วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ย. 2025, 08:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 105, 106, 107, 108, 109, 110, 111 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขว้างปา นี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความว่า เด็กเลี้ยงโคเป็นต้น อย่าได้ขว้างปา
พญานกนั้นเลย. คำว่า ถูกต้อง คือพญานกนั้นอย่าได้ถูกกอไม้เป็นต้นเลย.
คำว่า ละเอียด คือกลมเกลี้ยง. คำว่า อ่อน คือน่ารัก คำว่า หวาน คือ
ไม่หยาบคาย. คำว่า ไพเราะ หมายถึงวาจาที่เปล่งด้วยเสียงอันไพเราะ คำว่า
เจรจา คือบำเรออยู่ด้วยสามารถกระทำการฟ้อนรำขับร้อง. คำว่า ผลไม้อัน

อร่อยจากต้นไม้หลายชนิด หมายถึงผลไม้มีรสแปลก ๆ ต่าง ๆ ชนิด. คำว่า
เข้าป่าออกป่า อธิบายว่า บรรดาป่าดอกไม้เป็นต้น นางนกเหล่านั้นได้นำ
พญานกเข้าไปยังป่านี้ โดยป่าแห่งใดแห่งหนึ่งทีเดียว แม้ในคำว่าสวนเป็นต้น
ก็มีนัยเหมือนกัน. คำว่า สวนมะพร้าว หมายถึงสวนมะพร้าวแห่งอื่นจาก

สวนมะพร้าวนั้น. คำว่า พา หมายความว่า นางนกเหล่านั้นพาพญานกไป
อย่างนี้ เข้าไปถึงสถานที่นั้นโดยเร่งรีบ เพื่อต้องการให้รื่นเริง. คำว่า บำรุง
บำเรออยู่ตลอดวันยังค่ำ อธิบายว่า บำเรออยู่ทั้งวัน. คำว่า รุกราน
อธิบายว่า ได้ยินว่า นางนกเหล่านั้นบำรุงบำเรอพญานกนั้นตลอดวันอย่างนี้

ให้ลงจากต้นไม้ที่อยู่ จับอยู่ที่กิ่งไม้เป็นต้น ปรารถนาอยู่ว่า ไฉนหนอ เราพึง
ได้ถ้อยคำอันไพเราะบ้าง ในเวลาที่พญานกบอกให้กลับ คิดว่า พวกเรา
จักไปยังที่อยู่ของตนแล้ว ก็พักอยู่. ส่วนพญานกกุณาละ เมื่อจะส่งพวก
นางนกเหล่านั้นให้กลับไป ได้รุกรานด้วยคำว่า อีฉิบหายเป็นต้น. คำว่า

อีฉิบหาย ในข้อความนั้น หมายความว่า พวกเจ้าจงกลับไป. คำว่า อีถ่อยละ
ลาย หมายความว่า จงฉิบหายโดยประการทั้งปวง อธิบายว่า พญานกกล่าวว่า
อีโจร เพราะนำทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้นในเรือนให้พินาศ เรียกว่า อีนักเลง

เพราะมีมายามาก เรียกว่า อีเผอเรอ เพราะไม่มีสติ เรียกว่า อีใจง่าย
เพราะมีใจโลเล เรียกว่า อีไม่รู้จักคุณคน เพราะทำลายมิตร กระทำความ
พินาศให้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย แม้เมื่อเราเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ย่อมรู้ว่า หญิงทั้งหลายเป็นคนอกตัญญู
เป็นคนมีมายามาก เป็นคนประพฤติอนาจาร เป็นคนทุศีล ด้วยประการฉะนี้
แม้ในคราวนั้น เราก็มิได้อยู่ในอำนาจของหญิงเหล่านั้น กลับให้หญิงเหล่านั้น
อยู่ในอำนาจของตน พระองค์ทรงนำเสียซึ่งความเบื่อหน่ายของภิกษุเหล่านั้น

ออกไป ด้วยพระธรรมกถาอย่างนี้แล้ว ก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ ในขณะนั้น
มีนางนกดุเหว่าดำ ๒ ตัว ให้นกสามีจับตรงกลางท่อนไม้แล้วคาบบินมา แม้ใน
ส่วนเบื้องต่ำเป็นต้นก็มีนางนกประจำข้างละ ๔ ตัว ๆ ได้มาถึงประเทศนั้น ภิกษุ
เหล่านั้น เห็นนกเหล่านั้นจึงทูลถามพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย แต่ปางก่อนมีนกดุเหว่าขาวตัวหนึ่งชื่อปุณณมุขะ เป็นสหายของเรานี้
เป็นวงศ์ของนกดุเหว่าปุณณมุขะนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลถามโดยนัยก่อนทีเดียว
จึงตรัสว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ข้างทิศตะวันออกแห่งภูเขาหิมพานต์นั้น
มีแม่น้ำอันไหลมาแต่ซอกเขาอันละเอียดสุขุมดียิ่งนัก มีสีเขียว.

อธิบายว่า ซอกเขาอันละเอียดสุขุมดี เพราะมีน้ำอันใสสะอาดดีเป็นที่เกิด
ของแม่น้ำเหล่านี้ เพราะฉะนั้น แม่น้ำเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่ามีซอกเขาอันละเอียด
สุขุมดีเป็นแดนเกิด แม่น้ำที่ไหลผ่านจากเขาหิมพานต์นั้น มีสีเขียวเพราะมี
ห้วงน้ำเจือด้วยหญ้าเขียว ไหลผ่านมาลงสระกุณาละ แม่น้ำทั้งหลายซึ่งมีซอกเขา
อันละเอียดสุขุมเป็นแดนเกิดมีสีเขียวไหลผ่านไปเห็นปานนี้ ย่อมไหลไปในที่ใด

บัดนี้ พระศาสดา เมื่อจะทรงพรรณนาดอกไม้ทั้งหลายในสระชื่อกุณาละซึ่ง
แม่น้ำเหล่านั้นไหลลงมา จึงได้ตรัสว่าเป็นประเทศที่น่ารื่นเริงบันเทิงใจด้วย
กลิ่นหอมอันเกิดในบัดนั้นจากดอกอุบล ดอกปทุม ดอกกุมุท ดอกนลิน
บัวผัน จงกลนี บัวเผื่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ดอกอุบล หมายถึงดอกอุบลเขียว. คำว่า
ดอกนลิน หมายถึงบัวขาว. คำว่า บัวผัน หมายถึงมีดอกบัวทุกชนิดครบ
บริบูรณ์. คำว่า ในบัดนั้น ได้แก่ ดอกไม้เหล่านี้งอกงามขึ้นในบัดนั้น คือ
เกิดขึ้นใหม่ ๆ ภูเขาหิมพานต์นั้นประกอบด้วยประเทศที่มีกลิ่นหอมมีกลิ่นเป็นที่
ฟูใจ และเป็นที่รื่นเริงใจ เพราะสามารถที่จะผูกน้ำใจไว้ได้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บัดนี้ พระศาสดาเมื่อจะทรงพรรณนาถึงต้นไม้เป็นต้นในสระนั้น จึง-
ตรัสเนื้อความดังต่อไปนี้.
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ณ ภูเขาหิมพานต์ซึ่งเป็นป่าอันเป็น
ทิวแถวประกอบด้วยพรรณไม้ต่างชนิด คือบัวต่าง ๆ พรรณและพรรณต้นไม้
คือไม้จิก ไม้เกด ไม้ย่างทราย ซึ่งมีกิ่งห้อยย้อยลงมา ไม้อ้อยช้าง ต้นบุนนาค
ต้นพิกุล ต้นงา ต้นประยงค์ ต้นขมิ้น ต้นรัง ต้นจำปา ต้นอโศก ต้นนาก

ต้นหงอนไก่ ต้นเสม็ด ต้นโลท ต้นจันทน์ ซึ่งมีกิ่งเห็นแผ่ก่ายกัน อันเป็น
ป่าชัฏซึ่งเต็มไปด้วยต้นกระลำพัก ต้นปทุม ต้นประยงค์ ต้นเทพทาโร
ต้นกล้วย ทรงไว้ซึ่งต้นไม้รกฟ้า ต้นมวกเหล็ก ต้นประดู่ ต้นสัก ต้น
กรรณิการ์ ต้นกัณณวิรา ต้นหางช้าง ต้นทองหลาง ต้นทองกวาว ต้นคัดเค้า
ต้นมะลิป่า ต้นแก้ว ต้นซึกอันไม่มี โทษ ต้นขานางซึ่งงดงามดียิ่งนัก และ

ดอกไม้สำหรับร้อยเป็นพวงมาลัยต่าง ๆ พรรณ ดารดาษไปด้วยกอมะลิและ
นมแมว ลำเจียก กฤษณา แฝก ซึ่งล้วนมีดอกตูมอ่อนสะพรั่ง เป็นประเทศ
ที่มีพรรณไม้ดอกงอกงามขึ้นเป็นพุ่ม และดารดาษประดับด้วยเครือวัลย์ ได้ยิน
เสียงหมู่หงส์ นกนางนวล นกกาน้ำ นกเป็ดน้ำ ร้องก้องระงมไพร เป็นที่
สถิตอยู่แห่งหมู่วิทยาธรฤษีสิทธิสมณดาบส เป็นประเทศที่ประชุมอยู่ของหมู่

มนุษย์ เทพยดา ยักษ์ รากษส ทานพ คนธรรพ์ กินนร พญานาค ใน
ไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์สำราญเห็นปานนี้ มีนกดุเหว่าขาว มีถ้อยคำอัน
อ่อนหวานยิ่งนัก มีตาแดงดังนัยน์ตาคนเมาสอดส่ายไปมาอาศัยอยู่. ดูก่อนท่าน
ผู้เจริญ ได้ยินว่า นกดุเหว่าชื่อปุณณมุขะนั้น มีนางนกดุเหว่าเป็นนางบำเรอ

๓๕๐ ตัว กล่าวกันว่า นางนกดุเหว่า ๒ ตัวคาบท่อนไม้ตัวละข้างให้พญานก
ปุณณมุขะจับที่ตรงกลางพาบินไป ด้วยความประสงค์จะมิให้พญานกปุณณมุขะ
นั้นเหน็ดเหนื่อยในหนทางยืดยาว นางนกอีก ๕๐ ตัวบินไปในเบื้องต่ำด้วย


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ประสงค์ว่า ถ้าพญานกปุณณมุขะพลาดจากที่จับแล้วจะได้เอาปีกทั้งสอง
ประคองรับไว้ นางนกอีก ๕๐ ตัวบินไปในเบื้องบน ด้วยประสงค์จะป้องกัน
มิให้แดดส่องต้องพญาปุณณมุขะได้ นางนกอีก ๑๐๐ ตัวบินไปข้างซ้ายและ
ข้างขวาข้างละ ๕๐ ตัว ด้วยประสงค์มิให้หนาวร้อน หญ้า ละออง ลมและน้ำค้าง
ตกต้องพญานกปุณณมุขะนั้น นางนกอีก ๕๐ ตัวบินไปข้างหน้าด้วยประสงค์

จะป้องกันพวกเลี้ยงโค พวกเลี้ยงสัตว์ คนหาหญ้า คนหาฟืน คนทำงานในป่า
มิให้ประหารด้วยไม้ ด้วยกระบอง ด้วยเครื่องมือ ด้วยก้อนหิน ไม้ค้อน ศัสตรา
และก้อนกรวด. นางนกอีก ๕๐ ตัวบินไปเบื้องหลัง ด้วยประสงค์มิให้พญา-
นกปุณณมุขะกระทบกอไม้เครือเถา ต้นไม้ กิ่งไม้ เสา หิน และนกที่มีกำลัง

มากกว่า ยังมีนางนกอีก ๕๐ ตัว เปล่งเสียงอันละเอียดอ่อนหวานไพเราะจับใจ
บินตามไปข้างหลัง ด้วยประสงค์มิให้พญานกปุณณมุขะ ซึ่งจับอยู่บนคอน
มีความเงียบเหงา ยังมีนางนกอีก ๕๐ ตัวบินไปในที่ต่าง ๆ นำผลไม้มีรสอัน
อร่อยมากมายมาให้ ด้วยประสงค์จะมิให้พญานกปุณณมุขะหิวโหย ในระหว่าง
ทาง ดูก่อนท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า นางนกทิชกัญญาเหล่านั้นพาพญานกปุณณมุขะ

เข้าป่าออกป่า เข้าสวนออกสวนไปยังท่าน้ำ ยอดภูเขา สวนมะม่วง สวนชมพู่
สวนขนุนสำมะลอ สวนมะพร้าว โดยรวดเร็ว เพื่อให้มีความรื่นเริงยินดี
ได้ยินว่า เมื่อนางนกทั้งหลายบำเรออยู่อย่างนี้ตลอดวัน พญานกปุณณมุขะ
ย่อมสรรเสริญอย่างนี้ว่า ดีมาก ๆ น้องหญิงทั้งหลาย การปฏิบัติผัวอย่างนี้

สมควรแก่พวกเจ้าผู้เป็นลูกเหล่าตระกูล. ดูก่อนผู้เจริญ ได้ยินว่าในกาลต่อมา
พญานกปุณณมุขะดุเหว่าขาว ได้ไปหาพญานกกุณาละ พวกนางนกดุเหว่า
บริจาริกาของพวกพญานกกุณาละเห็นพญานกปุณณมุขะแต่ไกล จึงออกไปหา
แล้วพูดกะพญานกดุเหว่าปุณณมุขะนั้นว่า ข้าแต่สหายปุณณมุขะ พญากุณาละ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นี้หยาบช้า มีวาจาหยาบคาย พวกเราจะได้ฟังวาจาอันเป็นที่รัก เพราะอาศัย
ท่านได้บ้างหรือไม่หนอ พญานกปุณณมุขะจึงตอบว่า บางทีจะได้บ้างกระมัง
น้องหญิงทั้งหลาย แล้วก็พาไปหาพญากุณาละ กล่าวสัมโมทนียกถากับพญา
กุณาละแล้ว ก็สถิตอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง ครั้นเรียบร้อยแล้ว พญานก
ปุณณมุขะก็กล่าวกะพญานกกุณาละนั้นว่า ดูก่อนสหายกุณาละ เพราะเหตุไร

ท่านจึงปฏิบัติผิดต่อหญิงทั้งหลายที่เป็นลูกเหล่าตระกูล มีชาติเสมอกัน ซึ่งนาง
ปฏิบัติดีต่อท่าน ดูก่อนสหายกุณาละ ได้ยินเขาว่ากันว่า หญิงทั้งหลายที่
บริบูรณ์ด้วยมารยาทถึงจะพูดไม่ถูกใจเรา เราก็ควรพูดให้ถูกใจเขา ก็จะป่วย

กล่าวไปไยถึงหญิงที่มีมารยาทดี พูดถูกใจเราและเราจะไม่พูดให้ถูกใจเขาเล่า
เมื่อพญานกปุณณมุขะกล่าวอย่างนี้ พญานกกุณาละจึงรุกรานเอาพญานก
ปุณณมุขะว่า ดูก่อนสหายลามกชั่วช้า ใครเขาจะฉลาดผจญเมียยิ่งไปกว่าเธอเล่า
พญานกปุณณมุขะถูกพญานกกุณาละรุกรานเอาก็กลับจากที่นั้น.

ได้ยินว่า ต่อมาโดยสมัยอื่นอีก อาพาธอันแรงกล้าได้เกิดขึ้นแก่พญา-
นกปุณณมุขะโดยกาลไม่นานทีเดียว คือลงเป็นโลหิต เกิดเวทนากล้าแข็งจวน
ตาย. ลำดับนั้น นางนกดุเหว่าซึ่งเป็นบริจาริกาของพญานกปุณณมุขะก็เกิดความ
ปริวิตกว่า พญานกปุณณมุขะนี้เกิดอาพาธหนักแล้ว จะหายหรือไม่หายจาก
โรคนี้ก็ไม่รู้ได้ คิดแล้วก็ทิ้งพญานกปุณณมุขะไว้แต่เพียงตัวเดียว ไม่มีเพื่อน

พากันเข้าไปหาพญานกกุณาละ ฝ่ายพญานกกุณาละ ได้เห็นนางนกเหล่านั้น
บินมาแต่ไกล ครั้นเห็นแล้วจึงได้กล่าวกะพวกนางนกเหล่านั้นว่า ดูก่อนพวก
อีถ่อย ก็ผัวของเจ้าไปเสียไหนเสียเล่า. นางนกทั้งหลายจึงตอบว่า ข้าแต่สหาย

กุณาละเอ๋ย พญานกปุณณมุขะดุเหว่าขาวเจ็บหนัก จะหายจากอาพาธนั้นหรือ
ไม่หายก็ไม่รู้ได้ เมื่อนางนกทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว พญานกกุณาละก็รุกราน


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เอาพวกนางนกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนอีถ่อย พวกเจ้าจงฉิบหาย ดูก่อนอีถ่อย
พวกเจ้าจงพินาศ อีพวกโจร อีพวกนักเลง อีเผอเรอ อีใจง่าย อีไม่รู้จัก
คุณคน อีตามใจตนเหมือนลม ครั้นรุกรานแล้ว จึงเข้าไปหาพญานกปุณณมุขะ
ดุเหว่าขาวแล้วร้องเรียกว่า นี่แน่ะสหายปุณณมุขะเอ๋ย พญานกปุณณมุขะก็

ตอบรับว่า อะไรนะสหายกุณาละ ครั้นแล้วพญานกกุณาละก็ประคบประหงม
พญานกปุณณมุขะด้วยปีกและจะงอยปาก พอให้ลุกขึ้นได้แล้ว ก็ให้ดื่มยาต่าง ๆ
อาพาธของพญานกปุณณมุขะก็หายลงในขณะนั้นทีเดียว.

พระอรรถกถาจารย์กล่าวอธิบายไว้ว่า คำว่า ดอกประยงค์ หมายถึง
จำพวกดอกไม้ขาว. ห อักษรในคำว่า หสนา นั้นเป็นบทสนธิ. แท้จริงเป็น
อสนา เท่านั้น. คำว่า ติริฏิ หมายถึงรุกขชาติชนิดหนึ่ง. คำว่า ต้นจันทน์
หมายถึงต้นจันทน์แดง. คำว่า ในป่าอันเป็นทิวแถว คือในป่าอันประกอบ
ด้วยทิวแถวของหมู่ไม้เหล่านี้. คำว่า อันเป็นป่าชัฏซึ่งเต็มไปด้วยต้น

เทพทาโรและต้นกล้วย หมายถึงป่าต้นเทพทาโรและป่ากล้วยทั้งหลาย. คำว่า
ต้นสัก คือรุกขชาติชนิดหนึ่ง. คำว่า กรรณิการ์ หมายถึงต้นกรรณิการ์
ซึ่งมีดอกใหญ่. คำว่า กัณณวิรา หมายถึงต้นกรรณิการ์ที่มีดอกเล็ก. คำว่า
ทองกวาว หมายถึงต้นราชพฤกษ์ก็ได้. คำว่า ต้นคัดเค้า หมายถึงต้น

โยธกาก็ได้. คำว่า ทรงไว้ซึ่งต้นมะลิป่า ต้นแก้ว ต้นซึกอันไม่มีโทษ
ต้นขานางซึ่งงามดียิ่งนัก และดอกไม้สำหรับร้อยเป็นพวงมาลัยต่าง ๆ พรรณ
อธิบายว่า ทรงไว้ซึ่งดอกไม้ทั้งหลายแห่งต้นมะลิป่า ต้นแก้ว ต้นไม้ที่ไม่มีโทษ
ต้นซึก ต้นไม้ที่งดงาม ต้นขานางซึ่งร้อยเป็นมาลัยได้. คำว่า นมแมว

หมายถึงต้นคนทาก็ได้. คำว่า ลำเจียก หมายถึงทั้งต้นทั้งใบของลำเจียก.
คำว่า ดารดาษไปด้วยกอ หมายถึงกอไม้ที่เกิดในน้ำ และกอไม้ที่เกิดบน


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ภูเขา ดารดาษไปด้วยดอกมะลิเป็นต้นเหล่านี้. คำว่า เป็นพุ่มและประดับ
ด้วยเครือวัลย์ หมายถึงประเทศที่ดารดาษและประดับด้วยพรรณไม้ต่างชนิด
มีไม้ดอกเป็นต้น และเครือวัลย์ต่าง ๆ ชนิด ซึ่งยกขึ้นเป็นพุ่มอย่างดีในที่นั้น ๆ.
คำว่า มีหมู่สถิตอยู่ อธิบายว่า มีหมู่พวกวิทยาธรเป็นต้นสถิตอยู่ในที่นั้น.
คำว่า พญานกปุณณมุขะ อธิบายว่า นกที่ได้ชื่อว่าปุณณมุขะ เพราะมี
หน้าเต็ม และได้ชื่อว่าเป็นนกดุเหว่าขาว เพราะสิ่งเหล่าอื่นถูกต้อง. คำว่า

มีนัยน์ตาสอดส่าย คือมีนัยน์ตาส่ายไปส่ายมา. คำว่า มีตาเหมือนคนเมา
อธิบายว่า มีตาแดงเหมือนตาของคนเมา อนึ่ง มีตาประกอบด้วยประมาณ.
คำว่า น้องหญิงทั้งหลาย เป็นคำร้องเรียกด้วยโวหารอันประเสริฐ. คำว่า
ปฏิบัติ คือพึงรับใช้ตลอดวันยังค่ำ พญานกปุณณมุขะกล่าวด้วยคำอันเป็นที่รัก
แล้วจึงส่งพวกนางนกเหล่านั้นไป ด้วยประการฉะนี้ ก็ในกาลบางครั้ง พญานก

กุณาละพร้อมด้วยบริวารได้ไปหาพญานกปุณณมุขะ บางครั้งพยานกปุณณมุขะ
ก็มาหาพญานกกุณาละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อน
ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าในกาลบางครั้ง ดังนี้เป็นต้น. คำว่า สหาย หมายเอา
เพื่อนที่รักใคร่กัน. คำว่า อาศัย ได้แก่ ตั้งใจเข้าไปอาศัย. คำว่า พึงได้

อธิบายว่า พวกเราพึงได้ด้วยคำอันเป็นที่รักจากสำนักของพญานกกุณาละ. คำว่า
บ้างกระมัง อธิบายว่า พึงได้บ้างเป็นแน่ เราจักลองพูดกะพญานกกุณาละดู.
คำว่า มีชาติเสมอกัน คือมีชาติร่วมกัน คำว่า จงฉิบหาย คือ จงปราศจาก
ไป. คำว่า ลามก คือ เลวทราม. คำว่า ฉลาด อธิบายว่า คนอื่นใครเล่า

ที่เขาจะฉลาดเหมือนอย่างท่านยังจะมีอยู่. คำว่า ชายาชิเนน หมายความว่า
เมียเอาชนะตัว อีกอย่างหนึ่ง บาลีเป็น ชายาชิเตน ดังนี้เลยก็มี อธิบายว่า
พญานกกุณาละได้รุกรานพญานกปุณณมุขะว่า ขึ้นชื่อว่าใครที่จะฉลาดเหมือน

อย่างท่าน ที่ถูกหญิงให้ท่านแพ้แล้วยังมีอยู่ ดังนี้ เพื่อต้องการจะมิให้กล่าว
ถ้อยคำเช่นนั้นอีกต่อไป. คำว่า จากที่นั้น อธิบายว่า พญานกปุณณมุขะ
คิดว่า พญานกกุณาละโกรธเราแล้ว จึงกลับจากที่นั้นทีเดียว พร้อมด้วยบริวาร


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กลับไปยังที่อยู่ของตนทีเดียว. คำว่า ไม่รู้ นี้เป็นคำแสดง ถึงความวิตกด้วย
ความสงสัย พวกนกเหล่านั้นคิดกันอย่างนี้ว่า พญานกปุณณมุขะนี้ จะพึงหาย
จากการเจ็บไข้นี้ หรือไม่หายก็ไม่รู้ ดังนี้ จึงพากันละทิ้งพญานกปุณณมุขะ
นั้นแล้วหลีกไป. คำว่า ของเจ้า หมายเอาผัวของพวกเจ้า. คำว่า ก็ไม่รู้
อธิบายว่า พวกนางนกเหล่านั้นกล่าวว่า พญานกปุณณมุขะนี้จะหายจากการ

เจ็บไข้นั้นหรือไม่หายก็ไม่รู้ได้ ในเวลาที่พวกข้าพเจ้าไปแล้ว เธอคงจักตายแน่
ด้วยว่าพวกข้าพเจ้ารู้ว่า พญานกปุณณมุขะนี้จักตายในบัดนี้ จึงได้พากันมา
เพื่อจะเป็นบาทบริจาริกาของท่าน. คำว่า ไปหา อธิบายว่า พญานกกุณาละ
คิดว่าพวกนางนกเหล่านี้คิดว่า พวกเราจักพากันมาในเวลาที่สามีตายแล้ว ก็จัก

ดูน่าเกลียด จึงพากันละทิ้งพญานกปุณณมุขะนั้นแล้วพากันมา ส่วนเราจะไป
จัดแจงยาต่าง ๆ มีดอกไม้และผลไม้เป็นต้น กระทำสหายของเราให้หายโรค
ครั้นคิดดังนี้แล้ว พระมหาสัตว์ซึ่งมีกำลังดุจพญาช้างสาร จึงบินไปในอากาศ
เข้าไปหาพญานกปุณณมุขะโดยทิศาภาคที่เธออยู่. คำว่า หํ เป็นนิบาต พญานก

กุณาละเมื่อจะถามว่า ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือสหาย จึงได้กล่าวอย่างนี้ แม้
พญานกปุณณมุขะนอกนี้ กล่าวตอบพญานกกุณาละว่า เออ เรายังมีชีวิตอยู่
สหายเอ๋ย. คำว่า ให้ดื่ม คือให้ดื่มยาต่าง ๆ ชนิด. คำว่า หาย อธิบายว่า
โรคของพญานกปุณณมุขะก็สงบลงในขณะนั้น.

ฝ่ายนางนกดุเหว่าทั้งหลายแม้เหล่านั้น พอพญานกปุณณมุขะหายเจ็บ
ก็พากันกลับมา. พญานกกุณาละหาผลไม้น้อยใหญ่มาให้พญานกปุณณมุขะกินอยู่
สองสามวัน พอพญานกปุณณมุขะมีกำลังดีแล้ว จึงกล่าวว่า สหายเอ๋ย บัดนี้
ท่านก็หายจากโรคแล้ว จงอยู่กับนางบริจาริกาของท่านเถิด เราจักไปยังที่อยู่

ของเรา ลำดับนั้น พญานกปุณณมุขะจึงกล่าวว่า นางนกบริจาริกาเหล่านี้พากัน
ละทิ้งเราเมื่อไข้หนัก หนีไปเสีย เราไม่ต้องการอยู่กับอีพวกนักเลงเหล่านี้
ต่อไป พระมหาสัตว์ได้สดับคำนั้นจึงกล่าวว่า ดูก่อนสหาย ถ้าเช่นนั้นเราจะ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กล่าวความลามกของหญิงทั้งหลายให้ท่านได้ฟัง ว่าแล้วก็พาพญานกปุณณมุขะ
ไปยังพื้นมโนศิลาข้างเขาหิมพานต์ พักอยู่ที่มโนศิลาโคนไม้รั้งอันมีปริมณฑล
๗ โยชน์ พญานกปุณณมุขะกับบริวารก็พากันสถิตอยู่ในที่ควรข้างหนึ่ง. ฝ่าย
เทวดาก็เที่ยวป่าวร้องไปทั่วหิมพานต์ว่า วันนี้พญานกกุณาละจะแสดงธรรม

ด้วยพุทธลีลาที่พื้นมโนศิลา ขอให้ท่านทั้งหลายไปฟัง เทวดาในกามาวจรทั้ง
๖ ได้รู้ เพราะการร้องป่าวประกาศต่อ ๆ ไป ก็พากันมาประชุมในที่นั้นเป็น
อันมาก ใช่แต่เท่านั้น พวกนาค ยักษ์ รากษส สุบรรณ วิชาธร แร้ง
และเทวดาที่อาศัยอยู่ในดงก็โฆษณาเนื้อความนั้นต่อ ๆ ไป คราวนั้นพญาแร้ง

ชื่อว่าอานนท์ มีแร้งหมื่นหนึ่งเป็นบริวารอาศัยอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เมื่อได้ยินเสียง
ป่าวร้องเป็นโกลาหล ก็พาบริวารมาอยู่ข้างหนึ่ง ด้วยความประสงค์จะฟังธรรม
นารทฤาษีผู้สำเร็จอภิญญา ๕ มีดาบสบริษัทหมื่นหนึ่ง อยู่ในหิมวันตประเทศ
ได้ยินเสียงป่าวร้องก็คำนึงว่า ได้ยินว่า พญานกกุณาละสหายของเราจะชี้
โทษของหญิงทั้งหลาย จักมีสมาคมใหญ่ ควรเราจักไปฟังเทศนาของพญา

นกกุณาละ คิดแล้วก็พาดาบสหมื่นหนึ่งมาด้วยฤทธิ์ ครั้นถึงก็สถิต ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระมหาสัตว์อ้างพญานกปุณณมุขะเป็นพยานแล้วก็
แสดงเหตุที่ตนได้เห็นมาแล้วในอดีตภพ ซึ่งประกอบด้วยโทษแห่งหญิงโดยชาติ
สรญาณ (ญาณที่ระลึกชาติได้).

เมื่อพระศาสดา จะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า ได้ยินว่า
พญานกกุณาละได้กล่าวกับพญานกปุณณมุขะดุเหว่าขาว ซึ่งหายจากไข้และหาย
ยังไม่นานว่า ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เราเคยเห็นมาแล้ว นางกัณหา ๒ พ่อ
นางมีผัว ๕ คน ยังมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันในบุรุษที่ ๖ ซึ่งเป็นคนเปลี้ยหลังโกง
โค้งงอ คอก้มลงมาถึงท้องเหมือนคนศีรษะขาด และเรื่องนี้มีคำกล่าวเป็นคาถา
อีกส่วนหนึ่งว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ครั้งนั้น นางคนหนึ่ง ล่วงละเมิดสามี ๕ คน คือ
พระเจ้า อัชชุนะ พระเจ้า นกุล พระเจ้า ภีมเสน
พระเจ้า ยุธิษฐิล พระเจ้าสหเทพ แล้วทำลามกกับ
บุรุษเปลี้ยเตี้ยแคระอีก.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เรายังได้เคยเห็นอีก นางสมณีชื่อว่าปัญจตปาวี
อาศัยอยู่ในท่ามกลางป่าช้า ถือพรตยอมอดอาหาร ๔ วันจึงบริโภคครั้งหนึ่ง
ได้กระทำกรรมอันลามกกับพวกนักเลงสุรา ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เรายังได้
เคยเห็นมาแล้วอีก นางเทวีมานามว่า กากวันตี อยู่ในท่ามกลางสมุทร เป็น

ภรรยาของท้าวเวนไตยพญาครุฑ ได้กระทำกรรมอันลามกกับกุเวรผู้เจนในการ
ฟ้อน ดูก่อนสหายปุณณมุขะ เราเคยเห็นมาแล้ว นางขนงาม ชื่อว่ากุรุงคเทวี
รักใคร่ได้เสียอยู่กินกับเอฬกกุมารได้กระทำกรรมอันลามกกับฉพังคกุมารเสนา-
บดี และธนันเตวาสีคนใช้ของฉฬังคกุมารอีก เป็นความจริงเราได้รู้มาอย่างนี้

แหละ แม้พระมารดาของพระเจ้าพรหมทัต ก็ได้ทรงทอดทิ้งพระเจ้าโกศลราช
กระทำกรรมอันลามกกับพราหมณ์ชื่อว่า ปัญจาลจัณฑะ พญานกกุณาละกล่าว
เป็นคาถาต่อไปว่า

หญิงทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้นก็ดี หญิงอื่นก็ดี
ได้กระทำมาแล้วซึ่งกรรมอันลามก เพราะเหตุนั้น เรา
จึงไม่วิสสาสะ ไม่สรรเสริญหญิงทั้งหลาย แผ่นดิน
อันทรงไว้ซึ่งสรรพแก้วยินดีเสมอกัน รับรองสิ่ง
ที่ดีและชั่ว ทนทานได้หมด ไม่ดิ้นรน ไม่หวั่น-

ไหวฉันใด หญิงทั้งหลายก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น
ไม่ควรวิสสาสะกับหญิงทั้งหลาย อนึ่ง ราชสีห์พาฬ-
มฤคดุร้าย บริโภคเนื้อเลือดเป็นอาหาร ยินดีในการ
ที่จะเบียดเบียนสัตว์ ใช้อาวุธ ๕ (คือปาก ๑ เท้า ๔)
ข่มขี่สัตว์ทั้งหลายกินฉันใด หญิงทั้งหลายย่อมใช้อาวุธ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
๕ อย่าง (คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) เหมือนกัน
ฉันนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรวิสสาสะกับหญิงทั้งหลาย
เหล่านั้น.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะ หญิงทั้งหลายไม่ใช่แพศยา ไม่ใช่นางงาม
ไม่ใช่หญิงสัญจร ชื่อทั้ง ๓ นี้ไม่ใช่ชื่อโดยกำเนิด หญิงเหล่านี้ คือแพศยา
นางงาม หญิงสัญจร ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่า หญิงทั้งหลายมุ่นมวยผมเหมือนพวกโจร
ประทุษร้ายให้เป็นพิษเหมือนสุราเจือยาพิษ พูดโอ้อวดเหมือนคนขายของ
ตลบตะแลงพลิกพลิ้วเหมือนเขาเนื้อ สองลิ้นเหมือนงู ปกปิดความชั่วเหมือนเอา
แผ่นกระดานปิดหลุมคูถไว้ บรรทุกให้เต็มยากเหมือนบาดาล ทำให้ยินดีได้ยาก

เหมือนรากษส กวาดไปไม่มีเหลือเหมือนพระยม กินไม่เลือกเหมือนไฟ พัด
พาไปไม่เลือกเหมือนแม่น้ำ ประพฤติตามอำเภอใจตัวเหมือนลม ไม่ทำอะไร
ให้พิเศษเหมือนเขาพระเมรุมาศ (อธิบายว่า สัตว์เข้าไปที่ภูเขาพระเมรุแล้วจะ
มีสีเป็นทองเหมือนกันไปหมด) ผลิตผลเป็นนิตย์เหมือนต้นไม้มีพิษ มีคาถา
กล่าวความเหล่านี้ไว้อีกส่วนหนึ่งว่า

หญิงทั้งหลายเกล้าผมเหมือนโจร ประทุษร้าย
เหมือนสุรามีพิษ พูดโอ้อวดเหมือนคนขายของ ตลบ-
ตะแลงเหมือนเขาเนื้อ สองลิ้นเหมือนงู ปิดความชั่ว
เหมือนปิดหลุมคูถ ทำให้เต็มได้ยากเหมือนบาดาล
ทำให้ยินดีได้ยากเหมือนรากษส นำไปอย่างเดียว

เหมือนพระยม กินไม่เลือกเหมือนไฟ พัดให้ลอยไป
ไม่เลือกเหมือนแม่น้ำ ประพฤติตามใจตัวเหมือนลม
ไม่ทำอะไรให้วิเศษเหมือนเขาเมรุมาศ ผลิตผลเป็น
นิตย์เหมือนต้นไม้มีพิษ หญิงทั้งหลายเป็นผู้กอบกำ
รัตนะทั้งหลายไว้ในมือจนนับไม่ถ้วน ทำโภคสมบัติ
ในเรือนให้พินาศ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คำว่า ซึ่งหายจากไข้ อธิบายว่า เป็นไข้มาก่อนแล้วจึงหายใน
ภายหลัง. คำว่า เราเคยเห็นมาแล้วดังนี้ พระอรรถกถาจารย์นำเรื่องพิสดาร
มาสาธกไว้ว่า ได้ยินว่า ในกาลอันล่วงมาแล้ว พระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นพระราชา
ในแคว้นกาสี เสด็จไปตีได้ราชสมบัติในแคว้นโกศลเพราะพระองค์มีพลพาหนะ
อันมากมาย ฆ่าพระเจ้าโกศลเสียแล้ว พาพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลราช

ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์อ่อน ๆ มาด้วย เสด็จไปยังเมืองพาราณสี ทรงตั้งให้
เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์ ไม่ช้านางก็ประสูติพระธิดา โดยปกติพระเจ้า
พรหมทัตมิได้มีพระโอรสพระธิดา ท้าวเธอจึงทรงยินดีมากถึงกับออกพระโอฐ
ว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เราจะให้พร พระอัครมเหสีก็ทรงยึดเป็นคำมั่นสัญญาไว้

พระประยูรญาติทั้งหลาย ถวายพระนามพระราชกุมารีนั้นว่า นางกัณหา เมื่อ
นางเจริญวัยแล้ว พระมารดาจึงบอกว่า พระราชบิดาของเจ้า พระราชทานพรไว้
แม่ได้ถือเป็นคำมั่นสัญญาไว้แล้ว เจ้าจงเลือกตามความพอใจของเจ้าเถิด นาง
กัณหาทูลว่า ทรัพย์สมบัติใด ๆ ของหม่อมฉัน ซึ่งจะไม่มีนั้นหามิได้ ขอ
อนุญาตให้หม่อมฉันเลือกสามีได้ตามความชอบใจเถิด ที่นางหมดความอาย

ความกลัวทูลพระราชมารดาได้ดังนั้น ก็เพราะกิเลสแรงกล้า พระมารดาจึง
นำความกราบทูลต่อพระเจ้าพรหมทัต ๆ ตรัสรับว่าดีแล้ว จึงป่าวร้องบุรุษ
มาแล้ว ให้ธิดาเลือกตามความชอบใจ พวกบุรุษทั้งหลายก็พากันประดับประดา

ด้วยเครื่องอลังการมาประชุมพร้อมหน้ากันที่หน้าพระลาน นางกัณหาถือผอบ
ดอกไม้ยืนอยู่ที่ช่องพระแกลอันสูงแลดูบุรุษเหล่านั้นก็มิได้ชอบใจสักคนหนึ่ง.

คราวนั้นมีราชกุมาร ๕ พระองค์ เป็นราชบุตรแห่งพระเจ้าบัณฑุราช
องค์หนึ่งมีพระนามว่าอัชชุน องค์หนึ่งมีพระนามว่านกุล องค์หนึ่งมีพระนามว่า
ภีมเสน องค์หนึ่งมีพระนามว่ายุธิษฐิล องค์หนึ่งมีพระนามว่าสหเทพ พากัน
ไปเล่าเรียนศิลปศาสตร์ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักกศิลา สำเร็จแล้ว

ใคร่จะทราบถึงจารีตในประเทศต่าง ๆ จึงพากันไปเที่ยวถึงเมืองพาราณสีได้ยิน
เขาวุ่นวายกันในเมืองจึงเข้าไปถาม ครั้นทราบความแล้วก็ปรึกษากันว่าจะไป


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บ้าง กุมารทั้ง ๕ องค์นั้นมีรูปร่างงามผ่องใสคล้าย ๆ กัน ต่างก็พากันไปยืนอยู่
ต่อ ๆ กัน ฝ่ายนางกัณหานั้นเห็นราชกุมารทั้ง ๕ ก็มีความสิเนหาทุก ๆ องค์
จึงโยนพวงมาลัยไปคล้องให้ทั้ง ๕ แล้วกราบทูลพระมารดาว่า หม่อมฉันเลือก
เอาคนทั้ง ๕ คนนี้ พระมารดาก็ไปกราบทูลพระเจ้าพรหมทัต ๆ ไม่พอพระทัย
แต่ไม่อาจตรัสว่าไม่ได้ เพราะพระราชทานพรไว้เสียแล้ว จึงตรัสถึงชาติตระกูล

และนามบิดา ครั้นทรงทราบว่า เป็นราชกุมารของพระเจ้าบัณฑุราช ก็พระ-
ราชทานราชสักการะแล้ว ยกนางกัณหาให้เป็นบริจาริกาพระราชกุมารทั้ง ๕
องค์ นางกัณหาก็บำเรอราชกุมารทั้ง ๕ ด้วยสามารถกิเลสอยู่บนปราสาท ๗ ชั้น
และนางกัณหานั้นมีบุรุษคอยรับใช้อยู่คนหนึ่ง เป็นคนเปลี้ยค่อม เมื่อนางกัณหา

บำเรอราชกุมารที่ ๕ ด้วยกิเลสแล้ว พอราชกุมารนั้นออกไปภายนอก นางมี
เวลาว่าง เมื่อกิเลสลุกลามขึ้นก็ทำความชั่วกับบุรุษเปลี้ย เมื่อนางเจรจากับบุรุษ
เปลี้ยนั้นได้กล่าวว่า คนอื่นซึ่งเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าท่านไม่มี เราจักฆ่าพระราช
กุมารทั้ง ๕ เสีย เอาเลือดในลำคอมาล้างเท้าท่านดังนี้ ถึงพระราชกุมารทั้ง ๕ นาง

ก็พูดอย่างนี้ คือ เวลาคลอเคลียอยู่กับราชกุมารพี่ชายใหญ่ นางก็พูดว่าหม่อมฉัน
รักพระองค์ยิ่งกว่าพระราชกุมารทั้ง ๔ ชีวิตของหม่อมฉันสละถวายพระองค์แล้ว
ถ้าบิดาของหม่อมฉันทิวงคต หม่อมฉันจะให้เขาถวายราชสมบัติแก่พระองค์ดังนี้
เวลานางคลอเคลียอยู่กับราชกุมารองค์อื่นอีก นางก็กล่าวอย่างนี้ทั้ง ๔ พระองค์

พระราชกุมารทั้ง ๕ องค์ก็ทรงยินดีด้วยนางกัณหายิ่งนัก ด้วยใส่ใจว่า นางกัณหา
รักตนและอิสริยยศจะเกิดกับตนก็เพราะอาศัยนางกัณหา ต่อมาภายหลังวันหนึ่ง
นางกัณหาประชวรไข้ พระราชกุมารทั้ง ๕ ก็ไปนั่งแวดล้อม องค์หนึ่งนวดฟั้น
ศีรษะ อีก ๔ องค์นวดมือและเท้าทั้ง ๔ เจ้าเปลี้ยนั่งอยู่ใกล้เท้า. ส่วนนาง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กัณหาก็ให้อาณัติสัญญาอย่างรวม ๆ แก่พระอัชชุนผู้เป็นเชษฐาด้วยศีรษะ เป็น
เชิงแสดงให้รู้ว่า คนอื่นซึ่งเป็นที่รักของหม่อมฉันยิ่งกว่าพระองค์ไม่มี เมื่อ
หม่อมฉันมีชีวิตอยู่ก็จักมีชีวิตอยู่สำหรับพระองค์ ถ้าพระราชบิดาทิวงคตแล้วจะ
ให้เขาถวายราชสมบัติแก่พระองค์ ส่วนราชกุมารอีก ๔ องค์ นางก็ให้อาณัติ
สัญญาด้วยมือและเท้าตามทิศที่นั่ง แสดงเลศนัยอย่างเดียวกัน ใช่แต่เท่านั้น

ยังทำลิ้นให้อาณัติสัญญาแก่บุรุษเปลี้ยตามถ้อยคำที่เคยพูด คือว่า เจ้าคนเดียว
เท่านั้นเป็นที่รักของข้า ข้าจักมีชีวิตอยู่สำหรับเจ้า ทุก ๆ คนเห็นอาณัติสัญญา
แล้วก็รู้เนื้อความ เพราะนางเคยพูดมาแต่ก่อนเนือง ๆ แต่อัชชุนกุมารสังเกตเห็น
อาการเคลื่อนไหวมือเท้าและลิ้นของนางก็ดำริว่า นางกัณหาให้อาณัติสัญญาแก่
เราฉันใด ชะรอยจะให้แก่ผู้อื่นฉันนั้น เห็นจะทำความรักใคร่ชิดชมกับอ้ายเปลี้ย

ด้วย โดยไม่ต้องสงสัย ดำริแล้วจึงพาน้องชายออกไปข้างนอกแล้วไต่ถามว่า
นาง ๕ ผัวแสดงท่าด้วยศีรษะให้เรา เจ้าเห็นหรือไม่ พระราชกุมาร
๔ องค์ก็รับว่าเห็น อัชชุนกุมารจึงถามว่า เจ้ารู้เท่าทันหรือไม่ พระราชกุมาร
ทั้ง ๔ ตอบว่า ไม่รู้ อัชชุนกุมารจึงถามว่า ก็ที่นางทำอาณัติสัญญาให้เจ้าทั้ง
๔ ด้วยมือ และเท้าทั้ง ๔ นั้นเจ้ารู้หรือไม่เล่า. พระราชกุมารทั้ง ๔ ตอบว่ารู้

อัชชุนกุมารจึงตรัสว่า นางให้สัญญาแก่พวกเราด้วยเรื่องอย่างเดียวกันนั่นแหละ
แล้วถามต่อไปว่า ที่นางแสดงกิริยาพิรุธด้วยลิ้นแก่อ้ายเปลี้ยนั้น เจ้ารู้เท่าทัน
หรือไม่เล่า พระราชกุมารทั้ง ๔ ก็ตอบว่าไม่รู้ ลำดับนั้น อัชชุนกุมารจึงบอก
แก่น้องชายว่า ชะรอยนางนี่จะได้ประพฤติชั่วกับอ้ายเปลี้ยด้วยอีกคนหนึ่งเป็น

แน่ เมื่อเห็นว่าน้องชายทั้ง ๔ ไม่เชื่อ จึงเรียกให้บุรุษเปลี้ยเข้ามาถาม บุรุษ
เปลี้ยก็ยอมรับสารภาพทั้งหมดสิ้น พระราชกุมารทั้ง ๕ ได้ฟังแล้วก็หมดความ
ยินดีรักใคร่ ติเตียนมาตุคามโดยอเนกปริยายว่า น่าสลดใจนัก ขึ้นชื่อว่า
มาตุคามแล้วลามกทุศีล มาสละละคนที่บริบูรณ์ด้วยชาติและสวยงามเช่นพวกเรา

เสีย แล้วไปประพฤติลามกกับด้วยอ้ายเปลี้ยอันน่าเกลียดปฏิกูลได้ ก็ใครเล่าที่
เขาเป็นนักปราชญ์จะพึงรื่นรมย์ยินดีกับด้วยหญิงทั้งหลาย ผู้หาความละอายมิได้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 06:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มีแต่ธรรมลามก เมื่อติเตียนแล้ว พระราชกุมารทั้ง ๕ ก็ตกลงใจกันว่า ไม่
ต้องการอยู่เป็นฆราวาสจึงพากันเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ ถือเพศบรรพชา กระทำ
กสิณบริกรรม เมื่อสิ้นอายุแล้วก็ได้ไปตามยถากรรม.

ก็ในกาลนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นอัชชุนกุมาร ฉะนั้นเมื่อแสดง
เหตุที่ตนได้เห็นมาจึงกล่าวว่า เราได้เห็นมาแล้ว ดังนี้.

คำว่า สองพ่อ ในพระพุทธพจน์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หมายถึงพระเจ้ากรุงโกศลกับพระเจ้ากาสิกราช. คำว่า มีผัว ๕ คน หมาย
ความว่า ผัวของนางมีถึง ๕ คน ย อักษรเป็นเพียงนิบาตที่แทรกเข้ามา
คำว่า ยังมีจิตปฏิพัทธ์ คือมีจิตผูกพันอยู่ คำว่า ถึงท้อง อธิบายว่า
ได้ยินว่า คอของชายเปลี้ยนั้นโค้งลงมาตลอดหน้าอกถึงท้อง เพราะฉะนั้น เขา

จึงปรากฏเหมือนมีศีรษะขาด. คำว่า ล่วงละเมิดสามี ๕ คน อธิบายว่า นาง
ล่วงละเมิดสามีทั้ง ๕ คนเหล่านี้เสียแล้ว. คำว่า กับบุรุษเปลี้ย อธิบายว่า
นางทำกรรมอันลามกกับบุรุษเปลี้ยเตี้ยแคระ. พญานกกุณาละครั้นกล่าวเรื่องนี้
จบลงแล้ว เมื่อจะแสดงเรื่องที่ตนเคยเห็นมา เรื่องอื่นอีกจึงกล่าวต่อไปว่า

ดูก่อนสหายปุณณมุขะ ยังมีอีกเราได้เห็นมาแล้ว นางสมณี ชื่อปัญจตปาวีอาศัย
อยู่ในป่าช้า ถือพรตอดอาหาร ๔ วัน จึงบริโภคครั้งหนึ่ง นางได้ทำกรรม
ลามกกับนักเลงสุรา บรรดาเรื่องเหล่านั้น เรื่องที่หนึ่งนี้ พระอรรถกถาจารย์
นำเอานิทานพิสดารมาสาธกว่า ดังได้ยินมา ในอดีตกาล ยังมีนางสมณีนุ่งขาว

รูปหนึ่งชื่อปัญจตปาวีอาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี นางให้ทำบรรณศาลาอาศัยอยู่
ในป่าช้า นางถือพรตอดอาหารข้ามเวลาถึง ๔ วันจึงฉันครั้งหนึ่ง จนเกียรติคุณ
ปรากฏดุจกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ถึงกับพวกชาวพาราณสีไอจามหรือพลาด


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 105, 106, 107, 108, 109, 110, 111 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร