุทธเจ้าท่านทำอานาปานสติภาวนามาตั้งแต่สมัยก่อนบวช ตอนตามเสด็จพระราชบิดาไปในพิธีแรกนาขวัญแล้ว คือภาวนาหรือ Development มานานแล้ว เราอาจทำตามแบบพระพุทธเจ้า คือพอต้องการพักผ่อนก็ทำอานาปานสติซะเลย ไม่ต้องไปดูหนังฟังเพลงที่ไหน หาที่เหมาะๆ หลับตาทำอานาปานสติ พอติดปุ๊บ อยากจะดูหนังฟังเพลงอย่างไรก็จัดการไปตามแบบของ อานาปานสติของเราได้เลย อย่าหัวเราะผู้เขียนนะ คือมันทำได้จริงๆ ผู้เขียนไม่โกหกหรอก เพราะโกหกนี่มันผิดศีลข้อมุสา ผู้เขียนฝึกสมาธิ ถ้าผิดศีลแล้วมันก็นั่งสมาธิไม่ได้เรื่องหรอก เพราะมันต้องเริ่มตั้งแต่ ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา ดังนั้นพอเราอยากจะดูหนังฟังเพลงอย่างไร เราก็นั่งดูมันไปตอนอยู่ในอานาปานสตินี่แหละ ไม่ต้องเสียกะตังด้วย แล้วพอออกจากอานาปานสติปั๊บ ก็สดชื่นแจ่มใสทันทีเลย สดชื่นแจ่มใสกว่าไปดูหนังฟังเพลงเสียอีก เพราะเรากำกับหนังได้เอง อิอิ]

ประกาศนียบัตร ครูสมาธิจากวัด * แต๊ง แต๊ง * ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร [นักธรรมนี่
มันเป็นการศึกษาแบบปริยัติ คราวนี้เลยต้องมาแบบปฏิบัติมั่ง ปฏิบัติมันก็มีหลายอย่าง นั่งสมาธินี่ก็เป็นการปฏิบัติแบบหนึ่ง สมาธิเรายังไม่พอ เราก็ต้องไปสร้างมันเพิ่มเติมขึ้น เพราะการนั่งสมาธินี่มันก็เป็นการสะสมพลังจิต คือว่าคนเรานี้มันอาจแบ่งได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือกายกับจิต เราจะสะสมพลังกาย เราก็ไปออกกำลังกาย วิธีไหนก็ได้ สมมติวิ่งจ๊อกกิ้งก็แล้วกัน วิ่งเสร็จพลังกายมันก็มันก็จะสะสมอยู่ในร่างกายเรานี่แหละ อย่างเช่น วันแรกเราทดลองออกไปวิ่งออกกำลังกายแบบจ๊อกกิ้ง พอวิ่งไปได้ 500 เมตร ก็หอบ แฮก แฮก แฮก แล้ว ไม่ไหวแล้ว เลิกกิจการดีกว่า แต่ถ้าวันดีคืนดีเราฮึดสู้ ทนหอบ แฮก แฮก แฮก คือไปวิ่ง 500 เมตร ให้มันหอบแฮก แฮก แฮก ต่ออีกสักอาทิตย์ เราก็หอบ แฮก แฮก น้อยลง เหลือเพียงสองแฮก แถมเราสามารถวิ่งเพิ่มเป็น 600 เมตร 700 เมตร ได้สบาย อย่างนี้เป็นต้น เพราะร่างกายมันสะสมพลังกายเอาไว้ เหมือนกัน พลังจิตก็เหมือนกัน เราก็นั่งสมาธิเพื่อสะสมพลังจิตของเราไปเรื่อยๆ วันนี้นั่งได้ซัก 10 นาที ทนนั่ง 10 นาทีไปซักอาทิตย์สองอาทิตย์ มันก็นั่งเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น 20 นาที 30 นาที ไปเรื่อยๆ เคยได้ยินคนถามพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็น ปรมาจารย์ในการสอนคนนั่งสมาธิว่า ท่านนั่งสมาธิวันละกี่ชั่วโมง ท่านตอบว่า ก็นั่งให้นานที่สุดเท่าที่จะนั่งได้ ท่านไม่ได้บอกว่านั่งนานเท่าไร แต่ก็เดาเอาว่าท่านต้องนั่งนานแน่ๆ เพราะท่านได้สะสมพลังจิตเอาไว้มากแล้ว อย่ากระนั้นเลย ผู้เขียนเลยเอาอย่างมั่ง พยายามนั่งให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ ไม่บอกกก...ว่านั่งนานเท่าไร อิอิ มันอาย เดี๋ยวผู้อ่านจะรู้ความลับหมดว่า ว้า นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำเลย เมื่อยแล้ว เลิกนั่งแล้ว ไม่ได้เรื่อง]

ปัจจุบัน เขียนหนังสือแนวธรรมะแจกฟรี เรียกว่าเที่ยวไล่แจกฟรีแถมฟรีกันเลย เพียงขอให้
ท่านผู้อ่าน ที่ได้รับหนังสือไปแล้วอ่าน แล้วก็ปฏิบัติตามสักนิดสักหน่อยเถิด แทบกราบกรานเอาเลยทีเดียว ถ้าเบื่ออ่านพวกน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ก็อ่านตอนปฏิบัติ หรือหน้าที่เขียนไว้ว่าอานาปานสติก็ได้ เพราะปฏิบัติแล้ว มันให้ผลทันตาเห็น รู้จากปฏิบัติ หรือรู้จากการชิมเองนี่มันสุดยอดที่สุด เค้าบอกกันว่า ความรู้หรือสิ่งที่เรียกว่าโนเลจ (Knowledge) นี่มันมีที่มาหลายที่ อย่างเช่น รู้จากการฟัง พอฟังเราก็มีความรู้เพิ่มขึ้น ตอนเด็กๆ ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ฟังจากพ่อแม่ เราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้น เป็นต้น แบบที่สองก็คือการอ่าน คือบางทีเราฟังเขามาแล้วอยากรู้รายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก แทนที่เราจะเซ้าซี้ถามคนอื่นให้เสียอารมณ์กันทั้งสองฝ่าย เราก็ไปหาอ่านเอาเอง ซื้อตามร้านหนังสืออ่านก็ได้ หาอ่านตามห้องสมุดก็ได้ หรือเดี๋ยวนี้ยิ่งสบายใหญ่ คลานขึ้นมาจากเตียง ขึ้นไปนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆ เตียงนั่นแหละ เปิดอินเตอร์เน็ตดู ก็รู้หมดว่าเรื่องโน้นเรื่องนี้คนอื่นเขาว่าอย่างไร นี่เป็นความรู้ที่เราได้มาจากแบบที่สอง คือรู้ได้จากการอ่าน แต่ความรู้ทั้งสองแบบนี้ก็ยังไม่รู้ลึกเท่าความรู้ที่ได้มาจากสิ่งที่เราเรียกว่า สันทิฏฐิโก คือรู้เห็นได้ด้วยตัวของตัวเอง อย่างเช่น นาย ก ไก่ เคยกินแต่เกลือ ถ้าพูดถึงความเค็มก็นึกถึงแต่เกลือ ในขณะที่ นาย ข ไข่ เคยกินแต่น้ำปลา ถ้าพูดถึงความเค็มก็จะนึกถึงแต่น้ำปลา คราวนี้ถ้านาย ค ควาย พูดถึงความเค็ม นาย ก ไก่ ก็จะนึกไปถึงความเค็มแบบเกลือ ในขณะที่ นาย ข ไข่ ก็จะนึกไปถึงความเค็มแบบน้ำปลา ทั้งสองคนนี่อธิบายกันด้วยปาก ให้อีกคนหนึ่งเข้าใจไม่ได้ว่า เค็มแบบเกลือมีรสเค็มแบบไหน เค็มแบบน้ำปลามีรสเค็มแบบไหน เผลอๆ อาจจะทะเลาะกันเพราะอธิบายกันไม่เข้าใจ จะไปหาอ่านเอาจากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าของประเทศไหนก็ไม่มีอธิบายไว้ แต่ถ้านาย ก ไก่ ไปชิมน้ำปลาดู หรือนาย ข ไข่ ไปชิมเกลือดู ต่างคนต่างร้อง อ๋อ กันเลยว่า ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง มันเค็มเช่นนี้เอง เค็มแบบนี้เอง เค็มแบบที่มีเหตุปัจจัยของเกลือปรุงแต่ง กับเค็มตามแบบที่มีเหตุปัจจัยของน้ำปลาปรุงแต่งนี่มันต่างกัน เรียกว่าบรรลุธรรมะเลย คือมันต้องชิมเองว่างั้นเถิด หนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน ชิมได้เลย รีบเปิดไปที่หน้า 54 ที่เขียนไว้ว่า อานาปานสติ แล้วทำตามเลย ใช้เวลาไม่นานก็จะจับตัวจิตได้เลย แต่ถ้ายังติดขัดเล็กน้อยก็ให้พลิกกลับไปดูที่ภาคสอง เรื่องมองทฤษฎี คือถ้าปฏิบัติเรายังขัดข้องก็ให้ย้อนกลับไปมองทฤษฎี มันมีทฤษฎีด้วยมีปฏิบัติด้วย รับรองได้เลยว่า ให้ผลทันตาเห็น ผู้เขียนเองลองมาแล้วโรคภัยไข้เจ็บหายหมด แถมหลับสบาย ครอกฟรี๊....ครอกฟรี๊...ตื่นขึ้นมาก็จิตแจ่มใส.....ใจก็สบาย....ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากปลายจมูกของเรานี่เอง ............แฮะ..แฮะ........มีศรัทธาอยากจะฝึกสมาธิรึยังฮะ ผู้เขียนอยากจะให้ท่านผู้อ่านฝึกน่ะฮะ เลยพล่ามใหญ่ ยังไม่มีศรัทธา ยังไม่ประทับใจยังไม่อยากจะฝึก ไม่เป็นไรขออนุญาตพูดใหม่ ขอพูดใหม่ ขอตื้อใหม่อีกครั้งว่า ลมหายใจมันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตเรา ดีไม่ดีมันอยู่ที่ลมหายใจของเรานี่แหละ ชีวิตของเราที่มันโอ๊ล่ะล้า ชุนมุนชุลเกทั้งกายและจิตก็เพราะเราสูดเจ้าลมหายใจเข้าไป แล้วเจ้าร่างกายของเรานี่ เอาออกซิเจนที่ติดเข้าไปกับลมหายใจ ไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง คือสูดเข้าไปเท่าช้างแต่ใช้เท่ามด เกี่ยวกันหรือเปล่าเนียะ สรุปก็คือสูดเข้าไปมากแต่ใช้น้อยก็แล้วกันฮะ เหมือนตัวเลขที่อ้างไว้ในบทขันธ์ 5 เป็นกลไกของระบบการทำงานของมนุษย์ นั่นแหละฮะ แต่ถ้าเราปรับลมหายใจของเราให้ดีๆ ให้เหมาะสม ร่างกายของเราก็จะใช้ออกซิเจนได้มากกว่า ทั้งๆ ที่สูดลมหายใจเข้าไปเท่าเดิม เราก็เลยยิ่งนั่งลมหายใจก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ คือออกแรงน้อยได้ของเท่าเดิมว่างั้นดีกว่าฮะ ดังนั้น หนังสือเล่มนี้ทั้งเล่ม ก็จะเน้นเขียนแต่เรื่องนี้แหละฮะ คือใช้จมูกสูดลมหายใจเข้าไปให้ถูกวิธี ชีวิตของเราก็จะดีเองแหละฮะ เรียกว่าใช้มนต์จากปลายจมูกของเราเองนี่แหละ เสกชีวิตของตัวเราขึ้นมาใหม่ ให้มันพิชิตโรคา อันเนื่องมาจากการนอนไม่หลับทั้งหลาย หรือโรคอื่นๆ หลายโรค จาระไนไม่หมดฮะ ยกตัวอย่างดีกว่า อย่างเช่น โรคเกี่ยวกับความคิดที่คิดวกไปเวียนมาว่า เอ เราเกิดมาท่าไหนหว่า มันจึงต้องมาทนแบกทุกข์จนหลังแอ่นอยู่คนเดี๊ยะ คนอื่นไม่ยักกะช่วยเรามั่ง ไม่เห็นใจเรามั่งเลย โรคอย่างงี้..รับรองนั่งสมาธิแล้วมันหายวับไปกับตาเลย...อิอิ เรียกว่าผู้เขียนกินแล้วอร่อย เลยอยากชวนให้คนอื่นมากินมั่งเท่านั้นแหละไม่มีอะไรมาก ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้ก็มีเพียง ..............เจ้าพ่อคุ๊ณณณณ..... ขอให้ ทุก..ทุก..ท่าน .......ฝึกนั่งสมาธิกันให้.... มาก... มากกกก .... มาก... มากกก .............. มากกกกกกกก ..... เท่า.. ฟ้า....... เล๊ยยยยย.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร