วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ย. 2025, 11:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 112, 113, 114, 115, 116, 117, 118 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ด้วยเสียงอันดัง และดูพระโพธิสัตว์ ผู้มีอาการอันองอาจดุจราชสีห์เสด็จ
ไปอยู่ เมื่อพระมหาสัตว์ล่วงลับสายตาแล้ว ร้องเซ็งแซ่ขึ้นพร้อมกัน
กลับเข้าพระนครแล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จไปยังสำนักของเจ้าโปริสาท
โดยหนทางที่เสด็จมา เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า พระโพธิสัตว์ไปยัง
สำนักของเจ้าโปริสาทนั้นแล้วแล. จบธรรมสวนกัณฑ์.

ตั้งแต่พระโพธิสัตว์เสด็จไป เจ้าโปริสาทคิดว่า ถ้าท่านสุตโสมสหาย
ของเราต้องการจะมา ก็จงมา ถ้าไม่ต้องการจะมา ก็อย่ามา รุกขเทวดาจง
ลงโทษแก่เราตามความปรารถนา เราจักฆ่าพระราชาเหล่านี้แล้ว จักทำพลีกรรม
ด้วยมังสะมีรส ๕ เวลาที่เจ้าโปริสาททำจิตกาธาร ก่อไฟขึ้นลุกโพลง นั่งถาก

หลาวรอเวลาจะให้เป็นถ่านเสียก่อน พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปถึง เจ้าโปริสาท
ครั้นได้เห็นพระโพธิสัตว์ก็มีจิตโสมนัส ทูลถามว่า สหายเอ๋ย ท่านเสด็จไป
ทรงทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้วหรือ พระมหาสัตว์ตอบว่า ใช่แล้วมหาราช

คาถาอันพระกัสสปทศพลทรงแสดงไว้ เราได้สดับแล้วและการสักการะ สำหรับ
พราหมณ์ธรรมกถึก เราได้กระทำเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นอันว่า เราได้ไป
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว จึงตรัสคาถาว่า

การนัดหมาย อันเราผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นพระเจ้า
แผ่นดิน ได้ทำไว้กับพราหมณ์ในแคว้นของตน การ
นัดหมายนั้นต่อพราหมณ์ผู้ประเสริฐ เราเป็นผู้รักษา
ความสัตย์กลับมาแล้ว ดูก่อนท่านโปริสาท เชิญท่าน
บูชายัญกินเราเถิด.

คำว่า จงบูชายัญ ในคาถานั้น มีอธิบายว่า ขอเชิญท่านฆ่าข้าพเจ้า
เสียแล้วจงบูชายัญแก่เทวดา หรือจงเคี้ยวกินเนื้อของข้าพเจ้า ก็เชิญตามสบาย
เถิด.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เจ้าโปริสาทได้สดับดังนั้น จึงคิดว่า พระราชานี้ไม่กลัว เป็นผู้องอาจ
ไม่หวาดหวั่นต่อมรณภัยตรัสได้อย่างนี้ นี่อานุภาพของอะไรหนอ จึงสันนิษฐาน
ว่า สิ่งอื่นไม่มี พระเจ้าสุตโสมนี้ตรัสว่า เราได้สดับคาถาที่พระกัสสปทศพล
ทรงแสดงแล้ว นั่นพึงเป็นอานุภาพของคาถาเหล่านั้น เราจะให้เธอตรัสฟังคาถา
คงจักเป็นผู้หาความกลัวมิได้อย่างนี้ แล้วกล่าวคาถาว่า

การกินของข้าพเจ้าที่มีหวังได้ ไม่หายไปไหนเสีย
ทั้งจิตกาธารนี้ก็ยังมีควันอยู่ มังสะที่ให้สุกบนถ่านที่
หมดควันชื่อว่า ให้สุกดี ข้าพเจ้าขอสดับคาถาชื่อว่า
สตารหาเสียก่อน.

ในคาถานั้น คำว่า การกิน หมายถึงการเคี้ยวกิน อธิบายว่า การกิน
ตัวท่านเสียนั้น สำหรับข้าพเจ้าจะกินก่อนหรือหลังก็ได้ มิได้หายไปไหน แต่ว่า
ข้าพเจ้าจะพึงกินท่านในภายหลัง คำว่า ให้สุก อธิบายว่า เนื้อที่ให้สุกใน
ไฟที่ไม่มีควัน คือ ไม่มีเปลว ย่อมชื่อว่าเป็นเนื้อที่สุกดี.

พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงดำริว่า โปริสาทนี้เป็นคนมี
ธรรมอันลามก เราจะข่มเธอหน่อยหนึ่งให้เกิดความละอายแก่ใจ แล้วจึงจะ
แสดงให้ฟัง แล้วตรัสคาถาว่า

ดูก่อนท่านโปริสาท ท่านเป็นคนประพฤติไม่-
ชอบธรรม ต้องจำจากแคว้น ก็เพราะเหตุแห่งท้อง
ส่วนคาถาเหล่านี้ ย่อมกล่าวสรรเสริญธรรม ธรรมและ
อธรรมจะลงรอยกันได้ที่ไหน.

คนที่ประพฤติไม่ชอบธรรม ทำกรรมที่ร้ายแรง
มีฝ่ามือนองด้วยเลือดเป็นนิจ ย่อมหาสัจจะมิได้ ธรรม
จักมีแต่ที่ไหน ท่านจะทำอะไรด้วยการสดับ.

คำว่า ธรรม ในคาถานั้น มีอธิบายว่า ส่วนคาถาเหล่านี้กล่าว
สรรเสริญโลกุตรธรรม ๙ ประการ คำว่า จะลงรอยกันได้ที่ไหน อธิบายว่า จะ
มารวมกันได้อย่างไร ด้วยว่า ธรรมยังสัตว์ให้ถึงสุคติหรือนิพพาน ส่วนอธรรม
ยังสัตว์ให้ไปถึงทุคติ คำว่า สัจจะ อธิบายว่า แม้เพียงว่า วาจาสัตย์ยัง
ไม่มี แล้วธรรมะจะมีแต่ที่ไหน คำว่า จะทำอะไรด้วยการสดับ มีอธิบายว่า
ท่านจักทำอะไรด้วยการสดับนี้ เพราะท่านไม่ใช่ภาชนะของธรรมเป็นดุจภาชนะ
ดิน ไม่ใช่ภาชนะสำหรับใส่มันเหลวสีหะฉะนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แม้เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสอย่างนี้ เจ้าโปริสาทก็ไม่โกรธ เพราะเหตุไร
เพราะพระมหาสัตว์เป็นผู้ประเสริฐด้วยเมตตาภาวนา. ลำดับนั้น เจ้าโปริสาท
จึงทูลว่า พระสหายสุตโสม ข้าพเจ้าเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมคนเดียวละหรือ
แล้วกล่าวคาถาว่า

คนใดเที่ยวป่าฆ่ามฤค เพราะเหตุมังสะ หรือ
คนใดฆ่าคนเพราะเหตุตน ทั้งสองคนนั้นเป็นผู้เสมอกัน
ในโลกเบื้องหน้า ทำไมหนอพระองค์จึงตรัสถึงข้าพเจ้า
ว่าเป็นคนประพฤติไม่ชอบธรรม.

ในคาถานั้น บทว่า กสฺมา โน ความว่า เจ้าโปริสาททูลว่า
พวกพระราชาในพื้นชมพูทวีป แต่งตัวประดับประดาแล้ว มีพลนิกรเป็นบริวาร
ใหญ่ ทรงรถอย่างดี เที่ยวประพาสป่าที่สำหรับล่าฆ่ามฤค แทงมฤคด้วย
ลูกศรที่คม ๆ ฆ่าจนให้ตาย ทำไมพระองค์จึงไม่ตรัสว่าพระราชาเหล่านั้น
ตรัสว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมแต่คนเดียว ถ้าเขาไม่มีโทษ แม้
ข้าพเจ้าก็ไม่มีโทษเหมือนกันแหละ.

พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น เมื่อจะทรงแก้ลัทธิของเจ้าโปริสาทนั้น
จึงตรัสว่า
เนื้อสัตว์ ๑๐ ชนิด อันกษัตริย์ผู้รู้จักขัตติยธรรม
ไม่ควรบริโภค ท่านบริโภคเนื้อมนุษย์ซึ่งไม่ควรบริ-
โภค เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม.

คาถานั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนสหายโปริสาท ธรรมดากษัตริย์ผู้รู้จัก
ธรรมของกษัตริย์ ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มีเนื้อช้างเป็นต้น ๕ ชนิด สองหน
รวมเป็น ๑๐ ชนิด ซึ่งเป็นมังสะที่ไม่ควรบริโภคเลย คำว่า น ขา ในคาถานั้น
บาลีบางฉบับเป็น น โข ดังนี้ก็มี. อีกนัยหนึ่ง มีอธิบายว่า กษัตริย์ผู้รู้จัก
ขัตติยธรรมควรบริโภคเนื้อสัตว์ ๕ ชนิด คือ กระต่าย เม่น * หมู เต่า
ในบรรดาสัตว์ที่มี ๕ เล็บเหล่านี้เป็นภักษาหาร ไม่ควรบริโภคเนื้อชนิดอื่น
ส่วนท่านบริโภคเนื้อมนุษย์ ซึ่งมิใช่เป็นเนื้อที่ควรบริโภคเลย เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เจ้าโปริสาทถูกพระมหาสัตว์ตรัสข่มขี่อย่างนี้ มองไม่เห็นอุบายที่จะ
โต้ตอบเป็นอย่างอื่นได้ เมื่อจะให้พระมหาสัตว์รับบาปบ้าง จึงได้กล่าวคาถาว่า

พระองค์พ้นจากมือของโปริสาทแล้ว ไปถึง
พระราชมณเฑียรของตน ทรงอภิรมย์ด้วยกามคุณแล้ว
ยังมาถึงมือของโปริสาทผู้เป็นศัตรูอีก พระองค์เป็นผู้
ไม่ฉลาดในขัตติยธรรมเสียเลยนะพระราชา.

ในคาถานี้มีอธิบายว่า เจ้าโปริสาทนั้นกล่าวว่า พระองค์ไม่ฉลาดใน
คัมภีร์นิติศาสตร์ ส่วนที่เป็นขัตติยธรรม พระองค์ไม่รู้จักความเจริญและความ
พินาศของตน เกียรติของพระองค์เลื่องลือระบือไปในโลกว่าเป็นบัณฑิต โดย
หาเหตุมิได้เลย ส่วนข้าพเจ้าไม่เห็นเลยว่า พระองค์เป็นบัณฑิต เห็นแต่เพียงว่า
พระองค์เป็นคนโง่มากที่สุด.

พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น ตรัสว่า ดูก่อนสหาย อันคนที่ฉลาดใน
ขัตติยธรรม ควรเป็นเช่นตัวเรานี้แหละ เพราะเรารู้จักขัตติยธรรม แต่มิได้
ปฏิบัติอย่างที่ท่านกล่าว แล้วตรัสคาถาว่า

ชนเหล่าใดเป็นผู้ฉลาดในขัตติยธรรม ชนเหล่า
นั้นต้องตกนรกเสียโดยมาก เพราะฉะนั้น เราจึงละ
ขัตติยธรรมเป็นผู้รักษาความสัตย์กลับมาแล้ว ดูก่อน
ท่านโปริสาท ท่านจงบูชายัญกินเราเสียเถิด.

ในคาถานั้น คำว่า เป็นผู้ฉลาด คือฉลาดในการปฏิบัติเพื่อความ
เป็นอย่างนั้น. คำว่า โดยมาก อธิบายว่า ชนเหล่านั้นโดยมากต้องตกนรก
ส่วนชนเหล่าใดมิได้บังเกิดในนรกนั้น ชนเหล่านั้นก็ย่อมบังเกิดในอบายที่เหลือ
เจ้าโปริสาทกล่าวว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปราสาทราชมณเฑียร แผ่นดิน โค และม้า
สตรีที่น่าอภิรมย์ทั้งกาสิกพัสตร์ และแก่นจันทน์ พระ-
องค์ยังได้ในพระนครนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเป็น
พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเห็นอานิสงส์อะไรด้วย
ความสัตย์.

ในคาถานั้น บทว่า ปาสาทวาสา อธิบายว่า ดูก่อนสหายสุตโสม
ปราสาทที่ประทับ ๓ หลังสร้างขึ้นประดุจดังทิพยวิมานของพระองค์ เหมาะ
แก่ฤดูทั้ง ๓ บทว่า ป€วีควสฺสา ได้แก่ แผ่นดิน โค และม้า บทว่า
กามิตฺถิโย คือสตรีอันเป็นวัตถุแห่งกามารมณ์. บทว่า กาสิกจนฺทนญฺจ
ได้แก่ ทั้งผ้ากาสิกพัสตร์และแก่นจันทน์แดง. บทว่า สพฺพํ ตหึ ความว่า

เครื่องเหล่านี้ และเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างอื่น พระองค์ย่อมได้ในพระนคร
ของพระองค์นั้นทุกอย่าง เพราะทรงเป็นเจ้าของ เมื่อทรงเป็นเจ้าของแล้วจะ
ปรารถนาสิ่งใด ก็ย่อมได้บริโภคสิ่งนั้นทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ ประการ พระองค์
ละสิ่งนั้นทั้งหมด เป็นผู้รักษาความสัตย์เสด็จมาในที่นี้ ทรงเห็นอานิสงส์อะไร
ด้วยความสัตย์.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสพระคาถาว่า
รสเหล่าใดบรรดาที่มีอยู่ในแผ่นดิน ความสัตย์
ย่อมดีกว่ารสเหล่านั้น เพราะสมณพราหมณ์ที่ตั้งอยู่ใน
ความสัตย์ ย่อมข้ามฝั่งแห่งชาติและมรณะเสียได้.

ในคาถานั้น บทว่า สาธุตรํ อธิบายว่า เพราะเหตุที่รสแม้ทั้งหมด
ย่อมเป็นของประณีตแก่สัตว์ทั้งหลาย ในกาลทุกเมื่อทีเดียว เพราะฉะนั้น
ความสัตย์จึงดีกว่ารสเหล่านั้น อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่บุคคลตั้งอยู่ใน
วิรัติสัตย์ และวจีสัตย์แล้ว ย่อมข้ามฝั่งแห่งเตภูมิกวัฏ กล่าวคือ ชาติและ
มรณะเสียได้ คือถึงพระอมตมหานิพพานได้ เพราะฉะนั้น ความสัตย์จึงดี
กว่ารสเหล่านั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระมหาสัตว์ ตรัสอานิสงส์ในความสัตย์แก่เจ้าโปริสาทด้วยประการ
ฉะนี้แล้ว ลำดับนั้น เจ้าโปริสาทแลดูพระพักตร์ของพระมหาสัตว์ ซึ่งคล้ายกับ
ดอกบัวที่แย้มแล้ว และพระจันทร์เต็มดวง ทรงดำริว่า ท่านสุตโสมนี้ แม้
เห็นถ่านและกองเพลิง แม้เห็นเราผู้ถากหลาวอยู่ อาการของเธอแม้สักว่า
ความหวาดเสียวก็ไม่มี นี้เป็นอานุภาพแห่งสตารหาคาถาหรือของความสัตย์
หรืออะไรอย่างอื่นหนอ จะถามเธอดูก่อน เมื่อจะถามได้กล่าวคาถาว่า

พระองค์พ้นจากมือของโปริสาทแล้ว เสด็จไป
ถึงพระราชมณเฑียรของพระองค์ ทรงอภิรมย์ด้วย
กามคุณแล้ว ยังกลับมาสู่มือของโปริสาทผู้เป็นศัตรูอีก
ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน ความ
กลัวตายของพระองค์ไม่มีแน่ละหรือ และพระองค์ผู้
ตรัสซึ่งความสัตย์ไม่มีพระทัยท้อแท้บ้างเทียวหรือ.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะตรัสแจ้งแก่เจ้าโปริสาทนั้น จึงตรัส
เป็นคาถาว่า

กัลยาณธรรมหลายอย่าง เราได้ทำแล้ว ยัญที่
ไพบูลย์บัณฑิตสรรเสริญ เราก็ได้บูชาแล้ว ทางปรโลก
เราก็ได้ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม ใครเล่า
จะกลัวตาย. กัลยาณธรรมหลายอย่าง เราได้ทำแล้ว
ยัญที่ไพบูลย์ บัณฑิตสรรเสริญ เราได้บูชาแล้ว เราไม่
เดือดร้อนที่จะไปสู่ปรโลก ดูก่อนท่านโปริสาท เชิญ
ท่านจงบูชายัญกินเราเสียเถิด.

พระชนกและพระชนนี เราก็ได้บำรุงแล้ว ความ
เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ได้ปกครองแล้วโดยธรรม
ทางปรโลกเราก็ได้ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว คนที่ตั้งอยู่ใน
ธรรม ใครเล่าจะกลัวความตาย. พระชนกและพระชนนี
เราก็ได้บำรุงแล้ว ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ได้
ปกครองแล้วโดยชอบธรรม เราไม่เดือดร้อนที่จะไป
สู่ปรโลก ดูก่อนท่านโปริสาท เชิญท่านบูชายัญกิน
เราเสียเถิด.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อุปการกิจในพวกญาติและมิตร เราก็ได้กระทำ
แล้ว ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ได้ปกครองแล้ว
โดยธรรม ทางปรโลก เราก็ได้ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว
คนที่ตั้งอยู่ในธรรม ใครเล่าจะกลัวต่อความตาย
อุปการกิจในพวกญาติและมิตร เราก็ได้กระทำแล้ว
ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ได้ปกครองแล้วโดย
ธรรม เราไม่เดือดร้อนที่จะไปสู่ปรโลก ดูก่อน
ท่านโปริสาท ท่านจงบูชายัญกินเราเสียเถิด.

ทานเราก็ได้ให้แล้วเป็นอันมากแก่คนจำนวนมาก
สมณพราหมณ์ เราก็ได้อุปถัมภ์ให้อิ่มหนำแล้ว ทาง
ปรโลกเราก็ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว คนที่ตั้งอยู่ในธรรม
ใครเล่าจะกลัวต่อความตาย ทานเราก็ได้ให้แล้วเป็น
อันมากแก่คนจำนวนมาก สมณพราหมณ์ เราก็ได้
อุปถัมภ์ให้อิ่มหนำแล้ว เราไม่เดือดร้อนที่จะไปสู่ปร
โลก ดูก่อนท่านโปริสาท ท่านจงบูชายัญกินเราเสีย
เถิด.

ในคาถานั้นมีอธิบายว่า คำว่า กัลยาณธรรมหลายอย่าง หมายถึง
กัลยาณธรรมอันมากอย่างด้วยกัน ด้วยอำนาจของกินมีข้าวเป็นต้น คำว่า
ยัญ อธิบายว่า อนึ่ง ยัญอันไพบูลย์ยิ่งที่พวกบัณฑิตสรรเสริญแล้ว เราก็ได้
บูชาแล้ว คือให้เป็นไปแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการบริจาคทานวัตถุ ๑๐ อย่าง

คำว่า ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม อธิบายว่า บุคคลที่ตั้งอยู่ในธรรมเช่นกับตัวเรา
ใครเล่าจะพึงกลัวต่อความตาย คำว่า ไม่เดือดร้อน คือ ไม่ได้มีความ
เดือดร้อนเลย. คำว่า ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ได้ปกครองแล้ว
โดยธรรม อธิบายว่า ราชสมบัติเราก็ได้ปกครองแล้วโดยธรรมทีเดียว เพราะ

เรามิได้ยังราชธรรม ๑๐ ประการให้กำเริบ คำว่า อุปการกิจเราก็ได้กระทำ
แล้ว หมายถึงกิจของญาติเราก็ได้กระทำแล้วในญาติทั้งหลาย และกิจของมิตร
เราก็ได้กระทำแล้วในมิตรทั้งหลาย. คำว่า ทาน หมายถึงเจตนาพร้อมด้วย
วัตถุ. คำว่า เป็นอันมาก คือโดยอาการมากมาย คำว่า แก่คนจำนวน


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มาก อธิบายว่า เราให้ทานแก่คนเพียง ๕ คน ๑๐ คนเท่านั้นก็หาไม่ เราได้
ให้แล้วแก่คนตั้งร้อยตั้งพันทีเดียว คำว่า ให้อิ่มหนำแล้ว อธิบายว่า เรา
กระทำภาชนะสำหรับใส่ให้เต็มแล้วจึงให้อิ่มหนำเป็นอย่างดีแล้ว.

เจ้าโปริสาทได้สดับดังนั้น ตกใจกลัวว่า พระเจ้าสุตโสมมหาราชนี้
เป็นสัตบุรุษพร้อมด้วยความรู้ แสดงธรรมอันไพเราะ ถ้าเราจะกินเธอเสีย
แม้ศีรษะของเราก็จะต้องแตกออกเป็น ๗ เสี่ยง หรือแผ่นดินพึงให้ช่องแก่เรา
(ถูกแผ่นดินสูบ) แล้วทูลว่า ข้าแต่พระสหายสุตโสมเอ๋ย พระองค์เป็นคนที่
ข้าพเจ้าไม่ควรกิน แล้วกล่าวคาถาว่า

บุรุษผู้รู้อยู่ จะพึงกินยาพิษ หรือจับอสรพิษที่มี
ฤทธิ์รุ่งโรจน์ มีเดชกล้าได้หรือ บุคคลใดพึงกินคน
ที่กล่าวคำสัตย์เช่นกับพระองค์ ศีรษะของบุคคลนั้น
จะต้องแตกออกเป็น ๗ เสี่ยงแน่.

คำว่า ยาพิษ หมายถึงยาพิษชนิดที่ร้ายแรง สามารถจะทำผู้ดื่มกิน
ให้ตายได้ในที่นั้นทันที. คำว่า รุ่งโรจน์ อธิบายว่า ก็หรือบุคคลนั้นพึงจับ
อสรพิษที่คออันรุ่งโรจน์อยู่ด้วยพิษของตน มีเดชร้ายแรง ด้วยเดชแห่งพิษนั้น
เหมือนกันนั่นแหละ ซึ่งเที่ยวไปอยู่ประดุจกองไฟ ฉะนั้น.

เจ้าโปริสาทนั้นทูลพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่พระสหาย พระองค์เป็น
เหมือนยาพิษที่ร้ายแรง ใครจักกินพระองค์ได้ด้วยประการฉะนี้ แล้วใคร่จะ
สดับคาถา จึงทูลพระมหาสัตว์ แม้จะถูกพระมหาสัตว์ตรัสห้ามว่า พระองค์

ไม่ใช่ภาชนะของคาถาที่หาโทษมิได้เห็นปานนี้ เพื่อจะให้เกิดความเคารพใน
ธรรม ดำริว่า คนในชมพูทวีปทั้งสิ้น ชื่อว่าเป็นบัณฑิตเช่นกับท่านสุตโสมนี้
ไม่มี เธอพ้นจากมือเราไปแล้ว ได้สดับคาถาเหล่านั้น ทำสักการะแก่ธรรมกถึก
แล้ว ยังเอามัจจุติดหน้าผากกลับมาอีกได้ พระคาถาจักสำเร็จประโยชน์อย่าง
ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเกิดความเคารพในการฟังธรรมหนักขึ้น เมื่อจะทูลอ้อนวอน
พระมหาสัตว์ จึงได้กล่าวคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นรชนได้ฟังธรรมย่อมรู้จักบุญและบาป ใจของ
ข้าพเจ้าได้ฟังคาถาจะยินดีในธรรมได้บ้าง.

คาถานั้นมีอธิบายว่า ข้าแต่สหายสุตโสม ธรรมดาว่า นรชนทั้งหลาย
ได้สดับธรรมแล้ว ย่อมรู้จักบุญบ้าง บาปบ้าง แม้ใจของข้าพเจ้าได้ฟังคาถา
นั้นแล้ว จะพึงยินดีในธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการได้บ้างเป็นแน่.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า บัดนี้เจ้าโปริสาทต้องการจะฟัง
ธรรม เราจะแสดงดังนี้แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนสหาย ถ้าเช่นนั้นท่านจงตั้งใจสดับ
ให้ดี ครั้นเตือนเจ้าโปริสาทให้เงี่ยโสตสดับแล้ว ตรัสสรรเสริญพระคาถา
อย่างเดียวกันกับที่นันทพราหมณ์กล่าวแล้ว เมื่อพวกเทวดาในชั้นกามาวจรทั้ง
๖ ให้สาธุการเสียงโกลาหลเป็นอันเดียวกัน ทรงแสดงธรรมแก่เจ้าโปริสาท
ตรัสพระคาถาว่า

ดูก่อนมหาราช การสมาคมกับสัตบุรุษคราว
เดียวเท่านั้น การสมาคมนั้น ย่อมรักษาผู้สมาคมนั้น
การสมาคมกับอสัตบุรุษแม้มากครั้ง ก็รักษาไม่ได้
พึงคบกับสัตบุรุษ พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ
เพราะรู้สัทธรรมของสัตบุรุษ ย่อมมีความเจริญไม่มี
ความเสื่อม.

ราชรถที่เขาทำให้วิจิตรเป็นอย่างดี ยังคร่ำคร่า
ได้แล แม้สรีระก็เข้าถึงความชราได้เหมือนกัน ส่วน
ธรรมของสัตบุรุษ ย่อมไม่เข้าถึงความชรา สัตบุรุษกับ
สัตบุรุษด้วยกันนั่นแลย่อมรู้กันได้.

ฟ้าและแผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้างโน้นของมหา-
สมุทร เขาก็กล่าวว่าไกลกัน ดูก่อนพระราชา ธรรม
ของสัตบุรุษและของอสัตบุรุษ ท่านก็กล่าวว่าไกลกัน
ยิ่งกว่านั้นอีก.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เมื่อเจ้าโปริสาทคิดอยู่ว่า คาถาที่พระโพธิสัตว์ตรัสนั้น เป็นประหนึ่งว่า
พระสัพพัญญูพุทธเจ้าตรัสแล้ว เพราะตรัสไว้ไพเราะ ทั้งพระองค์เป็นบัณฑิต
ด้วย สรีระทั้งสิ้นก็เต็มไปด้วยปีติ มีวรรณะ ๕ ประการ เธอได้เป็น
ผู้มีจิตอ่อนในพระโพธิสัตว์ สำคัญพระโพธิสัตว์เป็นดุจพระชนกผู้ประทาน
เศวตฉัตร ฉะนั้น เธอดำริว่า เราไม่เห็นเงินทองอะไร ๆ ที่จะพึงถวายพระเจ้า
สุตโสมได้ แต่เราจะถวายพระพรคาถาละพร แล้วกล่าวคาถาว่า

ข้าแต่พระสหาย ผู้เป็นจอมประชาชน คาถา
เหล่านี้มีประโยชน์ มีพยัญชนะดี พระองค์ตรัสไพเราะ
ข้าพเจ้าได้สดับแล้วเพลิดเพลินปลื้มใจ ชื่นใจ อิ่มใจ
ข้าพเจ้าขอถวายพระพร ๔ อย่างแด่พระองค์.

ในคาถานั้น คำว่า เพลิดเพลิน ได้แก่ เกิดความเพลิดเพลินขึ้นแล้ว
คำว่า ปลื้มใจ ชื่นใจ อิ่มใจ นอกนี้ก็เป็นคำอธิบายขยายความของคำว่าเพลิด
เพลินนั่นแล แท้จริงคำทั้ง ๔ คำนี้ ก็คือเป็นคำที่แสดงถึงอาการร่าเริงยินดีนั่นเอง.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า ท่านจักให้พรอะไร เมื่อจะตรัส
รุกรานเจ้าโปริสาทได้ตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนพระสหายผู้มีธรรมอันลามก พระองค์ไม่
รู้สึกถึงความตายของพระองค์ ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เป็น
ประโยชน์และหาประโยชน์มิได้ ทั้งนรกและสวรรค์
เป็นผู้ติดอยู่ในรส ตั้งอยู่ในทุจริต จักให้พรอะไร.

ข้าพเจ้าพึงบอกพระองค์ว่า จงให้พร แม้พระองค์
ให้พรแล้ว จะกลับไม่ให้ก็ได้ ความทะเลาะวิวาทนี้
อยู่ในอำนาจของพระองค์ ใครจะเข้ามาเป็นบัณฑิต
วินิจฉัยชี้ขาดได้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในคาถานั้น บทว่า โย อธิบายว่า พระองค์ไม่รู้สึก คือไม่รู้ถึง
ความตายแม้ของพระองค์เองว่า ตัวเรานี้ก็มีความตายเป็นธรรมดา จึงได้ประ-
กอบกรรมอันลามกอย่างเดียว บทว่า หิตาหิตํ ความว่า พระองค์ไม่รู้จักว่า
กรรมนี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา กรรมนี้หามีประโยชน์ไม่ กรรมนี้จักนำไป
สู่นรก กรรมนี้จักนำไปสู่สวรรค์. บทว่า รเส ได้แก่ ในรสแห่งเนื้อมนุษย์

บทว่า วชชํ แปลว่า พึงกล่าว บทว่า อวากเรยฺย ความว่า พระองค์
ให้พรด้วยวาจา แม้ข้าพเจ้ากล่าวอยู่ว่า พระองค์จงให้พรนั้นแก่ข้าพเจ้า
พระองค์ จะกลับไม่ให้เสียก็ได้ บทว่า อุปพฺพเชยฺย ความว่า ใครจะมา
เป็นบัณฑิตวินิจฉัยการทะเลาะนี้ได้.

ลำดับนั้น เจ้าโปริสาทดำริว่า ท่านสุตโสมนี้ไม่เชื่อเรา เราจะให้เธอ
เชื่อให้ได้ แล้วกล่าวคาถาว่า
คนเราให้พรใดแล้วจะกลับไม่ให้ ไม่ควรให้พร
นั้น ดูก่อนสหาย ขอให้พระองค์จงทรงมั่นพระทัย
รับพรเถิด แม้ชีวิตของหม่อมฉันก็จะสละถวายได้.

คำว่า จงทรงมั่นพระทัย ในคาถานั้น หมายความว่า จงมีพระทัย
อันแน่วแน่มั่นคงเถิด.

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงพระดำริว่า เจ้าโปริสาทกล้าพูดหนักอยู่
เธอจักทำตามถ้อยคำของเรา เราจักรับพร แต่เราจักขอพรว่า ท่านอย่ากิน
เนื้อมนุษย์เป็นข้อแรก เธอจักลำบากเกินไป เราจักรับพร ๓ อย่างอื่นก่อน
ภายหลังจึงรับพรข้อนี้ แล้วตรัสพระคาถาว่า

พระอริยะกับพระอริยะ ย่อมมีศักดิ์ศรีเสมอกัน
ผู้มีปัญญากับผู้มีปัญญา ย่อมมีศักดิ์ศรีเสมอกัน ข้าพเจ้า
พึงเห็นท่านเป็นผู้หาโรคมิได้ตลอดร้อยปี นี้เป็นพรข้อ
ที่หนึ่ง หม่อมฉันปรารถนา.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในคาถานั้น คำว่า อริยะ หมายถึงความประเสริฐด้วยมรรยาท คำว่า
ศักดิ์ศรี หมายถึงศักดิธรรม คือ มิตรธรรม คำว่า ผู้มีปัญญา หมายถึงผู้ถึง
พร้อมแล้วด้วยความรู้ คำว่า เสมอกัน คือย่อมเปรียบเทียบกันได้ เหมือนน้ำ
คงคากับน้ำยมุนา ฉะนั้น จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมเปรียบเทียบกันได้โดยธาตุ.

คำว่า พึงเห็นท่าน อธิบายว่า พระเจ้าสุตโสมทรงทำเป็นเหมือนปรารถนาให้
เจ้าโปริสาทมีชีวิตยืนยาว จึงขอพรคือชีวิตอันประเสริฐข้อแรกก่อน จริงอยู่
ธรรมดาว่านักปราชญ์ไม่ควรจะพูดว่าท่านจงให้ชีวิตแก่เรา เจ้าโปริสาทฟังคำ
นั้น คิดว่า เจ้าสุตโสมปรารถนาความไม่มีโรคแก่เราผู้เดียว จึงกล่าวอย่างนี้.

ส่วนเจ้าโปริสาทได้ฟังคำนั้น มีใจชื่นบานว่า เจ้าสุตโสมนี้ยังปรารถนา
ความเป็นอยู่ของเรา ผู้เป็นมหาโจร กำจัดตนออกจากอิสรภาพ ใคร่จะกินเนื้อ
อยู่ ณ บัดนี้ ผู้กระทำความพินาศใหญ่อย่างนี้ ท่านต้องการประโยชน์แก่เรา
น่าสรรเสริญยิ่งนัก เมื่อจะถวายพระพรยอมตามที่พระมหาสัตว์ตรัสลวงแล้ว
รับพรอยู่นั้น จึงกล่าวคาถาว่า

อริยะกับอริยะ ย่อมมีศักดิ์ศรีเสมอกัน ผู้มีปัญญา
กับผู้มีปัญญาย่อมมีศักดิ์ศรีเสมอกัน พระองค์พึงเห็น
หม่อมฉันผู้หาโรคมิได้ตลอดร้อยปี หม่อมฉันขอถวาย
พระพรข้อต้นนี้ตามประสงค์แล.
คำว่า พร ในคาถานั้น หมายถึงพรข้อที่หนึ่งในบรรดาพร ๔ ประการ
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสต่อไปว่า

พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นกษัตริย์ ได้นามบัญญัติว่า
มุทธาภิสิตเหล่าใดในชมพูทวีปนี้ พระองค์อย่ากิน
พระเจ้าแผ่นดินเหล่านั้น นี่เป็นพรข้อที่สอง หม่อมฉัน
ปรารถนา.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คำว่า ได้นามบัญญัติ ในคาถานั้น อธิบายว่า ผู้มีพระนามาภิไธย
อันกระทำแล้วว่า มุทธาภิสิต ดังนี้ เพราะทรงอภิเษกบนพระเศียรเกล้า. คำว่า
พระเจ้าแผ่นดินเหล่านั้น อธิบายว่า พระองค์อย่าได้เสวยกษัตริย์ที่ได้รับ
มูรธาภิเษกเหล่านั้นเลย.

พระมหาสัตว์เมื่อจะทรงรับพรข้อที่สอง ได้ทรงรับพร คือชีวิตของ
พวกกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ด้วยประการฉะนี้ แม้เจ้าโปริสาทเมื่อจะถวายพระพร
แด่พระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวคาถาว่า
พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นกษัตริย์ ได้นามบัญญัติว่า
มุทธาภิสิตเหล่าใดในชมพูทวีปนี้ หม่อมฉันจะไม่กิน
พระเจ้าแผ่นดินเหล่านั้น นี้เป็นพระพรข้อที่สอง
หม่อมฉันยอมถวาย.

มีคำถามสอดเข้ามาว่า กษัตริย์เหล่านั้นได้ยินพระสุรเสียงของสอง
กษัตริย์ทั่วกันหรือไม่ ? ตอบว่า ไม่ได้ยินทั่วกันหมด พระเจ้าโปริสาทก่อไฟ
ห่างออกไป เพราะกลัวเปลวควันจะเป็นอันตรายต่อต้นไม้ พระมหาสัตว์
ประทับนั่งตรัสกับเจ้าโปริสาทในระหว่างกองไฟกับต้นไม้ เพราะฉะนั้น กษัตริย์
เหล่านั้นจึงไม่ได้ยินทั้งหมด ได้ยินว่า ครั้งหนึ่ง กษัตริย์เหล่านั้นตรัสปลอบ
กันว่า พระเจ้าสุตโสมจักทรงทรมานเจ้าโปริสาทในบัดนี้ อย่ากลัวไปเลย ใน
ขณะนั้น พระมหาสัตว์ตรัสคาถานี้ว่า

กษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ ที่ถูกพระองค์จับร้อย
พระหัตถ์ไว้ มีพระพักตร์นองด้วยพระอัสสุชลกันแสง
อยู่นั้น ขอพระองค์จงปล่อยให้กลับไปสู่แคว้นของ
ตน ๆ นี้เป็นพรข้อที่สาม หม่อมฉันปรารถนา.

คำว่า ร้อยเอ็ด ในคาถานั้น หมายถึงจำนวนเกินร้อย คำว่า ที่ถูก
พระองค์จับไว้ คือที่พระองค์ได้จับไว้แล้ว คำว่า ร้อยพระหัตถ์ไว้ คือ
จับร้อยไว้ที่ฝ่ามือ.

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าทรงรับพรข้อที่สาม ได้ทรงรับพรคือขอให้มอบ
แคว้นของตน ๆ แก่กษัตริย์เหล่านั้นด้วยประการฉะนี้ มีคำถามสอดเข้ามาว่า
ทรงรับพรนี้เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เจ้าโปริสาทแม้จะไม่กิน แต่ก็อาจจะให้
กษัตริย์ทั้งหมดอยู่เป็นทาสในป่านั้นก็เป็นได้ หรืออาจจะฆ่าทิ้งเสียก็ได้ หรือ
อาจจะนำไปจำหน่ายเสีย ณ ชนบทก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น พระมหาสัตว์จึง
ทรงรับพร คือขอให้มอบแคว้นของตน ๆ แก่กษัตริย์เหล่านั้น ส่วนเจ้าโปริสาท
เมื่อจะถวายพระพรแด่พระมหาสัตว์ จึงได้กล่าวคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ ที่หม่อมฉันร้อยพระหัตถ์
ไว้ พระพักตร์นองด้วยพระอัสสุชลกันแสงอยู่นั้น
หม่อมฉันจะปล่อยให้กลับไปสู่แคว้นของตน ๆ นี้เป็น
พระพรข้อที่สาม หม่อมฉันยอมถวาย.

ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์จะทรงรับพรข้อที่สี่ จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
รัฐมณฑลของพระองค์เป็นช่อง เพราะนรชน
เป็นอันมาก หวาดเสียวเพราะภัย หนีเข้าที่ซ่อนเร้น
ขอพระองค์จงเว้นจากเนื้อมนุษย์เสียเถิด นี้เป็นพรข้อ
ที่สี่ หม่อมฉันปรารถนา.

ในคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า แคว้นของพระองค์ที่อยู่กันเป็นปึกแผ่น
กลายเป็นช่อง เพราะบ้านเป็นต้นตั้งอยู่ในแคว้นนั้น ๆ ต้องทิ้งบ้านช่องแตก
กระจายไป. บทว่า พฺยถิตา ภยา หิ ความว่า นรชนทั้งหลายหวาดเสียว
เพราะความกลัวท่านว่า เจ้าโปริสาทจักมาในบัดนี้. บทว่า เลณมนุปฺปวิฏฺ-

€า ความว่า พากันอุ้มลูกจูงหลาน หนีเข้าไปหาที่ซ่อนเร้นมีชัฏหญ้าเป็นต้น.
บทว่า มนุสฺสมํสํ ความว่า ขอพระองค์ละเว้นเนื้อมนุษย์ ซึ่งเป็นของปฏิ-
กูลน่าเกลียด มีกลิ่นเหม็นเสียเถิด คือจงเว้นขาดจากเนื้อมนุษย์เสียเถิด.

เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสอย่างนี้แล้ว เจ้าโปริสาทปรบมือหัวเราะทูลว่า
พระสหายสุตโสมพูดถึงเรื่องนี้ละหรือ พระพรนี้เท่ากับชีวิต หม่อมฉันจักถวาย
แด่พระองค์อย่างไรได้ ถ้าพระองค์ใคร่จะรับ จงรับพรอย่างอื่นเถิด แล้วกล่าว
คาถาว่า

นั่นเป็นอาหารที่ชอบใจของหม่อมฉันมานานแล้ว
หม่อมฉันเข้าป่าก็เพราะเหตุอาหารนี้ หม่อมฉันจะพึง
งดอาหารนี้เสียอย่างไร ขอพระองค์จงทรงเลือกพระพร
ที่สี่อย่างอื่นเถิด.
คำว่า ป่า ในคาถานั้น หมายความว่า หม่อมฉันยอมสละราชสมบัติ
แล้วเข้าสู่ป่านี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงตรัสว่า พระองค์กล่าวว่าไม่อาจงดได้
เพราะเป็นของรักอย่างยิ่ง ก็ผู้ใดทำบาปเพราะเหตุของรัก ผู้นี้เป็นอันธพาล
แล้วตรัสพระคาถาว่า

ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน คนเช่น
พระองค์มัวคิดอยู่ว่า นี้เป็นที่รักของเรา ทำตนให้เห็น
ห่างจากความดี จะไม่ได้ประสบสิ่งที่รักทั้งหลาย ตน
แลประเสริฐที่สุด ประเสริฐอย่างยอดเยี่ยมทีเดียว
เพราะคนมีตนอบรมแล้ว ภายหลังจะพึงได้สิ่งที่รัก
ทั้งหลาย.

ในคาถานั้น บทว่า ตาทิโส ความว่า ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอม
แห่งชน คนเช่นพระองค์ยังเป็นหนุ่ม มีรูปงาม มียศใหญ่ กระทำตนให้
เหินห่างจากความดี ด้วยความโลภในวัตถุอันเป็นที่รักว่า ขึ้นชื่อว่าสิ่งนี้ ย่อม
เป็นที่รักของเรา เคลื่อนจากสุคติทั้งหมดและวิสัยแห่งความสุข ตกลงในนรก
อย่างเดียว ชื่อว่าย่อมไม่ได้เสพสิ่งนั้นอันเป็นที่รักทั้งหลาย บทว่า ปรมาว
เสยฺโย ความว่า ด้วยว่าตนของบุรุษนั่นแหละประเสริฐกว่าวัตถุอันเป็นที่รัก

อย่างอื่น. ถามว่า เพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะคนมีตนอันอบรมแล้วจะพึง
ได้สิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลาย อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่า สิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลาย
บุคคลผู้มีตนอันอบรมแล้ว และมีตนอันเจริญแล้ว ด้วยอำนาจแห่งวิสัยอันเป็น
ที่รักและบุญ กระทำสมบัติในเทวดาและมนุษย์แล้ว ก็อาจที่จะได้ในทิฏฐธรรม
หรือในโลกเบื้องหน้า.

เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสอย่างนี้แล้ว เจ้าโปริสาทหวาดหวั่น ดำริว่า
เราไม่อาจให้ท่านสุตโสมปล่อยพรนี้เสียได้ละกระมัง แม้เนื้อมนุษย์เราก็ไม่อาจ
อดได้ จักทำอย่างไรดีหนอ ถ้าเธอตรัสขอพรที่สี่อย่างอื่นจักถวายเธอทันที
เราจักเป็นอยู่อย่างไร มีเนตรนองด้วยอัสสุชล กล่าวคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 112, 113, 114, 115, 116, 117, 118 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร