วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ย. 2025, 03:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 109, 110, 111, 112, 113, 114, 115 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เห็นแก่ทรัพย์ หมายถึงว่า หรือเพราะเหตุแห่งทรัพย์. คำว่า ดังเปลวไฟ
อธิบายว่า ประดุจไฟที่ลุกโพลงแล้ว เพราะความถึงพร้อมแห่งโทษ. คำว่า
ฆ่าชายด้วยราคะ โทสะ อธิบายว่า เป็นผู้ฆ่าด้วยกามราคะ และโทสะ
อีกอย่างหนึ่ง บาลีเป็น ราคโทสคติโย ดังนี้ก็มี. คำว่า ย่อมซ่านไปหา
อธิบายว่า เข้าไปผูกพันชายนั้น ด้วยถ้อยคำอันไพเราะ คำว่า มีทรัพย์มาก

หมายถึงมีเงินมีทองมาก บาลีเป็น สธนา ดังนี้ก็มี อธิบายว่า แม้ให้ทรัพย์
ของตนอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็ยังซ่านไปหาเพื่อต้องการผ้าและเครื่องประดับ
คำว่า พร้อมทั้งตน อธิบายว่า ย่อมเป็นเหมือนเสียสละตัวของตัวด้วยตัวเอง
แก่ชายนั้นผู้เดียว. คำว่า เกาะแน่น อธิบายว่า พัวพันบีบคั้นอย่างเหลือเกิน
เพื่อต้องการเอาทรัพย์. คำว่า ด้วยความพอใจมีประการต่าง ๆ คือด้วย
อาการหลายอย่าง. คำว่า ประดับร่างกายหน้าตาให้วิจิตร คือ มีร่างกาย
อันงดงาม และมีหน้างดงามด้วยสามารถแห่งเครื่องประดับ.

คำว่า ยิ้มใหญ่ ได้แก่ หัวเราะด้วยเสียงดัง. คำว่า ยิ้มน้อย คือหัวเราะ
ด้วยเสียงค่อย. คำว่า ดังคนเล่นกลและอสุรินทราหู หมายถึงบุรุษผู้กระทำ
การล่อลวงและท้าวอสุรินท์ คำว่า เหมือนหญิงที่อยู่ในทรวงอกประพฤติ
ล่วงทานพ อธิบายว่า มีเรื่องกล่าวไว้ในกรัณฑชาดกว่า ทานพตนหนึ่งให้
ภรรยานั่งในผอบแล้วกลืนเข้าไว้ในท้อง วันหนึ่งไปคายผอบออกชมเชยกันแล้ว

ลงอาบน้ำในสระ วิชาธรตนหนึ่งเหาะมาเห็นภรรยาทานพก็ลงไปทำชู้ด้วย พอ
ทานพขึ้นจากน้ำ นางก็เอาวิชาธรอมไว้เสีย ทานพก็เอาภรรยาซึ่งอมชู้ใส่ไว้ใน
ผอบอมไปอีก พระอรรถกถาจารย์แสดงว่า หญิงที่อยู่ในทรวงอกแม้ถูกกลืน
เก็บไว้ในท้องยังทิ้งทานพเสีย ประพฤติล่วงกับวิชาธรตนอื่น ดังในเรื่อง

กรัณฑชาดก มีคำเป็นต้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านไปไหนกันมาตั้ง ๓ คน
เล่าหนอดังนี้ หญิงทั้งหลายย่อมประพฤตินอกใจอย่างนี้ จะป่วยกล่าวไปไยถึง
หญิงเหล่านี้ ที่มิได้มีใครดูแลรักษา คำว่า ไม่รุ่งเรือง อธิบายว่า ย่อมไม่
รุ่งโรจน์ เหมือนพระเจ้าหาริต พระเจ้าโสมกัสสปะ และพระเจ้ากุสราช ฉะนั้น.
คำว่า ยิ่งกว่านั้น อธิบายว่า ย่อมถึงความพินาศยิ่งกว่าความพินาศที่ศัตรู
กระทำไปนั้นอีก. คำว่า ไม่มีอุเบกขา หมายถึงยังมีความอยาก คำว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ฉุดกระชากลากผมหยิกข่วนด้วยเล็บ อธิบายว่า มีผมอันถูกฉุดกระชาก
มีตัวถูกข่วนด้วยเล็บถูกคุกคาม คำว่า ทุบตี อธิบายว่า และถูกทุบตี
ด้วยอวัยวะมีเท้าเป็นต้น ชายใดย่อมกระทำอาการแปลก ๆ เหล่านี้ ด้วยอำนาจ
กลีโทษ หญิงทั้งหลายย่อมเข้าไปหาชายผู้เลวทรามเช่นนั้นแล้วอภิรมย์ด้วย.
ถามว่า นางย่อมประคับประคองชายที่มีอาการวิปริตเหล่านี้ ย่อมไม่รื่นรมย์

ชายที่มีความประพฤติเรียบร้อย เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะหมู่แมลงวัน
ย่อมชอบศพ. คำว่า หมู่แมลงวันที่ซากศพ อธิบายว่า ถ้าชายชั่วทำ
เช่นนั้น หญิงย่อมอยู่ด้วย เหมือนแมลงวันชอบอยู่ในซากศพช้างเป็นต้น
อันน่าเกลียดฉะนั้น.

คำว่า เป็นเหมือนบ่วง อธิบายว่า พึงเว้นหญิงพวกเหล่านี้
เสีย โดยที่แท้บุรุษผู้มีจักษุด้วยปัญญาจักษุ ผู้มีความต้องการด้วยความ
สุขอันเป็นทิพย์ และความสุขอันเป็นของมนุษย์ สำคัญอยู่ว่าหญิงนั้น
เป็นประดุจบ่วงแห่งเทพยดา ผู้เป็นเจ้าแห่งความรัก กล่าวคือ กิเลสมาร
ในที่เหล่านี้พึงเว้นเสีย เหมือนเนื้อและนกเว้นบ่วงและตาข่ายที่พวกนายพราน
ดักไว้เพื่อจะจับฉะนั้น. คำว่า สละเสีย คือ ทิ้งเสียซึ่งคุณคือตบะอันสามารถ

ได้ซึ่งสมบัติอันยิ่งใหญ่ในสวรรค์และมนุษย์. คำว่า ผู้ใด อธิบายว่า บุรุษ
ผู้ใดมาประพฤติซึ่งจริตกล่าวคือความยินดีในกามคุณ ในกามคุณทั้งหลายอัน
ไม่ประเสริฐไม่บริสุทธิ์. คำว่า จักเคลื่อนจากเทวดาไปคลุกเคล้าอยู่กับ
นรก อธิบายว่า บุรุษผู้นั้นจักกลับจากเทวโลกแล้วมาถือเอากำเนิดในนรก.

คำว่า เหมือนพ่อค้าซื้อหม้อน้ำอันแตก อธิบายว่า พ่อค้าโง่ให้สิ่งของ
มีราคามาก แลกเอาหม้อน้ำที่แตกไปฉันใด บุรุษนี้เป็นเหมือนอย่างนั้นแล.
คำว่า บุรุษนั้น หมายถึงบุรุษผู้ตกอยู่ในอำนาจของหญิงทั้งหลาย. คำว่า
โดยไม่แน่นอน คือไม่แน่นอนก็จักไหม้อยู่ในอบายทั้งหลาย ตลอดกาลมี
ประมาณเพียงเท่านี้ คำว่า พลั้ง ๆ พลาด ๆ อธิบายว่า พลาดจากเทวโลก
หรือมนุษยโลกแล้ว ย่อมไปสู่อบายอย่างเดียว ถามว่า เปรียบเหมือนอะไร ?


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ตอบว่า เปรียบเหมือนรถที่ลาโกงพาไปผิดทางฉะนั้น อธิบายว่า รถที่เทียม
ด้วยลาโกง ย่อมแวะออกจากทางไปนอกทางฉันใด บุรุษผู้ลุอำนาจแห่งหญิง
ก็ฉันนั้น. คำว่า มีป่าไม้งิ้วมีหนามแหลมเป็นหอกเหล็ก อธิบายว่า
นรกนั้น มีป่าไม้งิ้วเป็นเหล็กประกอบด้วยหนามเหมือนหอก. คำว่า วิสัยเปรต
อสุรกาย หมายเอาวิสัยแห่งเปรตและวิสัยแห่งกาลกัญชิกอสูร.

คำว่า ผู้ประมาท คือ ผู้เลินเล่อ จริงอยู่ ชายเหล่านั้นเป็น
ผู้ประมาทแล้วในหญิงทั้งหลาย ย่อมไม่กระทำคุณงามความดีอันเป็นมูลราก
แห่งสมบัติเหล่านั้น หญิงเหล่านั้นทั้งหมดชื่อว่า ย่อมทำบุรุษผู้ประมาทแล้ว
เหล่านั้น ให้พินาศไปด้วยประการฉะนี้. คำว่า ทำบุรุษผู้นั้นให้ตกไป
อธิบายว่า หญิงเหล่านั้นย่อมยังบุรุษเห็นปานนั้นให้กระทำแต่อกุศลกรรม

ด้วยสามารถแห่งความประมาท ชื่อว่าย่อมทำบุรุษนั้นให้ตกไปยังทุคติ.
คำว่า อยู่วิมานทอง คือมีปกติอยู่ในวิมานอันสำเร็จด้วยทองคำ. คำว่า
ไม่ต้องการด้วยหญิง อธิบายว่า ชายเหล่าใดเป็นผู้ไม่มีความต้องการ
ด้วยหญิงทั้งหลายแล้ว ย่อมประพฤติพรหมจรรย์. คำว่า ก้าวล่วงเสียซึ่ง

กามธาตุ หมายถึงหนทางดำเนิน เพราะก้าวล่วงกามธาตุเสียได้. คำว่า รูป
ธาตุสมภพ หมายถึงความมีพร้อมแห่งรูปธาตุ กล่าวคือทางดำเนินที่ก้าวล่วง
กามธาตุ ย่อมเป็นของหาได้ไม่ยาก แก่ชนเหล่านั้นเลย. คำว่า คติที่เข้าถึง
ความปราศจากราคะ อธิบายว่า การบังเกิดในเทวโลกชั้นสุทธาวาสในวิสัย
แห่งบุคคลผู้ปราศจากราคะแม้นั้น ก็เป็นของหาได้ไม่ยากแก่ชนเหล่านั้น คำว่า

ล่วงส่วน อธิบายว่า ไม่เป็นไปล่วงคือเป็นธรรมที่ไม่ถึงความพินาศ. คำว่า
ไม่หวั่นไหว คือไม่กระทบกระเทือนด้วยกิเลสทั้งหลาย. คำว่า ดับแล้ว
คือมีกิเลสอันดับแล้ว. คำว่า สะอาด คือพระนิพพานเห็นปานนี้ อันท่าน
ผู้บริสุทธิ์สะอาดทั้งหลายจะพึงได้โดยไม่ยากเลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระมหาสัตว์ ยังเทศนาให้จบลงจนถึงอมตมหานิพพานอย่างนี้แล้ว
สัตว์ทั้งหลายเป็นต้นว่า กินนรและพระยานาคในป่าหิมพานต์และเทวดาที่อยู่ใน
อากาศก็พากันให้สาธุการว่า น่าอัศจรรย์จริง พญานกกุณาละกล่าวอย่างลีลาของ
พระพุทธเจ้าดีมาก.

พญาแร้งชื่อว่า อานนท์ พราหมณ์ฤาษีชื่อนารทะ และพญานกปุณณ-
มุขะดุเหว่าขาว ก็พาบริวารของตน ๆ ไปสู่ที่อยู่เดิม แม้พระมหาสัตว์ก็กลับไป
ยังที่อยู่ของตนเช่นเดียวกัน ฝ่ายพวกที่กล่าวมาแล้วนอกนี้ ย่อมไปมาหาสู่กันเสมอ
และตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ ก็ย่อมมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เมื่อจะทรงประชุม
ชาดก จึงตรัสคาถาที่สุดว่า

พญานกกุณาละในครั้งนั้นเป็นเรา พญานก
ดุเหว่าขาว เป็นพระอุทายี พญาแร้งเป็นพระอานนท์
นารทฤาษีเป็นพระสารีบุตร บริษัททั้งหลายเป็นพุทธ-
บริษัท เธอทั้งหลายจงทรงจำกุณาลชาดกไว้อย่างนี้แล.

ฝ่ายพระภิกษุราชกุมารทั้งหลาย เวลาจะไปก็ไปด้วยอานุภาพของพระ
ศาสดา แต่เวลามานั้น มาด้วยอานุภาพของตน คือ พระศาสดาทรงแสดง
กัมมัฏฐานให้ภิกษุเหล่านั้นในป่ามหาวัน พระภิกษุเหล่านั้น ได้บรรลุพระ
อรหัตในวันนั้นเอง และได้มีเทวดาสมาคมใหญ่ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงมหาสมัยสูตร เมื่อจบลง เทวดาทั้งหลายได้บรรลุมรรคผลมีพระ
โสดาบันเป็นต้น.
จบอรรถกถากุณาลชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภ
พระอังคุลิมาลเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า กสฺมา ตุวํ รสก
อีทิสานิ ดังนี้.

การบังเกิดและการบรรพชาของพระอังคุลิมาลเถระนั้น บัณฑิตพึง
ทราบโดยพิสดาร ตามนัยที่ท่านพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถา
อังคุลิมาลสูตร ในเรื่องนี้จะได้กล่าวความตั้งแต่พระอังคุลิมาลเถระนั้น ได้กระทำ
ความสวัสดีแก่หญิงผู้มีครรภ์หลงด้วยทำความสัตย์แล้ว จำเดิมแต่นั้นมาก็ได้
อาหารสะดวกขึ้นเจริญวิเวกอยู่ ในกาลต่อมาก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระ

อรหันต์มีชื่อปรากฏนับเข้าในภายในพระมหาเถระ ๘๐ องค์ ในกาลนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์
จริง ๆ หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานพระองคุลิมาล ผู้เป็นมหาโจร
มีฝ่ามืออันชุ่มด้วยเลือด ร้ายกาจเห็นปานนั้น โดยไม่ต้องใช้ทัณฑะหรือศัสตรา
ทำให้หมดพยศได้ ทรงกระทำกิจที่ทำได้โดยยาก ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้กระทำกิจที่ทำได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์ พระศาสดาประทับ

อยู่ในพระคันธกุฎี ได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น ด้วยทิพโสตก็ทรง
ทราบว่า เราไปวันนี้จักมีอุปการะมาก พระธรรมเทศนาจักเป็นไปอย่างใหญ่-
หลวงดังนี้ จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จไปยังธรรมสภาด้วยพุทธลีลา
อันหาที่เปรียบมิได้ ประทับนั่งบนอาสนะอันประเสริฐ ที่พวกภิกษุจัดไว้ถวาย
แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร

เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราผู้ได้บรรลุปรมาภิสมโพธิญาณ ทรมานพระองคุลิมาลได้ในบัดนี้ ไม่น่า
อัศจรรย์เลย เมื่อครั้งเรายังบำเพ็ญบุรพจริยาแม้ตั้งอยู่ในประเทศญาณก็ทรมาน
พระองคุลิมาลนี้ได้ ตรัสดังนี้แล้วทรงดุษณีภาพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูล
อาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า โกรัพยะ เสวยราชสมบัติโดย
ธรรม ในพระนครอินทปัต แคว้นกุรุ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้ง
หลายเสด็จอุบัติในพระครรภ์ ของพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าโกรัพยะนั้น ก็เพราะ
พระราชกุมารนั้นมีพระพักตร์ดังดวงจันทร์ และมีนิสัยชอบในการศึกษา ชน
ทั้งหลายจึงพากันเรียกเธอว่า สุตโสม พระราชาทรงเห็นพระกุมารนั้นเจริญวัย

แล้ว จึงพระราชทานทองลิ่มชนิดเนื้อดี ราคาพันหนึ่ง ส่งไปยังเมืองตักกศิลา
เพื่อให้ศึกษาศิลปศาสตร์ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สุตโสมรับทรัพย์อัน
เป็นส่วนของอาจารย์ แล้วออกเดินทางไป แม้พรหมทัตกุมาร พระโอรสของ
พระเจ้ากาสิกราชในพระนครพาราณสี พระบิดาก็รับสั่งอย่างเดียวกันแล้ว
ส่งไปจึงเดินไปยังหนทางนั้น. ลำดับนั้น สุตโสมกุมารเดินทางไปถึงแล้ว จึงนั่ง

พักที่แผ่นกระดานในศาลาใกล้ประตูเมือง แม้พรหมทัตกุมารไปถึงแล้ว ก็นั่งบน
แผ่นกระดานแผ่นเดียวกัน กับสุตโสมกุมารนั้น. ลำดับนั้น สุตโสม จึงกระทำ
ปฏิสันถารแล้ว ถามพรหมทัตกุมารนั้นว่า ดูก่อนสหาย ท่านเดินทางมาเหน็ด-
เหนื่อย ท่านมาจากไหน. พรหมทัตกุมารตอบว่า ข้าพเจ้ามาจากเมืองพาราณสี.
ท่านเป็นบุตรของใคร. ข้าพเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี. ท่านชื่อไร. ข้าพเจ้า

ชื่อพรหมทัตกุมาร. ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุไร. พรหมทัตกุมารตอบว่า ข้าพเจ้ามา
เพื่อเรียนศิลปศาสตร์ แล้วถามสุตโสมกุมารโดยนัยนั้นเหมือนกันว่า แม้ตัวท่าน
ก็เดินทางเหน็ดเหนื่อยมา ท่านมาจากไหน. แม้สุตโสมก็บอกแก่พรหมทัตกุมาร
ทุกประการ แม้สองราชกุมารนั้นจึงกล่าวแก่กันว่า เราทั้งสองเป็นกษัตริย์ จงไป

ศึกษาศิลปศาสตร์ในสำนักท่านอาจารย์คนเดียวกันเถิด กระทำมิตรภาพแก่กัน
และกันแล้ว จึงเข้าไปสู่พระนคร ไปหาสกุลอาจารย์ ไหว้อาจารย์แล้วแจ้งชาติ
ของตน แถลงความที่ตนทั้งสองมาเพื่อจะศึกษาศิลปะ อาจารย์จึงรับว่า ดีละ
สองราชกุมารจึงให้ทรัพย์อันเป็นส่วนค่าเล่าเรียนกับอาจารย์แล้วเริ่มเรียนศิลปะ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เวลานั้นไม่ใช่แต่สองราชกุมารเท่านั้น แม้พระราชบุตรอื่น ๆ ในชมพู-
ทวีปประมาณ ๑๐๑ พระองค์ ก็เรียนศิลปะอยู่ในสำนักของอาจารย์นั้น สุตโสม-
กุมารได้เป็นอันเตวาสิกผู้เจริญที่สุดกว่าราชบุตรเหล่านั้น เล่าเรียนศิลปศาสตร์อยู่
อย่างขะมักเขม้น ไม่นานเท่าไรนักก็ถึงความสำเร็จ สุตโสมกุมารมิได้ไปยังสำนัก
ของราชกุมารเหล่าอื่น ไปหาแต่พรหมทัตกุมารผู้เดียวด้วยคิดว่า กุมารนี้เป็น
สหายของเรา เป็นครูผู้ช่วยแนะนำภายหลังของพรหมทัตกุมารนั้น สอนให้สำเร็จ

การศึกษาได้โดยรวดเร็ว ศิลปะแม้ของราชกุมารนอกนี้ก็สำเร็จโดยลำดับกันมา
พวกราชกุมารเหล่านั้นให้เครื่องคำนับไหว้อาจารย์แล้ว แวดล้อมสุตโสมออกเดิน
ทางไป ลำดับนั้น สุตโสมจึงพักยืนอยู่ในระหว่างทางที่จะแยกกัน เมื่อจะส่ง
ราชบุตรเหล่านั้นกลับจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายแสดงศิลปะแก่พระราชมารดา
บิดาของตนแล้ว จักตั้งอยู่ในราชสมบัติ ครั้นตั้งอยู่ในราชสมบัติแล้ว พึงกระทำ

ตามโอวาทของเรา ทำอย่างไรท่านอาจารย์ ท่านทั้งหลายจงรักษาอุโบสถทุกวัน
ครึ่งเดือน อย่าได้กระทำการเบียดเบียน ราชบุตรเหล่านั้น รับคำเป็นอันดี
แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่า มหาภัยจักเกิดขึ้นในพระ-
นครพาราณสี เพราะอาศัยพรหมทัตกุมาร ดังนี้ เพราะปรากฏในองค์
วิทยา จึงได้ให้โอวาทแก่พวกราชกุมารเหล่านั้นแล้วส่งไป.

ราชบุตรเหล่านั้นทุก ๆ พระองค์ ไปถึงชนบทของตน ๆ แล้วแสดง
ศิลปะแก่พระราชมารดาบิดาของตนแล้ว ตั้งอยู่ในราชสมบัติแล้วต่างส่งราชสาส์น
พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ เพื่อให้ทราบความที่ตนตั้งอยู่ในราชสมบัติแล้ว
และประพฤติอยู่ในโอวาทด้วย พระมหาสัตว์ได้ทรงทราบข่าวสาส์นนั้นแล้ว
ทรงตอบพระราชสาส์นไปว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ในบรรดา

พระราชาเหล่านั้น พระเจ้าพาราณสีเว้นมังสะเสียแล้วเสวยอาหารไม่ได้ แม้
ในวันอุโบสถพวกห้องเครื่องต้นก็ต้องเก็บมังสะไว้ถวายท้าวเธอ อยู่มาวันหนึ่ง
เนื้อที่เก็บไว้อย่างนั้น พวกโกไลยสุนัข ในพระราชวังกินเสียหมด เพราะความ
เลินเล่อของคนทำเครื่องต้น คนทำเครื่องต้นไม่เห็นมังสะ จึงถือกหาปณะ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กำมือหนึ่งเที่ยวไป ก็ไม่อาจจะหามังสะได้ จึงดำริว่า ถ้าหากเราจักตั้งเครื่อง
เสวยไม่มีมังสะ เราก็จะไม่มีชีวิต จักทำอย่างไรเล่าหนอ ครั้นนึกอุบายได้ใน
เวลาค่ำจึงไปสู่ป่าช้าผีดิบ ตัดเอาเนื้อตรงขาของบุรุษที่ตายเมื่อครู่หนึ่งนั้นนำมา
ทำให้สุกดีแล้ว หุงข้าวจัดแจงตั้งเครื่องเสวย พร้อมด้วยมังสะ พอพระราชาวาง

ชิ้นมังสะลง ณ ปลายพระชิวหา ชิ้นมังสะนั้น ก็แผ่ไปสู่เส้นประสาทที่รับรสทั้ง
๗ พัน ซาบซ่านไปทั่วพระสรีระ มีคำถามสอดเข้ามาว่า ที่เป็นดังนี้เพราะเหตุไร
เฉลยว่า เพราะเคยเสวยมาก่อนแล้ว.

ได้ยินว่า ในอัตภาพต่อกันที่ล่วงไปแล้ว ท้าวเธอเกิดเป็นยักษ์กิน
เนื้อมนุษย์เสียเป็นอันมาก เพราะฉะนั้น เนื้อมนุษย์จึงได้เป็นสิ่งที่โปรด
ปรานของพระองค์ ท้าวเธอทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักนิ่งเสียแล้วบริโภค
คนทำเครื่องนี้ก็จักไม่บอกเนื้อชนิดนี้แก่เรา จึงแกล้งถ่มให้ตกลงบนภาค
พื้นพร้อมด้วยพระเขฬะ เมื่อคนทำเครื่องต้นกราบทูลว่า ขอเดชะ มังสะ

นี้หาโทษมิได้ เชิญพระองค์เสวยเถิด จึงทรงรับสั่งให้ราชเสวกออกไป
เสียแล้ว ตรัสถามคนทำเครื่องต้นว่า เราเองก็ทราบว่าเนื้อนี้หาโทษมิได้ แต่
เนื้อนี้เรียกว่าเนื้ออะไร. ขอเดชะ เนื้อที่พระองค์เคยเสวยในวันก่อน ๆ ในวัน
อื่น เนื้อนี้ ไม่มีรสอย่างนั้นมิใช่หรือ ขอเดชะ. พึงทำได้ดีในวันนี้เอง แม้
เมื่อก่อน เจ้าก็ทำอย่างนี้มิใช่หรือ ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงทราบว่า คนทำ

เครื่องต้นนั้นนิ่งอยู่ จึงรับสั่งต่อไปว่า จงบอกมาตามความจริงเถิด ถ้าเจ้า
ไม่บอก เจ้าจะไม่มีชีวิต คนทำเครื่องต้นจึงทูลขอพระราชทานอภัยแล้ว ก็
กราบทูลตามความเป็นจริง พระราชารับสั่งว่า เจ้าอย่าเอ็ดไป เจ้าจงกินมังสะ
ที่ทำตามธรรมดา แล้วจงนำเนื้อมนุษย์ให้แก่เราอย่างเดียว คนทำเครื่องต้น

ทูลถามว่า ขอเดชะ ทำได้ยากมิใช่หรือ อย่ากลัวเลย ไม่ใช่ของยาก คนทำ
เครื่องต้นจึงทูลถามว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์จักได้มาจากไหนเป็นนิตย์เล่า.
คนในเรือนจำมีอยู่มากมายมิใช่หรือ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
จำเดิมแต่นั้น เขาก็ได้กระทำตามพระราชบัญชาทุกประการ ครั้น
ต่อมาพวกนักโทษในเรือนจำหมด คนทำเครื่องต้นจึงกราบทูลว่า บัดนี้
ข้าพระองค์จักกระทำอย่างไรต่อไป เจ้าจงทิ้งถุงทรัพย์พันหนึ่งไว้ที่ระหว่าง
ทาง คนใดหยิบเอาถุงทรัพย์นั้น จงจับคนนั้นโดยตั้งข้อหาว่า เป็นโจร
แล้วฆ่าทิ้งเสีย เขาได้กระทำตามพระราชบัญชานั้นแล้ว ครั้นต่อมาไม่พบ

แม้คนที่มองดูถุงทรัพย์พันหนึ่งนั้น เพราะความกลัว จึงทูลถามว่าขอเดชะ
บัดนี้ข้าพระองค์จักกระทำอย่างไรต่อไป ในเวลาตีกลองยามเที่ยงคืนพระนคร
ย่อมเกิดความอลหม่าน เวลานั้นเจ้าจงยืนดักอยู่ที่ตรอกบ้านหรือถนนหรือ
หนทางสี่แพร่งแห่งหนึ่ง จงฆ่ามนุษย์เอาเนื้อมา จำเดิมแต่นั้นมา เขาก็

ได้ทำอย่างนั้นเอาเนื้อที่ล่ำ ๆ ไป ซากศพปรากฏอยู่ในที่นั้น ๆ พระนครก็อากูล
ไปด้วยซากศพ ได้ยินเสียงประชาชนคร่ำครวญว่า มารดาของเราหายไป
บิดาของเราหายไป พี่ชาย น้องชายของเราหายไป พี่สาว น้องสาวของเรา
หายไป.

ชาวนครทั้งกลัวทั้งหวาดเสียว ปรึกษากันว่า คนเหล่านี้ถูกราชสีห์กิน
หรือถูกเสือกิน หรือถูกยักษ์กินหนอ เมื่อตรวจดูก็เห็นปากแผลที่ต้องประหาร
จึงสันนิษฐานกันว่า เห็นจะเป็นโจรมนุษย์คนหนึ่ง กินคนเหล่านี้เป็นแน่
มหาชนจึงประชุมกันร้องทุกข์ที่พระลานหลวง พระราชาตรัสถามว่า อะไร
กันพ่อ ขอเดชะ ในพระนครนี้เกิดมีโจรกินคนขึ้นแล้ว ขอพระองค์จงรับสั่งให้

จับโจรกินคนนั้นเสียเถิด พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า เราจักรู้ได้อย่างไรเล่า
เราเป็นคนรักษาพระนครเที่ยวไปตรวจดูหรือ มหาชนปรึกษากันว่า พระราชา
ไม่ทรงเป็นธุระทางการเมือง เพราะฉะนั้น พวกเราจักพากันไปแจ้งแก่ท่าน
กาฬหัตถีเสนาบดีเถิด จึงพากันไปบอกเนื้อความนั้น แก่ท่านเสนาบดี กราบ

เรียนว่า ควรจะสืบจับตัวผู้ร้ายให้ได้ ท่านเสนาบดีมีบัญชาว่า พวกท่านจง
รออยู่สัก ๗ วันก่อน เราจักสืบจับตัวผู้ร้ายเอามาให้พวกท่านดูจงได้ แล้วส่ง
มหาชนกลับไป.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท่านเสนาบดีบังคับพวกบุรุษว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เขาลือกันว่า
โจรกินคนมีอยู่ในพระนคร พวกท่านจงไปซุ่มอยู่ในที่นั้น ๆ จับเอาตัว
มันมาให้ได้ พวกบุรุษเหล่านั้นรับคำสั่งแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็คอยสอดแนม
พระนครอยู่เสมอ. แม้คนทำเครื่องต้นแอบอยู่ที่ตรอกบ้านแห่งหนึ่ง ฆ่าหญิง
คนหนึ่งได้แล้ว ปรารภจะเอาเนื้อตรงที่ล่ำ ๆ บรรจุลงในกระเช้า ทันใดนั้น

พวกบุรุษเหล่านั้น จึงจับคนทำเครื่องต้นนั้นโบยแล้วมัดมือไพล่หลัง ร้อง
ประกาศดัง ๆ ว่า พวกเราจับโจรกินคนได้แล้ว ประชาชนพากันห้อมล้อมคน
ทำเครื่องต้นนั้น ขณะนั้นบุรุษทั้งหลายมัดเขาไว้อย่างมั่นคงแล้วผูกกระเช้าเนื้อ
ไว้ที่คอเอาตัวไปแสดงแก่ท่านเสนาบดี ลำดับนั้น ท่านเสนาบดี ครั้นพอได้

เห็นคนนำเครื่องต้นนั้นแล้ว จึงดำริว่า คนผู้นี้กินเนื้อนี้เอง หรือเอาไปปน
กับเนื้ออื่นแล้วจำหน่าย หรือว่าฆ่าตามพระราชบัญชา เมื่อจะถามเนื้อความนั้น
จึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า

ดูก่อนคนทำเครื่องต้น ทำไมเจ้าจึงทำกรรมอัน
ร้ายกาจเช่นนี้ได้ เจ้าเป็นคนหลง ฆ่าหญิงและชาย
ทั้งหลายได้ เพราะเหตุแห่งเนื้อ หรือ เพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์.

ในคาถานั้น ท่านเสนาบดีเรียกคนทำเครื่องต้นว่า รสกะ ต่อนี้ไป
บัณฑิตพึงทราบข้อความที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างง่าย ๆ ด้วยอำนาจพระบาลีที่เป็น
คำถามและคำโต้ตอบกัน.
ลำดับนั้น คนทำเครื่องต้นจึงกล่าวกะท่านเสนาบดีนั้นว่า

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มิใช่เพราะเหตุแห่งตน มิใช่
เพราะเหตุแห่งทรัพย์ มิใช่เพราะเหตุแห่งลูกเมียหรือ
สหายและญาติ เป็นด้วยพระจอมภูมิบาลนายข้าพเจ้า
พระองค์เสวยมังสะนี้นะท่าน.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น ท่านเสนาบดีจึงกล่าวกะคนทำเครื่องต้นนั้นว่า
ถ้าเจ้าขวนขวายในกิจของเจ้านาย กระทำกรรม
อย่างร้ายกาจเช่นนี้ เวลาเช้าเจ้าไปถึงภายในพระราชวัง
แล้ว พึงแถลงเหตุนั้นต่อเราในที่เฉพาะพระพักตร์
พระเจ้าอยู่หัว.

ลำดับนั้น คนทำเครื่องต้นจึงกล่าวกะท่านเสนาบดีนั้นว่า
ข้าแต่ท่านกาฬหัตถีผู้เจริญ ข้าพเจ้าจักกระทำ
ตามคำสั่งสอนของท่าน เวลาเช้าข้าพเจ้าไปถึงภายใน
พระราชวังแล้ว จักแถลงถึงเหตุนั้น ต่อท่านเฉพาะ
พระพักตร์พระเจ้าอยู่หัว.

คำว่า ภควา ในคาถานั้นเป็นคำกล่าวแสดงถึงความเคารพ ท่าน
เสนาบดีเพื่อจะทดลองดูว่า คนทำเครื่องต้นนี้พูดความจริงหรือว่าพูดเท็จเพราะ
กลัวตาย จึงได้กล่าวอย่างนี้. คำว่า กรรมอย่างร้ายกาจ หมายถึงกรรม
คือการฆ่ามนุษย์ คำว่า เฉพาะพระพักตร์ หมายความว่า เจ้าจงไปยืนอยู่

ในที่เฉพาะพระพักตร์แล้วพึงกล่าวอย่างนี้ คนทำเครื่องต้นนั้น เมื่อจะรับคำ
จึงได้กล่าวคาถาด้วยประการนั้นแล.

ลำดับนั้น ท่านเสนาบดีจึงสั่งให้มัดจำคนทำเครื่องต้นนั้นไว้ให้มั่งคง
เมื่อราตรีสว่างแล้ว จึงปรึกษากับพวกอำมาตย์และชาวเมือง เมื่อร่วมฉันทะกัน
ทั้งหมดแล้ว วางอารักขาในที่ทุกแห่ง กระทำพระนครให้อยู่ในเงื้อมมือ ผูก
กระเช้าเนื้อไว้ที่คอคนทำเครื่องต้น นำตัวเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ ได้เกิด

เสียงเซ็งแซ่ขึ้นทั่วพระนครแล้ว วันวานนี้ พระราชาเสวยพระกระยาหารเช้า
แล้ว ยังมิได้เนื้อในเวลาเย็น จึงประทับนั่งรอท่าด้วยหมายพระทัยว่า คนทำ
เครื่องต้นจักมาในบัดนี้ ประทับรออยู่จนตลอดคืนยังรุ่ง แม้วันนี้คนทำเครื่อง
ต้นก็ยังไม่มา ครั้นได้ทรงสดับเสียงเซ่งแซ่ของชาวเมือง จึงทรงดำริว่า นั่น

เรื่องอะไรกันหนอ ทอดพระเนตรโดยช่องพระแกล ก็ได้ทรงเห็นคนทำ
เครื่องต้น ถูกเขานำมาด้วยอาการอย่างนั้น ทรงพระดำริว่า เหตุนี้ปรากฏขึ้น
แล้ว ทรงตั้งพระสติมั่นคงประทับนั่งบนบัลลังก์ แม้กาฬหัตถีเสนาบดี เข้าไป
เฝ้าพระองค์ทูลไต่สวนข้อความ พระองค์จึงทรงแถลงแก่เสนาบดีนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
ครั้นราตรีสว่างแล้ว พระอาทิตย์อุทัย กาฬ-
เสนาบดีได้นำตัวคนทำเครื่องต้นเข้าเฝ้าพระราชา
ครั้นเฝ้าพระราชาแล้วจึงกราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้า ได้ยินว่า คนทำเครื่องต้นถูกพระองค์ใช้
ให้ไปฆ่าหญิงและชายเป็นอันมาก พระองค์เสวยเนื้อ
มนุษย์เป็นความจริงแลหรือ.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสตอบว่า
ดูก่อนท่านกาฬะ อย่างนั้น ๆ เป็นความจริง
คนทำเครื่องต้นนั้น เราได้ใช้มันไปเอง เมื่อมันทำกิจ
ของเรา ท่านบริภาษมันทำไมกัน.

คำว่า กาฬะ ในคาถานั้น หมายถึงท่านกาฬหัตถีเสนาบดี พระราชา
ถูกเสนาบดีผู้มีเดชไต่สวน ไม่อาจจะทรงให้การเท็จได้ จึงตรัสอย่างนี้ว่า
อย่างนั้น ๆ เป็นความจริง คำว่า เป็นความจริง ในคาถานั้นเป็นคำขยาย
ความของคำข้างหน้า คำว่า กิจของเรา คือความเจริญของเรา คำว่า ทำ
คือกระทำอยู่ คำว่า ทำไม อธิบายว่า ท่านบริภาษนั้นเพราะเหตุไร.

ลำดับนั้น พระราชาจึงรับสั่งว่า ท่านทำราชกิจยากที่คนอื่นจะทำได้
น่าชมเชยจริงนะ แล้วตรัสขู่เสนาบดีให้กลัวว่า ดูก่อนท่านกาฬหัตถี โจรอื่น
ท่านไม่จับ ให้จับคนใช้ของเรา เสนาบดีได้สดับคำนั้นดำริว่า พระราชาทรง
รับสารภาพด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เธอร้ายกาจน่าสยดสยอง เธอกิน
เนื้อมนุษย์มาตลอดกาลถึงเพียงนี้ เราจักลองทูลห้ามเธอดู ดังนี้แล้วกราบทูลว่า

ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำอย่างนี้อีกต่อไปเลย อย่าเสวย
เนื้อมนุษย์เลย. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนท่านกาฬหัตถี ท่านพูดอะไร เราไม่
อาจจะอดเนื้อมนุษย์ได้. ขอเดชะ ถ้าพระองค์อดไม่ได้ พระองค์เองจักทำ
พระองค์และบ้านเมืองให้พินาศ แม้เราจักต้องพินาศด้วยอาการอย่างนี้ เราก็
ไม่อาจที่จะอดเนื้อมนุษย์นั้นได้. ลำดับนั้น เสนาบดีประสงค์จะให้ท้าวเธอรู้สึก
พระองค์ จึงนำเอาเรื่องมาเล่าถวายดังต่อไปนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล มหาสมุทรแห่งหนึ่งมีปลาใหญ่อยู่ ๖ ตัว ชื่ออานนท์
ตัวหนึ่ง ชื่ออุปนันทะตัวหนึ่ง ชื่ออัชโฌหารตัวหนึ่ง ปลาใหญ่ทั้ง ๓ ตัวนี้
ยาวถึง ๕๐๐ โยชน์ ชื่อติมิงคละตัวหนึ่ง ชื่อติมิงคละตัวหนึ่ง ชื่อมหาติมิร
มิงคละตัวหนึ่ง ปลาใหญ่ ๓ ตัวนี้ยาว ๑,๐๐๐ โยชน์ ปลาใหญ่ทั้ง ๖ ตัวนั้น
แม้ทั้งหมดมีหินและสาหร่ายเป็นภักษาหาร บรรดาปลาทั้ง ๖ ตัวนั้น ปลา

อานนท์อยู่ในส่วนข้างหนึ่งแห่งมหาสมุทร ฝูงปลาเป็นอันมากพากันเข้าไปหา
ปลาอานนท์นั้น. วันหนึ่ง ปลาเหล่านั้นคิดกันว่า พระราชาของสัตว์สองเท้า
และสัตว์สี่เท้าทั้งหมด ย่อมปรากฏ แต่พระราชาของพวกเรายังไม่มี พวกเรา
จักกระทำปลาตัวหนึ่งให้เป็นพระราชา ปลาทั้งหมดได้รวมกันเป็นเอกฉันท์
ยกปลาอานนท์ขึ้นเป็นพระราชา จำเดิมแต่นั้นมา ปลาเหล่านั้นก็ไปบำรุงปลา
อานนท์นั้นทุกเวลาเย็นและเวลาเช้า.

อยู่มาวันหนึ่ง ปลาอานนท์กินหินและ สาหร่ายอยู่ ณ ภูเขาแห่ง
หนึ่ง กินปลาตัวหนึ่งโดยไม่รู้สึกว่าเป็นปลา สำคัญว่าเป็นสาหร่าย เนื้อ
ปลานั้นแผ่ไปทั่วสรีระของมัน มันคิดว่า นี้อะไรหนอช่างอร่อยเหลือเกิน
จึงคายออกมาดูเห็นเป็นชิ้นปลา คิดว่า เราไม่รู้จักกินมานาน ถึงเพียงนี้

จำเดิมแต่นั้นก็คิดต่อไปว่า พวกปลามาสู่ที่บำรุงของเราทั้งเวลาเช้าและเวลา
เย็น เวลากลับไป เราจะกินมันตัวหนึ่งหรือสองตัว แต่เมื่อจะกินมันโดย
เปิดเผย ปลาแม้ตัวหนึ่งก็จักไม่เข้าใกล้เรา จักพากันหนีไปเสียหมด เราจัก
ต้องทำอย่างแนบเนียน เราจักจับตัวที่โค้งคำนับเราหลังที่สุดกิน ดังนี้แล้ว

ได้กระทำตามที่ตนดำริไว้ทุกประการ ปลาเหล่านั้นถึงความสิ้นไปโดยลำดับ
จึงคิดกันว่า ภัยเกิดขึ้นแก่พวกญาติของเราจากที่ไหนหนอ ลำดับนั้น ปลาฉลาด
ตัวหนึ่งคิดว่า กิริยาของปลาอานนท์ไม่ชอบใจเราเลย เราจักคอยจับกิริยา


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ของเขา เมื่อฝูงปลาไปสู่ที่บำรุงแล้ว ได้แฝงตัวอยู่ในหูของปลาอานนท์ ปลา
อานนท์ส่งฝูงปลาไปแล้ว กินตัวที่ไปที่หลังเสีย ปลาฉลาดตัวนั้นเห็นการกระทำ
อย่างนั้นจึงไปบอกแก่พวกของตน ปลาเหล่านั้นตกใจกลัวพากันหนีไปจนหมด
จำเดิมแต่วันนั้นมา ปลาอานนท์มิได้กินอาหารอย่างอื่นเลย เพราะติดรสใน
เนื้อปลา มันถูกความหิวบีบคั้นมากขึ้นมีความลำบากอยู่ คิดว่า ปลาเหล่านี้

ไปแอบซ่อนอยู่ที่ไหนหนอ เมื่อเที่ยวหาปลาเหล่านั้น เห็นภูเขาลูกหนึ่ง คิดว่า
ชะรอยมันจะอาศัยภูเขาลูกนี้อยู่เพราะกลัวเรา เพราะฉะนั้น เราจะลองโอบภูเขา
ตรวจดู จึงเอาหางและหัวโอบภูเขาไว้โดยรอบทั้งสองข้าง ลำดับนั้น มันดำริ
ต่อไปว่า ปลาจักอยู่ในที่นี้ทั้งหมด จักหนีไปทางไหนได้ แล้วโอบภูเขาเข้าไว้
มองเห็นหางของตนเองเข้า ก็โกรธด้วยสำคัญว่า ปลาตัวนี้มันลวงเราอาศัย

ภูเขาแอบอยู่ จึงฮุบหางของตนเองประมาณ ๕๐ โยชน์ไว้มั่นคง ด้วยสำคัญว่า
ปลาอื่น แล้วเคี้ยวกินเสียอย่างเอร็ดอร่อย จนเกิดทุกขเวทนาขึ้น พวกปลา
มาประชุมกันเพราะกลิ่นเลือดฟุ้ง จึงดึงมากินตลอดถึงศีรษะ ปลาอานนท์ไม่
อาจกลับตัวได้เพราะตัวใหญ่ ได้ถึงความสิ้นชีวิตในที่นั้นเอง กองกระดูกได้เป็น
เหมือนภูเขาใหญ่ ดาบสและปริพาชกผู้เที่ยวทางอากาศได้มาเล่าให้พวกมนุษย์
ฟัง พวกมนุษย์ในชมพูทวีปจึงรู้กันทั้งหมด.

กาฬหัตถีเสนาบดีเมื่อจะนำเรื่องนี้มาแสดง ได้กล่าวคาถาว่า
ปลาอานนท์ตัวติดอยู่ในรสของปลาทุกชนิด กิน
ปลาพวกเดียวกัน เมื่อบริษัทหมดไป กินตัวเองตาย
ไปแล้ว พระองค์เป็นผู้ประมาทแล้ว ยินดีในการ
เสพรส ถ้ายังเป็นพาลไม่รู้สึกต่อไป จำจะต้องทิ้ง

พระโอรสพระธิดาและพระประยูรญาติกลับมาเสวย
พระองค์เอง เหมือนอย่างปลาอานนท์ฉะนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขอให้ความพอพระทัยของพระองค์จงจืดจางลง
เพราะได้ทรงสดับเรื่องนี้ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์
อย่าได้เสวยเนื้อมนุษย์เลยนะ ข้าแต่พระองค์ผู้ปกครอง
ประชาชน ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำแคว้นทั้งมวลนี้
ให้ว่างเปล่าเหมือนอย่างปลาฉะนั้นเลย.

มีอรรถาธิบายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลนานมาแล้ว ที่มหาสมุทร
มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งชื่อว่า อานนท์ ตัวยาวประมาณ ๕๐๐ โยชน์ เป็นพระราชา
ของพวกปลาทั้งหมด อาศัยอยู่ในข้างแห่งหนึ่งของมหาสมุทร ปลาอานนท์นั้น
เป็นสัตว์ติดอยู่ในรสของปลาที่เป็นชาติเดียวกับตน กินปลาทั้งหลายที่เป็นชาติ
เดียวกัน เมื่อบริษัทปลาถึงความสิ้นไปแล้ว ไม่จับอาหารอย่างอื่น โอบภูเขา

ไว้และเคี้ยวกินท่อนหางของตนเอง ซึ่งยาวประมาณ ๕๐ โยชน์ ด้วยสำคัญว่า
เป็นปลา ตายแล้วคือถึงความตาย บัดนี้กองกระดูกประมาณเท่าภูเขามีอยู่ใน
มหาสมุทร. พระองค์เป็นผู้ติดอยู่ในตัณหา ทรงประมาทแล้วคือถึงความ
เป็นผู้ประมาท. ยินดีแล้วคือมีพระทัยยินดียิ่งในการเสพรสของเนื้อมนุษย์ ถ้า

พระองค์ยังเป็นพาลมีปัญญาทราม มิได้รู้สึกคือไม่ทรงทราบความทุกข์ ซึ่งจะ
บังเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป พระองค์ก็จำจะต้องทิ้งพระโอรสพระชายาพระ
ประยูรญาติ และพระสหาย เมื่อไม่ได้อาการอย่างอื่น ถูกความหิวบีบคั้นดิ้น
กระเสือกกระสนอยู่ทั่วพระนคร ครั้นไม่ได้เนื้อมนุษย์ก็จะกินตนเอง ชื่อว่า

ย่อมกินตนเองเหมือนอย่างปลาใหญ่มีชื่อว่า อานนท์ฉะนั้น. ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์ทรงสดับอุทาหรณ์ที่ข้าพระองค์นำมาเล่าความนี้แล้ว ขอให้ความพอ
พระทัยของพระองค์จงเสื่อมคลายหายไปเสียเถิด ข้าแต่พระราชา พระองค์

อย่าได้เสวยเนื้อมนุษย์อีกเลย ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่กว่าประชาชนผู้
เป็นสัตว์ ๒ เท้าผู้เจริญ พระองค์อย่าได้ทรงกระทำพระนครคือแคว้นกาสีของ
พระองค์ให้ว่างเปล่าไปจริง ๆ เหมือนปลาอานนท์กระทำมหาสมุทรให้ว่างเปล่า
ฉะนั้นเลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 109, 110, 111, 112, 113, 114, 115 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร