วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ย. 2025, 01:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 103, 104, 105, 106, 107, 108, 109 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่มหามุนี ผู้สูงสุดกว่าผู้บูชาทั้งหลาย
ข้าพเจ้าปรารถนาความสุขแก่นรชนใด นรชนนั้นบัน-
เทิงอยู่ด้วยสรรพกามสมบัติทั้งหลาย ท่านจงรู้จัก
ข้าพเจ้าว่า สิรี ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญาอันประเสริฐ ขอ
ท่านจงแบ่งสุธาโภชน์ให้ข้าพเจ้าบ้างเถิด.

ในคาถานั้นมีคำอธิบายว่า คำว่า ลำดับนั้น คือ ในกาลนั้น คำว่า
อนุมัติ คือ รับรู้แล้ว อธิบายว่า เป็นผู้อันท้าวสักกะผู้ประเสริฐกว่าเทวดา
ทั้งหลาย อนุมัติแล้วด้วย ส่งไปแล้วด้วยในกาลนั้น คำว่า เป็นผู้บันเทิง
อย่างยิ่ง อธิบายว่า เป็นผู้รื่นเริงอย่างยิ่ง ทุกนางมิได้มีเหลือเลย พระบาลี
บางฉบับเป็น สามํ แปลว่า เอง อธิบายว่า ก็โกสิยดาบสนั้นเห็นนางเทพ-

กัญญาเหล่านั้นเองทีเดียว คำว่า ๔ หมายเอานางเทพกัญญาทั้ง ๔ อีกอย่าง
หนึ่ง พระบาลีเป็นจตุราก็มี อธิบายว่า ประกอบพร้อมด้วยทิศทั้ง ๔ คำว่า
ประเสริฐกว่าดาวทั้งหลาย คือ ประเสริฐกว่าดวงดาราทั้งหมด คำว่า
มีร่างกายคล้ายรูปทองคำ คือมีสรีระเหมือนกับรูปเปรียบทองคำ คำว่า

ข้าพเจ้ามีชื่อว่า นางสิรี คือ ข้าพเจ้ามีนามว่า สิรี คำว่า มาสู่สำนัก
ของท่าน คือมายังสำนักของพระผู้เป็นเจ้า คำว่า จงแบ่ง คือ แบ่งให้
ข้าพเจ้าได้ด้วยประการใด ขอท่านจงทำด้วยประการนั้นเถิด อธิบายว่า จงให้
สุธาโภชน์แก่ข้าพเจ้าบ้าง คำว่า จงรู้ คือจงรู้จัก คำว่า สูงสุดกว่าผู้บูชาทั้ง
หลาย คือเป็นผู้อุดมกว่าผู้บูชาอยู่ซึ่งไฟ.

โกสิยดาบสสดับคำนั้น จึงกล่าวคาถาว่า
นรชนทั้งหลายผู้มีความเพียรประกอบด้วยศิลปะ
วิทยาและความประพฤติดี ความรู้และการงานของตน
เป็นผู้ท่านละทิ้งเสียแล้ว ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร
กิจที่มีความขาดแคลนอันใดที่ท่านทำแล้ว กิจนั้นไม่ดี

เลย. เราเห็นนรชนผู้เป็นบุรุษเกียจคร้าน บริโภคมาก
ทั้งมีตระกูลต่ำมีรูปแปลก ดูก่อนนางสิรี นรชนที่ท่าน
รักษาไว้แม้สมบูรณ์ด้วยชาติ ผู้มีโภคทรัพย์ มีความสุข


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ย่อมใช้เหมือนทาส เพราะฉะนั้น เรารู้จักท่านเป็นผู้
ไม่มีสัจจะ ไม่รู้สิ่งที่ควรและไม่ควรแล้ว และเสพคบ
หาเป็นผู้หลงนำผู้รู้ให้ตกไปตาม นางเทพธิดาเช่นท่าน
ย่อมไม่สมควรอาสนะและน้ำ สุธาโภชน์จักมีแต่ไหน
เล่า จงไปเสียเถิด ท่านไม่ชอบใจแก่เรา.

ในคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า คำว่า ศิลป คือประกอบด้วยศิลปะ
มีศิลปะที่เกี่ยวกับช้างม้ารถและธนูเป็นต้น. คำว่า วิทยาและความประพฤติดี
หมายเอาวิชาที่นับเอาพระเวททั้ง ๓ และศีล คำว่า ความรู้และการงานของ
ตน คือเป็นผู้ประกอบด้วยความเพียรแห่งบุรุษของตน คำว่า อะไร คือ
ว่า ย่อมไม่ได้ยศหรือความสุข แม้มีประมาณเล็กน้อย. คำว่า กิจนั้น คือ

ความกังวลอันใดที่ท่านกระทำแล้ว แก่บุคคลผู้เรียนศิลปะทั้งหลายแล้วเที่ยวไป
เมื่อต้องการความเป็นใหญ่กิจนั้นไม่ดีเลย. คำว่า มีรูปแปลก คือมีรูปผิดปกติ.
คำว่า ที่ท่านรักษาไว้ คือที่ท่านตามรักษาไว้แล้ว คำว่า สมบูรณ์ด้วยชาติ
คือถึงพร้อมแล้วด้วยชาติบ้าง ถึงพร้อมแล้วด้วยศิลปะวิทยาความประพฤติและ

การงานอันประกอบด้วยปัญญาบ้าง. คำว่า ย่อมใช้ คือย่อมกระทำการใช้สอย
คำว่า เพราะฉะนั้น คือเหตุนั้น. คำว่า ไม่มีสัจจะ คือท่านไม่มีสัจจะ เพราะ
ไม่ประพฤติอยู่ในสัจจะที่นับว่า สภาวะ คือเว้นจากความเป็นผู้สูงสุด คำว่า
ไม่รู้และเสพคบหา คือไม่แบ่งไม่รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร เสพอยู่ซึ่งนรชน

นอกนี้แม้ถึงพร้อมแล้วด้วยศิลปะเป็นต้น คำว่า ทำผู้รู้ให้ตกไปตาม คือทำ
บัณฑิตให้ตกไปตาม คือทำบัณฑิตให้ตกไปแล้วเที่ยวเบียดเบียนอยู่ คำว่า
สุธาโภชน์จักมีแต่ที่ไหนเล่า อธิบายว่า สุธาโภชน์ของท่านผู้มีคุณเลวทราม
เช่นนั้นจะมีแต่ที่ไหน ท่านย่อมไม่ชอบใจเรา ท่านจงกลับไปเสีย อย่าอยู่ในที่นี้
เลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นางสิรีเทพธิดานั้น ครั้นถูกโกสิยดาบสนั้นห้ามแล้ว ก็อันตรธาน
หายไปในที่นั้นนั่นเอง ลำดับนั้น โกสิยดาบสนั้นเมื่อจะเจรจากับนางอาสา
เทพธิดา จึงกล่าวคาถาต่อไปว่า
ใครนั่นเป็นผู้มีฟันขาว สวมกุณฑลมีร่างกาย
อันวิจิตร ทรงเครื่องประดับเกลี้ยงเกลาทำด้วยทองคำ
นุ่งห่มผ้ามีสีดังสายน้ำหยด ย่อมงดงามเหมือนดัง
ประดับช่อดอกไม้มีสีแดงดุจเปลวไฟไหม้หญ้าคา

ฉะนั้น. ท่านเป็นเหมือนนางเนื้อทรายคะนอง ที่นาย
ขมังธนูยิงผิดแล้ว มองดูอยู่ดุจทำเขลา ฉะนั้น ดูก่อน
นางเทพธิดาผู้มีดวงตาอันขาว ในที่นี้ ใครเป็นสหาย
ของท่าน ท่านอยู่ในป่าใหญ่ แต่ผู้เดียวไม่กลัวหรือ.

ในคาถานั้นมีอธิบายว่า คำว่า มีร่างกายอันวิจิตร คือประกอบด้วย
องค์อวัยวะอันวิจิตร คำว่า ทรงเครื่องประดับเกลี้ยงเกลาทำด้วยทองคำ
คือทรงเครื่องอลังการทองคำอันเกลี้ยงเกลา อันสำเร็จขึ้นจากการกระทำ คำว่า
มีสีดังสายน้ำหยด คือ นุ่งห่มผ้าทุกูลพัสตร์อันเป็นทิพย์ มีสีดุจสายน้ำที่หยด

ลงแล้ว. คำว่า นุ่งห่ม คือทั้งนุ่งแล้วด้วย ห่มแล้วด้วย คำว่า แดงดุจ
เปลวไฟไหม้หญ้าคา คือ มีสีแดงเหมือนเปลวแห่งไฟที่กำลังไหม้หญ้าคา
คำว่า ประดับช่อดอกไม้ มีคำอธิบายว่า ประดับช่อดอกไม้ เช่นช่อดอกอโศก
ที่หูทั้งสองข้าง. คำว่า นายขมังธนู หมายเอานายพราน คำว่า ยิงผิด

คือ ยิงพลาดไป คำว่า ดุจทำเขลา อธิบายว่า นางเนื้อนั้นกลัวแล้ว จึง
ยืนอยู่ในระหว่างป่ามองดูนายพรานนั้นดุจทำเป็นเขลา ฉันใด ท่านก็แลดูเรา
ฉันนั้นเหมือนกัน.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในลำดับนั้น นางอาสา จึงตอบว่า
ข้าแต่โกสิยดาบส ในที่นี้สหายของข้าพเจ้า
ย่อมไม่มี ข้าพเจ้าเป็นเทวดามีชื่อว่า อาสา เกิดใน
ดาวดึงส์พิภพ มาสู่สำนักของท่านเพราะหวังสุธาโภชน์
ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญาอันประเสริฐ ท่านจงแบ่งสุธา
โภชน์นั้นให้แก่ข้าพเจ้าบ้าง.

คำว่า เกิดในดาวดึงส์พิภพ ในคาถานั้น หมายความว่า เป็นผู้เกิด
พร้อมแล้วในพิภพชั้นดาวดึงส์.

โกสิยดาบสสดับคำนั้น เมื่อจะแสดงว่า ท่านให้ความหวังด้วยความ
สำเร็จผลแห่งความหวังแก่บุคคลที่ท่านชอบใจ หาให้แก่ผู้ที่ท่านไม่ชอบใจไม่
ความพินาศแห่งความปรารถนาที่ท่านตั้งใจไว้โดยชอบมิได้มี ดังนี้ ได้กล่าว
เป็นคาถาว่า

พ่อค้าทั้งหลาย มีความหวังแสวงหาทรัพย์ ย่อม
ขึ้นเรือแล่นไปในทะเล อนึ่ง พ่อค้าเหล่านั้น ย่อมจม
ในท่ามกลางมหาสมุทรนั้น ในกาลบางครั้ง เขามี
ทรัพย์สิ้นไป ทั้งทรัพย์อันเป็นต้นทุนก็สูญหายไปแล้ว
ก็กลับมา ชาวนาทั้งหลาย ย่อมไถนาด้วยความหวัง
หว่านพืชก็กระทำโดยแยบคาย เขาไม่ได้ประสบผล

อะไร ๆ จากข้าวกล้านั้น เพราะเพลี้ยตกลงบ้าง เพราะ
ฝนแล้งบ้าง ในภายหลัง นรชนทั้งหลายผู้แสวงหา
ความสุขทำความหวังข้างหน้า ย่อมทำการงานของตน
เพื่อนาย นรชนเหล่านั้น ถูกศัตรูเบียดเบียนแล้ว ไม่
ได้ประโยชน์อะไร ๆ ย่อมหนีไปสู่ทิศทั้งหลาย เพื่อ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ประโยชน์แก่นายอีก สัตว์ผู้แสวงหาความสุขเหล่านี้
เป็นผู้ใคร่จะไปสวรรค์ ละทิ้งธัญชาติทรัพย์และหมู่
ญาติเสียแล้ว ย่อมทำความเพียรอันเศร้าหมองตลอด
กาลนาน เดินทางผิดย่อมไปสู่ทุคติเพราะความหวัง
เพราะฉะนั้น ท่านชื่อว่า อาสา ที่เขาสมมติว่า เป็นผู้

มักกล่าวให้เคลื่อนคลาดจากความจริง ดูก่อนนางอาสา
ท่านจงนำความหวังในสุธาโภชน์ในตนออกเสีย นาง
เทพธิดาเช่นท่าน ยังไม่สมควรอาสนะและน้ำ สุธาโภชน์
จักมีแต่ที่ไหนเล่า ท่านจงไปเสียเถิด ท่านไม่เป็นที่
ชอบใจของเรา.

ในคาถานั้นมีอธิบายว่า คำว่า แล่นไป คือ แล่นเรือไป คำว่า มีทรัพย์
สิ้นไป คือ ทรัพย์สูญไปแล้ว โกสิยดาบสกล่าวอธิบายไว้ว่า ชนเหล่าหนึ่ง
ย่อมอิ่มเอิบด้วยอำนาจของท่าน และชนอีกพวกหนึ่งก็เสื่อมโทรมด้วยอำนาจ
ของท่าน ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น คนที่มีธรรมอันลามกเหมือน

อย่างท่านจึงไม่มี คำว่า ทำโดยแยบคาย คือ ย่อมกระทำกิจนั้น ๆ
โดยอุบาย คำว่า เพราะเพลี้ยตกลงบ้าง อธิบายว่า เพราะอันตราย
ที่เกิดแก่ข้าวกล้าทั้งหลาย มีฝนตกไม่เสมอกันและสัตว์จำพวกหนู มอด หมู
และสัตว์พวกแมลงต่าง ๆ และโรคเกิดจากข้าวสาลีเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง
ตกลง คำว่า นั้น อธิบายว่า โกสิยดาบสกล่าวว่า ชาวนาเหล่านั้น

ย่อมไม่ประสบผลอะไร ๆ จากข้าวกล้านั้น ท่านผู้เดียวย่อมกระทำกรรมคือ
การตัดความหวังของชาวนาแม้เหล่านั้น คำว่า ในภายหลัง กระทำการงาน
ของตน อธิบายว่า กระทำความบากบั่นของบุรุษในยุทธภูมิทั้งหลาย คำว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กระทำความหวังข้างหน้า คือ กระทำความหวังที่จะเป็นใหญ่ข้างหน้า
คำว่า เพื่อประโยชน์แก่นาย คือ เพื่อความต้องการของนาย คำว่า ถูก
ศัตรูเบียดเบียน คือ เป็นผู้ถูกข้าศึกทั้งหลายเบียดเบียนแล้ว มีทรัพย์สมบัติ
ก็ถูกยื้อแย่งแล้ว มีเสนาและพาหนะถูกกำจัดแล้ว คำว่า หนีไป คือ ย่อม
หนีไป. คำว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร ๆ คือ ไม่ได้ความเป็นใหญ่

โกสิยดาบสกล่าวว่า ท่านผู้เดียวย่อมกระทำให้ชนแม้เหล่านี้ ไม่ได้ความเป็น
ใหญ่ด้วยประการฉะนี้ คำว่า ผู้ใคร่จะไปสวรรค์ คือ เป็นผู้ปรารถนาจะ
ไปยังสวรรค์ คำว่า เศร้าหมอง หมายเอาความลำบากกายมีความเพียร
๕ อย่าง ซึ่งหมดโอชะแล้วเป็นต้น คำว่า ตลอดกาลนาน ได้แก่ สิ้น
กาลนานยิ่งนัก คำว่า ท่านชื่อ อาสา ที่เขาสมมติว่าเป็นผู้มักกล่าวให้

คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อธิบายว่า สัตว์เหล่านี้ย่อมไปสู่ทุคติเพราะ
ความหวังอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านมีชื่อว่า อาสา เป็นผู้ที่เขาสมมติแล้วว่า
เป็นผู้มักกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความจริง คือถึงการนับว่าเป็นผู้กล่าวให้
คลาดเคลื่อนจากความจริง โกสิยดาบสย่อมเรียกนางเทพธิดานั้นว่า ดูก่อน
อาสา ดังนี้.

แม้นางอาสานั้น ครั้นถูกโกสิยดาบสห้ามเสียแล้ว จึงอันตรธาน
หายไป. ในลำดับนั้น โกสิยดาบสเมื่อจะเจรจากับนางศรัทธา จึงกล่าวคาถาว่า

ท่านผู้มียศ รุ่งเรืองอยู่ด้วยยศ ยืนอยู่เป็นเจ้า
ในทิศ เราเรียกโดยชื่ออันน่าเกลียด ดูก่อนนางผู้มี
ร่างกายคล้ายทองคำ เราขอถามท่าน ท่านจงบอกเรา
ว่า ท่านเป็นเทวดาอะไร.

ในคาถานั้นคำว่า รุ่งเรือง คือ รุ่งโรจน์อยู่ คำว่า เราเรียกโดยชื่ออัน
น่าเกลียด อธิบายว่า เราเรียกอยู่โดยชื่ออันน่าเกลียดคือลามกอย่างนี้ว่า นาง
อื่นอีกบ้าง นางคนหลังบ้าง. คำว่า เป็นเจ้าในทิศ ได้แก่ ท่านยืนรุ่งเรืองอยู่.
ลำดับนั้น นางศรัทธาจึงกล่าวคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าพเจ้ามีชื่อว่า ศรัทธาเทวี ที่มนุษย์บูชาแล้ว เป็น
ผู้ไม่เสพคบสัตว์ผู้ลามกในกาลทุกเมื่อ มาสู่สำนัก
ของท่าน เพราะวิวาทด้วยสุธาโภชน์ ข้าแต่ท่านผู้มี
ปัญญาอันประเสริฐ ท่านจงแบ่งสุธาโภชน์นั้นให้
ข้าพเจ้าบ้างเถิด.

ในคาถานั้นมีคำอธิบายว่า คำว่า ศรัทธา ได้แก่ การเชื่อถ้อยคำของ
บุคคลคนใดคนหนึ่ง มีโทษก็มี ไม่มีโทษก็มี คำว่า บูชา คือ บูชาแล้ว
ด้วยอำนาจแห่งส่วนอันไม่มีโทษ คำว่า ไม่เสพคบสัตว์ผู้ลามกในกาลทุก
เมื่อ อธิบายว่า เป็นผู้มีศรัทธาอันหาโทษมิได้ จริงอยู่ คำว่า ศรัทธา นี้
เป็นชื่อของเทวดาผู้สามารถตบแต่งจัดแจง แม้ในบุคคลอื่นมีการจัดแจงโดย
ส่วนเดียวเป็นสภาพ.

ลำดับนั้น โกสิยดาบสจึงกล่าวว่ากะนางศรัทธานั้นว่า
ก็บางคราวมนุษย์ทั้งหลาย ถืออาการให้บ้าง
การฝึกฝนบ้าง การบริจาคบ้าง การสำรวมบ้าง
ย่อมกระทำด้วยความเชื่อ แต่มนุษย์พวกหนึ่งกระทำ
โจรกรรมบ้าง พูดเท็จบ้าง ล่อลวงบ้าง กล่าวส่อเสียด
บ้าง ท่านอย่าประกอบต่อไปเลย.

บุรุษผู้มีความเพ่งเล็งในภรรยาทั้งหลาย ผู้
ประกอบด้วยศีล ผู้มีวัตรในการปฏิบัติสามีดีแล้ว และ
เป็นผู้เสมอกัน ย่อมนำความพอใจในนางกุลธิดาออก
เสีย เพราะเขาทำความเชื่อตามคำของนางกุมภทาสีอีก
ดูก่อนนางศรัทธา ตัวท่านนั่นแล ให้ชนอื่นเสพคบ
ภรรยาของผู้อื่น ท่านย่อมทำบาป ละทิ้งกุศลเสีย นาง
เช่นท่านไม่สมควรแก่อาสนะและน้ำ สุธาโภชน์จักมี
แต่ไหนเล่า ท่านจงไปเสีย ท่านไม่เป็นที่ชอบใจ
ของเรา.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ก็ดาบสนั้น กล่าวกะนางเทพธิดาผู้มีชื่อว่า ศรัทธานั้นว่า สัตว์เหล่า
นี้เชื่อถ้อยคำของผู้ใดผู้หนึ่งแล้ว ย่อมกระทำกรรมนั้น ๆ เขาย่อมทำกรรมซึ่งไม่
สมควรกระทำให้มากกว่ากรรมที่ควรกระทำเสียอีก กรรมนั้นทั้งหมด ย่อม
ชื่อว่า เป็นกรรมที่ท่านใช้ให้เขาทำแล้วทุกอย่าง ดังนี้ กล่าวไว้แล้ว ด้วยความ
มุ่งหมายอย่างนี้.

ในคาถานั้นมีคำอธิบายว่า ก็การให้ที่ประกอบด้วยเจตนามีวัตถุ ๑๐
ประการ ชื่อว่าทาน การฝึกอินทรีย์ ชื่อว่าการฝึกฝน การบริจาคไทย-
ธรรม ชื่อว่าการบริจาค ศีล ชื่อว่าการสำรวม คำว่า ถือเอาด้วยความเชื่อ
อธิบายว่า แม้ถือเอาแล้ว ก็ย่อมกระทำตามคำของบุคคลผู้กล่าวอยู่ว่า การ
ให้ทานเป็นต้นเหล่านี้ มีอานิสงส์มาก ท่านพึงกระทำเถิด ดังนี้ เพราะความ

เชื่อ. คำว่า ล่อลวง ความว่า มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมกระทำกรรมมีการโกง
ด้วยตาชั่งเป็นต้น หรือกรรมมีการโกงชาวบ้านเป็นต้น. คำว่า แต่มนุษย์พวก
หนึ่ง มีอธิบายว่า ฝ่ายมนุษย์อีกพวกหนึ่งเชื่อถ้อยคำของชนบางพวกว่า ท่าน
พึงกระทำโจรกรรมเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่คนเหล่านั้นด้วยเหล่านี้ด้วย ใน

กาลทั้งหลายชื่อเห็นปานนี้ ดังนี้ แล้วกระทำกรรมแม้เหล่านี้. คำว่า ท่านอย่า
ประกอบต่อไป อธิบายว่า แม้ชนเหล่าอื่นไม่เชื่อถ้อยคำของบุคคลผู้กล่าวอยู่
ว่า กรรมเหล่านั้น เต็มไปด้วยโทษมีทุกข์เป็นผล ท่านไม่ควรทำดังนี้ ก็ยัง

ขืนกระทำ กรรมนั้น ท่านอย่าได้ชักชวนต่อไป เพราะกรรมที่บุคคลกระทำ
ด้วยอำนาจของท่านนั้น มีโทษก็มี ไม่มีโทษก็มี ด้วยประการฉะนี้. คำว่า
เสมอกัน คือเป็นผู้เสมอกันด้วยชาติ โคตรและศีลเป็นต้น คำว่า เพ่งเล็ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อธิบายว่า ตัณหา ท่านกล่าวว่าความเพ่งเล็ง อธิบายว่า เป็นผู้มีความห่วงใย
ยังมีตัณหา. คำว่า ความพอใจ ได้แก่ เป็นผู้มีจิตรักใคร่แล้ว ย่อมกระทำ
ความกำหนดด้วยสามารถแห่งความพอใจ คำว่า ความเชื่อ ได้แก่ ย่อม
กระทำความเชื่อตามถ้อยคำแม้ของนางกุมภทาสี จริงอยู่ เมื่อนางกุมภทาสีนั้น
กล่าวอยู่ว่า ดิฉันจักกระทำอุปการะชื่อนี้แก่ท่าน ดังนี้ บุรุษนั้นเชื่อแล้วก็ทิ้งแม้

หญิงผู้มีตระกูลเสีย กลับมาเห็นกับนางทาสีนั้นแล อนึ่ง บุรุษกระทำความเชื่อ
ตามถ้อยคำของนางกุมภทาสีว่า หญิงมีชื่อนั้น มีจิตรักใคร่ในตัวท่าน ดังนี้แล้ว
ย่อมเสพภรรยาของชนอื่น คำว่า ดูก่อนนางศรัทธา ตัวท่านนั่นแลให้ชนอื่น
เสพในภรรยาของผู้อื่น มีอธิบายว่า เพราะเหตุที่ชนทั้งหลายเชื่อฟังคำนั้น ๆ
จึงเสพภรรยาของชนอื่นกระทำกรรมอันเป็นบาปละกุศลเสีย เพราะอำนาจของ

ท่าน เพราะฉะนั้น ตัวท่านนั่นแล ชื่อว่าเป็นผู้เสพซึ่งภรรยาของชนอื่น ท่าน
ย่อมกระทำกรรมอันเป็นบาปทั้งหลาย ย่อมละทิ้งกุศลเสีย บุคคลที่มีธรรมอัน
ลามก ผู้ทำโลกให้ฉิบหายเหมือนกับท่านไม่มีอีกแล้ว ท่านจงไปเสียเถิด ท่าน
ไม่เป็นที่ชอบใจแก่เรา.

นางศรัทธานั้น ก็ได้อันตรธานหายไปในที่นั้นเอง ฝ่ายโกสิยดาบส
เมื่อจะเจรจากับนางหิรีผู้ยืนอยู่ด้านทิศอุดร จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

เมื่ออรุณขึ้นไปในที่สุดแห่งราตรี นางเทพธิดา
ใด เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งรูปอันงดงามปรากฏอยู่ ดูก่อน
เทวดา ท่านเปรียบเหมือนนางเทพธิดานั้น จะพูดกะ
เราหรือ ท่านจงบอกแก่เราว่าท่านเป็นนางอัปสรอะไร

ท่านมีชื่อว่าอย่างไร ยืนอยู่ประดุจเถาวัลย์ดำในฤดูร้อน
และประดุจเปลวไฟที่ห้อมล้อมอยู่ด้วยใบไม้สีแดง ถูก
ลมพัดแล้วดูงามฉะนั้น ท่านเป็นผู้ราวกะว่าจะพูดแต่
มิได้เปล่งวาจาออกมา แลดูอยู่เหมือนนางเนื้อเขลา
ฉะนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในคาถานั้นมีคำอธิบายว่า คำว่า ในที่สุดแห่งราตรี หมายถึงราตรี
อันเป็นที่สุดท้าย อธิบายว่า กาลเป็นที่สุดแห่งกลางคืน คำว่า ขึ้นไป คือเมื่อ
อรุณขึ้นไปแล้ว คำว่า ใด อธิบายว่า นางเทพธิดาใดเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งรูปอันงด-
งาม เพราะมีผิวพรรณดังทองคำปรากฏอยู่ทางด้านทิศบูรพาในเวลากลางคืน
คำว่า ประดุจเถาวัลย์ดำในฤดูร้อน คือประหนึ่งว่า เถาวัลย์มีสีดำในสมัย

แห่งฤดูร้อน ฉะนั้น. คำว่า ประดุจเปลวไฟ ได้แก่ ประดุจเปลวเพลิง แม้
นางเทพธิดานั้น ยืนอยู่ประดุจเถาวัลย์ดำที่งอกขึ้นอ่อน ๆ มีสีแดงดีในนาที่ไฟ
ไหม้แล้วใหม่ ๆ คำว่า ห้อมล้อมอยู่ด้วยใบไม้สีแดง คือมีใบไม้ต่าง ๆ

ซึ่งมีสีแดงแวดล้อมแล้ว คำว่า ท่านมีชื่อว่าอย่างไรยืนอยู่ อธิบายว่า
เถาวัลย์ดำอ่อนนั้น ถูกลมพัดแล้วไหวไปมาอยู่ดูงดงามตั้งอยู่ด้วยประการใด
ท่านมีชื่อว่าอย่างไร ยืนอยู่ด้วยประการนั้น. คำว่า ราวกะว่าจะพูด อธิบาย
ว่า ท่านได้เป็นผู้ราวกะว่าปรารถนาจะพูดกับเรา แต่หาเปล่งถ้อยคำไม่.
ลำดับนั้น นางหิรีเทพธิดานั้น จึงกล่าวคาถาว่า

ข้าพเจ้ามีชื่อว่านางหิรีเทวี ได้รับการบูชาแล้ว
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่เสพสัตว์ผู้ลามกใน
กาลทุกเมื่อ มายังสำนักของท่าน เพราะวิวาทกันด้วย
เรื่องสุธาโภชน์ ข้าพเจ้านั้น มิอาจที่จะขอสุธาโภชน์
กะท่านได้ เพราะการขอของหญิงดูเหมือนจะเป็นของ
น่าละอาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิราห คือ ข้าพเจ้าชื่อหิรี บทว่า สุธํปิ
ความว่า ข้าพเจ้านั้นไม่อาจแม้เพื่อขอสุธาโภชน์กะท่าน เพราะเหตุไร บทว่า
โกปินรูปาวิย ยาจนิตฺถิยา ความว่า เพราะการขอของหญิงดูเหมือนจะ
เป็นของน่าละอาย เป็นเช่นกับการเปิดเผยอวัยวะลับ เป็นเหมือนปราศจาก
ความละอาย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
โกสิยดาบสได้สดับคำนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
ดูก่อนนางผู้มีกายงดงาม ท่านจักได้ตามธรรม
ตามอุบายที่ชอบ นี้เป็นธรรมดาทีเดียว ก็สุธาโภชน์นั้น
ท่านจะได้เพราะการขอก็หาไม่ เพราะฉะนั้น เราพึง
เชื้อเชิญท่านผู้มิได้ขอสุธาโภชน์นั้น ท่านต้องการสุธา-

โภชน์ใด ๆ เราจะให้สุธาโภชน์นั้น ๆ แก่ท่าน. ดูก่อน
นางผู้มีสรีระคล้ายทองคำ วันนี้เราขอเชิญท่านไปใน
อาศรมของเรา เราจะบูชาท่านด้วยสรรพรส ครั้นบูชา
ท่านแล้ว จึงจักบริโภคสุธาโภชน์.

ในคาถานั้นมีคำอธิบายว่า คำว่า ตามธรรม คือตามสภาพ คำว่า ตาม
อุบายที่ชอบ คือตามเหตุ คำว่า สุธาโภชน์นั้นท่านจะได้เพราะการขอก็
หาไม่ อธิบายว่า สุธาโภชน์นี้ ท่านจะไม่ได้เพราะการขอเลย นางเทพธิดาทั้ง
๓ นอกนี้ ไม่ได้แล้วเพราะเหตุนั้นแล. คำว่า เพราะฉะนั้น คือเพราะเหตุนั้น

คำว่า ท่านต้องการสุธาโภชน์ใด ๆ อธิบายว่า เรามิได้เชื้อเชิญท่านแต่อย่าง
เดียวเท่านั้น ก็ท่านปรารถนาสุธาโภชน์ชนิดใด เราจะให้สุธาโภชน์แม้นั้นแก่
ท่าน. คำว่า นางผู้มีสรีระคล้ายทองคำ คือนางผู้มีสรีระเต็มไปด้วยสิริประดุจ
กองแห่งทองคำ. คำว่า บูชาแล้ว อธิบายว่า เรามิได้บูชาท่านด้วยสุธาโภชน์

อย่างเดียวเท่านั้น ท่านยังเป็นผู้สมควรที่เราควรจะบูชาด้วยสรรพรส แม้เหล่า
อื่นอีกด้วย. คำว่า จักบริโภค อธิบายว่า เราบูชาท่านแล้ว ส่วนที่เหลือ
ของสุธาโภชน์จักมี เราจักบริโภคส่วนที่เหลือนั้น.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2019, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในกาลนั้น นางหิรีเทพธิดาผู้ไม่ข้องเกี่ยวกับ
สัตว์ผู้ลามกในกาลทุกเมื่อนั้น เป็นผู้อันดาบสชื่อ
โกสิยะ ผู้มีความรุ่งเรืองยอมให้เข้าไปสู่อาศรมอันน่า
รื่นรมย์ มีน้ำและผลไม้สมบูรณ์อันท่านผู้ประเสริฐ
บูชาแล้ว ณ ที่ใกล้อาศรมสถานนั้นมากไปด้วยหมู่รุกข
ชาตินานาชนิด อันผลิดอกออกผล มีทั้งมะม่วง

มะหาด ขนุน ทองกวาว มะรุม อีกทั้งต้นโลท และ
บัวบก การะเกด จันทน์กะพ้อ และหมากหอมแก่ ล้วน
กำลังออกดอกบานสะพรั่ง ในที่นั้นมากไปด้วยต้นไม้
ชนิดใหญ่ ๆ คือต้นรัง ต้นกุ่ม ต้นหว้า ต้นโพธิ์ ต้น
ไทร อีกทั้งมะซาง ราชพฤกษ์ แคฝอย ไม้ย่างทราย

ไม้จิก และลำเจียก ต่างก็มีกิ่งอันห้อยย้อยลงมา กำลัง
ส่งกลิ่นหอมฟุ้งน่ายวนใจนัก ถั่วแระ อ้อยแขม ถั่วป่า
ตะโก ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วขาวเล็ก กล้วยมีเมล็ด
กล้วยไม่มีเมล็ด ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ราชดัด และ

ข้าวสารอันเกิดเอง ก็มีอยู่ในอาศรมนั้นมากมาย ก็
เบื้องหน้าด้านทิศอุดรแห่งอาศรมสถานนั้น มีสระ
โบกขรณีอันงามราบรื่น มีพื้นท่าขึ้นลงเรียบเสมอกันมี
น้ำใสจืดสนิทไม่มีกลิ่นเหม็น อนึ่ง ในสระโบกขรณีนั้น

มีปลาต่างชนิด คือ ปลาดุก ปลากะทุงเหว ปลา
กราย กุ้ง ปลาตะเพียน ปลาฉลาด ปลากา ว่าย
เกลื่อนกลาดไปในสระโบกขรณีที่มีขอบคัน พากัน


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แหวกว่ายอย่างสบายทั้งเหยื่อก็มาก และที่ใกล้เคียง
สระโบกขรณีนั้น มีนกต่างชนิด คือหงส์ นกกระเรียน
นกยูง นกจากพราก นกออก กระเหว่าลาย นกยูง
ทอง นกพริกและนกโพระดกมากมาย ล้วนมีขนปีก
อันงดงาม พากันจับอยู่อย่างสบาย ทั้งอาหารก็มีมาก
ในที่ใกล้เคียงสระโบกขรณีนั้น มีปาณชาติและหมู่เนื้อ

ต่าง ๆ มากมาย คือราชสีห์ เสือโคร่ง ช้าง หมี เสือ
ปลา เสือดาว แรดและโคลาน กระบือ ละมั่ง กวาง
เนื้อทราย หมูป่า ระมาด หมูบ้าน กวางทอง แมว
กระต่าย วัวกระทิง เป็นอันมากล้วนงามวิจิตรหลาก
หลาย พื้นดินและหินเขาดารดาษงามวิจิตรไปด้วยดอก
ไม้ ทั้งฝูงนกก็ส่งเสียงร้องกึกก้อง เป็นที่อาศัยของหมู่
ปักษี.

ในคาถาเหล่านั้น มีอรรถาธิบายว่า คำว่า ผู้มีความรุ่งเรือง คือ
เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยอานุภาพ คำว่า ให้เข้าไปสู่อาศรม คือ เชิญให้
เข้าไปยังอาศรมบท. ย อักษรเป็นพยัญชนะสนธิ คำว่า มีน้ำ คือ สมบูรณ์
ด้วยน้ำในที่นั้น ๆ ผลไม้ คือ สมบูรณ์ด้วยผลไม้มากมาย. คำว่า พระอริยะ
บูชาแล้ว คือ พระอริยะทั้งหลาย ผู้มีปกติได้ฌาน ผู้เว้นแล้วจากโทษคือ

นิวรณ์ บูชาแล้วคือสรรเสริญแล้ว คำว่า หมู่รุกขชาติ หมายถึงหมู่ไม้ที่
กำลังผลิดอกออกผล คำว่า มะรุม ก็คือต้นมะรุม คำว่า อีกทั้งต้นโลท
และบัวบก คือ ต้นโลทด้วย ต้นบัวบกด้วย คำว่า การะเกด และจันทน์-
กะพ้อ คือ ต้นไม้ที่มีชื่ออย่างนั้นทีเดียว คำว่า กุ่ม ก็คือต้นกุ่มนั่นแล

คำว่า ราชพฤกษ์ คือ ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) คำว่า ไม้จิกและลำเจียก
ได้แก่ ต้นจิกและลำเจียก ๕ ชนิด คำว่า ถั่วแระ หมายถึงอปรัณชาติ
ชนิดหนึ่ง. คำว่า อ้อยแขม ได้แก่ ต้นอ้อย คำว่า ถั่วป่า ก็คือถั่วราชมาษ
กล้วยมีเมล็ดเรียกว่า โมจะ คำว่า ข้าวสาลี คือ ข้าวสาลีต่าง ๆ ชนิด ซึ่ง

อาศัยชาตสระเกิดแล้วมีประการต่าง ๆ คำว่า ข้าวเปลือก ได้แก่ ข้าวเปลือก
ต่างชนิด. คำว่า ราชดัด คือต้นราชดัด (ต้นสมอ) คำว่า ข้าวสาร หมายถึง
รวงข้าวสารอันเกิดขึ้นเอง ไม่มีรำและแกลบ คำว่า อาศรมสถานนั้น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ในส่วนแห่งทิศอุดรของอาศรมนั้น คำว่า
สระโบกขรณี หมายถึงสระโบกขรณีที่เกิดขึ้นเอง ดารดาษไปด้วยดอกบัว
๕ ชนิด คำว่า ราบรื่น คือ เว้นจากของโสโครกมีดีปลา และสาหร่ายเป็นต้น
คำว่า มีท่าเรียบ คือ มีท่าเรียบเสมอกัน มีพื้นที่มิได้ขาด คำว่า ไม่มี
กลิ่นเหม็น คือ ประกอบด้วยน้ำ มีกลิ่นอันไม่น่ารังเกียจคือมีกลิ่นหอม

คำว่า นั้น หมายถึงในสระโบกขรณีนั้น คำว่า สบาย คือไม่มีภัย คำว่า
ปลาดุก นี้เป็นชื่อของปลาจำพวกนั้น คำว่า กระเหว่าลาย หมายถึง
จำพวกนกดุเหว่า คำว่า งดงาม คือมีขนปีกอันงดงาม คำว่า นกยูงทอง
ได้แก่ นกยูงที่มีหงอนตั้งขึ้น อีกอย่างหนึ่ง แม้นกเหล่าอื่นที่มีหงอนงอกขึ้น

บนหัว ก็เรียกว่า สิขิณฑะเหมือนกัน คำว่า มีปาณชาติ คือเหล่าสัตว์ที่มี
ชีวิตทั้งหลายพากันมา คำว่า แรด หมายถึงพวกแรดต่าง ๆ คำว่า โคลาน
ได้แก่ พวกโคลานทั้งหลาย คำว่า ระมาด หมายถึงสัตว์ที่มีหูเหมือนโค

คำว่า วัวกระทิง หมายถึงเนื้อที่มีเขาแหลม คำว่า พื้นดินและหินเขา
อธิบายว่า หลังแผ่นหินมีพื้นเรียบเสมอพื้นดิน ดารดาษด้วยดอกไม้อันงาม
วิจิตร. คำว่า ทั้งฝูงนกก็ส่งเสียงร้องกึกก้อง อธิบายว่า ภาคพื้นและ
ภูเขาในที่นั้นมีรูปเห็นปานนี้ อันฝูงนกทั้งหลายร้องกึกก้องไปทั่วแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพรรณนาอาศรมของโกสิยดาบสอย่าง
นี้แล้ว บัดนี้ พระองค์หวังจะทรงแสดงอาการ ที่นางหิรีเข้าไปในอาศรมนั้น
เป็นต้น จึงตรัสว่า

นางหิรีเทพธิดานั้นมีผิวพรรณงาม ทัดดอกไม้
เขียว เดินเข้าไปยังอาศรมประหนึ่งมหาเมฆ ขณะ
เมื่อฟ้าแลบสว่าง ฉะนั้น โกสิยดาบสได้พูดคำนี้
กะนางหิรีเทพธิดา ผู้ผูกข้องผมเรียบร้อยดีแล้วด้วย
หญ้าคาอันสะอาด มีกลิ่นหอม มีเก้าอี้นั่งตั้งไว้ที่ประตู
บรรณศาลา ใช้ลาดด้วยหนังเสืออชินะ เพื่อนางหิรี

นั้นว่า ดูก่อนนางงาม เชิญท่านนั่งบนอาสนะนี้ตาม
สบายเถิด ในกาลนั้น เมื่อนางนั่งเก้าอี้แล้ว โกสิย
ดาบสมหามุนี ผู้ทรงชฎาอันรุ่งเรืองได้รีบนำสุธา-


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
โภชน์มาพร้อมกับน้ำ ด้วยใบบัวใหม่เอง เพื่อจะให้
เพียงพอตามความประสงค์ นางหิรีเทพธิดานั้น
เป็นผู้มีใจเบิกบาน รับสุธาโภชน์นั้นด้วยมือทั้งสอง
แล้ว จึงกล่าวกะโกสิยฤาษีผู้ทรงชฎาว่า ข้าแต่
มุนีผู้ประเสริฐ เอาเถิด ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ชัยชนะที่
พระผู้เป็นเจ้าบูชาแล้ว จะพึงไปสู่ไตรทิพยสถานใน

บัดนี้ นางหิรีเทพธิดานั้น เป็นผู้มัวเมาแล้วด้วยความ
เมาในผิวพรรณ เป็นผู้อันโกสิยดาบส ผู้มีความรุ่งเรือง
กล่าวอนุมัติแล้ว กลับไป ณ สำนักของท้าวสหัสนัยน์
ทูลว่า ข้าแต่ท้าววาสวะ สุธาโภชน์นี้โกสิยดาบส
ให้แล้ว ขอพระบิดาจงประทานความชำนะให้แก่
หม่อมฉันเถิด แม้ท้าวสักกะ ก็ได้ทรงบูชานางหิรีนั้น

ในกาลนั้น เทวดาทั้งหลายพร้อมด้วยพระอินทร์ ได้
พากันบูชานางสุรกัญญาผู้สูงสุด นางหิรีเทพธิดานั้น
ท้าวสักกะให้นั่งบนเก้าอี้ทองคำอันใหม่ ในกาลใด
เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว ด้วยการ
ประนมหัตถ์ในกาลนั้น.

ในคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า คำว่า มีผิวพรรณงาม คือมีผิวดี คำว่า
ทัดดอกไม้เขียว ความว่า ห้อยดอกไม้สีเขียว ลูบคลำกิ่งไม้เขียวนั้น ๆ คำว่า
ประหนึ่งมหาเมฆ อธิบายว่า นางหิรีเทพธิดานั้น เป็นผู้อันโกสิยดาบสนั้น
เชื้อเชิญแล้ว จึงเดินเข้าไปสู่อาศรมของท่าน ประหนึ่งสายฟ้าแลบในระหว่าง

มหาเมฆฉะนั้น คำว่า นั้น คือ เพื่อนางหิรีเทพธิดานั้น คำว่า ผู้ผูกช้องผม
เรียบร้อยดีแล้ว คือ ผู้มีศีรษะอันผูกไว้ดีแล้ว คำว่า หญ้าคา คือ สำเร็จ
ด้วยหญ้าคา เจือด้วยหญ้าไทรเป็นต้น คำว่า มีกลิ่นหอม คือ มีกลิ่นหอม
เพราะเจือด้วยหญ้าไทรและหญ้าที่มีกลิ่นหอมอย่างอื่น คำว่า ลาดด้วยหนัง

เสือ ได้แก่ ใช้หนังเสืออชินะปูไว้ข้างบน คำว่า มีเก้าอี้นั่ง คือ ลาด
เก้าอี้เห็นปานนี้ ไว้ที่ประตูบรรณศาลา คำว่า นั่งบนอาสนะนี้ตามสบาย
มีอธิบายว่า ท่านจงนั่งบนอาสนะนี้ตามความสุขสบายเถิด คำว่า เพื่อจะให้
เพียงพอตามความประสงค์ อธิบายว่า นางปรารถนาอยู่ซึ่งสุธาโภชน์พออิ่ม
คำว่า ด้วยใบบัวใหม่ ได้แก่ ด้วยใบบัวอันสดที่นำมาจากสระโบกขรณีใน
ขณะนั้นเอง. คำว่า เอง คือด้วยมือของตนเอง คำว่า พร้อมกับน้ำ คือ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 103, 104, 105, 106, 107, 108, 109 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร