วันเวลาปัจจุบัน 25 ก.ค. 2025, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภอุบาสกผู้ทานบดี ชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า อกิตฺตึ ทิสฺวาน สมฺมนฺตํ ดังนี้.

เล่ากันมาว่า อุบาสกนั้นนิมนต์พระศาสดา ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ในวันสุดท้าย ได้ถวายบริขารทั้งปวง
แก่พระอริยสงฆ์. ลำดับนั้น พระศาสดาประทับท่ามกลางบริษัทนั้นแหละ เมื่อ
ทรงกระทำอนุโมทนาตรัสว่า อุบาสก การบริจาคของเธอใหญ่หลวง กรรม

ที่ทำได้ยากยิ่งเธอกระทำแล้ว ธรรมดาว่าทานวงศ์นี้ เป็นวงศ์ของหมู่บัณฑิต
แต่ก่อนแท้จริง อันชื่อว่าทานไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ ไม่ว่าเป็นบรรพชิต ควรให้
ทั้งนั้น ก็บัณฑิตแต่เก่าก่อนบวชอยู่ในป่า และแม้จะฉันใบหมากเม่านึ่งกับวัตถุ
เพียงแต่น้ำ ไม่เค็มและไร้กลิ่น ก็ยังให้แก่ยาจกที่ประจวบเหมาะ ตนเองยัง

อัตภาพให้เป็นไปด้วยปีติสุข. อุบาสกนั้นกราบทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ การถวายบริกขารทั้งปวงนี้ ปรากฏแก่มหาชนแล้วละ พระเจ้าข้า
ข้อนี้พระองค์ตรัสยังมิได้ปรากฏ โปรดตรัสคำนั้นแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้า
ข้า ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ บิดามารดา
ขนานนามว่า อกิตติ. เมื่อท่านเดินได้แล้ว มารดาคลอดน้องสาวคนหนึ่ง.


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บิดามารดาขนานนามว่า ยสวดี. พระมหาสัตว์ได้อายุ ๑๖ ปี ไปเมืองตักกศิลา
เรียนศิลปะทั้งปวงแล้วกลับมา. ลำดับนั้น มารดาบิดาของท่านทำกาลกิริยาลง.
ท่านได้จัดทำเปตกิจแก่มารดาบิดาแล้ว ทำการสำรวจทรัพย์อยู่ สดับว่าท่านผู้
ชื่อโน้นสร้างสมบัติไว้เท่านี้ล่วงลับไปแล้ว. ท่านผู้โน้นสร้างสมบัติประมาณ
เท่านี้ล่วงลับไปแล้ว ก็มีใจสลด ดำริว่า ทรัพย์นี้ปรากฏแก่เรา ผู้รวบรวมทรัพย์

หาปรากฏไม่ ทุกคนทิ้งทรัพย์นี้ไปเสียทั้งนั้น. เราก็คงขนเอามันไปไม่ได้ จึง
เรียกน้องสาวมาบอกว่า เธอจงดูแลทรัพย์นี้เถิด. น้องสาวถามว่า ก็พี่มีอัธยาศัย
อย่างไรเล่าพี่. กล่าวว่าฉันอยากจะบวช น้อง. คุณพี่เจ้าคะ ดิฉันไม่ขอน้อมเศียร
รับทรัพย์ที่พี่ถ่มทิ้งไว้แล้ว ดิฉันไม่ต้องการทรัพย์นี้ดอก แม้ดิฉันก็จักบวชบ้าง.

ท่านอำลาพระราชา แล้วให้คนเที่ยวตีกลองร้องประกาศว่า เหล่าชน
ผู้มีความต้องการทรัพย์ จงพากันไปสู่เรือนของท่านอกิตติบัณฑิตเถิด ท่าน
บำเพ็ญมหาทานตลอด ๗ วัน ครั้นยังไม่สิ้นไป ก็ดำริว่า อายุสังขารของเรา
ย่อมเสื่อมไป เราจะมัวรอให้ทรัพย์หมดสิ้นไปทำไมกัน ผู้ต้องการจงพากันถือ

เอาไป แล้วเปิดประตูนิเวศน์ประกาศว่า เราให้หมดเลย เชิญขนไปเถิด ทิ้งเรือน
อันมีเงินทองเสีย พาน้องสาวออกจากพระนครพาราณสีไป ทั้ง ๆ ที่มวลญาติ
พากันร่ำไห้ ท่านออกทางประตูใด ประตูนั้นได้นามว่า ประตูอกิตติ ท่าน
ข้ามแม่น้ำท่าใด แม้ท่านั้นก็ได้นามว่า ท่าอกิตติ ท่านเดินไปได้สองสามโยชน์

ก็สร้างบรรณศาลาในสถานอันน่ารื่นรมย์ แล้วบวชพร้อมกับน้องสาว. ตั้งแต่กาล
ท่านบวช ประชาชนชาวบ้าน ชาวตำบลและราชธานีเป็นอันมากพากันบวช จึง
ได้มีบริวารมาก เกิดลาภสักการะมากเป็นไปเหมือนครั้งพุทธุปบาทกาล.


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า ลาภสักการะนี้มีมากนัก ทั้งบริวารของเราก็มี
มากมาย แต่เราควรอยู่ลำพังผู้เดียวเท่านั้น ถึงยามปลอด แม้แต่น้องสาวก็ไม่
บอกให้ทราบ ออกไปลำพังผู้เดียวเท่านั้น ไปถึงแคว้นทมิฬโดยพักอยู่ใน
อุทยานใกล้กับท่ากาจีระ ยังฌานและอภิญญาให้บังเกิดแล้ว. แม้ในที่นั้น ลาภ
และสักการะมากมายก็บังเกิดแก่ท่าน ท่านรังเกียจลาภสักการะนั้น ก็ทิ้งเหาะไป

ทางอากาศ ลงที่เกาะหมากเม่า ใกล้เกาะนาค. ครั้งนั้นเกาะหมากเม่าได้นามว่า
เกาะงู ท่านสร้างบรรณศาลาชิดต้นหมากเม่าใหญ่พำนักอยู่ในเกาะงูนั้น การที่
ท่านอยู่ในเกาะนั้นไม่มีใครทราบเลย. ลำดับนั้นน้องสาวของท่านตามหาพี่ชาย
ลุถึงแคว้นทมิฬโดยลำดับ ไม่ได้พบท่าน จึงอยู่ในสถานที่ท่านเคยอยู่นั่นแหละ

แต่ไม่สามารถจะทำฌานให้เกิดได้. พระมหาสัตว์มิได้ไปที่ไหน ๆ เพราะท่าน
ปรารถนาน้อย ในเวลาที่ต้นหมากเม่านั้นมีผล ก็ฉันผลหมากเม่า เวลามีแต่ใบ
ก็เก็บมานึ่งฉัน.

ด้วยเดชแห่งศีลของท่าน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกเทวราช
แสดงอาการร้อนแล้ว. ท้าวสักกเทวราชทรงนึกว่า ใครเล่านะประสงค์จะให้
เราเคลื่อนจากที่ ทรงเห็นอกิตติบัณฑิต ก็ทรงดำริว่า ดาบสนี้รักษาศีล
เพื่ออะไรเล่า ต้องการเป็นท้าวสักกะ หรือปรารถนาอย่างอื่น ต้องทดลอง

ท่านดู แล้วทรงดำริต่อไปว่า ดาบสนี้เลี้ยงชีวิตด้วยลำบาก ฉันใบหมาก
เม่าที่เพียงนึ่งกับน้ำ ถ้าปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ คงจะให้ใบหมากเม่า
นึ่งแก่เรา ถ้าไม่ปรารถนาคงไม่ให้ แล้วแปลงเป็นพราหมณ์ไปสู่สำนักของท่าน
พระโพธิสัตว์นึ่งใบหมากเม่าแล้วปลงลง คิดว่า เราให้เย็นจึงจะฉัน นั่งอยู่ที่

ประตูบรรณศาลา. ลำดับนั้น ท้าวสักกะได้ยืนอยู่เฉพาะหน้าท่าน เพื่อขอภิกษา.
พระมหาสัตว์เห็นท้าวสักกะแล้วมีความโสมนัส ดำริว่า เป็นลาภเหลือหลาย
ของเราซินะ เราเห็นยาจก วันนี้ เราต้องให้ทานทำมโนรถของเราให้ลุถึงที่สุด
ถือใบหมากเม่านึ่งไปใส่ในภาชนะของท้าวเธอ มิได้เหลือไว้เพื่อตนเลยด้วยคิดว่า
ขอทานของเรานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณดังนี้. พราหมณ์


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ได้รับใบหมากเม่านึ่งนั้นเดินไปหน่อย ก็อันตรธานไป. ฝ่ายพระโพธิสัตว์
ครั้นให้แก่ท้าวเธอแล้ว ก็มิได้นึ่งใหม่ คงยับยั้งด้วยปีตินั่นเอง วันรุ่งขึ้น
นึ่งเสร็จ ก็นั่งที่ประตูบรรณศาลานั่นแหละ. ท้าวสักกะก็แปลงเป็นพราหมณ์
มาอีก. พระมหาสัตว์ก็ให้แก่ท้าวเธออีก คงยับยั้งอยู่ด้วยอาการอย่างเดียว.
แม้ในวันเป็นคำรบสาม คงให้อย่างนั้นแหละ ถึงโสมนัสว่า โอ เป็นลาภ

เหลือหลายของเรา เราอาศัยใบหมากเม่าประสบบุญใหญ่โต แม้ถึงจะอิดโรย
เพราะไม่มีอาหารตลอดสามวัน ก็ยังออกจากบรรณศาลาในเวลาเที่ยงคืนได้
นั่งที่ประตูบรรณศาลารำพึงถึงทานอยู่. ท้าวสักกะทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้
ขาดอาหารตลอดสามวัน แม้จะอิดโรยเห็นปานนั้น ก็ยังให้ทานได้อย่างน่ายินดี

แม้ความแปรแห่งจิตก็มิได้มีเลย เรายังมิได้รู้ว่าท่านปรารถนาชื่อนี้แล้วให้ทาน
ต้องถามจึงจักทราบอัธยาศัยของท่าน. ท้าวเธอเสด็จมาในเวลาเที่ยงคืน ยืนอยู่
เบื้องหน้าพระมหาสัตว์ตรัสว่า เจ้าพระคุณดาบส ในเมื่อลมร้อนเห็นปาน
ฉะนี้พัดพานอยู่ พระคุณเจ้าก็คงกระทำตปกรรมอยู่ในป่าอันมีน้ำเค็มล้อมรอบ
เห็นปานนี้ เพื่ออะไรเล่าขอรับ.

พระศาสดาเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า
ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูต ทรงเห็นอกิตติดาบส
ผู้ยับยั้งอยู่ จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านปรารถนา
สมบัติอะไร ถึงยับยั้งอยู่ผู้เดียวในถิ่นอันแห้งแล้ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ ปฏฺ€ยํ ความว่า ท่านปรารถนา
มนุษย์สมบัติหรือ หรือว่าสวรรค์สมบัติเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น และทราบว่าท้าวเธอเป็นท้าวสักกะ เพื่อ
ประกาศว่า อาตมภาพมิได้ปรารถนาสมบัติเหล่านั้นเลย แต่ปรารถนาพระ-
สัพพัญญุตญาณ จึงกระทำการบำเพ็ญตบะ ดังนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนท้าวสักกะ การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ อนึ่ง
ความแตกทำลายแห่งร่างกาย และความตายอย่าง
หลงใหล ก็เป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงยับยั้ง
อยู่ ณ ที่นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า พระมหาสัตว์แสดงความ
ที่ท่านมีอัธยาศัยในพระนิพพานอย่างนี้ว่า การแตกทำลายขันธ์บ่อยๆ และการ
ตายอย่างลุ่มหลง เป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงปรารถนาพระนิพพาน
อันเป็นธรรมชาติไม่มีเรื่องเหล่านี้ จึงยับยั้งอยู่ ณ ที่นี้.

ท้าวสักกะสดับคำนั้นแล้ว ทรงมีพระหฤทัยยินดีว่า ข่าวว่า พระคุณเจ้า
รูปนี้ เบื่อหน่ายในภพทั้งปวงแล้ว อยู่ในป่าเพื่อต้องการพระนิพพาน เราต้อง
ถวายพระพรแก่ท่าน เมื่อจะเชิญท่านรับพร จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้า
กล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร เป็นสุภาษิต โยมขอถวาย
พรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํกิฺจิ มนสิจฺฉสิ ความว่า กระผม
ขอถวายพรสุดแต่พระคุณเจ้าจะปรารถนาสิ่งใด ขอพระคุณเจ้าจงรับพรเถิด.
พระมหาสัตว์เมื่อจะรับพร จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า
ดูก่อนท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้า
มหาบพิตรจะทรงประทานพรแก่อาตมภาพ ชน-
ทั้งหลายได้บุตร ภรรยา ทรัพย์ ข้าวเปลือก และสิ่ง
ของอันเป็นที่รักทั้งหลายแล้วยังไม่อิ่มด้วยความโลภใด
ความโลภนั้นอย่าพึงมีในอาตมภาพเลย.


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วรฺเจ เม อโท ความว่า ถ้ามหาบพิตร
จะทรงประทานพรแก่อาตมภาพไซร้. บทว่า ปิยานิ จ ความว่า และสิ่งอื่นใด
อันเป็นที่รัก. บทว่า อนุตปฺเปนฺติ ความว่า ชนทั้งหลายย่อมปรารถนา
สมบัติมีบุตรเป็นต้นบ่อย ๆ ก็ยังไม่ถึงความอิ่ม. บทว่า น มยิ วเส ความว่า
ขอความโลภจงอย่าอยู่ คืออย่าเกิดในอาตมภาพเลย.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงยินดีต่อท่านเมื่อจะให้พรยิ่งขึ้นไป และ
พระมหาสัตว์เมื่อจะรับพร ต่างก็กล่าวคาถาทั้งหลายว่า

ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้า
กล่าวนี้เป็นถ้อยคำสมควร เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพร
แก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.
ดูก่อนท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้า
มหาบพิตรจะทรงประทานพรแก่อาตมภาพ นา ที่ดิน
เงิน โค ม้า ทาส กรรมกรย่อมเสื่อมสิ้นไปด้วยโทสะ
ใด โทสะนั้นอย่าพึงมีในอาตมภาพเลย.

ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้า
กล่าวนี้เป็นถ้อยคำสมควร เป็นสุภาษิต โยมขอถวาย
พรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.
ดูก่อนท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้า
มหาบพิตรจะทรงประทานพรแก่อาตมภาพ อาตมภาพ
ไม่พึงเห็น ไม่พึงได้ฟังคนพาล ไม่พึงอยู่รวมกับคน
พาล ไม่ขอกระทำและไม่ขอชอบใจการเจรจาปราศรัย
กับคนพาล.

ข้าแต่ท่านกัสสปะ คนพาลได้กระทำอะไรให้แก่
ท่านหรือ ขอท่านจงบอกเหตุนั้นแก่โยม เพราะเหตุไร
ท่านจึงไม่ปรารถนาเห็นคนพาล.


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คนพาลผู้มีปัญญาทราม ย่อมแนะนำสิ่งที่ไม่ควร
จะแนะนำ ย่อมชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำ
ชั่วเป็นความดีของเขา คนพาลนั้นถึงจะพูดดีก็โกรธ
เขามิได้รู้วินัย การไม่เห็นคนพาลนั้นเป็นความดี.

ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้า
กล่าวนี้เป็นถ้อยคำสมควร เป็นสุภาษิต โยมขอถวาย
พรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.
ดูก่อนท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้า
มหาบพิตรจะทรงประทานพรแก่อาตมภาพ อาตมภาพ
พึงขอเห็น ขอฟังนักปราชญ์ ขออยู่ร่วมกันกับ
นักปราชญ์ ขอกระทำและขอชอบใจการเจรจาปราศรัย
กับนักปราชญ์.

ข้าแต่ท่านกัสสปะ นักปราชญ์ได้กระทำอะไร
ให้แก่ท่านหรือ ท่านจงบอกเหตุนั้นแก่โยม เพราะ
เหตุไร ท่านจึงปรารถนาเห็นนักปราชญ์.
นักปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ย่อมไม่
ชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำดีเป็นความดี
ของนักปราชญ์นั้น นักปราชญ์นั้น ผู้อื่นกล่าวชอบ
ก็ไม่โกรธ ย่อมรู้จักวินัย การสมาคมคบหากันกับ
นักปราชญ์นั้นเป็นความดี.

ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้า
กล่าวนี้เป็นถ้อยคำสมควร เป็นสุภาษิต โยมขอถวาย
พรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.
ดูก่อนท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้า
มหาบพิตรจะทรงประทานพรแก่อาตมภาพ เมื่อราตรี
สว่างจ้า พระอาทิตย์อุทัยขึ้นแล้ว ขออาหารอันเป็น
ทิพย์และยาจกผู้มีศีลพึงปรากฏขึ้น เมื่ออาตมภาพให้

ทานอยู่ ขอให้ศรัทธาของอาตมภาพไม่พึงเสื่อมสิ้นไป
ครั้นให้ทานแล้ว ขอให้อาตมภาพไม่พึงเดือดร้อน
ภายหลัง เมื่อกำลังให้อยู่ ก็ขอให้อาตมภาพพึงยังจิต
ให้เลื่อมใส ดูก่อนท้าวสักกะ ขอมหาบพิตรทรง
ประทานพรนี้แก่อาตมภาพเถิด.


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้า
กล่าวนี้เป็นถ้อยคำสมควร เป็นสุภาษิต โยมขอถวาย
พรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.

ดูก่อนท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้า
มหาบพิตรจะทรงประทานพรแก่อาตมภาพ มหาบพิตร
อย่าพึงเข้ามาใกล้อาตมภาพอีกเลย ดูก่อนท้าวสักกะ
ขอมหาบพิตรทรงประทานพรนี้แก่อาตมภาพเถิด.

นรชาติหญิงชายทั้งหลาย ย่อมปรารถนาจะเห็น
โยม ด้วยวัตรจริยาเป็นอันมาก เพราะเหตุไรหนอ
การเห็นโยมจึงเป็นภัยแก่ท่าน.
อาตมภาพเห็นเพศเทวดาเช่นพระองค์ ผู้สำเร็จ
ด้วยสิ่งที่ต้องประสงค์ทุกอย่างแล้ว ก็จะพึงประมาท
ทำความเพียรปรารถนาตำแหน่งท้าวสักกะ การเห็น
มหาบพิตรจึงเป็นภัยแก่อาตมภาพ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยน ชาเตน ความว่า พระมหาสัตว์
ขอว่า หมู่สัตว์มีดวงจิตใดเกิดแล้วจึงโกรธ ต้องเสื่อมจากไร่นาเป็นต้นเหล่านี้
ด้วยอำนาจราชทัณฑ์ เพราะตนทำกรรมมีฆ่าสัตว์เป็นต้น หรือด้วยการฆ่าตน
เสียด้วยวิธี มีกินยาพิษเป็นต้น โทสจิตนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมภาพเลย. บทว่า
น สุเณ ความว่า อาตมภาพไม่พึงได้ฟังด้วยเหตุเหล่านี้ว่า คนพาลย่อมอยู่ในที่

ชื่อโน้นเป็นต้นก็ดี. บทว่า กินฺนุ เต อกรํ ความว่า คนพาลย่อมฆ่ามารดา บิดา
ของพระคุณเจ้าหรือ ก็หรือว่า คนพาลกระทำความพินาศอะไรให้แก่ท่านหรือ.
บทว่า อนยํ นยติ ความว่า คนมีปัญญาทรามย่อมยึดถือสิ่งที่มิใช่เหตุว่า


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เป็นเหตุ คือย่อมคิดถึงกรรมที่ทารุณเห็นปานนี้ว่า เราจักกระทำปาณาติบาต
เป็นต้นเลี้ยงชีพ. บทว่า อธุรายํ ความว่า คนมีปัญญาทราม ไม่ชักชวน
ในสัทธาธุระ ศีลธุระ และปัญญาธุระ ชักชวนในสิ่งที่ไม่ควรประกอบ. บทว่า
ทุนฺนโย เสยฺยโส โหติ ความว่า การแนะนำชั่วนั่นแลเป็นความดีสำหรับ
ผู้มีปัญญาทราม คือเขาย่อมยึดเอาทุศีลกรรมห้าประการแล้วประพฤตินั่นแหละ
เป็นดี อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นคนที่แนะนำได้ยากในทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์

เกื้อกูล เพราะใครๆ ไม่สามารถที่จะแนะนำได้. บทว่า สมฺมา วุตฺโต
ความว่า เขาถูกกล่าวโดยเหตุโดยการณ์ย่อมโกรธเคือง. บทว่า วินยํ
ความว่า เขาไม่รู้จักวินัยที่ต้องประพฤติโดยเอื้อเฟื้อ เช่นว่าต้องก้าวไปอย่างนี้
เป็นอาทิ ทั้งไม่รับโอวาทด้วย. บทว่า สาธุ ตสฺส ความว่า เพราะเหตุเหล่านี้
การไม่พบเห็นเขาเสียได้นั่นแหละเป็นการดี. บทว่า ยาจกา ได้แก่ ผู้รับ

โภชนะอันเป็นทิพย์นั้น. บทว่า วตฺตจารีหิ ได้แก่ ด้วยทาน ศีล และอุโบสถ
กรรม. บทว่า ทสฺสนํ อภิกงฺขนฺติ ความว่า เหล่านระและนารีพากันมุ่งหวัง
จะเห็นข้าพเจ้า. บทว่า ตํ ตาทิสํ ความว่าเห็นท่านผู้ประดับด้วยเครื่องประดับ
เห็นปานนั้น. บทว่า ปมชฺเชยฺยํ ความว่า อาตมภาพถึงความประมาทเสีย

คือพึงปรารถนาสิริสมบัติของท่าน ในเมื่อตบะกรรมอาตมภาพบำเพ็ญเพื่อต้อง
การพระนิพพาน มาปรารถนาตำแหน่งท้าวสักกะเสียเล่า อาตมภาพต้องได้
นามว่าเป็นผู้ประมาท การเห็นท่านเป็นภัยแก่อาตมภาพอย่างนี้.

ท้าวสักกเทวราชรับคำว่า ดีละ พระคุณเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ข้าพเจ้าจัก
ไม่มาสู่สำนักพระคุณเจ้าละ บังคมท่านขอสมาแล้วก็ครรไลหลีกไป พระมหาสัตว์
อยู่ ณ ที่นั้นเองตลอดชีวิต เจริญพรหมวิหารธรรมบังเกิดในพรหมโลกแล้ว.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอนุรุทธะ ส่วนอกิตติบัณฑิต คือ
เราตถาคตแล.
จบอรรถกถาอกิตติชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภภิกษุชื่อโกกาลิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหเมว
ทุพฺภาสิตํ ภาสิ พาโล ดังนี้.

ความพิสดารว่า ภายในพรรษาหนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสองท่าน
ประสงค์จะละหมู่อยู่อย่างเงียบ ๆ ทูลลาพระศาสดา ไปถึงที่อยู่ของพระโกกาลิกะ
ในโกกาลิกรัฐกล่าวเธออย่างนี้ว่า โกกาลิกะผู้มีอายุ เรากับเธอถ้อยทีถ้อยอาศัย
กัน จักอยู่เป็นผาสุกตลอดไตรมาสนี้ เราขออยู่จำพรรษา ณ ที่นี้แหละ. เธอ
ตอบว่า ผู้มีอายุ ก็ท่านอาศัยผมแล้วจักอยู่สำราญได้ไฉนเล่า. พระอัครสาวก

ตอบว่า ผู้มีอายุ ถ้าเธอไม่บอกแก่ใคร ๆ ว่า พระอัครสาวกอยู่จำพรรษาที่นี้
เราจะพึงอยู่สบาย นี้เราอาศัยเธออยู่เป็นผาสุก. เธอถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้
ผมอาศัยท่าน พึงอยู่เป็นผาสุกได้อย่างไร. ตอบว่า เราจักบอกธรรม จักกล่าว
ธรรมกถาแก่เธอตลอดไตรมาส นี้เธออาศัยเราอยู่เป็นผาสุก. พระโกกาลิกะ
กล่าวว่า ผู้มีอายุ เชิญท่านอยู่ตามอัธยาศัยเถิด และได้ถวายเสนาสนะที่สมควร

แก่ท่านทั้งสอง. พระอัครสาวกทั้งสองพากันอยู่สบายด้วยความสุขในผลสมาบัติ.
ใคร ๆ มิรู้การที่ท่านพากันอยู่ ณ ที่นี้. ท่านทั้งสองจำพรรษาแล้ว ปวารณา
แล้ว ก็พากันบอกพระโกกาลิกะนั้นว่า อาวุโส เราอาศัยเธออยู่กันอย่างสบายแล้ว
จักพากันไปถวายบังคมพระศาสดา เธอรับคำว่า สาธุ แล้วพาพระอัครสาวก
ทั้งสองเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านใกล้ ๆ .พระเถระทั้งหลายกระทำภัตกิจเสร็จ
แล้ว ก็พากันออกจากบ้าน.


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโกกาลิกะส่งพระเถระเหล่านั้นแล้วกลับไปบอกคนทั้งหลายว่า
อุบาสกทั้งหลาย พวกแกเหมือนเดรัจฉาน ช่างไม่รู้เสียเลยว่าพระอัครสาวก
ทั้งสองอยู่ในวิหารตลอด ๓ เดือน บัดนี้เล่า ท่านก็กลับไปเสียแล้ว.
คนทั้งหลายพากันกล่าวว่า เหตุไรเล่า พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่แจ้งแก่พวกผม
ให้ทราบ แล้วพากันถือเภสัช มีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น และเครื่องนุ่งห่ม

คือผ้าเป็นอันมาก เข้าไปหาพระเถระไหว้แล้วต่างกราบเรียนว่า ข้าแต่พระ-
คุณเจ้าผู้เจริญ โปรดอภัยแก่พวกกระผมเถิด. พระโกกาลิกะดำริว่า พระเถระ
ทั้งสองมักน้อยสันโดษ คงไม่รับผ้าเหล่านี้ด้วยตน คงให้แก่เรา จึงไปสู่พระเถระ
ทั้งหลายกับพวกอุบาสกนั่นเอง. พระเถระทั้งสองมิได้รับอะไรๆ ไว้เพื่อตน

ทั้งไม่สั่งให้เขาถวายแก่พระโกกาลิกะ เพราะท่านมุ่งอบรมภิกษุอยู่. พวกอุบาสก
พากันอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้าไม่รับคราวนี้ ก็
นิมนต์มาที่นี้อีกเพื่ออนุเคราะห์พวกกระผม. พระเถระเจ้ารับแล้วพากันไปสู่
สำนักพระศาสดา พระโกกาลิกะผูกอาฆาตว่า พระเถระเหล่านี้ เมื่อตนไม่รับ

ก็ไม่บอกให้เขาให้แม้แก่เรา. ฝ่ายพระเถระทั้งสองพักอยู่ในสำนักพระศาสดา
หน่อยหนึ่ง ก็พาภิกษุ ๕๐๐ รูปผู้เป็นบริวารของตนๆ เที่ยวจาริกไปกับภิกษุ
๑,๐๐๐ รูป จนถึงโกกาลิกรัฐ. พวกอุบาสกเหล่านั้นก็พากันต้อนรับ พาพระ-
เถระไปสู่วิหารนั้นเอง กระทำสักการะใหญ่ทุกๆวัน. เภสัชและเครื่องนุ่งห่ม

คือผ้าเกิดขึ้นมามากมาย. พวกภิกษุผู้ที่มากับพระเถระ พากันเลือกจีวรให้แก่
พวกภิกษุที่มากันเท่านั้น ไม่ได้ให้แก่พระโกกาลิกะ. แม้พระเถระก็มิได้บอก
ให้เธอ โกกาลิกะไม่ได้จีวรก็ด่าตัดพ้อพระเถระว่า สารีบุตรและโมคคัลลานะ


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปรารถนาน้อย เมื่อก่อนเขาให้ลาภไม่รับ บัดนี้รับเสียจนล้นเหลือ ไม่มองดู
ผู้อื่น ๆ เลย พระเถระทั้งหลายดำริว่า โกกาลิกะประสบอกุศลเพราะอาศัย
พวกเรา พร้อมด้วยบริวารพากันออกไป แม้จะถูกหมู่ชนพากันอาราธนาว่า
พระคุณเจ้านิมนต์อยู่อีกสักสองสามวันเถิด ก็มิได้ปรารถนาจะกลับ.

ลำดับนั้นภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายจักอยู่
ได้อย่างไร พระเถระผู้ชิดชอบของพวกท่าน ทนการอยู่ของภิกษุเหล่านี้ไม่ได้.
อุบาสกเหล่านั้นพากันไปสู่สำนักของพระโกกาลิกะนั้น กล่าวว่า พระคุณเจ้าผู้

เจริญ ได้ยินว่า พระคุณเจ้าทนการอยู่ในสำนักของพระเถระไม่ได้ นิมนต์ไปเถิด
ขอรับ จงขอให้พระเถระเจ้าทั้งสองรับขมาแล้วนิมนต์กลับมา หรือไม่เช่นนั้น
พระคุณเจ้าจงหนีไปอยู่ที่อื่นเถิด. พระโกกาลิกะจำไปอ้อนวอนพระเถระทั้งหลาย
ด้วยความกลัวพวกอุบาสก. พระเถระทั้งหลายต่างกล่าวว่า ผู้มีอายุ เธอจงไป

เสียเถิด พวกเราจักไม่กลับละ. เธอเมื่อไม่อาจนิมนต์พระเถระให้กลับได้ ก็
กลับไปวิหารนั่นแล. ลำดับนั้น พวกอุบาสกพากันถามเธอว่า พระคุณเจ้าข้า
พระคุณเจ้านิมนต์พระเถระกลับหรือ ก็กล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่
สามารถนิมนต์ให้กลับได้. ลำดับนั้น พวกอุบาสกต่างคิดว่า เมื่อภิกษุ

ผู้มีบาปกรรมนี้ยังอยู่ในวิหารนี้ พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักจักไม่อยู่ พวกเราต้อง
ไล่เธอไปเสีย แล้วพากันกล่าวกะเธอว่า พระคุณเจ้าข้า พระคุณเจ้าอย่าอยู่ที่นี้เลย
พระคุณเจ้าจะพึ่งพาอาศัยอะไร ๆ พวกข้าพเจ้าไม่ได้ละ. เธอถูกพวกเหล่านั้น

ชังน้ำหน้าเสียแล้ว ก็ถือบาตรจีวรไปพระเชตวัน เข้าเฝ้าพระศาสดากราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะมีความ
ปรารถนาลามก ลุอำนาจความปรารถนาลามกเสียแล้ว. ลำดับนั้น พระศาสดา


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
รับสั่งกะเธอว่า โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย จงยังจิตให้เลื่อมใสใน
สารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด. ท่านโกกาลิกะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระองค์มัวเชื่อพระอัครสาวกของพระองค์ ข้าพระองค์ได้เห็นประจักษ์แล้วว่า
พวกนี้ล้วนเลวๆ มีลับลมคมในทุศีลทั้งนั้น แม้พระศาสดาจะตรัสห้ามถึง
สามครั้ง ก็คงกล่าวอย่างนั้น แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.

พอเธอหันไปเท่านั้นทั่วร่างก็เกิดตุ่มประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ค่อย
เจริญโดยลำดับ ถึงขนาดมะตูมสุกแล้วแตกน้ำเหลืองและเลือดไหลโทรมกาย.
เธอต้องระทดเจ็บแสบนอนอยู่ ณ ซุ่มพระทวารพระเชตวัน ถึงพรหมโลกได้
มีเรื่องเกรียวกราวกันว่า พระอัครสาวกทั้งสองถูกพระโกกาลิกะด่า. ลำดับนั้น

ตุทีพรหมอุปัชฌาย์ของเธอทราบเรื่องนั้น จึงมาดำริว่า จักให้เธอขมา
พระเถระทั้งหลายเสีย ยืนในอากาศกล่าวว่า โกกาลิกะ ท่านทำกรรม
หยาบคายนัก ท่านจงให้พระอัครสาวกเลื่อมใสเถิด. เธอถามว่า ผู้มี

อายุ ท่านเป็นใครเล่า เราชื่อว่า ตุทีพรหม เธอกลับเอ็ดเอามหาพรหม
ว่า ผู้มีอายุ ท่านนะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แล้วว่า เป็นพระอนาคา
มีมิใช่หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ธรรมดาว่า พระอนาคามี
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นสภาวะ ท่านคงเป็นยักษ์ที่กองขยะเป็นแน่.

ท้าวมหาพรหมนั้น เมื่อมิอาจให้เธอเชื่อถือถ้อยคำได้ ก็กล่าวว่า ท่าน
นั้นเองจักปรากฏตามคำของท่าน แล้วไปสู่พรหมโลกชั้นสุทธาวาสทันที.
ฝ่ายภิกษุโกกาลิกะก็ตายไปบังเกิดในปทุมนรก. ท้าวสหัมบดีพรหมรู้ความที่เธอ
เกิดในที่นั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระตถาคต. พระศาสดาตรัสเล่าแก่พวกภิกษุ
พวกภิกษุเมื่อกล่าวถึงโทษของเธอ พากันสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ได้ยินว่า โกกาลิกภิกษุด่าพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บังเกิดในปทุมนรกเพราะอาศัยปากของตน. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ใน
บัดนี้เท่านั้น ที่โกกาลิกะถูกถ้อยคำกำจัดเสีย เสวยทุกข์เพราะปากของตน แม้
ในกาลก่อน ก็เสวยทุกข์เพราะปากของตนแล้วเหมือนกันดังนี้แล้ว จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
ปุโรหิตของท้าวเธอเป็นคนตาเหลือง มีเขี้ยวงอกออกมา. นางพราหมณีของเขา
เล่นชู้กับพราหมณ์อื่น. แม้พราหมณ์ผู้เป็นชู้นั้น ก็มีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกัน.
ปุโรหิตเฝ้าห้ามนางพราหมณีบ่อย ๆ เมื่อไม่อาจห้ามปรามกันได้ ก็คิดว่าเรา
ไม่อาจจะฆ่าไอ้ไพรีของเรานี้ด้วยมือตนได้ ต้องหาอุบายฆ่ามันเสียให้ได้. เขา

ก็เข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระนครของพระองค์เป็น
พระนครชั้นเลิศในสกลชมพูทวีป พระองค์เล่าก็เป็นพระอัครราชา ประตู
พระนครด้านทักษิณของพระองค์ผู้ทรงนามว่าอัครราชาเช่นนี้ สร้างไว้ชั่ว
ไม่เป็นมงคลเลยพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสสั่งว่า ควรจะได้อะไรเล่า. เขากราบ
ทูลว่า ต้องรื้อประตูเก่าเสียหาไม้ที่ประกอบด้วยมงคลมาให้พลีแก่ฝูงภูตผู้รักษา

พระนคร แล้วตั้งพระทวารใหม่ตามมงคลฤกษ์ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า
ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านทำอย่างนั้นเถิด.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นมาณพ ชื่อว่าตักการิยะ
เรียนศิลปะในสำนักของเขา. ปุโรหิตให้รื้อประตูเก่าตั้งใหม่แล้วกราบทูลพระ-
ราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ประตูสำเร็จแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันฤกษ์งาม
ต้องทำพลียกพระทวารมิให้ล่วงพ้นฤกษ์นั้นไปได้ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า

ถ้าเช่นนั้นท่านอาจารย์ควรจะได้อะไรเพื่อประกอบพิธีพลีกรรม. เขากราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระทวารมีศักดิ์ใหญ่ ต้องเชิญเทพดาผู้มีศักดิ์ให้


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เข้าครอบครอง จำต้องฆ่าพราหมณ์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งมีนัยตาเหลือง
มีเขี้ยวงอกออกมา เอาเนื้อและเลือดของเขาทำพลีกรรม แล้วเอาอ่างฝังลงไป
ใต้พระทวาร ตั้งพระทวารบนนั้น อย่างนี้จึงจักเกิดสวัสดีแก่พระองค์และแก่
พระนครพระเจ้าข้า พระราชารับสั่งว่า ดีละท่านอาจารย์ เชิญท่านฆ่าพราหมณ์
เช่นนั้นแล้วยกประตูพระนครเถิด. เขาดีใจเกิดลำพองว่า พรุ่งนี้เป็นได้เห็น

หลังปัจจามิตรละ ครั้นไปถึงเรือนของตนก็ไม่อาจรักษาปากไว้ได้ ละล่ำละลัก
บอกเมียว่า อีคนชั่ว อีคนจัณฑาล ตั้งแต่นี้มึงจะชมชื่นกับใครเล่า พรุ่งนี้
กูจะฆ่าชู้ของมึงพลีกรรมเสีย. ภรรยาเถียงว่า เขาไม่มีผิด จักฆ่าเสียเพราะเหตุ
อะไรเล่า. เขาตอบว่า พระราชารับสั่งให้กูทำพลีกรรมด้วยเนื้อและเลือดของ
พราหมณ์ที่มีเขี้ยวและตาเหลืองตั้งพระทวาร ก็ชู้ของมึงมีเขี้ยวและตาเหลือง
กูจักฆ่ามันทำพลีกรรมเสีย.

นางจึงส่งข่าวไปถึงสำนักของชู้ว่า ข่าวว่าพระราชาทรงประสงค์จะ
ฆ่าพวกพราหมณ์ผู้มีเขี้ยวและตาเหลืองทำพลีกรรม ถ้าเธออยากจะมีชีวิต
อยู่ ก็จงชักชวนพวกพราหมณ์ผู้มีลักษณะเช่นเดียวกับเธอหนีไปเสียให้ทัน
กาลทีเดียวเถิด. เขาทำตามนั้น ข่าวนั้นได้เลื่องลือไปในพระนคร. พวก

พราหมณ์ที่มีเขี้ยวและตาเหลืองทุกคนพากันหนีออกจากพระนครทุกแห่ง.
ปุโรหิตมิได้ล่วงรู้ความศัตรูหนีไปแล้ว เข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่ กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ที่โน่นมีพวกพราหมณ์ผู้มีเขี้ยวและตาเหลือง โปรด
รับสั่งจับเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงส่งพวกอำมาตย์ไป. พวกอำมาตย์เหล่านั้น

ไม่เห็นเขาก็พากันมากราบทูลว่า ข่าวว่าหนีไปเสียแล้วพระเจ้าข้า. พระราชา
ทรงรับสั่งว่า ค้นดูในที่อื่นซี. แม้จะพากันเที่ยวค้นในพระนครทุกแห่งก็มิได้
พบ เมื่อมีพระดำรัสว่า จงค้นผู้อื่นจากคนนั้นซี ก็พากราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ เว้นท่านปุโรหิตเสียแล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีรูปเป็นอย่างนั้น

พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า เราไม่อาจฆ่าปุโรหิตได้. พวกนั้นพากันกราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ประสงค์อะไรเช่นนั้น เพราะท่าน
ปุโรหิตเป็นตัวการณ์ แม้นไม่ยกพระทวารในวันนี้แล้ว พระนครก็จักเป็นอัน


* เกิดเป็นหลีกไม่พ้นความหิวกระหาย รู้จักอายชั่วกลัวบาปบ้างก็จะดี
* รู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมยังชีวิตตนให้ดีให้เจริญเมื่อได้ปฏิบัติ
* อดีตไม่ควรคิดอาไร แต่ควรใช้เพื่อเป็นครูคอยเตือนมิให้หลงทำผิดช้ำอีก
* ยิ่งให้จิตก็ยิ่งเบา ยิ่งอยากเอาจิตก็ยิ่งหนัก
* จิตที่คิดจะเอากิเลสย่อมจะเผารนจิต
จิตที่คิดแต่จะให้ ย่อมยังจิตให้ชุ่มเย็นเป็นสุข
* รับมาก็มากแล้ว ให้บ้างจะเป็นไรไป
* พ่อแม่มีแต่ให้ แล้วเราล่ะได้ให้อะไรแด่ท่านบ้างหรือยัง
* ความประมาทเป็นพิษ อาจดับชีวิตเราได้

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร