วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ย. 2025, 11:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 100, 101, 102, 103, 104, 105, 106 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บทเหล่านั้น บทว่า กามงกโร หิรญญสส ความว่า เงินทองย่อมเป็นกิริยา
แห่งความใคร่ของเขา. บทว่า ยาวนตํ ความว่า นายพรานนี้ประสงค์ทรัพย์สิน
สักเท่าใด ๆ ท่านทั้งหลายก็จงให้เงินมีประมาณเท่านั้นแก่เขาเถิด.

พระราชาตรัสสั่งให้กระทำอาการคือความเลื่อมใสอย่างนี้ ทรงบันเทิง
ด้วยความปีติและโสมนัส รับสั่งกะพวกอำมาตย์ว่า ท่านทั้งหลายจงไปเถิด
จงไปตบแต่งประดับนายพรานนี้แล้วนำกลับมา. ลำดับนั้น พวกอำมาตย์จึงพา
เขาลงจากพระราชนิเวศน์ ให้ช่างกัลบกตัดผมโกนหนวด แล้วอาบน้ำลูบไล้

ทาตัวประดับ ด้วยเครื่องอลังการ เสร็จแล้วจึงนำกลับมาเฝ้าพระราชา. ลำดับนั้น
พระราชาจึงตรัสสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้หมู่บ้าน ๑๒ หมู่ที่เก็บส่วยได้แสน
กหาปณะในปีหนึ่ง รถที่เทียมม้าอาชาไนย และเรือนหลังใหญ่ที่ตบแต่งไว้แล้ว
ได้ประทานยศใหญ่แก่นายพรานเขมกะนั้น นายพรานนั้นครั้นได้ยศใหญ่แล้ว

ปรารภที่จะประกาศการงานของตน จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
หงส์สองตัวที่ข้าพระองค์นำมาถวายพระองค์นี้ มิใช่หงส์ธรรมดาสามัญ ด้วยว่า
หงส์มีชื่อว่าธตรฐเป็นพระราชาแห่งหมู่หงส์เก้าหมื่นหกพัน ตัวนี้มีชื่อว่าสุมุขะ
เป็นเสนาบดี ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามนายพรานนั้นว่า ดูก่อนสหาย
หงส์ทองสองตัวนี้ ท่านจับมาได้อย่างไร.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเจ้ากาสีทอดพระเนตรเห็นนายพรานผู้มี
ความผ่องใส แล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนเขมกะผู้สหาย ก็
สระโบกขรณีนี้เต็มไปด้วยฝูงหงส์ตั้งอยู่ (น้ำเต็มเปี่ยม)


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อย่างไรท่านจึงถือบ่วงเดินเข้าไปใกล้พญาหงส์ ซึ่งอยู่
ในท่ามกลางฝูงหงส์ ที่น่าชอบใจเกลื่อนกล่นไปด้วย
ฝูงหงส์ที่เป็นญาติ ซึ่งมิใช่หงส์ชั้นกลางได้และจับเอา
มาได้อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสนนตตํ ได้แก่ ผู้มีภาวะผ่องใส คือ
ถึงความโสมนัสยินดีแล้ว. บทว่า ยทายํ ความว่า ดูก่อนเขมกะสหายที่รัก
ถ้าหากว่าสระโบกขรณีของเรานี้ เต็มไปด้วยฝูงหงส์ตั้งเก้าหมื่นหกพันตั้งอยู่ไซร้
บทว่า กถํ รุจี มชฌคตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านถือเอาบ่วงเดินเข้าไป

ใกล้พญาหงส์ที่สูงสุด ซึ่งมิใช่หงส์ชั้นกลาง และมิใช่หงส์ชั้นเล็ก ซึ่งอยู่ใน
ท่านกลางฝูงหงส์ทั้งหลายอันน่ารักน่าดู น่าพึงพอใจเหล่านั้นได้อย่างไร และ
ท่านจับเอามาได้อย่างไร.
นายเขมกะสดับถ้อยคำของพระราชานั้น จึงกราบทูลว่า

วันนี้เป็นราตรีที่ ๗ ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์
เป็นผู้ไม่ประมาท แอบอยู่ในตุ่ม คอยติดตามรอยเท้า
ของพญาหงส์นี้ ซึ่งกำลังเข้าไปยังที่ถือเอาเหยื่อ
ลำดับนั้น ข้าพระองค์ได้เห็นรอยเท้าของพญาหงส์
นั้น ซึ่งกำลังเที่ยวแสวงหาเหยื่อ จึงดักบ่วงลงในที่นั้น
ข้าพระองค์จับพญาหงส์นั้นมาได้ด้วยอุบายอย่างนี้
พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทานานิ ความว่า ที่สำหรับยึดเอา
เป็นที่หากิน. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน บทว่า อุปาสโต คือ
เข้าไปใกล้. บทว่า ปทํ คือ รอยเท้าที่พญาหงส์เหยียบลงในพื้นที่สำหรับ
หากิน. บทว่า ฆฏสสิโต คือ อาศัยอยู่ในกรงที่ทำคล้าย ๆ ตุ่ม. บทว่า

อถสส ความว่า ลำดับนั้น ครั้นถึงวันที่ ๖ ข้าพระองค์ก็ได้เห็นรอยเท้าของ
พญาหงส์นี้ซึ่งเที่ยวแสวงหาที่ถือเอาอาหาร. บทว่า เอวนตํ อธิบายว่า นาย
พรานนั้นกราบทูลอุบายที่ตนจับพญาหงส์ทั้งหมดด้วยคำว่า ข้าพระองค์จับ
พญานกนั้นมาได้ด้วยวิธีอย่างนี้แล.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงพระดำริว่า นายพรานผู้นี้ แม้
ยืนกราบทูลอยู่ที่ประตูวัง ก็กราบทูลถึงการมาของพญาหงส์ธตรฐตัวเดียว แม้
บัดนี้ก็ยังกราบทูลอยู่อีกว่า ขอพระองค์จงทรงรับพญาหงส์ธตรฐนี้ตัวเดียว
เถิด เหตุอะไรจะพึงมีในข้อนี้หนอ จึงตรัสคาถาว่า

ดูก่อนนายพราน หงส์นี้มีอยู่สองตัว ไฉนท่าน
จึงกล่าวว่ามีตัวเดียว จิตของท่านวิปริตไปแล้วหรือไร
หรือว่าท่านคิดจะหาประโยชน์อะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปลวฏฐํ คือ ความแปรปรวน. บทว่า
อาทู กินนุ ชิคึสสิ ความว่า หรือว่าท่านคิดเห็นอย่างไรหนอ พระราชา
ตรัสถามว่า ท่านปรารถนาจะถือเอาพญาหงส์ที่เหลืออยู่อีกตัวหนึ่งนี้ไปให้คน
อื่น จึงคิดหรือ.

ลำดับนั้น นายเนสาทจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ จิตของข้าพระองค์จะได้
วิปริตก็หาไม่ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาที่จะให้หงส์ที่เหลืออีกตัวหนึ่งนี้แก่ผู้อื่น
ด้วยว่า เมื่อข้าพระองค์ดักบ่วงไว้ หงส์ตัวเดียวเท่านั้นติดบ่วง เมื่อจะกระทำ
เนื้อความให้แจ่มแจ้ง จึงทูลว่า

หงส์ตัวที่มีพื้นแดง มีสีงดงามดุจทองคำกำลัง
หลอม รอบ ๆ คอจรดทรวงอกนั้น เข้ามาติดบ่วงของ
ข้าพระองค์ แต่หงส์ตัวที่ผุดผ่องนี้มิได้ติดบ่วง เมื่อ
จะกล่าวถ้อยคำเป็นภาษามนุษย์ ได้ยืนกล่าวถ้อยคำอัน
ประเสริฐกะพญาหงส์ที่ติดบ่วง ซึ่งกระสับกระส่ายอยู่.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลหิตกา ตาลา ได้แก่ พื้นมีสีแดง
คือมีรอยแดง ๓ รอย. บทว่า อุรํ สํหจจ ได้แก่ รอยแดง ๓ รอยนี้พาดลง
ไปทางลำคอจนจรดทรวงอก มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ข้าแต่มหาราช
พญาหงส์ตัวที่มีรอยแดง ๓ รอย มีรัศมีงดงามประดุจทองคำมีสีสุกเหล่านี้

วงล้อมรอบคอลากไปถึงทรวงอกตั้งอยู่นั้น ตัวเดียวเท่านั้นเข้าไปติดในบ่วงของ
ข้าพระองค์. บทว่า ภสสโร คือบริสุทธิ์ ถึงพร้อมแล้วด้วยรัศมี. บทว่า
อาตุรํ คือเป็นไข้ กำลังได้รับทุกข์. บทว่า อฏฐาสิ ความว่า ส่วนพญาหงส์
นี้ ครั้นทราบว่าพญาหงส์ธตรฐติดบ่วง จึงบินกลับมาปลอบเอาใจพญาหงส์
ธตรฐนี้ แต่กระทำการต้อนรับในเวลาที่ข้าพระองค์ไปถึง กระทำการปฏิสันถาร

ด้วยถ้อยคำอันไพเราะกับข้าพระองค์ในท่ามกลางอากาศทีเดียว กล่าวสรรเสริญ
คุณของพญาหงส์ธตรฐด้วยถ้อยคำเป็นภาษามนุษย์มากมาย กระทำใจของ
ข้าพระองค์ให้อ่อนโยนแล้ว ได้ยืนอยู่ข้างหน้าพญาหงส์อีกทีเดียว ข้าแต่
พระองค์ผู้ประเสริฐ ลำดับนั้น ข้าพระองค์ได้สดับถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของ

สุมุขหงส์ เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส จึงได้ปล่อยพญาหงส์ธตรฐไป พญาหงส์
ธตรฐพ้นจากบ่วงด้วยประการฉะนี้ อันการที่ข้าพระองค์นำเอาพญาหงส์ทั้ง
สองตัวนี้ มาในที่นี้นั้น สุมุขหงส์ตัวเดียวได้กระทำขึ้น.

นายเขมกเนสาทนั้น กราบทูลสรรเสริญคุณของสุมุขหงส์อย่างนี้.
พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงมีพระประสงค์ใคร่จะสดับธรรมกถาของสุมุขหงส์
เมื่อพระองค์ทรงกระทำสักการะแก่นายลุททบุตรอยู่ทีเดียว พระอาทิตย์อัสดงคต
แล้วแสงประทีปสว่างไสวอยู่ทั่วไป อิสรชนมีกษัตริย์เป็นต้นมาประชุมกันเป็น

อันมาก แม้พระนางเขมาเทวี ทรงแวดล้อมด้วยนางฟ้อนต่าง ๆ ประทับนั่งข้าง
พระปรัศว์เบื้องขวาของพระราชา. ในขณะนั้น พระราชาทรงพระประสงค์จะ
ให้สุมุขหงส์แสดงธรรมกถาจึงตรัสคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ดูก่อนสุมุขหงส์ เหตุไรหนอ ท่านจึงยืนขบคาง
อยู่ในบัดนี้ หรือว่าท่านมาถึงบริษัทของเราแล้ว กลัว
ภัย จึงไม่พูด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนุ สํหจจ ความว่า ได้ยินว่า ท่าน
มีถ้อยคำอันไพเราะ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรท่านจึงยืนปิดปากเสียในกาลนี้.
บทว่า อาทู คือ บางครั้ง บทว่า ภยา ภีโต ได้แก่ หรือว่าท่านกลัวภัย
อันเกิดจากอำนาจราชศักดิ์ในบริษัทจึงไม่พูด.
สุมุขหงส์ได้สดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะแสดงความที่ตนมิได้เกรงกลัวภัย
จึงกล่าวคาถาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่งชนชาวกาสี ข้า-
พระองค์เข้ามาสู่บริษัทของพระองค์แล้ว จะกลัวภัยก็
หาไม่ ข้าพระองค์จักไม่พูดเพราะกลัวภัยก็หาไม่ แต่
เมื่อประโยชน์เช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว ข้าพระองค์จึงจัก
พูด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาทิเส ความว่า ก็แต่ว่า ข้าพระองค์
นั่งคอยโอกาสที่จะพูดอยู่ด้วยคิดว่า เมื่อประโยชน์เห็นปานนั้นบังเกิดขึ้น เรา
จึงจักพูด.

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงกระทำความแย้มสรวล
เพราะทรงประสงค์จะให้สุมุขหงส์นั้นกล่าวถ้อยคำเพิ่มเติมขึ้นอีก จึงตรัสว่า

เราไม่เห็นบริษัทผู้ยิ่งใหญ่ พลรถ พลเดินเท้า
เกราะ โล่ และนายขมังธนูผู้สวมเกราะของท่านเลย
ดูก่อนสุมุขหงส์ ท่านอาศัยสิ่งใดหรือว่าเข้าไปใน
สถานที่ใดแล้ว ไม่กลัวสิ่งที่จะพึงกลัว เราไม่เห็นสิ่ง
นั้น หรือสถานที่นั้น แม้เป็นเงิน ทอง หรือนครที่
สร้างไว้อย่างดี ซึ่งมีคูรายรอบ ยากที่จะไปได้ มีหอ
รบและเชิงเทิน อันมั่นคงเลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิสฺสรํ ความว่า เรายังมองไม่เห็น
บุคคลผู้ถืออาวุธยืนแวดล้อม เพื่อต้องการรักษาในที่สุดบริษัทของท่านเลย.
บทว่า อสส ในบทว่า นาสส นั่นเป็นเพียงนิบาต. บทว่า จมมํ ได้แก่
หนังสำหรับป้องกันตัว. บทว่า กีตํ วา ได้แก่ แผ่นโลหะ บางทีท่านกล่าวว่า

เป็นแผ่นจานกระเบื้องก็มี. พระราชาทรงแสดงว่า แม้ผู้ที่ถือจานกระเบื้องก็ยัง
ไม่มีในสำนักของท่านเลย. บทว่า วมมิเน ได้แก่ ผูกสอดแล้วด้วยเกราะ
บทว่า น หิรญญํ ความว่า ท่านอาศัยสิ่งใด จึงไม่มีความกลัวภัย เรายัง
มองไม่เห็นสิ่งนั้นแม้จะเป็นเงินในสำนักของท่านเลย.

สุมุขหงส์ เมื่อถูกพระราชาตรัสถามอย่างนี้ว่า อะไรเป็นเหตุที่ท่านไม่
กลัว เมื่อจะบอกถึงเหตุนั้น จึงกราบทูลคาถาต่อไปว่า
ข้าพระองค์ไม่ต้องการด้วยบริษัทผู้ยิ่งใหญ่ หรือ
นคร หรือทรัพย์ เพราะข้าพระองค์ไปสู่ทางโดยสถาน
ที่มิใช่ทาง ข้าพระองค์เป็นสัตว์เที่ยวไปในอากาศ ก็พระ-

องค์ทรงสดับข่าวว่า ข้าพระองค์เป็นบัณฑิตและเป็น
ผู้ละเอียดคิดข้ออรรถ ถ้าพระองค์ทรงดำรงมันอยู่ใน
ในความสัตย์ไซร้ ข้าพระองค์จะพึงกล่าววาจาอันมี
อรรถ ด้วยว่าคำที่ข้าพระองค์กล่าวแล้ว แม้จะเป็น

สุภาษิต ก็จักทำอะไรแก่พระองค์ผู้หาความสัตย์มิได้
ผู้ไม่ประเสริฐ มักตรัสคำเท็จ ผู้หยาบช้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิสสเรน ได้แก่ บริวารผู้รักษา บทว่า
อตโถ ความว่า ข้าพระองค์ไม่มีกิจด้วยสิ่งนี้ เพราะอะไร เพราะข้าพระองค์
สร้างหนทางไปโดยสถานที่อันมิใช่ทาง คือ โดยอันที่ไม่ใช่ทางของบุคคลผู้เช่นกับ

พระองค์ เพราะว่าข้าพระองค์เที่ยวไปในอากาศ บทว่า ปณฑิตาตยมหา
ความว่า ได้ยินว่า พระองค์ทรงสดับว่า ข้าพระองค์เป็นบัณฑิต พระองค์มี
พระประสงค์จะใคร่สดับธรรมจากสำนักของข้าพระองค์ จึงให้จับข้าพระองค์ทั้ง
สองมาด้วยเหตุนั้นแล. บทว่า สจเจ จสสุ ความว่า ก็ถ้าพระองค์เป็นผู้ดำรงอยู่

ในความสัตย์ไซร้ ข้าพระองค์จะพึงกล่าววาจาอาศัยเหตุ. บทว่า อสจจสส ความ
ว่า คำที่ข้าพระองค์กล่าว ถึงจะเป็นสุภาษิตก็จะกระทำอะไรแก่พระองค์ ผู้เว้น
ขาดแล้วจากวจีสัจจะได้ ประดุจเข็มที่ทำด้วยงา ย่อมไม่มีประโยชน์แก่สมณะ
ฉะนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าว
กะเราว่า เราเป็นผู้กล่าวเท็จ มิใช่ผู้ประเสริฐ เรากระทำอะไรไว้เล่า ลำดับ
นั้น สุมุขหงส์จึงกราบทูลกะพระองค์ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าอย่างนั้นพระองค์
จงทรงสดับเถิด แล้วกราบทูลว่า

พระองค์ได้ตรัสสั่งให้ขุดสระชื่อว่า เขมะนี้ ตาม
ถ้อยคำของพวกพราหมณ์ และพระองค์รับสั่งให้
ประกาศอภัยทั่วสิบทิศ หงส์เหล่านั้น จึงได้พากันบินลง
สู่สระโบกขรณี อันมีน้ำใสสะอาด ในสระโบกขรณี
นั้นมีอาหารอย่างเพียงพอ และไม่มีการเบียดเบียนนก
ทั้งหลายเลย พวกข้าพระองค์ได้ยินคำประกาศนี้แล้ว

จึงพากันบินมาในสระของพระองค์ พวกข้าพระองค์
นั้น ๆ ก็ถูกบ่วงรัดไว้ นี่เป็นคำตรัสเท็จของพระองค์
บุคคลกระทำมุสาวาท และความโลภคือความอยากได้
อันลามก เป็นเบื้องหน้าแล้ว ก้าวล่วงปฏิสนธิในเทว-
โลกและมนุษยโลกทั้งสอง ย่อมเข้าถึงนรกอันไม่น่า
เพลิดเพลิน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ได้แก่ ตวํ ตัวพระองค์เอง. บทว่า
เขมํ ได้แก่ สระโบกขรณีซึ่งมีชื่ออย่างนี้. บทว่า ฆุฏฐ ได้แก่ พระองค์รับ
สั่งให้บุคคลยืนประกาศอยู่ ที่มุมสระทั้ง ๔ มุม. บทว่า ทสธา ได้แก่ พระองค์
ประกาศอภัยนั้นในทิศทั้งสิบเหล่านี้. บทว่า โอคคยห ได้แก่ จากสำนักของ
หงส์ที่บินลงแล้ว จึงมาแล้ว. บทว่า ปหูตํ ขาทนํ ได้แก่ มีอาหารสำหรับ

กินเป็นต้นว่า ดอกปทุม ดอกอุบล และข้าวสาลีอย่างเพียงพอ. บทว่า อิทํ
สุตวา ความว่า ได้ยินอภัยโทษนี้ จากสำนักของหงส์เหล่านั้นซึ่งบินลงยัง
สระโบกขรณีของพระองค์แล้ว จึงกลับมาแล้ว. บทว่า ตวนติเก ความว่า
ข้าพระองค์จึงพากันมายังสระโบกขรณีที่พระองค์ได้ขุดขึ้นในสำนักของพระองค์.
บทว่า เต เต ได้แก่ พวกข้าพระองค์นั้น ๆ ก็ได้พากันติดบ่วงของพระองค์.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บทว่า ปรุกเขตวา ได้แก่ กระทำไว้ข้างหน้า. บทว่า อิจฉาโลภํ ได้แก่
ความโลภอันลามกกล่าวคือความอยากได้. บทว่า อุโภสนธึ ความว่า บุคคล
ผู้ประพฤติธรรมอันลามกเหล่านี้ กระทำไว้ในเบื้องหน้า ย่อมก้าวล่วงปฏิสนธิ
ในเทวโลกและมนุษยโลก ชื่อว่า ย่อมก้าวล่วงปฏิสนธิอันเป็นสุคติ. บทว่า
อสาตํ ได้แก่ ย่อมเข้าถึงนรก.

สุมุขหงส์ กระทำพระราชาให้ขวยเขินพระทัยในท่ามกลางบริษัทอย่าง
นี้ทีเดียว ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามสุมุขหงส์นั้นว่า ดูก่อนสุมุขหงส์ ใช่
ว่าเรามีความประสงค์ จะไปจับท่านมาฆ่ากินเนื้อก็หาไม่ แต่เราทราบว่า ท่าน
เป็นบัณฑิต ประสงค์จะฟังถ้อยคำอันเป็นสุภาษิต จึงได้ให้จับท่านมา เมื่อจะ
ทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

ดูก่อนสุมุขหงส์ เรามิได้ทำผิด ทั้งมิได้จับท่าน
มาด้วยความโลภ ก็เราได้สดับมาว่า ท่านทั้งหลาย
เป็นบัณฑิต เป็นผู้ละเอียด และคิดข้ออรรถ ทำไฉน
ท่านทั้งหลายจึงจะมากล่าววาจาอันอาศัยอรรถในที่นี้
ดูก่อนสุมุขหงส์ผู้สหาย นายพรานผู้นี้เราสั่งไป จึงไป
จับเอาท่านมา ด้วยความประสงค์นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาปรชฌาม ความว่า เราฆ่าท่านเสีย
จึงจะชื่อว่าประพฤติผิด แต่เรามิได้ฆ่าท่านเลย. บทว่า โลภาย มคคหึ ความ
ว่า ทั้งเราประสงค์จะกินเนื้อท่านจึงได้จับท่านมา ด้วยความโลภก็หาไม่. บทว่า
ปณฑิตาตยตถ ความว่า แต่เราได้ยินว่าท่านเป็นบัณฑิต. บทว่า อตถจิน-

ตถา ได้แก่ จะคิดค้นข้อความอันลี้ลับได้. บทว่า อตถวตึ ได้แก่ ถ้อยคำ
อันอาศัยเหตุ. บทว่า ตถา แปลว่า ด้วยเหตุนั้น. บทว่า วุตโต แปลว่า เป็น
ผู้อันเรากล่าวแล้ว. บทว่า สุมุข มคคหิ คือร้องเรียกว่า ดูก่อนสุมุขะเอ๋ย
ม อักษร กระทำการเชื่อมบท. บทว่า อคคหิ ความว่า เราจับมาเพื่อให้แสดง
ธรรมต่างหาก.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สุมุขหงส์ ได้สดับคำนั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระ-
องค์มีประสงค์เพื่อจะทรงสดับคำอันเป็นสุภาษิต ทรงกระทำกิจอันไม่สมควร
เสียแล้ว แล้วกราบทูลว่า

ข้าแต่พระจอมแห่งชนชาวกาสี เมื่อชีวิตน้อมเข้า
ไปใกล้ความตายแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย ถึงมรณ-
กาลแล้ว จะไม่พึงกล่าววาจาอันมีเหตุเลย ผู้ใดฆ่าเนื้อ
ด้วยเนื้อต่อ ฆ่านกด้วยนกต่อ หรือดักผู้เลื่องลือด้วย

เสียงที่เลื่องลือ จะมีอะไรเป็นความเลวทรามยิ่งกว่า
ความเลวทรามของผู้นั้น ก็ผู้ใดพึงกล่าววาจาอัน
ประเสริฐ ผู้นั้นย่อมพลาดจากโลกทั้งสอง คือโลกนี้
และโลกหน้า บุคคลได้รับยศแล้วไม่พึงมัวเมา ถึง
ความทุกข์อันเป็นเหตุสงสัยในชีวิตแล้ว ไม่พึงเดือด

ร้อน พึงพยายามในกิจทั้งหลายร่ำไป และพึงปิดช่อง
ทั้งหลาย ชนเหล่าใดเป็นผู้เจริญ ถึงเวลาใกล้ตายไม่
ล่วงเลยประโยชน์อย่างยิ่ง ประพฤติธรรมในโลกนี้ ชน
เหล่านั้นย่อมไปสู่ไตรทิพย์ด้วยประการอย่างนี้ ข้าแต่

พระจอมแห่งชนชาวกาสี พระองค์ทรงสดับคำนี้แล้วขอ
จงทรงรักษาธรรมในพระองค์ และได้ทรงโปรดปล่อย
พญาหงส์ธตรฐ ซึ่งประเสริฐสุดกว่าหงส์ทั้งหลายเถิด
พระเจ้าข้า.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนีตสมิ ได้แก่ น้อมเข้าไปใกล้
ความตาย. บทว่า กาลปริยายํ ความว่า พระองค์ถึงวาระใกล้มรณกาลแล้ว
จักไม่กล่าวอะไรเลย พระองค์ผูกมัดผู้ที่จะแสดงธรรมกถาแล้ว ขู่ให้กลัวด้วย
มรณภัย คิดว่าเราจักฟังธรรมดังนี้ ชื่อว่า กระทำกรรมอันไม่สมควรแล้ว.
บทว่า มิเคน ได้แก่ เนื้อที่ได้รับการฝึกหัดไว้เป็นอย่างดีแล้ว. บทว่า หนฺติ

ก็คือ หนติ (เป็นเอกวจนะ) แปลว่า ย่อมฆ่า. บทว่า ปกขินา ได้แก่ นกที่
นำมาล่อนั่นแหละ. บทว่า สุเตน วา ได้แก่ สระดอกปทุม เช่นเดียว
กับเนื้อและนกต่ออันปรากฏเสียงลือกันว่า เขมสระไม่มีภัย. บทว่า สุตํ ได้แก่
ผู้แสดงธรรมที่เลื่องลือกันอย่างนี้ว่า ท่านผู้เป็นบัณฑิต มีปกติกล่าวถ้อยคำอัน

วิจิตร. บทว่า กีเลย ความว่า ผู้ใดดักผู้เลื่องลือ คือพึงเบียดเบียนทำให้เดือด
ร้อน ด้วยเครื่องผูกคือบ่วงด้วยคิดว่า เราจักฟังธรรม. บทว่า ตโต ความว่า
สิ่งอะไรอย่างอื่นที่จะเลวทรามของชนเหล่านั้นยังมีอยู่อีกเล่า. บทว่า อริยรุทํ
ความว่า ผู้ใดกล่าวคำอันประเสริฐ คือถ้อยคำอันดีแต่ปาก. บทว่า ธมม-

วสสิโต ได้แก่ อาศัยธรรมอันเลวทรามนั้นด้วยการกระทำ. บทว่า อุโภ คือ
จากโลกทั้งสองคือเทวโลกและมนุษยโลก. บทว่า อิธ เจว ความว่า บุคคล
นี้แม้บังเกิดในโลกนี้บังเกิดในโลกหน้า คือบุคคลเห็นปานนี้ชื่อว่า กำจัดเสีย
จากโลกแห่งสุคติทั้งสองเสียแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกอย่างเดียว. บทว่า ปตตสํสยํ

ได้แก่ บุคคลแม้ถึงความสงสัยในชีวิตคือถึงความทุกข์แล้วก็ไม่พึงลำบาก. บทว่า
สํวเร วิวรานิ จ ความว่า พึงปิดพึงกั้นเสียซึ่งช่องทะลุของตน. บทว่า วุฑฒา
ได้แก่เป็นบัณฑิตผู้เจริญด้วยคุณ. บทว่า สมปตตา กาลปริยายํ ได้แก่
เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งเวลาใกล้มรณกาล ไม่ล่วงพ้นไปได้แล้ว. บทว่า เอเวเต ตัด

บทเป็น เอวํ เอเต บทว่า อิทํ ได้แก่ ถ้อยคำอันอาศัยเหตุที่ข้าพระองค์
กราบทูลไว้แล้วนี้. บทว่า ธมมํ ได้แก่ ทั้งธรรมที่เป็นประเพณีทั้งธรรมที่
เป็นสุจริต.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า
ชาวพนักงานทั้งหลาย จงนำน้ำ น้ำมันทาเท้า
และอาสนะอันมีค่ามากมาเถิด เราจะปล่อยพญาหงส์
ธตรฐ ซึ่งเรืองยศออกจากกรง และสุมุขหงส์เสนาบดี

ที่มีปัญญา เป็นผู้ละเอียดคิดอรรถที่ยากได้ง่าย ผู้ใด
เมื่อพระราชามีสุขก็สุขด้วย เมื่อพระราชามีทุกข์ก็ทุกข์
ด้วย ผู้เช่นนี้แลย่อมสมควรเพื่อจะบริโภคก้อนข้าวของ
นายได้ เหมือนสุมุขหงส์เป็นราชสหายทั่วไปแก่สัตว์
มีชีวิต ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทกํ ได้แก่ น้ำสำหรับล้างเท้า. บทว่า
ปชชํ ได้แก่ น้ำมันชโลมเท้า. บทว่า สุเข ได้แก่ เมื่อทรงสำราญอยู่.

พวกชาวพนักงานมีอำมาตย์เป็นต้น ได้ฟังรับสั่งของพระราชาแล้ว จึง
นำอาสนะมาเพื่อพญาหงส์ทั้งสองนั้น แล้วจึงล้างเท้าของพญาหงส์ทั้งสอง
นั้น ซึ่งจับอยู่บนอาสนะด้วยน้ำหอม ชโลมด้วยน้ำมันที่เคี่ยวให้เดือดแล้วตั้ง
ร้อยครั้ง.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พญาหงส์ธตรฐเข้าไปเกาะตั่ง อันล้วนแล้วไป
ด้วยทองคำมี ๘ เท้า น่ารื่นรมย์ใจ เกลี้ยงเกลา ลาด
ด้วยผ้าแคว้นกาสี สุมุขหงส์เข้าไปเกาะเก้าอี้ อันล้วน
แล้วไปด้วยทองคำ หุ้มด้วยหนังเสือโคร่ง ในลำดับ
แห่งพญาหงส์ธตรฐ ชนชาวกาสีเป็นอันมาก ต่าง
ถือเอาโภชนะอันเลิศที่เขาส่งไปถวายพระราชา นำเข้า
ไปให้แก่พญาหงส์ทั้งสองนั้น ด้วยภาชนะทองคำ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏฐํ ได้แก่ เป็นตั่งที่สำเร็จขึ้นด้วย
การกระทำ. บทว่า กาสิกวตถินํ ได้แก่ เป็นตั่งที่ปูลาดด้วยผ้าอันมาจาก
แคว้นกาสี. บทว่า โกจฉํ ได้แก่ ตั่งที่เขาสานไว้ในท่ามกลาง. บทว่า
เวยยคฆปริสิพพิตํ ได้แก่ ตั่งสำหรับเป็นที่ประทับนั่งของพระอัครมเหสี
ในวันมงคล หุ้มด้วยหนังเสือโคร่ง กาญจนปตเตหิ ได้แก่ ภาชนะทองคำ.

บทว่า ปุถู ได้แก่ เป็นจำนวนมาก บทว่า กาสิโย ได้แก่ ชนผู้อยู่ใน
แคว้นกาสี. บทว่า อภิหาเรสุํ คือ น้อมเข้าไป. บทว่า อคคํ รญโญ
ปวาสิตํ ความว่า ชนชาวกาสีเป็นอันมาก นำเอาโภชนะมีรสอันเลิศต่าง ๆ
ที่พวกเขาใส่ไว้ ในจานทอง ๑๐๘ ใบ สำหรับส่งไปถวายพระราชา เข้าไปเพื่อ
ประโยชน์เป็นบรรณาการแก่พญาหงส์.

ก็เมื่ออำมาตย์น้อมนำโภชนะนั้นเข้าไปอย่างนี้แล้ว พระเจ้ากาสิกราช
ทรงรับภาชนะทองคำจากมือของพวกอำมาตย์เหล่านั้น ด้วยพระหัตถ์แล้ว จึง
ทรงน้อมนำเข้าไปด้วยพระองค์เองเพื่อจะทรงยกย่อง พญาหงส์ทั้งสองนั้น จึง
จิกกินข้าวตอกอันระคนด้วยน้ำผึ้งจากภาชนะนั้น และจึงดื่มน้ำหวาน ลำดับนั้น
พระมหาสัตว์เห็นอาการที่นำมาล้วนแต่ของดีเลิศ และความเลื่อมใสของพระ-
ราชาจึงได้กระทำปฏิสันถาร.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พญาหงส์ธตรฐที่ฉลาด เห็นโภชนะอันเลิศที่
เขานำมาให้ อันพระเจ้ากาสีประทานส่งไป จึงได้ถาม
ธรรมเนียม เครื่องปฏิสันถารในกาลเป็นลำดับนั้นว่า
พระองค์ไม่มีพระโรคาพาธแลหรือ ทรงสำราญดีอยู่
หรือ ทรงปกครองรัฐมณฑลอันสมบูรณ์นี้โดยธรรม
หรือ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาตรัสว่า
ดูก่อนพญาหงส์ เราไม่มีโรคาพาธ อนึ่ง เรามี
ความสำราญดี และเราก็ปกครองรัฐมณฑลอันสมบูรณ์
นี้โดยธรรม.
พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
โทษอะไร ๆ ไม่มีในหมู่อำมาตย์ของพระองค์
แลหรือ และอำมาตย์เหล่านั้น ไม่อาลัยชีวิตในประโยชน์
ของพระองค์แลหรือ.

พระราชาตรัสตอบว่า
โทษอะไร ๆ ไม่มีในหมู่อำมาตย์ของเรา และ
อำมาตย์เหล่านั้นไม่อาลัยชีวิตในประโยชน์ของเรา.
พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
พระมเหสีซึ่งมีพระชาติเสมอกัน ทรงเชื่อฟัง มี
พระเสาวนีย์อันน่ารัก ทรงประกอบด้วยพระโอรส
พระรูป พระโฉม และพระยศ เป็นไปตามพระราช
อัธยาศัยของพระองค์แลหรือ.

พระราชาตรัสตอบว่า
พระมเหสีซึ่งมีพระชาติเสมอกัน ทรงเชื่อฟัง
มีพระเสาวนีย์อันน่ารัก ทรงประกอบด้วยพระโอรส
พระรูป พระโฉม และพระยศ เป็นไปตามอัธยาศัย
ของเรา.
พระมหาสัตว์ทูลถามว่า

พระองค์มิได้ทรงเบียดเบียนชาวแว่นแคว้น ทรง
ปกครองให้ปราศจากอันตรายแต่ที่ไหน ๆ โดยความ
ไม่เกรี้ยวกราด โดยธรรม โดยความสม่ำเสมอแลหรือ.
พระราชาตรัสตอบว่า
เรามิได้เบียดเบียนชาวแว่นแคว้น ปกครองให้
ปราศจากอันตรายแต่ที่ไหน ๆ โดยความไม่เกรี้ยวกราด
โดยธรรม โดยความสม่ำเสมอแลหรือ.
พระมหาสัตว์ทูลถามว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระองค์ทรงยำเกรงสัตบุรุษ ทรงเว้นอสัตบุรุษ
แลหรือ พระองค์ไม่ทรงละทิ้งธรรม ไม่ทรงประพฤติ
คล้อยตามอธรรมแลหรือ.
พระราชาตรัสตอบว่า
เรายำเกรงสัตบุรุษ เว้นอสัตบุรุษ ประพฤติคล้อย
ตามธรรม ละทิ้งอธรรม.

พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ พระองค์ทรง
พิจารณาเห็นชัดซึ่งพระชนมายุ อันเป็นอนาคตยังยืน
ยาวอยู่หรือ พระองค์ทรงมัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้ง
แห่งความมัวเมา ไม่สะดุ้งกลัวปรโลกหรือ.
พระราชาตรัสตอบว่า

ดูก่อนพญาหงส์ เราพิจารณาเห็นชัดซึ่งอายุ
อันเป็นอนาคตยังยืนยาวอยู่ เราตั้งอยู่แล้วในธรรม
๑๐ ประการ จึงไม่สะดุ้งกลัวปรโลก เราเห็นกุศลธรรม
ที่ดำรงอยู่ในตนเหล่านี้ คือ ทาน ศีล การบริจาค
ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความเพียร ความไม่
โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน และความ

ไม่พิโรธ แต่นั้นมีปีติและโสมนัสไม่ใช่น้อย ย่อมเกิด
แก่เรา ก็สุมุขหงส์นี้ ไม่ทันคิดถึงคุณสมบัติของเรา
ไม่ทราบความประทุษร้ายแห่งจิต จึงเปล่งวาจาอัน
หยาบคาย ย่อมกล่าวถึงโทษที่ไม่มีอยู่ในเรา คำของ
สุมุขหงส์นี้ ย่อมไม่เป็นเหมือนคำของคนมีปัญญา.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2019, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวา ได้แก่ มองเห็นเครื่องดื่มและ
เครื่องบริโภคอันเลิศมากมายเหล่านั้น. บทว่า เปสิตํ ได้แก่ ที่พระราชาให้
นำมาแล้วทรงน้อมเข้าไปให้. บทว่า ขตตธมมานํ ได้แก่ ธรรมสำหรับ
กระทำปฏิสันถาร ในบุคคลผู้กระทำคราวแรก. บทว่า ตโต ปุจฉิ อนนตรา
คือในกาลนั้น บทว่า กจจิ นุ โภโต ความว่า คาถา ๖ คาถาที่พญาหงส์

ธตรฐทูลถามตามลำดับ ล้วนมีเนื้อความกล่าวไว้แล้วแต่หนหลังทีเดียว. บทว่า
อนุปปีฬํ ได้แก่ พญาหงส์ธตรฐทูลถามว่า พระองค์มิได้ทรงบีบคั้นชาว
เมือง เหมือนบุคคลบีบอ้อยด้วยเครื่องยนต์บ้างหรือ. บทว่า อกุโตจิอุปทฺทวํ
ได้แก่ หาอันตรายจากที่ไหน ๆ มิได้เลย บทว่า สเมน อนุสาสสิ ได้แก่
พระองค์ทรงปกครองแคว้นนี้ โดยธรรม โดยสม่ำเสมออยู่หรือ. บทว่า สนฺโต

ได้แก่ ท่านผู้เป็นสัปบุรุษซึ่งประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น บทว่า นิริงกตวา
คือไม่ละทิ้งธรรม. บทว่า อนาคตํ ทีฆํ ได้แก่ พระองค์ทรงเห็นชัดพระ-
ชนมายุของพระองค์อันเป็นอนาคตว่า ยังเป็นไปยั่งยืนอยู่หรือ บทว่า สมเวก-
ขสิ ความว่า พญาหงส์ธตรฐทูลถามว่า พระองค์ทรงทราบว่า อายุสังขาร

เป็นของน้อยหรือ. บทว่า มทนีเย คือในอารมณ์มีรูปเป็นต้น ที่นำความ
มึนเมามา. บทว่า น สนฺตสิ คือไม่ทรงหวาดกลัว มีคำที่ท่านกล่าวอธิบาย
ไว้ว่า พระองค์เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วในกามคุณทั้งหลายมีรูปเป็นต้น มิได้ทรง
สะดุ้งกลัวต่อปรโลก เพราะทรงกระทำกุศลมีทานเป็นต้นหรือ. บทว่า ทสสุ

หมายเอาราชธรรม ๑๐ ประการ เจตนาที่เป็นไปในทานเป็นต้น ชื่อว่า ทาน
ศีล ๕ และศีล ๑๐ เป็นต้น ชื่อว่า ศีล การบริจาคไทยธรรม ชื่อว่า บริจาค ความ
เป็นผู้ซื่อตรง ชื่อว่าความซื่อตรง ความเป็นผู้อ่อนโยน ชื่อว่าความอ่อนโยน
กรรมคือการรักษาอุโบสถ ชื่อว่า ตบะ ส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตา ชื่อว่า ความ
ไม่โกรธ ส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา ชื่อว่า ความไม่เบียดเบียน ความอดกลั้น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 100, 101, 102, 103, 104, 105, 106 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร