วันเวลาปัจจุบัน 07 ก.ย. 2025, 14:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 135, 136, 137, 138, 139, 140, 141 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 05 ม.ค. 2019, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ เป็นต้น ความว่า เมื่อกิเลส
เหล่าใดถึงการรึงรัดแล้ว ปัญญาก็ย่อมไม่ได้การหยั่งถึง คือการตั้งอยู่
เหมือนคนตกลงไปในห้วงน้ำใหญ่ ฉะนั้น.

พระราชาได้ทรงสะดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๕ ว่า:-
โยมได้ยกย่องท่านแล้วอย่างนี้ว่า หาริต-
ดาบสเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วยศีล ประ-
พฤติบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต มีปัญญาแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อิติ โน สมฺมโต ความว่า
โยมได้ยกย่อง คือได้สรรเสริญท่านแล้วอย่างนี้.
หาริตดาบสได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาที่ ๖ ต่อจากนั้นว่า:-

ข้าแต่มหาบพิตร วิตกอันลามก เป็น
ไปด้วยการยึดถือนิมิตรว่างาม ประกอบด้วย
ความกำหนัด ย่อมเบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญา
ผู้ยินดีแล้วในคุณธรรมของฤๅษี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุภา คือ เป็นไปแล้วด้วยการยึดถือ
นิมิตรว่างาม.

ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะให้หาริตดาบสเกิดอุตสาหะในการ
ละกิเลส จึงตรัสคาถาที่ ๗ ว่า:-
ความกำหนัดนี้เกิดในกาย เกิดขึ้นมา
แล้วเป็นของทำลายวรรณะของท่าน ท่านจง
ละความกำหนัดนั้นเสีย ความเจริญย่อมมีแก่
ท่าน ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มากยกย่องแล้วว่า
เป็นคนมีปัญญา.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วณฺณวิทูสโน ตว คือ เป็น
ของทำลายสีกายและคุณความดีของท่าน. บทว่า พหุนาสิ ความว่า
ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มากยกย่องแล้วว่าเป็นคนมีปัญญา.
คราวนี้ พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้วกลับได้สติ กำหนดโทษ
ในกามทั้งหลายแล้ว กล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:-

กามเหล่านั้นทำแต่ความมืดให้ มีทุกข์
มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมภาพจักค้นหามูล
รากแห่งกามเหล่านั้น จักตัดความกำหนัด
พร้อมเครื่องผูกเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺธกรเณ คือ ชื่อว่าทำแต่ความ
มืดให้ เพราะทำปัญญาจักขุให้พินาศ. ในบทว่า พหุทุกฺเข นี้ บัณฑิต
พึงนำสูตรว่า กามทั้งหลายมีความแช่มชื่นน้อย ดังนี้เป็นต้น มาแสดง
ถึงความที่กามเหล่านั้นมีทุกข์มาก. บทว่า มหาวิเส คือ ชื่อว่ามีพิษ
ใหญ่หลวง เพราะพิษคือสัมปยุตตกิเลสและพิษคือวิบากเป็นของยิ่งใหญ่.

สองบทว่า เตสํ มูลํ ความว่า อาตมภาพจักค้นหา คือจัก
แสวงหามูลรากแห่งกามเหล่านั้น เพื่อละกามซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว
เหล่านั้นเสีย.
ถามว่า ก็อะไรเป็นมูลรากแห่งกามเหล่านั้น ?
ตอบว่า อโยนิโสมนสิการ.

บทว่า เฉชฺชํ ราคํ สพนฺธนํ ความว่า ข้าแต่มหาบพิตร
บัดนี้ อาตมภาพจักตัดความกำหนัดที่ชื่อว่าเครื่องผูกพัน เพราะเครื่อง
ผูกพันคือศุภนิมิตร โดยประหารเสียด้วยดาบคือปัญญา.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็แหละ ครั้นกล่าวดังนี้แล้วได้ขอพระราชทานโอกาสว่า ข้าแต่
มหาบพิตร ขอพระองค์จงประทานโอกาสแก่อาตมาภาพก่อน. แล้วเข้า
ไปยังบรรณศาลา พิจารณาดวงกสิณ ยังฌานที่เสื่อมแล้วให้เกิดขึ้นอีก
ออกจากบรรณศาลา นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศถวายธรรมเทศนาแด่พระ-
ราชา แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร อาตมภาพถูกติเตียนในท่ามกลาง

มหาชน เพราะเหตุที่มาอยู่ในที่ไม่สมควร ขอพระองค์จงเป็นผู้ไม่
ประมาท บัดนี้ อาตมภาพจักกลับไปสู่ไพรสณฑ์ให้พ้นจากกลิ่นสตรี.
เมื่อพระราชาทรงกรรแสงปริเทวนาอยู่ ได้ไปสู่หิมวันตประเทศ ไม่
เสื่อมจากฌานแล้ว เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดาผู้ตรัสรู้แล้วทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสพระคาถานี้
ว่า:-
ครั้นพระหาริตฤๅษีกล่าวคำนี้แล้ว มี
ความบากบั่นอย่างแท้จริง คลายกามราคะได้
แล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม เวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล
แล้วพระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น
พระอานนท์ในบัดนี้ หาริตดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาหริตจชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาปทกุสลชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ทารกคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า พหุสฺสุตํ ดังนี้.

ได้ยินว่า ทารกนั้นเป็นบุตรของกุฎุมพีในนครสาวัตถี ได้เป็นผู้
ฉลาดในการสังเกตรอยเท้า ในเวลาที่ตนมีอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น.
ครั้งนั้น บิดาของเขาคิดว่าจักทดลองลูกคนนี้ จึงได้ไปเรือนของเพื่อน
โดยที่ทารกนั้นไม่รู้เลย ทารกนั้นก็มิได้ถามที่ไปของบิดา เดินไปโดย
สังเกตรอยเท้าของบิดา ได้ไปยืนอยู่ที่สำนักของบิดา

อยู่มาวันหนึ่ง บิดาได้ถามทารกนั้นว่า ลูกรัก เมื่อพ่อไปก็ไป
โดยมิให้เจ้ารู้ แต่เจ้ารู้ที่ไปของพ่อได้อย่างไร ? เขากล่าวตอบบิดาว่า
พ่อจ๋า ฉันจำรอยเท้าของพ่อได้ ฉันฉลาดในการสังเกตรอยเท้า. ลำดับ

นั้น บิดาของเขาต้องการจะทดลองอีก เมื่อบริโภคอาหารเช้าแล้ว ออก
จากเรือนไปยังเรือนของผู้ที่คุ้นเคยซึ่งอยู่ติดๆ กัน แล้วออกจากเรือน
นั้นไปยังเรือนที่ ๓ ออกจากเรือนที่ ๓ มายังประตูเรือนของตนอีก
แล้วออกจากประตูเรือนของตนไปยังประตูเมืองทิศอุดร ออกประตูนั้น

อ้อมเมืองไปทางซ้าย ไปถึงพระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
นั่งฟังธรรมอยู่. ทารกถามพวกบ้านว่า พ่อฉันไปไหน เมื่อได้รับคำตอบว่า
ไม่ทราบ จึงได้สังเกตรอยเท้าของบิดา ตั้งต้นแต่เรือนของผู้ที่คุ้นเคยซึ่ง
อยู่ติดๆ กัน ไปตามทางที่บิดาไปนั่นแหละ จนถึงพระเชตวันวิหาร ถวาย

บังคมพระศาสดาแล้วไปยืนอยู่ใกล้ๆ บิดา เมื่อบิดาถามว่า ลูกรัก เจ้า
รู้ว่าพ่อมาในที่นี้หรือ ? เขาตอบว่า ฉันจำรอยเท้าพ่อไปจึงได้มา โดย
สังเกตรอยเท้า. พระศาสดาตรัสถามว่า พูดอะไรกันอุบาสก ? เมื่อกุฎุมพี
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เด็กคนนี้ฉลาดสังเกตรอยเท้า ข้า


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระองค์ทดลองเด็กนี้จึงได้มาโดยอุบายนี้ แลเด็กนี้ครั้นไม่เห็นข้าพระ-
องค์ในเรือน ได้มาโดยสังเกตรอยเท้าข้าพระองค์ จึงตรัสว่า อุบาสก
การจำรอยเท้าบนพื้นดินได้ไม่น่าอัศจรรย์ บัณฑิตก่อนๆ จำรอยเท้าใน
อากาศได้ กุฎุมพีนั้นกราบทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระอัครมเหสีของพระองค์ประพฤตินอกใจ เมื่อพระ-
ราชาตรัสถามก็สบถสาบานว่า ถ้าหม่อมฉันประพฤตินอกใจพระองค์
ขอให้หม่อมฉันเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า. ต่อจากนั้นพระนางได้สิ้น

พระชนม์ เกิดเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งอยู่ในคูหา
จับมนุษย์ที่สัญจรไปมาในดงใหญ่ ในทางที่ไปจากต้นดงถึงปลายดง
เคี้ยวกินเป็นอาหาร ได้ยินว่านางยักษิณีนั้น ไปบำเรอท้าวเวสวัณอยู่
๓ ปี ได้รับพรให้เคี้ยวกินมนุษย์ได้ในที่ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์.

อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์รูปงามคนหนึ่ง เป็นผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก
แวดล้อมไปด้วยมนุษย์จำนวนมาก เดินมาทางนั้น นางยักษิณีเห็นดังนั้น
ก็มีความยินดีจึงวิ่งไป พวกมนุษย์ผู้เป็นบริวารพากันหนีไปหมด นาง
ยักษิณีวิ่งเร็วอย่างลม จับพราหมณ์ได้แล้วให้นอนบนหลังไปคูหา เมื่อ

ได้ถูกต้องกับบุรุษเข้าก็เกิดสิเนหาในพราหมณ์นั้นด้วยกิเลส จึงมิได้
เคี้ยวกินเขาเอาไว้เป็นสามีของตน แล้วทั้ง ๒ ต่างก็อยู่ร่วมกันด้วยความ
สามัคคีตั้งแต่นั้นมา นางยักษิณีก็เที่ยวจับมนุษย์ถือเอาผ้า ข้าวสารและ

น้ำมันเป็นต้น มาปรุงเป็นอาหารมีรสเลิศต่างๆ ให้สามี ตนเองเคี้ยว
กินเนื้อมนุษย์ เวลาที่นางจะไปไหนนางได้เอาหินแผ่นใหญ่ปิดประตูถ้ำ
ก่อนแล้วจึงไป เพราะกลัวพราหมณ์จะหนี เมื่อเขา ๒ คนอยู่กันอย่าง


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปรีดาปราโมทย์เช่นนี้ พระโพธิสัตว์เคลื่อนจากฐานะที่พระองค์เกิดมา
ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางยักษิณีนั้น เพราะอาศัยพราหมณ์ พอล่วง
ไปได้ ๑๐ เดือน นางยักษิณีก็คลอดบุตร นางได้มีความสิเนหาในบุตรและ
พราหมณ์มาก ได้เลี้ยงดูคนทั้ง ๒ เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อบุตรเจริญวัย

แล้ว นางยักษิณีได้ให้บุตรเข้าไปภายในถ้ำพร้อมกับบิดาแล้วปิดประตู
เสีย ครั้นวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์รู้ว่านางยักษิณีนั้นไปแล้ว จึงได้เอาศิลา
ออกพาบิดาไปข้างนอก นางยักษิณีมาถามว่า ใครเอาศิลาออก เมื่อ
พระโพธิสัตว์ตอบว่า ฉันเอาออกจ้ะแม่ ฉันไม่สามารถนั่งอยู่ในที่มืด นาง
ก็มิได้ว่าอะไรเพราะรักบุตร.

อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ถามบิดาว่า พ่อจ๋า เหตุไรหน้าของ
แม่ฉันจึงไม่เหมือนหน้าของพ่อ. พราหมณ์ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ลูกรัก
แม่ของเจ้าเป็นยักษิณีที่กินเนื้อมนุษย์ เราสองพ่อลูกนี้เป็นมนุษย์. พระ-
โพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อจ๋า ถ้าเช่นนั้นเราจะอยู่ในที่นี้ทำไม ไปเถิดพ่อ

เราไปแดนมนุษย์กันเถิด. พราหมณ์ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเราหนี
แม่ของเจ้าก็จักฆ่าเราทั้งสองเสีย พระโพธิสัตว์พูดเอาใจบิดาว่า อย่ากลัว
เลยพ่อ ฉันรับภาระพาพ่อไปให้ถึงแดนมนุษย์. ครั้นวันรุ่งขึ้น เมื่อ
มารดาไปแล้วได้พาบิดาหนี นางยักษิณีกลับมาไม่เห็นคนทั้ง ๒ นั้น

จึงวิ่งไปเร็วอย่างลม จับคนทั้ง ๒ นั้นได้แล้วกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านหนี
ทำไม ท่านอยู่ที่นี้ขาดแคลนอะไรหรือ ? เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า น้องรัก
เธออย่าโกรธพี่เลย ลูกของเธอพาพี่หนีดังนี้ นางก็มิได้ว่าอะไรแก่เขา


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพราะความสิเนหาในบุตร ปลอบโยนคนทั้ง ๒ ให้เบาใจแล้วพาไปยัง
ที่อยู่ของตน. ในวันที่ ๓ นางยักษิณีก็ได้นำคนทั้ง ๒ ซึ่งหนีไปอยู่อย่างนั้นกลับมาอีก.

พระโพธิสัตว์คิดว่า แม่ของเราคงจะมีที่ที่เป็นเขตกำหนดไว้
ทำอย่างไรเราจึงจะถามถึงแดนที่อยู่ในอาณาเขตของแม่นี้ได้ เมื่อถามได้
เราจักหนีไปให้เลยเขตแดนนั้น. วัน ๑ พระโพธิสัตว์กอดมารดานั่งลง
ณ ที่ควรแห่ง ๑ แล้วกล่าวว่า แม่จ๋า ธรรมดาของที่เป็นของแม่ย่อม
ตกอยู่แก่พวกลูก ขอแม่ได้โปรดบอกเขตกำหนดพื้นดินที่เป็นของแม่

แก่ฉัน นางยักษิณีบอกที่ซึ่งยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์ มีภูเขาเป็น
ต้นเป็นเครื่องหมายในทิศทั้งปวงแก่บุตรแล้วกล่าวว่า ลูกรัก เจ้าจง
กำหนดที่นี้ซึ่งมีอยู่เพียงเท่านี้ไว้ ครั้นล่วงไปได้ ๒,๓ วัน เมื่อมารดาไป
ดงแล้ว พระโพธิสัตว์ได้แบกบิดาขึ้นคอวิ่งไปโดยเร็วอย่างลม ตามสัญญา

ที่มารดาให้ไว้ ถึงฝั่งแม่น้ำอันเป็นเขตกำหนด นางยักษิณีกลับมาเมื่อ
ไม่เห็นคนทั้ง ๒ ก็ออกติดตาม พระโพธิสัตว์พาบิดาไปถึงกลางแม่น้ำ
นางยักษิณีไปยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ รู้ว่าคนทั้ง ๒ ล่วงเลยเขตแดนของ
ตนไปแล้ว จึงยืนอยู่ที่นั้นเอง วิงวอนบุตรและสามีว่า ลูกรัก เจ้าจงพา

พ่อกลับมา แม่มีความผิดอะไรหรือ ? อะไรๆ ไม่สมบูรณ์แก่พวกท่าน
เพราะอาศัยเราหรือ ? กลับมาเถิด ผัวรัก ดังนี้. ลำดับนั้น พราหมณ์ได้
ข้ามแม่น้ำไปแล้ว นางยักษิณีวิงวอนบุตรว่า ลูกรัก เจ้าอย่าได้ทำอย่างนี้
เจ้าจงกลับมาเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม่ ฉันและพ่อเป็นมนุษย์
แม่เป็นยักษิณี ฉันไม่อาจอยู่ในสำนักของแม่ได้ตลอดกาล ฉะนั้นฉัน
กับพ่อจักไม่กลับ. นางยักษิณีถามว่า เจ้าจักไม่กลับหรือลูกรัก. พระโพธิ-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สัตว์ตอบว่า ใช่ ลูกจะไม่กลับดอกแม่ นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก ถ้า
เจ้าจักไม่กลับก็ตามเถิด ขึ้นชื่อว่าชีวิตในโลกนี้เป็นของยาก คนที่ไม่รู้
ศิลปวิทยาไม่อาจที่จะดำรงชีพอยู่ได้ แม่รู้วิชาอย่างหนึ่งชื่อจินดามณี
ด้วยอานุภาพของวิชานี้ อาจที่จะติดตามรอยเท้าของผู้ที่หายไปแล้วสิ้น
๑๒ ปีเป็นที่สุด วิชานี้จักเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตเจ้า ลูกรัก เจ้าจงเรียน

มนต์อันหาค่ามิได้นี้ไว้ ว่าดังนั้นแล้วทั้งๆ ที่ถูกความทุกข์เห็นปานนั้น
ครอบงำ นางก็ได้สอนมนต์ให้ด้วยความรักลูก. พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ใน
แม่น้ำนั่นเอง ไหว้มารดาแล้วประณมมือเรียนมนต์ ครั้นเรียนได้แล้ว
ได้ไหว้มารดาอีก แล้วกล่าวว่า แม่ ขอแม่จงไปเถิด นางยักษิณีกล่าว
ว่า ลูกรัก เมื่อเจ้าและพ่อของเจ้าไม่กลับ ชีวิตของแม่ก็จักไม่มี แล้ว
กล่าวคาถาว่า:-

ลูกรัก เจ้าจงมาหาแม่ จงกลับไปอยู่กับ
แม่เถิด อย่าทำให้แม่ไม่มีที่พึ่งเลย เมื่อแม่
ไม่ได้เห็นลูกก็ต้องตายในวันนี้.

ครั้นกล่าวแล้ว นางยักษิณีได้ทุบหน้าอกของตนเอง. ทันใดนั้น
หทัยของนางได้แตกทำลาย เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร. นางตายแล้ว
ล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง. ขณะนั้นพระโพธิสัตว์ทราบว่ามารดาตาย จึง
เรียกบิดาไปใกล้มารดาแล้วทำเชิงตะกอนเผาศพมารดา ครั้นเผาเสร็จ

แล้วได้บูชาด้วยดอกไม้นานาชนิด พลางร้องไห้คร่ำครวญพาบิดาไปนคร
พาราณสี ยืนอยู่ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลแด่พระเจ้าพาราณ-
สีว่า มีมาณพผู้ฉลาดสังเกตรอยเท้ามายืนอยู่ที่พระทวารขอเข้าเฝ้า เมื่อ
ได้รับเชื้อเชิญว่า ถ้าเช่นนั้นจงเข้ามาเถิด ได้เข้าไปถวายบังคมพระเจ้า
พาราณสี เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้ารู้ศิลปวิทยาอะไร ?


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์รู้วิชาที่สามารถไปตามรอยเท้า
แล้วจับคนที่ลักสิ่งของไปแล้วนานถึง ๑๒ ปีได้. พระเจ้าพาราณสีตรัส
ว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงรับราชการอยู่กับเรา. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า
เมื่อข้าพระองค์ได้รับพระราชทานทรัพย์วันละพัน จึงจะขอรับ
ราชการ พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ดีแล้วพ่อ เจ้าจงรับราชการเถิด
พระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์วันละพันทุกวันแล้ว.

อยู่มาวัน ๑ ปุโรหิตกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าแต่พระ-
มหาราชเจ้า เราทั้งหลายไม่รู้ว่ามาณพนั้นจะมีศิลปะนั้นหรือไม่มี เพราะ
เขายังมิได้ทำกรรมอย่างใดอย่าง ๑ ด้วยอานุภาพของศิลปวิทยา ควร
จักทดลองมาณพนั้นก่อน พระราชารับสั่งว่า ดีแล้ว ทั้ง ๒ คนจึงให้
สัญญาแก่เจ้าพนักงานรักษารัตนะ แล้วถือเอาแก้วดวงสำคัญลงจากปรา-

สาท เดินวนเวียนภายในพระราชนิเวศน์ ๓ ครั้ง แล้วพาดบันไดลงข้าง
นอกปลายกำแพง เข้าไปศาลยุติธรรม นั่งในศาลนั้นแล้วเดินกลับมา
พาดบันได ลงภายในพระราชนิเวศน์ทางปลายกำแพง เดินไปยังฝั่งสระ
โบกขรณีภายในพระราชวัง เวียนสระโบกขรณี ๓ รอบ แล้วลงไปวาง
สิ่งของไว้ในสระโบกขรณี แล้วจึงไปขึ้นปราสาท. วันรุ่งขึ้นได้เกิดโกลา

หลกันว่า ได้ยินว่า พวกโจรลักแก้วไปจากพระราชนิเวศน์ พระราชาทำ
เป็นทรงทราบ รับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า
แก้วมีค่ามาก ถูกโจรลักไปจากพระราชนิเวศน์ เอาเถิด เจ้าควรติดตาม
แก้วนั้นมาให้ได้. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า สิ่งของ
ที่โจรลักไปแล้วนานถึง ๒ ปี ข้าพระองค์ยังสามารถติดตามรอยเท้า


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โจรนำคืนมาได้อย่างไม่น่าแปลกสิ่งของที่ถูกลักไปเมื่อคืนนี้ ข้าพระองค์
จักสามารถนำมาได้ในวันนี้แน่ ขอพระองค์อย่าได้ทรงปริวิตกถึงสิ่งของ
นั้นเลย พระราชารับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้าถ้าเช่นนั้น เจ้าจงนำมาเถิด พระ-
โพธิสัตว์กราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วยืนขึ้นที่ท้องพระโรงไหว้
มารดาร่ายมนต์จินดามณี แล้วกราบทูลว่า รอยเท้าของโจร ๒ คน

ปรากฏพระเจ้าข้า แล้วตามรอยเท้าของพระราชาและปุโรหิตเข้าไปยัง
ห้องสิริมงคล ออกจากห้องนั้นลงจากปราสาทวนเวียนอยู่ในพระราช-
นิเวศน์ ๓ ครั้ง แล้วไปใกล้กำแพงตามรอยเท้านั่นแหละ ยืนบนกำแพง
แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าพ้นจากกำแพงในที่นี้ไปแล้วรอยเท้า
ปรากฏในอากาศ ขอพระองค์จงพระราชทานบันได แล้วให้พาดบันได

ลงทางปลายกำแพง ไปศาลยุติธรรมตามรอยเท้านั่นแหละ แล้วเดิน
กลับมายังพระราชนิเวศน์อีก ให้พาดบันไดแล้วลงทางปลายกำแพงไป
สระโบกขรณี เดินเวียนขวาสระโบกขรณี ๓ ครั้ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่
พระมหาราชเจ้า พวกโจรลงสระโบกขรณีนี้ แล้วลงไปนำสิ่งของซึ่งดุจ

ตนวางไว้เองมาถวายพระเจ้าพาราณสี แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหา-
ราชเจ้า โจร ๒ คนนี้เป็นมหาโจรที่พระองค์ทรงรู้จักดี จึงได้ขึ้นพระ-
ราชนิเวศน์ตามทางนี้ มหาชนพากันชื่นชมยินดีต่างก็ปรบมือกันยกใหญ่
บางพวกก็ยกผ้าขึ้นโบก.

พระราชาทรงพระดำริว่า มาณพนี้เดินไปโดยสังเกตรอยเท้าเห็น
จะรู้แต่ตำแหน่งสิ่งของที่พวกโจรวางไว้เท่านั้น แต่ไม่อาจจับโจรได้ที่นั้น
พระราชาจึงได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า เจ้านำสิ่งของที่พวกโจรลักไปมา
ให้เราได้ แต่ไม่อาจจับพวกโจรมาให้เราได้ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรอยู่ในที่นี้แหละมิได้อยู่ไกลเลย พระราชา
มีพระดำรัสว่า ใครเป็นโจร ใครเป็นโจร? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดย่อมอยากได้อยู่ผู้นั้นแหละเป็นโจร เมื่อได้สิ่งของ
ของพระองค์มาแล้ว จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเล่า ขอพระองค์
อย่าได้ถามถึงเลย. พระราชามีรับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า เราให้ทรัพย์แก่เจ้า
วันละพันทุกวันเจ้าจงจับพวกโจรมาให้เรา. พระโพธิสัตว์กราบทูล

ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ทรัพย์ที่หายไปพระองค์ก็ได้แล้ว จะประโยชน์
อะไรด้วยพวกโจรอีกเลย. พระราชามีรับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า เราได้พวก
โจรเหมาะกว่าได้ทรัพย์ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักไม่กราบทูลแด่พระองค์ว่า คนเหล่านี้เป็นโจร

แต่จักนำเรื่องที่เป็นไปแล้วในอดีตมากราบทูลพระองค์ ถ้าพระองค์ทรง
พระปรีชาก็จะทรงทราบเรื่องนั้น ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ได้นำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ข้าแต่มหาราชเจ้า ในอดีตกาล มีมาณพนักฟ้อนคนหนึ่ง ชื่อ
ปาฏลี อยู่ในบ้านน้อยริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลพระนครพาราณสีนัก วัน ๑
มีการมหรสพ เขาพาภรรยาไปพระนครพาราณสี ฟ้อนรำขับร้องได้
ทรัพย์ ครั้นเลิกการมหรสพแล้ว ได้ซื้อสุราอาหารเป็นจำนวนมากเดิน
กลับบ้านของตน ถึงฝั่งแม่น้ำเห็นน้ำใหม่กำลังไหลมา จึงนั่งบริโภค

อาหารดื่มสุราเมาจนไม่รู้กำลังของตน เอาพิณใหญ่ผูกคอแล้วลงน้ำจับมือ
ภรรยาพูดว่า เราไปกันเถิด แล้วว่ายข้ามแม่น้ำไป. น้ำได้เข้าไปตาม
ช่องพิณ. ครานั้น พิณนั้นได้ถ่วงเขาจมลงในน้ำ. ฝ่ายภริยาของเขารู้ว่า
สามีจมน้ำ จึงสลัดเขาขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง. มาณพนักฟ้อนจมน้ำผลุบ-

โผล่ๆ อยู่ ดื่มน้ำเข้าไปจนเต็มท้อง ลำดับนั้น ภรรยาของเขาจึงคิดว่า
สามีของเราจักตายในบัดนี้ เราจักขอเพลงขับไว้สักบท ๑ เอาไว้ขับ
ในท่ามกลางบริษัทเลี้ยงชีพ คิดดังนี้แล้วจึงได้กล่าวว่า พี่ พี่กำลังจะ
จมน้ำ ขอท่านจงให้เพลงขับแก่ฉันบท ๑ ฉันจักเลี้ยงชีพด้วยเพลง
ขับนั้น แล้วกล่าวคาถาว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แม่น้ำคงคาพัดพาเอามาณพชื่อปาฏลี ผู้คง
แก่เรียน มีถ้อยคำไพเราะให้ลอยไป พี่ผู้ถูก
น้ำพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่พี่ ขอพี่จงให้
เพลงขับบทน้อยๆ แก่ฉันสักบท ๑ เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คาถกํ คือเพลงขับบทน้อยๆ ลำดับ
นั้น ปาฏลีนักฟ้อนได้กล่าวกะภรรยาว่า น้องรักพี่จักให้เพลงขับแก่เจ้า
อย่างไรได้ น้ำซึ่งเป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชน บัดนี้กำลังจักฆ่าพี่อยู่แล้ว
แล้วกล่าวคาถาว่า:-

ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่ได้รับความทุกข์
ด้วยน้ำใด ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่เร่าร้อนด้วย
น้ำใด เราจักตายในท่ามกลางน้ำนั้น ภัยเกิด
แต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.

พระโพธิสัตว์แสดงคาถานี้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
น้ำเป็นที่พึ่งของมหาชนฉันใด แม้พระราชาทั้งหลาย ก็เป็นที่พึ่งของ
มหาชนฉันนั้น เมื่อภัยเกิดแต่สำนักของพระราชาเหล่านั้นแล้ว ใครจัก
ป้องกันภัยนั้นได้ ดังนี้แล้วกราบทูลอีกว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า. เรื่องโจร

ลักพระราชทรัพย์นี้เป็นเรื่องลับ แต่ข้าพระองค์กราบทูลอย่างที่บัณฑิต
จะรู้ได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า
นี่แน่ะเจ้า เราจะรู้เรื่องลี้ลับเห็นปานนี้ได้อย่างไร เจ้าจงจับโจรมาให้เรา
เถิด ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ถ้าเช่นนั้นพระองค์ทรงสดับเรื่องนี้แล้วจะทรงทราบ แล้วนำเรื่องมาเล่า
ถวายอีกเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนที่บ้านใกล้ประตูพระนครพาราณสีนี้
มีช่างหม้อคนหนึ่ง เมื่อจะนำดินเหนียวมาเพื่อต้องการปั้นภาชนะ ได้
ขุดเอาดินเหนียวในที่แห่งเดียวนั่นเอามาเป็นนิจ จนเป็นหลุมใหญ่
ภายในเป็นเงื้อม อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อช่างหม้อนั้นกำลังขุดเอาดินเหนียว
เมฆก้อนใหญ่ตั้งเค้าขึ้นในเวลาไม่ใช่ฤดูฝน ให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่น้ำ
ไหลท่วมหลุมพังทะลายลงไปทับศีรษะนายช่างหม้อนั้นแตก นายช่าง
หม้อร้องคร่ำครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า:-

พืชทั้งหลายงอกงามขึ้นได้บนแผ่นดิน
ใด สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้บนแผ่นดินใด
แผ่นดินนั้นก็พังทับศีรษะของเราแตก ภัยเกิด
ขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิปฺปีเฬติ ได้แก่พังทับคือ ทำลาย.

พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ แผ่นดินใหญ่เป็น
ที่พึ่งอาศัยของมหาชน ได้ทำลายศีรษะของนายช่างหม้อฉันใด เมื่อ
พระราชาผู้เป็นจอมแห่งนรชน เป็นที่พึ่งอาศัยแห่งสัตวโลกทั้งหมด
เสมอด้วยแผ่นดินใหญ่ มากระทำโจรกรรมอย่างนี้ ใครเล่าจักป้องกันได้

ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์สามารถที่จะทรงทราบตัวโจรที่ข้าพระองค์
กราบทูลปกปิดไว้ได้ด้วยอุปมาอย่างนี้. พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า นี่แน่ะ
เจ้า เหตุที่เราจะปกปิดนั้นไม่มี เจ้าจงจับโจรให้แก่เราโดยชี้ว่าคนนี้แหละ
เป็นโจรดังนี้ พระโพธิสัตว์เมื่อจะรักษาพระเกียรติคุณพระราชา จึง
มิได้กล่าวว่าพระองค์เป็นโจร ได้นำตัวอย่างมากราบทูลถวายอีกเรื่อง
หนึ่งว่า:-

ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลก่อน เมื่อไฟไหม้บ้านของบุรุษคนหนึ่ง
ในพระนครนี้แหละ เขาใช้คนๆ หนึ่งว่า เจ้าจงเข้าไปข้างในขนสิ่งของ
ออก เมื่อคนนั้นกำลังเข้าไปขนของอยู่ประตูเรือนปิด. เขาตามืดเพราะ
ถูกควันหาทางออกไม่ได้เกิดทุกข์ขึ้นเพราะความร้อน ยืนคร่ำครวญอยู่
ข้างใน กล่าวคาถาว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ชนทั้งหลายหุงอาหารด้วยไฟใด บรรเทา
ความหนาวด้วยไฟใด ไฟนั้นก็มาไหม้ตัวเรา
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า โส มํ ฑหติ ความว่า ไฟนั้นไหม้
เราอีกอย่างหนึ่งบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.

พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า มนุษย์คนหนึ่ง
เป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ราวกะว่าไฟเป็นที่พึ่งอาศัยฉะนั้น ได้ลักสิ่ง
ของคือรัตนะไป ขอพระองค์อย่าตรัสถามถึงโจรกะข้าพระองค์เลย พระ-
ราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงบอกโจรให้แก่เราเถิด พระโพธิสัตว์มิได้
กราบทูลพระราชาว่า พระองค์เป็นโจร ได้นำตัวอย่างมาถวายอีกเรื่อง
หนึ่งว่า:-

ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนบุรุษคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ
บริโภคอาหารมากเกินไป ไม่อาจย่อยได้ ได้รับทุกขเวทนา คร่ำครวญ
อยู่ กล่าวคาถาว่า:-

พราหมณ์และกษัตริย์ทั้งหลาย เป็น
จำนวนมากเลี้ยงชีพด้วยข้าวสุกใด ข้าวสุกนั้น
เราบริโภคแล้ว ก็มาทำเราให้ถึงความพินาศ
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส มํ ภุตฺโต พฺยาปาทิ ความว่า
ข้าวสุกนั้นเราบริโภคแล้วก็มาทำเราให้ถึงความพินาศ คือให้ตาย.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า คนคนหนึ่ง
เป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชน เหมือนข้าวสุกได้ลักสิ่งของไป เมื่อได้สิ่ง
ของนั้นคืนมาแล้ว พระองค์จะถามถึงโจรทำไม พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะ
เจ้า เมื่อเจ้าสามารถก็จงนำโจรมาให้เรา พระโพธิสัตว์ได้นำตัวอย่างมา
กราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลก่อนลมได้ตั้งขึ้นพัดประหารร่างกายของ
คนคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ คนคนนั้นคร่ำครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า:-
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาลมใน
เดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ลมนั้นมาพัดประหาร
ร่างกายเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.

พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ภัยเกิดขึ้นแต่
ที่พึ่งอาศัยด้วยประการดังนี้ ขอพระองค์จงทราบเรื่องนี้เถิด. พระราชา
ตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงจับโจรเถอะ. เพื่อที่จะให้พระราชาทรงทราบ
พระโพธิสัตว์ได้นำตัวอย่างมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า:-

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ในอดีตกาล ในหิมวันตประเทศ มีต้น
ไม้ใหญ่สมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ เป็นที่อยู่อาศัยของนกหลายพันตัว
กิ่งสองกิ่งของต้นไม้นั้นเสียดกันจนมีควันเกิดขึ้น แล้วเชื้อไฟหล่นลง
นกนายฝูงเห็นดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า:-

นกทั้งหลายพากันอาศัยต้นไม้ใดที่งอก
แต่แผ่นดิน ต้นไม้นั้นก็พ่นไฟออกมา นกทั้ง
หลายเห็นดังนั้น ก็พากันหลบหนีไป ภัยเกิด
ขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขคติรุหํ แปลว่า งอกแต่แผ่นดิน

พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ ต้นไม้เป็นที่พึ่ง
อาศัยของนกทั้งหลายฉันใด พระราชาก็เป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชนฉัน
นั้น เมื่อพระราชานั้นกระทำโจรกรรมใครเล่าจะป้องกันได้ ขอพระ-
องค์จงทรงทราบเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้า
จงจับโจรให้แก่เราเถิด ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้นำตัวอย่างมากราบ
ทูลพระราชาอีกเรื่องหนึ่งว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 135, 136, 137, 138, 139, 140, 141 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร