วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ย. 2025, 06:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 107, 108, 109, 110, 111, 112, 113 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สร้อยข้อมือของนางเป็นต้น เข้าไปยังโรงสุราเสียด้วย. คำว่า โง่ อธิบายว่า
สามีที่เป็นอันธพาล ย่อมไม่ฉลาดในการยียวน. คำว่า มัวเมา อธิบายว่า สามี
ที่เป็นนักเลงย่อมอภิรมย์กับพวกทาสีในเรือนของตน และย่อมด่าว่าภรรยา
ภรรยาจึงดูหมิ่นสามีด้วยเหตุนั้นแล ภรรยาย่อมด่าว่าสามีผู้ไม่อนุวัตรตามใน
กิจการทั้งปวงว่า สามีของเรานี้หมดเดชเสียแล้ว จึงอนุวัตรตามการงานไม่ทัน

เราเลย. ส่วนสามีคนใดมอบทรัพย์ทั้งหมดให้ปกครองสมบัติ ภรรยาก็ย่อมยึด
เอาธนสารสมบัติทั้งหมดไว้ในเงื้อมมือ ดูหมิ่นสามีประดุจทาส ปรารถนาสมบัติ
ก็ฉุดคร่าไล่สามีออกไปเสียนอกบ้านด้วยคำว่า ประโยชน์อะไรด้วยตัวท่าน
คำว่า ถึงความโง่เซอะ คือความเป็นผู้โง่เขลา. คำว่า ผู้มัวเมา คือ
เลินเล่อ. คำว่า หญิงทั้งหลายย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามี

อธิบายว่า ภรรยาย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามี ประทุษร้ายสามี คือกระทำ
กรรมอันลามกแก่สามี. คำว่า มักไปเที่ยวตามสถานที่รื่นรมย์ อธิบายว่า
ภรรยาบอกลาสามีบ้าง ไม่บอกบ้าง ไปเที่ยวยังสวนดอกไม้เป็นต้นแห่งใด
แห่งหนึ่งเนือง ๆ ประพฤติอนาจารในสวนนั้น กล่าวหลอกลวงสามีผู้โง่เขลา
ให้เชื่อว่า วันนี้เราจะไปกระทำพลีกรรมแก่รุกขเทวดาในสวนดังนี้เป็นต้น.

ฝ่ายสามีที่เป็นคนฉลาดย่อมฉลาดย่อมรู้ทันว่า หญิงคนนี้คงจะไปประพฤติ
อนาจารในที่นั้นเป็นแน่แล้วไม่ให้นางไปอีก ในบททั้งหมด บัณฑิตพึงทราบ
ข้อความอย่างนี้เหมือนกัน คำว่า ตระกูลผู้อื่น หมายถึงบ้านเรือนของคน
ที่เคยเห็นกันและเคยคบกันเป็นต้น นางกล่าวกะสามีเป็นต้นว่า กำไรที่เรา
ประกอบขึ้นไว้ในตระกูลโน้นมีอยู่ ทรัพย์ที่ให้เป็นของขอยืมในตระกูลโน้น

มีอยู่ เราจะไปจัดแจงเรื่องนั้นให้สำเร็จดังนี้แล้วก็ไป. คำว่า มักเยี่ยมมอง
หน้าต่าง อธิบายว่า ชอบมองตามช่องมีช่องหน้าต่างเป็นต้น. คำว่า มักยืน
แอบประตู อธิบายว่า ยืนอยู่ที่ประตูแสดงรูปร่างทรวดทรงของตน. คำว่า
ยั่วยวน คือ กล่าวยียวนสามี อธิบายว่า หญิงผู้อยู่ในสำนักของสามีแล้ว
แสดงนิมิตแก่ชายอื่น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คำว่า ดัดกาย อธิบายว่า กระทำความสังเกตไว้ก่อนทีเดียวว่า
ท่านพึงรู้ว่าโอกาสมีหรือไม่มี ด้วยความสำคัญว่า เราเห็นเขาแล้ว
จักทำการดัดกาย แม้มิได้กระทำความสังเกต ยืนอยู่ข้างหลังสามี ย่อมทำ
ดัดกายคือแสดงอาการดัดกาย ด้วยคิดว่า ชายคนนี้จักใฝ่ฝันถึงเราอย่างนี้.
คำว่า ทำก้ม อธิบายว่า แกล้งทำวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตกลงบนพื้น ทำ

เป็นเหมือนก้มลงเก็บของนั้นแสดงหลัง. คำว่า ทำกรีดกราย อธิบายว่า
แสดงอาการกรีดกราย ด้วยอิริยาบถทั้งหลายมีการเดินเป็นต้น หรือด้วยเครื่อง
ประดับ. คำว่า ทำอาย อธิบายว่า ทำเป็นอายแล้วปกปิดสรีระด้วยผ้า หรือ
แอบอยู่ตามบานประตูหรือฝา. คำว่า ทำแกะเล็บ อธิบายว่า เอาเล็บเท้า
กับเล็บเท้า เอาเล็บมือกับเล็บมือครูดสีกัน. คำว่า ไม้ หมายถึงท่อนไม้.

คำว่า เด็ก อธิบายว่า จับบุตรของตนเองบ้าง บุตรของคนอื่นบ้าง แล้วยก
ชูขึ้นเองบ้าง ให้คนอื่นยกชูขึ้นบ้าง. คำว่า เล่น อธิบายว่า เล่นเองบ้าง
ให้เด็กเล่นบ้าง แม้ในการจูบเป็นต้นก็มีนัยเหมือนกัน. คำว่า ให้ อธิบายว่า
ให้ผลไม้บ้าง ใบไม้ ดอกไม้บ้างอย่างใดอย่างหนึ่งแก่เด็กนั้น. คำว่า ขอ
คือขอคืนสิ่งเหล่านั้นแล. คำว่า ทำเอาอย่าง คือทำตามอย่างที่เด็กทำ. คำว่า

สูง หมายถึงเสียงสูงด้วยอำนาจ ทำเสียงดังหรือชมเชย. คำว่า ต่ำ หมายถึง
เสียงต่ำ ด้วยอำนาจทำเสียงเล็ก ด้วยอำนาจการกล่าวคำที่ไม่พอใจหรือด้วย
อำนาจการกล่าวคำหมิ่นประมาท. คำว่า พูดเปิดเผย หมายถึงพูดไม่ปกปิด
ในท่ามกลางชนหมู่มาก. คำว่า พูดกระซิบ หมายถึงพูดปกปิดในที่ลับ.
คำว่า ฟ้อน หมายถึงกระทำนิมิตด้วยการฟ้อนเป็นต้นเหล่านี้. คำว่า ร้องไห้

คือกระทำนิมิตด้วยเหตุแห่งการร้องไห้ บัณฑิตพึงกล่าวถึงเรื่องของนางพราหมณี
ของปุโรหิตที่เศรษฐีบุตร อุ้มขึ้นสู่ข้างทางหน้าต่าง ในคืนวันฝนตกคืนหนึ่ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พามาแล้ว นำมาเป็นตัวอย่าง. คำว่า ทำซิกซี้ หมายถึงหัวเราะด้วยเสียง
อันดัง หญิงย่อมกระทำนิมิตแม้ด้วยอาการอย่างนี้ คำว่า รักแร้ หมายถึง
รักแร้ทั้งสองข้าง. คำว่า ปาก หมายถึงริมปากข้างบน. คำว่า เม้ม คือ
เอาฟันเม้ม. คำว่า ผม หมายถึงมวยผม อธิบายว่า หญิงย่อมกระทำนิมิต
แก่ชายอื่นแม้ด้วยการสยายและมุ่นผมอย่างนี้ อีกอย่างหนึ่ง นางกระทำด้วย
คิดว่าใคร ๆ จักกำหนัดหรือไม่กำหนัดก็ตามแล้วจักกำหนัด.

คำว่า พึงทราบเถิดว่าหญิงเป็นคนประทุษร้าย อธิบายว่า บัณฑิต
พึงทราบไว้เถิดว่า หญิงนี้ประทุษร้าย ในเราคือโกรธเรา ครั้นโกรธแล้วจักกระทำ
อนาจาร. คำว่า แรมคืน อธิบายว่า หญิงกล่าวคำเป็นต้นว่า ทรัพย์ที่เราประกอบ
ขึ้นไว้ในบ้านโน้นจักฉิบหาย ท่านจงไปจัดแจงทรัพย์นั้นให้สำเร็จดังนี้ เมื่อสามี
ไปแล้ว ปรารถนาจะกระทำอนาจารจึงพรรณนาการไปแรมคืน. คำว่า สิ่งที่ไม่

เป็นประโยชน์ หมายถึงสิ่งที่มิใช่ความเจริญ. คำว่า มิใช่กิจ คือ มิใช่กิจที่
ควรกระทำ. คำว่า คลุมหัว คือนุ่งอย่างมั่นคง. คำว่า พลิกกลับไปกลับมา
อธิบายว่า พลิกไปข้างโน้นทีข้างนี้ที. คำว่า ทำวุ่นวาย คือทำให้เกิดความโก-
ลาหลแกล้งปลุกคนใช้ที่นอนอยู่ใกล้เท้าให้จุดไฟ กระทำความอึกกระทึกครึก-

โครมมีประการต่าง ๆ ย่อมยังความรื่นรมย์ทางกิเลสของสามีนั้นให้พินาศขาดไป.
คำว่า ทำระทมทุกข์ คือนางกล่าวคำเป็นต้นว่า เราปวดศีรษะเหลือเกิน.
คำว่า ตรงกันข้าม อธิบายว่า ย่อมเป็นผู้มีปกติประพฤติเป็นข้าศึก ด้วย
อำนาจแห่งอาการต่าง ๆ เป็นต้นว่า เมื่อสามีต้องการอาหารเย็น ก็ให้อาหาร

ร้อนดังนี้. คำว่า ล้างผลาญทรัพย์สมบัติ อธิบายว่า ทำโภคสมบัติที่สามี
หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก ให้ฉิบหายไปด้วยความเป็นคนเกะกะเพราะสุรา
เป็นต้น. คำว่า ความสนิทชิดชม ได้แก่ ทำความสนิทสนมด้วยอำนาจ
กิเลส. คำว่า ออกนอกบ้านเสมอ อธิบายว่า ออกนอกบ้านเพื่อเลือกหา

ชายชู้. คำว่า ในสามี ได้แก่ ย่อมเป็นผู้ประพฤตินอกใจด้วยความไม่เคารพ
ในสามี และเป็นผู้มีจิตคิดประทุษร้าย . คำว่า หญิงทั้งปวง อธิบายว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เว้นเสียจากหญิงผู้ทำกิเลสให้เบาบางด้วยวิปัสสนาแล้ว หญิงที่เหลือย่อมกระทำ
บาปทั้งหมด. คำว่า เมื่อได้ คือเมื่อมีโอกาส. คำว่า ช่อง อธิบายว่า เมื่อได้
ที่ลับพอจะปรึกษากันและพอจะร่วมกันได้. คำว่า คราวหรือที่ลับ อธิบายว่า
พึงกระทำโอกาสหรือที่ลับ เพื่อต้องการกระทำบาป. คำว่า โน เป็นเพียง
นิบาต. คำว่า ได้ หมายความว่า ได้แล้ว. อีกอย่างหนึ่ง บาลีเป็น อลทฺธา
ดังนี้ก็มี อธิบายว่า เมื่อไม่ได้บุรุษที่สมบูรณ์คนอื่น ก็พึงกระทำกรรมอันเป็น
บาปแม้กับชายเปลี้ย หรือกับชายที่มีรูปร่างน่าเกลียดยิ่งกว่านั้น. คำว่า ทำให้
เกิดปีติ คือทำให้เกิดความยินดียิ่งกว่า. คำว่า ข่มขี่ อธิบายว่า ไม่อาจที่จะ
แนะนำด้วยการข่มขี่ได้. คำว่า เสมอด้วยแม่น้ำ อธิบายว่า ท่าน้ำมิได้
หวงห้ามใคร ๆ ในบรรดาคนที่สูงสุด และต่ำที่สุดผู้ลงไปอาบน้ำ ฉันใด แม้
หญิงเหล่านี้เมื่อมีที่ลับหรือคราวหรือช่อง ก็ย่อมไม่ห้ามบุรุษใด ๆ เหมือนกัน
ฉะนั้น.

ต่อไปนี้ พระอรรถกถาจารย์นำเรื่องต่าง ๆ มาสาธกไว้ว่าในอดีตกาลมี
พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า กินนร เสวยราชย์อยู่ในเมืองพาราณสี
มีพระรูปโฉมงามยิ่งนัก อำมาตย์พันหนึ่งย่อมนำหีบเครื่องหอมมาถวายทุก ๆ วัน
เมื่อประพรมเครื่องหอมในพระราชนิเวศน์ทั่วแล้ว ก็ผ่าหีบทำเป็นไม้ฟืนหอม
หุงพระกระยาหารถวาย พระเจ้ากินนรมีปุโรหิตมีปัญญาหลักแหลมผู้หนึ่งชื่อ

ปัญจาลจัณฑะ มีชนมายุเท่ากับพระองค์ ก็ที่ต่อกับปราสาทของพระเจ้ากินนร
นั้น มีต้นหว้าต้นหนึ่งอยู่ในกำแพงวัง กิ่งหว้าทอดข้ามกำแพงออกไป มีบุรุษ
เปลี้ยคนหนึ่ง รูปร่างชั่วช้าน่าเกลียด อาศัยอยู่ที่ร่มไม้หว้า อยู่มาวันหนึ่ง
นางกินรีเทวีเยี่ยมมองไปตามช่องหน้าต่าง เห็นบุรุษเปลี้ยนั้นแล้ว ก็ผูกพัน
รักใคร่ เวลาราตรี ยังพระเจ้ากินนรให้ทรงยินดีด้วยกิเลสแล้ว และบรรทม

หลับไป นางจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจัดอาหารอันประณีตมีรสอร่อย ใส่ขันทองห่อไว้
ที่ชายพก แล้วก็ไต่เชือกลงทางหน้าต่าง ปีนขึ้นบนต้นหว้าไต่ลงมาตามกิ่ง
เชิญบุรุษเปลี้ยให้กินอาหาร แล้วทำการอันลามกกับบุรุษเปลี้ยสำเร็จแล้ว ก็
กลับขึ้นปราสาทตามทางเดิม ประพรมสรีระกายด้วยของหอมแล้วก็เข้าไปนอน

กับพระเจ้ากินนร ประพฤติลามกอย่างนี้เสมอมา พระเจ้ากินนรก็มิได้ทรงทราบ
จนอยู่มาวันหนึ่งเสด็จประทักษิณพระนคร เวลาเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ได้
ทอดพระเนตรเห็นบุรุษเปลี้ยมีอาการน่ากรุณาอย่างยิ่ง จึงตรัสถามปุโรหิตว่า

เห็นมนุษย์เปรตนั่นหรือไม่ ครั้นปุโรหิตรับพระราชโองการว่าเห็นแล้ว จึง
ตรัสถามต่อไปว่า บุรุษที่มีรูปร่างน่าเกลียดเห็นสภาวะปานฉะนี้ จะมีหญิงคบหา
ด้วยอำนาจฉันทราคะบ้างหรือไม่ บุรุษเปลี้ยได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้นก็เกิด


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มานะขึ้นมา พระเจ้าแผ่นดินพูดอะไรเช่นนี้ ชะรอยจะไม่รู้ว่าเทวีของตัวมาหาเรา
คิดแล้วก็ประนมมือไหว้ต้นหว้ากล่าววาจาค่อย ๆ ว่า เชิญเทพยดาซึ่งเป็นเจ้า
สิงอยู่ที่ต้นหว้าฟังเราเถิด คนอื่น ๆ นอกจากท่านแล้วก็ไม่มีใครรู้.

ปุโรหิตเห็นกิริยาของบุรุษเปลี้ยจึงคิดว่า พระอัครมเหสีของพระราชา
คงได้ไต่ต้นหว้ามาทำลามกกับบุรุษเปลี้ยนี้เป็นแน่แล้ว คิดแล้วจึงทูลถามว่า ขอ
พระราชทาน ในเวลาราตรี พระองค์ทรงสัมผัสสรีระกายแห่งพระเทวี เป็นเช่น
ไรบ้าง พระเจ้ากินนรตรัสตอบว่า สิ่งอื่นก็ไม่แลเห็น เป็นแต่เวลาเที่ยงคืนสรี-
ระกายของนางเย็น ปุโรหิตจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้ากระนั้นหญิงอื่นยกไว้

ก่อนเถิด พระนางกินรีอัครมเหสีของพระองค์ได้ประพฤติแล้วซึ่งกรรมอัน
ลามกกับบุรุษเปลี้ยนี้ พระเจ้ากินนรตรัสตอบว่า สหายพูดอะไรกัน นางกินรี
สมบูรณ์ด้วยรูปร่างอันอุดมเห็นปานนั้น จะมาร่วมอภิรมย์กับบุรุษเปลี้ยอันน่า
เกลียดอย่างยิ่งนี้ได้. ขอพระราชทาน ถ้ากระนั้นพระองค์จงสะกดรอยตามคอยจับ

ดูเถิด. พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ครั้นเสวยอาหารเย็นแล้ว ก็เข้าบรรทมกับนางกินรี
ตั้งพระหฤทัยคอยสะกดจับ พอถึงเวลาเคยบรรทมหลับตามปกติ ก็ทรงแสร้งทำ
เหมือนหลับไป ฝ่ายนางกินรีก็ลุกขึ้นทำตามเคย พระเจ้ากินนรก็สะกดรอยตาม
ไปยืนอยู่ที่เงาต้นหว้า วันนั้นบุรุษเปลี้ยโกรธขู่ตะคอกว่า ทำไมถึงมาช้า แล้วเอา

มือตบเข้าที่กกหูนางเทวี นางเทวีก็ร้องขอโทษว่า นายอย่าเพิ่งโกรธเลย ข้าพเจ้า
รอให้พระราชาหลับจึงมาได้ ว่าแล้วก็ประพฤติปฏิบัติบุรุษเปลี้ยเหมือนหญิง
บำเรอในเรือน เมื่อบุรุษเปลี้ยตบหูนางกินรีนั้น กุณฑลหน้าราชสีห์หลุดจากหู
กระเด็นไปอยู่ใกล้พระบาทพระเจ้ากินนร พระเจ้ากินนรเห็นสมควรจึงเก็บ

เอาไปเป็นพยานก็ทรงเก็บเอาไป ฝ่ายนางกินรีประพฤติอนาจารกับบุรุษเปลี้ย
นั้นแล้วก็กลับไปโดยนัยหนหลัง เริ่มจะนอนด้วยพระราชสามี.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระเจ้ากินนรก็ทรงห้ามเสีย พอรุ่งขึ้น จึงรับสั่งให้คนไปบอกว่า ให้
นางกินรีเทวีประดับเครื่องอลังการที่เราให้ทั้งหมดเข้ามาเฝ้า. นางกินรีก็สั่งให้ทูล
ว่า กุณฑลหน้าราชสีห์ส่งไปไว้ที่ช่างทองเสียแล้ว นางก็มิได้มาเฝ้า ครั้นพระเจ้า
กินนรรับสั่งให้หาอีก นางก็ประดับกุณฑลข้างเดียวเข้าไปเฝ้า พระเจ้ากินนรตรัส

ถามว่ากุณฑลไปไหน นางก็ทูลว่า ส่งไปที่ช่างทอง. พระเจ้ากินนรจึงรับสั่งให้หา
ช่างทองมาแล้วตั้งกระทู้ถามว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ให้กุณฑลแก่นางกินรี ช่างทอง
ก็ทูลว่า มิได้รับเอาไว้เลย พระเจ้ากินนรก็ทรงพระพิโรธตรัสว่า เฮ้ย อีนาง
จัณฑาล คนอย่างกูนี้แหละจะเป็นช่างทองของมึงละ ตรัสแล้วก็ขว้างกุณฑล
ลงไปตรงหน้านางกินรีแล้ว หันมาตรัสกับปุโรหิตว่า สหายพูดจริงทีเดียว จงไป
สั่งให้ตัดหัวอีนี่เสีย ปุโรหิตก็พานางกินรีไปซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่งภายในพระ-

ราชวังนั้น แล้วกลับไปเฝ้ากราบทูลว่า ขอพระราชทาน อย่าได้ทรงกริ้วนาง
กินรีเลย หญิงทั้งปวงย่อมเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ทรงเชื่อ ต้องพระ
ประสงค์ทรงทราบเรื่องทุศีลของหญิงทั้งหลายแล้ว ข้าพระองค์จะสำแดงให้ดู
ความลามกความมีมายาของหญิงทั้งหลาย เชิญเสด็จปลอมพระองค์ประพาสไป

ในชนบทด้วยกันเถอะ พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ทรงมอบราชสมบัติให้พระ-
มารดาแล้ว ก็เสด็จซอกซอนไปกับปุโรหิต.

เมื่อพระเจ้ากินนรกับปุโรหิตไปได้ประมาณโยชน์หนึ่งแล้ว พักนั่ง
อยู่ข้างบนหนทางใหญ่ มีกุฏุมพีคนหนึ่งกระทำวิวาหมงคลกันเพื่อบุตรชาย
ให้นางกุมารีคนหนึ่งนั่งอยู่ในยานกำบัง แล้วพาผ่านมาด้วยบริวารเป็นอัน
มาก ปุโรหิตได้เห็นแล้วจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้าต้องพระประสงค์

ข้าพระองค์สามารถจะให้นางกุมารีคนนี้ทำลามกกับพระองค์ได้ พระเจ้ากินนร
ตรัสว่า เพื่อนพูดอะไร เขามากับบริวารเป็นอันมาก ท่านไม่สามารถ
จะทำได้ ปุโรหิตจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้าฉะนั้นก็คอยทอดพระเนตร


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ทูลแล้วก็ลอบไปข้างหน้า วงม่านเข้าใกล้ ๆ หนทาง ให้พระเจ้ากินนร
ประทับในม่าน แล้วตนก็ไปนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง พอกุฏุมพีนั้นเห็นเข้า
ก็ถามว่า พ่อนั่งร้องไห้ทำไม จึงตอบว่า ข้าแต่นาย ภริยาของข้าครรภ์แก่ ข้า
พาเดินทางมาหวังจะไปยังตระกูลของเขา พอมาถึงกลางทาง นางก็เจ็บท้อง
ทนลำบากอยู่ในม่าน เพื่อนหญิงสักคนหนึ่งก็ไม่มี ตัวข้าก็ไม่กล้าเข้าไป ไม่รู้

ว่าจะเป็นอะไรต่อไป ถ้าได้หญิงสักคนหนึ่งจะค่อยยังชั่ว กุฏุมพีนั้นจึงตอบว่า
ถ้ากระนั้นอย่าร้องไห้ไปเลย พวกหญิงของเราที่มาด้วยกันมีเป็นอันมาก พอ
จะไปช่วยได้สักคนหนึ่ง ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ถ้ากระนั้นขอให้นางกุมารีคนนี้
แหละไป จักได้เป็นสวัสดิมงคลแก่เขา กุฏุมพีนั้นคิดเห็นว่า ชายผู้นั้นพูดถูก
แล้ว สวัสดิมงคลจักมีแก่สะใภ้ของเราเป็นแน่ และด้วยนิมิตนี้ สะใภ้ของเราจัก

เจริญด้วยบุตรและธิดา คิดแล้วจึงส่งนางกุมารีคนนั้นไป นางกุมารีนั้นก็เข้าไป
ในม่าน พอเห็นพระเจ้ากินนรเข้าก็เกิดรักใคร่ ได้ประพฤติลามกด้วยกันแล้ว
พระราชาทรงถอดพระธำมรงค์พระราชทาน พอสำเร็จกิจ นางกุมารีนั้นกลับมา
ชนทั้งหลายก็ถามว่า เขาคลอดลูกเป็นชายหรือหญิง นางก็ตอบว่าเป็นชาย
งามเหมือนดังทอง. กุฏุมพีก็พานางกุมารีไป ฝ่ายปุโรหิตก็กลับมาเฝ้าพระเจ้า

กินนรแล้วทูลว่า ขอพระราชทาน พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้ว นางกุมารี
รุ่นสาวยังลามกถึงเพียงนี้ ก็จะประสาอะไรถึงหญิงพวกอื่น อ้อ พระองค์
ประทานอะไรแก่นางไปบ้างหรือเปล่า พระเจ้ากินนรตรัสว่า เราให้แหวนที่
ติดมือมาแก่นางไป ปุโรหิตจึงทูลว่า พระองค์ประทานมันทำไม ว่าแล้วก็วิ่ง
ไปยึดยานไว้ ครั้นคนทั้งหลายถามว่าอะไรกัน ก็ตอบว่า นางกุมารีคนนี้หยิบ

เอาแหวนที่วางไว้ข้างศีรษะของนางพราหมณีภรรยาของข้ามา ขอแหวนให้ข้า
เถิดแม่ นางกุมารียื่นมือออกไปหยิกมือปุโรหิต ตะคอกว่า ตาโจร เอาของ
แกไปเถิด แล้วส่งแหวนคืนให้. ปุโรหิตสำแดงหญิงที่ประพฤตินอกใจผัว
หลายคนถวายพระเจ้ากินนร ด้วยอุบายต่าง ๆ อย่างอื่นแล้วทูลว่า ขอพระ-


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ราชทาน ที่นี่เท่านี้ก็พอแล้ว ขอเชิญเสด็จไปที่อื่นบ้างเถิด พระเจ้ากินนรตรัสว่า
ถึงจะเที่ยวไปให้ทั่วชมพูทวีป หญิงทั้งปวงก็จักเป็นเช่นเดียวกันหมด เราจะ
ต้องการดูอะไรมันอีกเล่า กลับเถิด ตรัสแล้วก็เสด็จกลับเมืองพาราณสี. ปุโรหิต
จึงทูลขอประทานโทษนางกินรีว่า ขอพระราชทาน ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายแล้ว
ย่อมลามกอย่างนี้ ปกติของเขาเป็นอย่างนี้เอง พระองค์จงงดโทษนางกินรี

เสียเถิด พระเจ้ากินนรก็ทรงยกโทษให้รับสั่งให้ไล่ไปเสียจากพระราชนิเวศน์
เมื่อทรงขับไล่จากตำแหน่งแล้ว ก็ทรงตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วรับสั่งให้
ไล่บุรุษเปลี้ยเสียจากที่นั้นและให้ตัดกิ่งต้นหว้าเสีย.

ในคราวนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นปัญจาลจัณฑปุโรหิต เมื่อนำเหตุ
ที่ตนได้เห็นมาแสดงจึงกล่าวว่า

บัณฑิตได้เห็นแล้วซึ่งเรื่องอะไร ของพระเจ้า
กินนรและนางกินรี ก็พึงรู้เถิดว่า หญิงทั้งปวงย่อม
ไม่ยินดีในเรือนของตน ภรรยาไปเห็นบุรุษอื่นแม้เป็น
ง่อยเปลี้ย ยังทิ้งเสียซึ่งสามีอย่างกับพระเจ้ากินนรได้.

อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า บัณฑิตเห็นเหตุแห่งความหน่ายแหนง
ของกินนรและนางกินรีเหล่านี้ คือ พระราชาผู้เป็นกินนรและนางกินรีเทวี
แล้วก็พึงรู้เถิดว่า หญิงทั้งปวงย่อมไม่ยินดีในเรือนแห่งสามีของตน. จริงอย่าง

นั้น นางกินรีเทวีผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากินนร เห็นบุรุษเปลี้ยคนอื่น
ยังยอมสละพระราชาพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้มีความฉลาดในการอภิรมย์เช่นนั้น
เสียแล้ว กระทำกรรมอันเป็นบาปกับมนุษย์เปรตนั้นได้.

เรื่องอื่นยังมีอีก ในอดีตกาล พระเจ้าพาราณสีทรงพระนามว่า พกะ
เสด็จทรงราชย์โดยธรรม ยังมีหญิงชื่อปัญจปาปี เป็นธิดาของคนยากไร้คนหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในบ้านข้างประตูตะวันออกเมืองพาราณสี เล่ากันมาว่า เมื่อชาติก่อน
นางเกิดเป็นธิดาของคนยากไร้คนหนึ่ง นั่งขยำดินทาฝาเรือนอยู่ เวลานั้นมี
พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งคำนึงว่า จักหาดินละเอียดที่ไหนหนอ มาฉาบทา
เงื้อมฝาที่อยู่อาศัย ครั้นตกลงใจว่า อาจหาได้ในเมืองพาราณสีดังนี้แล้ว จึง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ห่มคลุมถือบาตรเข้าไปในเมือง ไปยืนอยู่ใกล้หญิงนั้น นางแลเห็นพระปัจเจก
พุทธเจ้าแล้วก็โกรธ จึงพูดขึ้นด้วยใจร้ายว่า ชิ้นดินก็ขอ. พระปัจเจกพุทธเจ้า
ก็นิ่งมิได้หวั่นไหว นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามิได้หวั่นไหว ก็เกิดมีใจเลื่อมใส
อีกจึงกล่าวว่า สมณะ ท่านจักได้ดินเหนียวหรือ ว่าแล้วก็ยกดินเหนียวก้อนใหญ่
ใส่ลงในบาตร. พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เอาไปฉาบทาเงื้อมฝาที่อาศัย ไม่ช้านัก

หญิงคนนั้นก็จุติจากอัตภาพนั้น ไปถือปฏิสนธิในท้องหญิงทุคตะ ชาวบ้าน
ใกล้ประตูนอกเมืองนั้น เมื่อครบ ๑๐ เดือนแล้วนางก็คลอด ด้วยผลที่ได้ถวาย
ดินเหนียว ร่างกายของนางจึงประกอบด้วยสัมผัสดียิ่งนัก แต่เพราะวิบากที่
แลดูพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความโกรธ มือ เท้า ปาก ตา จมูก ๕ แห่ง
จึงวิกลวิปริตไป ดังนั้น เขาจึงพากันตั้งชื่อให้ว่า นางปัญจปาปี.

วันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีจึงทรงปลอมพระองค์เที่ยวตรวจพระนครไป
ถึงประเทศที่นั้นเข้า. นางปัญจปาปีเล่นอยู่กับด้วยนางทาริกาเพื่อนบ้าน ไม่
รู้จักพระเจ้าพาราณสีก็เอามือคว้าพระหัตถ์เข้า พระเจ้าพาราณสีถูกสัมผัสมือ
ของนางปัญจปาปีก็ดำรงพระองค์ไว้ไม่อยู่ ดุจดังสัมผัสทิพย์เกิดกำหนัดยินดีใน
สัมผัสยิ่งนัก จึงเอาพระหัตถ์จับนางปัญจปาปี ซึ่งมีรูปวิกลถึงปานนั้นแล้วตรัส

ถามว่า เจ้าเป็นลูกสาวของใคร ครั้นนางตอบว่า เป็นลูกสาวชาวบ้านที่ประตู
จึงทรงซักถามได้ความว่า ยังไม่มีสามี ก็ตรัสว่า เรานี้แหละจะเป็นสามีของเจ้า
เจ้าจงไปขออนุญาตต่อบิดามารดา. นางปัญจปาปีก็เข้าไปหาบิดามารดาแล้ว
บอกว่า ชายคนหนึ่งเขาต้องการข้า บิดามารดาคิดเห็นว่า ชายคนนั้นเห็นจะ

ไม่ใช่คนทุคตะจึงกล่าวว่า ถ้าเขาอยากได้คนอย่างเองก็ดีแล้ว. นางจึงกลับมา
บอกว่า บิดามารดาอนุญาตแล้ว. พระเจ้าพาราณสีก็อยู่กับนางปัญจปาปีที่เรือน
นั้น จนรุ่งเช้าจึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพาราณสีก็ทรง
ปลอมพระองค์ไปหานางปัญจปาปีเสมอ ไม่ทรงปรารถนาจะเหลียวแลหญิง
คนอื่นเลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ต่อมาวันหนึ่ง บิดาของนางปัญจปาปีบังเกิดโรคลงโลหิต ยาที่จะรักษา
โรคนั้นก็คือ ข้าวปายาสอันปรุงด้วยนมสดล้วน กับเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด
เป็นต้น แต่คนปานนั้นขัดสน จึงไม่สามารถจะหามาได้. ลำดับนั้น มารดา
ของนางปัญจปาปีจึงพูดกะลูกสาวว่า ผัวของเจ้าสามารถหาข้าวปายาสได้หรือไม่
เล่า. นางปัญจปาปีจึงตอบว่า ผัวของข้าเห็นจะจนกว่าบ้านเรา แต่เอาเถอะ

จะลองถามเขาดูก่อน อย่าวิตกไปเลย ว่าดังนี้แล้ว นางปัญจปาปีก็วางกิริยา
ท่าทางว่าทุกข์ร้อน นั่งคอยท่ารอเวลาที่พระเจ้าพาราณสีเคยเสด็จมา ครั้นพอ
พระเจ้าพาราณสีเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า เจ้าเสียใจอะไร ทรงสดับความนั้น
แล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง ยาขนานนี้เป็นยาสำหรับท่านผู้เป็นใหญ่

เราจะได้มาแต่ที่ไหน ตรัสดังนี้ แล้วทรงคิดต่อไปอีกว่า เราไม่สามารถ
เที่ยวไปมาอย่างนี้ได้ น่าจะต้องประสบอันตรายตามหนทางแน่ ก็แต่ว่า
ถ้าจะพานางปัญจปาปีเข้าไปไว้ในวัง ชนทั้งหลายที่ไม่รู้ว่านางนี้มีสมบัติคือ
สัมผัสดี ก็จักพากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พระเจ้าแผ่นดินของเราไปพาเอานาง
ยักษิณีที่ไหนมา จำเราจักทำให้ชาวพระนครเขารู้สัมผัสของนางเสียก่อนเถิด
จึงจะปลดเปลื้องข้อครหานินทาได้.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะนางว่า เจ้าอย่าวิตกไปเลย ข้าจะหา
ข้าวปายาสมาให้บิดาของเจ้า ครั้นทรงอภิรมย์กับนางปัญจปาปีแล้ว ก็เสด็จ
กลับพระราชนิเวศน์. พอวันรุ่งขึ้น จึงตรัสสั่งให้หุงข้าวปายาสอย่างว่า
ให้เอาใบไม้มาทำห่อเป็นสองห่อ บรรจุข้าวปายาสลงแล้ว ก็ใส่พระจุฬามณี
ลงไปในห่อหนึ่งผูกเสียให้ดี พอเวลาราตรี ก็เสด็จไปส่งห่อข้าวให้แล้ว

กำชับว่า เราเป็นคนจนเท่านี้ก็หาได้โดยยาก เจ้าจงบอกกับบิดาว่า วันนี้
จงกินข้าวปายาสห่อนี้ พรุ่งนี้จึงค่อยกินอีกห่อหนึ่ง. นางปัญจปาปีก็ทำตามสั่ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พอบิดานางปัญจปาปีบริโภคเข้าไปหน่อยหนึ่ง ก็อิ่มหนำสำราญมีความสุขสบาย
เพราะข้าวปายาสนั้นมีรสโอชายิ่งนัก. นางปัญจปาปีก็นำเอาข้าวปายาสที่เหลือ
ให้มารดา แล้วจึงบริโภคเองในภายหลัง ก็พออิ่มทั้ง ๓ คน ส่วนห่อข้าวที่มี
จุฬามณีก็เก็บไว้เพื่อวันต่อไป.

ครั้นพระเจ้าพาราณสีเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ สรงพระพักตร์เสร็จ
แล้ว จึงตรัสสั่งให้พนักงานนำจุฬามณีมาถวาย เมื่อเจ้าพนักงานทูลว่า หาไม่พบ
ก็ตรัสสั่งว่า ค้นให้ทั่วพระนคร เขาพากันค้นจนทั่วแล้วก็หาไม่ได้ จึงตรัสสั่ง
ต่อไปว่าให้ค้นด้านนอกพระนคร ที่สุดจนห่อเข้าของในเรือนคนทุคตะก็อย่า
เว้น ราชบุรุษทั้งหลายก็พากันเที่ยวค้น จึงไปพบจุฬามณีในเรือนนางปัญจปาปี

ก็พากันผูกมัดเอาบิดามารดาหาว่าเป็นโจร ชนทั้งสองจึงร้องว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่
โจร คนอื่นนำมาให้ ครั้นเขาซักไซ้ว่าใคร ก็บอกว่าลูกเขย ครั้นเขาถามหา
ตัวว่าไปไหนก็ซัดว่า ลูกสาวรู้แล้ว บิดาจึงหันมาพูดกับลูกสาวว่า เจ้ารู้จัก
ผัวเจ้าหรือไม่. นางก็ตอบว่า ไม่รู้จัก บิดาก็กล่าวว่า ถ้ากระนั้นชีวิตของเรา

ก็ไม่มี. นางปัญจปาปีจึงกล่าวว่า ผัวของข้ามาในเวลามืดแล้ว ก็กลับไปใน
เวลามืด ข้าจึงไม่รู้ว่ารูปร่างเขาเป็นอย่างไร แต่ถ้าถูกมือแล้วก็รู้ได้ แล้วนาง
ก็บอกแก่ราชบุรุษทั้งหลายเช่นนั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงนำความมากราบทูล.
พระเจ้าพาราณสีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จึงตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นจงให้หญิงคนนั้น

นั่งอยู่ในม่านที่หน้าพระลาน แล้วเจาะช่องม่านพอมือลอดได้ สั่งชาวเมืองมา
ประชุมให้หญิงนั้นจับโจรให้ได้ด้วยสัมผัสมือ ราชบุรุษทั้งหลายก็ทำตามรับสั่ง
พากันไปยังสำนักของนางปัญจปาปี แลดูรูปร่างแล้วก็เกิดเดือดร้อนเกลียดชังว่า
ถุย ถุย อีปีศาจ ต่างไม่อาจถูกต้องได้ ครั้นพานางมาแล้วก็ให้นั่ง ในม่าน

ที่หน้าพระลาน จัดการให้ชาวพระนครทั้งหมดมาประชุมพร้อมกัน นาง-
ปัญจปาปีก็จับมือบุรุษที่มาแล้วและยื่นเข้าไปในช่องม่าน บอกขานเรื่อยไปว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ไม่ใช่สามี บุรุษทั้งหลายที่ได้สัมผัสถูกต้อง ก็ติดข้องในสัมผัสแห่งนางอย่าง
สัมผัสทิพย์ ต่างคนก็คิดในใจว่า ถ้าหญิงคนนี้ควรแก่สินไหม เราจะยอมหาให้
ถึงจะตายเป็นทาสกรรมกรก็ไม่ว่า จะพาไปเลี้ยงไว้ในเรือน ต่างคนต่างไม่
สามารถจะหลีกไปได้ จนราชบุรุษทั้งหลาย โบยด้วยไม้จึงได้หนีไป คนทั้งปวง
ตั้งแต่อุปราชลงไปก็มีอาการปานกับจะเป็นบ้า พอหมดคนอื่นแล้ว พระเจ้า

พาราณสีตรัสว่า จะเป็นเราเองบ้างกระมัง จึงยื่นพระหัตถ์เข้าไป พอนางจับ
พระหัตถ์ก็ร้องเสียงดังลั่นว่า จับโจรได้แล้ว พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสถามราช
บุรุษทั้งหลายว่า เมื่อนางนี้จับมือเข้า พวกเจ้ามีความคิดอะไรบ้าง ราชบุรุษ
ทั้งหลายก็กราบทูลตามความเป็นจริง.

ลำดับนั้น พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสว่า ที่เราให้ทำอย่างนี้ก็เพื่อจะนำ
หญิงนี้มาไว้ในวัง แต่ยังคิดเห็นว่า เมื่อท่านทั้งหลายไม่รู้สัมผัสของหญิงนี้
ก็จะหมิ่นประมาทเราได้ เพราะฉะนั้น จึงให้เจ้าทั้งหลายรู้ไว้ จงว่าไปดูที หญิงนี้
จะสมควรอยู่ในเรือนใคร ราชบุรุษทั้งหลายก็กราบทูลว่า สมควรอยู่ในวังของ

พระองค์ ครั้นแล้วพระเจ้าพาราณสี ก็พระราชทานอภิเษกตั้งให้เป็นพระ-
อัครมเหสี และพระราชทานอิสริยยศแก่บิดามารดาของนาง. ตั้งแต่นั้นมา
พระเจ้าพาราณสี ก็ทรงมัวเมาด้วยนางปัญจปาปี จนไม่เอาพระทัยใส่ในอันที่
จะตัดสินความของราษฎร และไม่ทรงเหลียวแลหญิงอื่น พวกนางนักสนม
ทั้งหลายจึงคอยจ้องหาโทษใส่.

ต่อมาวันหนึ่ง นางปัญจปาปีฝันเห็นเป็นนิมิตที่ตนจะได้เป็นอัครมเหสี
พระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์ นางจึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าพาราณสี
จึงรับสั่งให้หาผู้มาทำนายฝันเข้ามาเฝ้าตรัสถามว่า ฝันเห็นอย่างนี้จะมีผลเป็น
อย่างไร พวกทำนายฝันได้สินบนจากนางสนมอื่น ๆ แล้วจึงทูลทำนายว่า ขอ
พระราชทานโอกาส การที่พระราชเทวีทรงสุบินว่า ได้นั่งบนคอช้างเผือกนั้น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เป็นบุรพนิมิตนำมรณะมาสู่พระองค์ ที่พระนางทรงสุบินว่า นั่งอยู่บนคอช้าง
แล้วลูบคลำพระจันทร์เล่นนั้น เป็นบุรพนิมิตที่นำพระราชาข้าศึกมาสู่พระองค์
ครั้นพระเจ้าพาราณสีทรงซักว่า ถ้าฉะนั้นจะควรทำอย่างไร จึงกราบทูลว่า
ขอพระราชทานโอกาส ไม่ควรจะให้สำเร็จโทษพระนางเสีย ควรใส่เรือปล่อย
ลอยไปตามแม่น้ำ พระเจ้าพาราณสี จึงให้นางปัญจปาปีลงในเรือพร้อมทั้งอาหาร

และเครื่องอลังการ พอเวลาราตรีก็ปล่อยลอยไปในแม่น้ำ เรือนางปัญจปาปี
ลอยไปตามน้ำ ก็ไปจนถึงหน้าฉาน พระเจ้าพาวรีย์ซึ่งทรงลงเล่นเรืออยู่ข้างใต้น้ำ
เสนาบดีของพระเจ้าพาวรีย์แลเห็นเรือจึงร้องว่า เรือนั้นเป็นของเรา พระเจ้า
พาวรีย์ตรัสว่าของในเรือเป็นของเรา พอเรือมาถึงเข้าได้ทอดพระเนตรเห็นนาง

ปัญจปาปี จึงตรัสถามว่า นางนี่ชื่อไร รูปร่างคล้ายปีศาจ. นางปัญจปาปี
ยิ้มแล้ว ทูลความว่า ตนเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพกะ และทูลเล่าเหตุทั้งปวง
ให้ทรงทราบ ก็นางปัญจปาปีนั้นมีชื่อเสียงปรากฏตลอดชมพูทวีป พระเจ้า
พาวรีย์ จึงทรงจับมือจูงขึ้นจากเรือ พอจับเข้าก็เกิดกำหนัดยินดีในสัมผัสจน

ไม่รู้สึกว่า หญิงอื่นมี จึงทรงตั้งนางปัญจปาปีไว้ในที่อัครมเหสี นางก็เป็น
ที่รักเสมอพระชนมชีพ พระเจ้าพกะทรงทราบข่าวก็ทรงดำริว่า เราจักไม่ยอม
ให้พระเจ้าพาวรีย์ตั้งนางปัญจปาปีเป็นอัครมเหสี จึงรวบรวมเสนาเสด็จเป็น
กระบวนทัพไปตั้งพักอยู่ที่ท่าน้ำ แล้วส่งราชสาส์นไปว่า ให้พระเจ้าพาวรีย์คืน

ภริยาให้หรือจะรบกันก็ตามที พระเจ้าพาวรีย์จึงตอบไปว่า เรายอมรบไม่ยอม
ให้ภริยา แล้วทรงตระเตรียมการรบ พวกอำมาตย์ทั้งสองฝ่ายจึงปรึกษากันว่า
ที่จะพากันมาตายเพราะเหตุแห่งมาตุคามนั้นไม่สมควรเลย นางปัญจปาปี ควร
ได้แก่พระเจ้าพกะ เพราะได้เคยเป็นสามีมาก่อน แต่ก็ควรได้แก่พระเจ้าพาวรีย์

เพราะทรงเก็บได้ในเรือ ต่างก็กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองให้ทรงสัญญา
พระราชาทั้งสองพระองค์ก็ตกลงพระหฤทัยสั่งให้สร้างพระนครขึ้นฝั่งละนครแล้ว
เสด็จประทับอยู่ นางปัญจปาปีทำหน้าที่เป็นอัครมเหสีของสองพระราชา คืออยู่
ประจำฝ่ายละ ๗ วัน เมื่อนางลงไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง นางได้ทำลามกกับชาว
ประมงค่อมคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับเรือในกลางแม่น้ำ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คราวนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นพระเจ้าพกะ เพราะเหตุนั้น เมื่อ
จะนำเรื่องที่ตนได้ทราบมาแล้วมาแสดง จึงกล่าวว่า
พระเจ้าพกะและพระเจ้าพาวรีย์หมกมุ่นอยู่ใน
กามเกินส่วนแล้ว ภริยาของท่านยังประพฤติล่วงกับ
คนใช้ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจอีก มีหรือที่หญิงจะไม่
ประพฤติล่วงคนอื่นนอกจากคนนั้นอีก.

คำว่า หมกมุ่นอยู่ในกามเกินส่วนแล้ว อธิบายว่า หมกมุ่นอยู่
ในกามเกินประมาณอยู่แล้ว. คำว่า ประพฤติล่วง หมายถึงประพฤติอนาจาร.
คำว่า ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจ อธิบายว่า ประพฤติล่วงในสำนักแห่งชาย
ผู้กระทำการรับใช้ของตนซึ่งอยู่ใกล้ชิดและเป็นไปในอำนาจของตน มีคำกล่าว

อธิบายว่า ได้กระทำกรรมอันชั่วร้ายกับคนใช้นั้น. คำว่า คนอื่นนอกจาก
คนนั้น อธิบายว่า ไฉนเล่าหญิงจะไม่ประพฤติล่วงกับชายอื่นนอกจากชาย
คนนั้นอีก.

ยังมีเรื่องอื่นอีก ในอดีตกาล อัครมเหสีพระเจ้าพรหมทัตมีนามว่า
ปิงคิยานี เปิดสีหบัญชรแลดูไปเห็นคนเลี้ยงม้ามงคล ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ครั้นเมื่อ
พระเจ้าพรหมทัตบรรทมหลับ ก็ลอบลงทางหน้าต่าง ประพฤติล่วงกับคน
เลี้ยงม้าแล้วกลับขึ้นปราสาท ประพรมสรีระด้วยของหอมแล้ว ก็เข้าไปนอน

กับพระเจ้าพรหมทัต ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตทรงดำริว่า เพราะเหตุอะไรหนอ
เวลาเที่ยงคืนสรีระของพระเทวีจึงเย็นเสมอ เห็นทีจะต้องสะกดรอยดู วันหนึ่ง
ทรงแสร้งทำอาการเหมือนหลับ พอนางลุกไปพระองค์ก็เสด็จตามไปข้างหลัง
ทอดพระเนตรเห็นนางประพฤติล่วงกับคนเลี้ยงม้า แล้วก็เสด็จกลับขึ้นสู่ที่

บรรทม ส่วนปิงคิยานีประพฤติล่วงแล้วก็กลับมานอนอยู่ที่นอนน้อย รุ่งเช้า
พระเจ้าพรหมทัตให้หานางปิงคิยานีมาแล้ว ทรงชี้โทษให้เห็นแจ้งแล้วตรัสว่า
หญิงทั้งปวง ย่อมมีธรรมดาลามกดังนี้แล้ว พระองค์ทรงงดโทษฆ่า จองจำ ตัด
ทำลายให้เป็นแต่ถอดออกจากตำแหน่งแล้ว ทรงตั้งหญิงอื่นเป็นพระอัครมเหสี
ต่อไป.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2019, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คราวนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต เพราะเหตุนั้น
เมื่อจะแสดงถึงเหตุที่ตนเห็นมาเอง จึงกล่าวว่า
นางปิงคิยานีภรรยาที่รักของพระเจ้าพรหมทัต ผู้
เป็นใหญ่แห่งปวงสัตวโลก ได้ประพฤติล่วงแก่คน
เลี้ยงม้าผู้ใกล้ชิด และเป็นไปในอำนาจแล้ว นางผู้ใคร่
ต่อกามนั้น ก็ไม่ได้ประสบกับความใคร่ทั้งสองราย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ วาปิ ความว่า นางประพฤตินอก
ใจอย่างนี้ ก็ไม่ได้ประสบกับสิ่งทั้งสองคือ คนเลี้ยงม้านั้น หรือตำแหน่ง
อัครมเหสีนั้น คือ ได้เป็นผู้พลาดแล้วทั้งสองอย่าง. บทว่า กามกามินี
ความว่า ผู้ปรารถนากาม.

พญานกกุณาละกล่าวโทษหญิงทั้งหลายว่า มีธรรมอันลามกอย่างนี้
อย่างนี้ ดังกับเรื่องอดีตที่ได้พรรณนามาแล้ว เมื่อจะกล่าวโทษแห่งหญิงทั้งหลาย
โดยปริยายอื่นอีก จึงกล่าวว่า

บุรุษผู้ไม่ถูกผีสิง ไม่ควรเชื่อหญิงทั้งหลายผู้
หยาบช้า ใจเบา อกตัญญู ประทุษร้ายมิตร หญิง
เหล่านั้นไม่รู้จักสิ่งที่กระทำแล้ว สิ่งที่ควรกระทำ ไม่รู้
จักมารดาบิดาหรือพี่น้อง ไม่มีความละอาย ล่วงเสีย

ซึ่งธรรม ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตของตน เมื่อมี
อันตราย และเมื่อกิจเกิดขึ้น ย่อมละทิ้งสามีแม้จะอยู่
ด้วยกันมานาน เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่อนุเคราะห์
แม้เสมอกับชีวิต เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่วิสาสะกับ
หญิงทั้งหลาย จริงอยู่ จิตของหญิงเหมือนจิตของวานร

ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเงาไม้ หัวใจของหญิงไหวไป
ไหวมา เหมือนล้อรถที่กำลังหมุน เมื่อใด หญิงทั้ง-
หลายผู้มุ่งหวัง เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรจะถือเอาได้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 107, 108, 109, 110, 111, 112, 113 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร