วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 22:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 61, 62, 63, 64, 65, 66, 67 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า สนฺติฺจ ธมฺมฺจ ได้แก่ ศีลกล่าวคือสันติอันยังความทุศีล
ให้สงบระงับ และสุจริตธรรม. บทว่า อธิฏ€ิโตสิ ความว่า ท่านเป็นผู้
เข้าถึงคุณธรรมเหล่านี้ และเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมเหล่านี้. บทว่า ปุพฺพ-
สํโยคํ ได้แก่ ข้อผูกพันอันมีในก่อน. บทว่า ปจฺฉาสํโยชเน ได้แก่

ข้อผูกพันอันมีในภายหลัง. ท่านอธิบายไว้ดังนี้ ดูก่อนดาบสผู้เจริญ ผู้ใด
สละสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ แล้วติดในรสตัณหาเพียงแค่ผลมะม่วงสุกไม่คำนึง
ถึงลมและแดด สู้นั่งซบเซาอยู่ที่ชายฝั่งน้ำ ผู้นั้นข้ามมหาสมุทรได้ ก็เป็นเช่น
กับบุคคลผู้จมลงในที่สุดฝั่ง บุคคลใดเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจรสตัณหา ประพฤติ
อธรรมอย่างเดียว บาปซึ่งกระทำด้วยอำนาจรสตัณหา ย่อมเพิ่มแก่บุคคลนั้น
นางเทพธิดานั้นกล่าวตำหนิดาบสอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า กามํ อปฺโปสฺสุโก ภว ความว่า ท่านต้องเป็นผู้ไม่มีอาลัย
อยู่ที่สวนมะม่วง โดยส่วนเดียวเถิด. บทว่า ตสฺมึ ความว่า ข้าพเจ้าจักเป็นผู้
นำท่านไปที่สวนมะม่วงอันเยือกเย็นนั้น. บทว่า ตํ ความว่า เมื่อนางเทพธิดา
กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงอุ้มดาบสขึ้นนอนแนบอก เหาะไปในอากาศ เห็นทิพ-

อัมพวันอันมีปริมณฑลได้ ๓ โยชน์ และได้สดับเสียงแห่งสกุณปักษี แล้วจึง
บอกแก่ดาบส กล่าวอย่างนี้ว่า ตํ เป็นต้น. บทว่า ปุปฺผรสมตฺเตหิ ความว่า
มัวเมาด้วยรสแห่งปุปผชาติ.

บทว่า วงฺกงฺเคภิ ความว่าสวนอัมพวันนั้น เซ็งแซ่ไปด้วยฝูงนก
ทั้งหลาย ตัวมีคออันคด และบัดนี้เมื่อนางเทพธิดา จะบอกชื่อนกเหล่านั้น
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า โกฺจา (นกกระเรียน) ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ทิวิยา แปลว่า อันเป็นทิพย์. บทว่า โกยฏฺ€ิมธุสาลิยา ความว่า นางเทพธิดา
แสดงว่า ทิพสกุณปักษีเหล่านี้คือ (นกกระเรียน นกยูง นกเขา และนก

ขุนทอง) ซึ่งมีสร้อยคออันน่าชม ย่อมอยู่ในสวนอัมพวันนี้. บทว่า กุชฺชิตา
หํสูปเคภิ ความว่า มีฝูงหงส์ขันคู ส่งเสียงร้องระงม. บทว่า โกกิเลตฺถ
ปโพธเร ความว่า นกดุเหว่าทั้งหลาย อยู่ในสวนอัมพวันนั้น กู่ก้องร้องปลุก
สัตว์ทั้งหลายให้ตื่นอยู่. บทว่า อมฺเพตฺถ ความว่า มีต้นมะม่วง อยู่ในสวน
อัมพวันนั้น. บทว่า วิปฺปสูนคฺคา ความว่า ปลายกิ่งโน้มน้อมลง เพราะ
เต็มไปด้วยพวงผล.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า ปลาลขลสนฺนิภา ความว่า มีผลดกเช่นกับ ฟ่อนฟาง
ข้าวสาลี เพราะสั่งสมไปด้วยช่อและดอก. บทว่า ปกฺกตาลวิลมฺพิโน ความ
ว่า นางเทพธิดาพรรณนาถึงสวนอัมพวันว่า มีผลตาลสุกห้อยย้อยอยู่ไสว และ
ต้นไม้เห็นปานนี้ มีอยู่ในสวนอัมพวันนี้.

ก็แหละครั้นนางเทพธิดาพรรณนาแล้ว พาพระดาบสมาในสวนอัมพ-
วัน แล้วสั่งว่า ท่านโปรดขบฉันผลมะม่วงทั้งหลาย ยังความอยากของตน
ให้เต็มบริบูรณ์ ในสวนอัมพวันนี้ แล้วหลีกไป ครั้นพระดาบส ขบฉันผล
มะม่วงจนอิ่มสมอยากแล้ว พักผ่อนแล้ว จึงเที่ยวไปในสวนอัมพวัน พบเห็น
เปรตนั้นกำลังเสวยทุกข์ (แต่) ไม่สามารถจะพูดอะไรได้ แต่เมื่อพระอาทิตย์
อัสดงแล้ว เห็นเปรตนั้น มีหญิงฟ้อนแวดล้อมบำเรอ เสวยทิพยสมบัติอยู่
จึงกล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า

ท่านทรงทิพมาลา ผ้าโพกศีรษะ และเครื่อง
อาภรณ์ล้วนแต่เป็นทิพย์ มีทองต้นแขน ลูบไล้ด้วย
จุรณจันทน์ กลางคืนมีหญิง ๑๖,๐๐๐ คน เป็นปริจาริกา
บำเรอท่านอยู่ แต่กลางวันต้องเสวยทุกขเวทนา.

หญิงเหล่านี้ได้เป็นปริจาริกาของท่าน มีถึง
๑๖,๐๐๐ นาง ท่านมีอานุภาพมากอย่างนี้ ไม่เคยมีใน
มนุษยโลก น่าขนพองสยองเกล้า.

ในปุริมภพ ท่านทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงต้อง
นำทุกขเวทนามาสู่ตน ท่านทำกรรมอะไรไว้ในมนุษย-
โลก จึงต้องเคี้ยวกินเนื้อหลังของตนเองในบัดนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาลี แปลว่า ผู้ทรงมาลาทิพย์. บทว่า
ติรีฏิ แปลว่า ผู้ทรงผ้าโพกอันเป็นทิพย์. บทว่า กายุรี แปลว่า ประดับ
อาภรณ์ล้วนเป็นทิพย์. บทว่า องฺคที ความว่า ประกอบด้วยกำไลมือ และ
แขนอันเป็นทิพย์. บทว่า จนฺทนุสฺสโท ความว่า มีร่างกายไล้ทาด้วยจันทน์
อันเป็นทิพย์. บทว่า ทิวา ความว่า แต่ในเวลากลางวันต้องเสวยมหา-
ทุกขเวทนา. บทว่า ยา เตมา ตัดบทเป็น ยา เต อิมา แปลว่า หญิงเหล่านี้.
บทว่า อพฺภูโต ความว่า ไม่เคยมีเลยในมนุษยโลก. บทว่า โลมหํสโน


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ความว่า ชนเหล่าใดเห็นท่าน ขนของคนเหล่านั้นย่อมชูชัน. บทว่า ปุพฺเพ
ได้แก่ ในภพก่อน. บทว่า อตฺตทุกฺขาวหํ ความว่า เป็นเหตุนำทุกขเวทนา
มาสู่ตน. บทว่า มนุสฺเสสุ ความว่า ท่านทำกรรมอะไรไว้ในมนุษยโลก
จึงต้องมาเคี้ยวกินเนื้อหลังของตนในบัดนี้.

เปรตจำพระดาบสได้ จึงทูลว่า พระองค์คงจำข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้
ข้าพระพุทธเจ้า คือผู้ที่ได้เป็นปุโรหิตของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าต้องเสวย
ความสุขในกลางคืนนี้ เพราะผลแห่งอุโบสถกึ่งหนึ่งที่ตนได้ทำมา เพราะอาศัย
พระองค์ แต่ที่ได้เสวยทุกขเวทนาในเวลากลางวัน เพราะผลแห่งบาปกรรม

ที่ทำไว้แล้วเหมือนกัน แท้จริง ข้าพระพุทธเจ้า อันพระองค์ทรงตั้งไว้ใน
ตำแหน่งผู้พิพากษา ได้ชำระคดีโดยอยุติธรรมรับสินบน ขูดเลือดเนื้อประชาชน
ทางเบื้องหลัง เพราะผลแห่งกรรมที่ทำไว้นั้น ตอนกลางวัน ข้าพระพุทธเจ้า
จึงได้เสวยทุกขเวทนานี้ แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

ข้าพเจ้าเรียนจบไตรเพท หมกมุ่นอยู่ในกาม
ทั้งหลาย ได้ประพฤติเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์
แก่ชนเหล่าอื่น ตลอดกาลนาน.
บุคคลใดเป็นผู้ขูดเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลนั้นย่อม
ต้องควักเนื้อของตนกิน เช่นเดียวกับข้าพระพุทธเจ้า
กินเนื้อหลังของตนอยู่จนทุกวันนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชฺเฌนานิ ได้แก่ พระเวทย์ทั้งหลาย.
บทว่า ปฏิคฺคยฺห ความว่า เล่าเรียนทรงจำ. บทว่า อจรึ ได้แก่ ปฏิบัติ
แล้ว. บทว่า อหิตายหํ ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติความฉิบหาย
มิใช่ประโยชน์. บทว่า โย ปิฏฺ€ิมํสิโก ความว่า บุคคลใดกินเนื้อหลังของ
คนอื่น ย่อมเป็นผู้ยุยง ส่อเสียด. บทว่า อุกฺกจฺจ แปลว่า ต้องล้วง - ต้องควัก.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็แลครั้นเปรตกราบทูลอย่างนี้แล้ว จึงทูลถามพระดาบสว่า พระองค์
เสด็จมาในที่นี้ได้อย่างไร? พระดาบสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยพิสดาร.
เปรตทูลถามอีกว่า ก็บัดนี้พระองค์จะประทับอยู่ในที่นี้ต่อไป หรือจักเสด็จไป
ที่อื่น ? พระดาบสตรัสตอบว่า เราหาอยู่ไม่ จักกลับไปสู่อาศรมบทนั่นเทียว.
เปรตทูลว่า ดีละพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจักบำรุงพระองค์ด้วยผลมะม่วงสุก

เป็นประจำ แล้วนำพระดาบสไปในอาศรมบท ด้วยอานุภาพของตน ทูลขอ
ปฏิญญาว่า ขอพระองค์อย่าได้มีความกระสัน ประทับอยู่ในที่นี้เถิด แล้ว
ทูลลาไป ตั้งแต่นั้นมา เปรตนั้นก็บำรุงพระดาบสด้วยผลมะม่วงสุกเป็นนิตย์.
พระดาบสเมื่อได้ฉันผลมะม่วงสุกนั้น ก็กระทำกสิณบริกรรม ยังฌานและ
อภิญญาให้บังเกิด แล้วได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแก่อุบาสกอุบาสิกา
ทั้งหลายแล้ว ทรงประกาศอริยสัจธรรม ในที่สุดแห่งอริยสัจเทศนา บางพวก
ได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระ-
อนาคามี ทรงประชุมชาดกว่า นางเทพธิดา ในครั้งนั้น ได้มาเป็น นางอุบล
วรรณา ส่วน ดาบส ได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถากิงฉันทชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากุมภชาดก

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
หญิง นักดื่มสุรา ๕๐๐ คน ผู้เป็นสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โก ปาตุราสิ ดังนี้.

ได้ยินว่า เมื่อเขาประกาศเรื่องมหรสพสุรา ในพระนครสาวัตถี
หญิง ๕๐๐ คนเหล่านั้น จัดเตรียมสุรามีรสเข้มไว้ เพื่อสามีที่ไปเล่นมหรสพ
แล้วปรึกษากันว่า เราทั้งหลายก็จะเล่นมหรสพ ดังนี้แล้ว ทุกคนจึงพากันไป
ยังสำนักของนางวิสาขากล่าวชักชวนว่า สหายรัก พวกเราไปเล่นมหรสพกันเถิด
เมื่อนางวิสาขาปฏิเสธว่า มหรสพนี้เป็นมหรสพสุรา เราจักไม่ดื่มสุราเลย
จึงพากันกล่าวว่า ท่านจงถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด พวกเราจักเล่น

มหรสพกัน. นางวิสาขารับคำว่าดีแล้ว จึงส่งคนไปทูลเชิญพระบรมศาสดา
ถวายมหาทานแล้วถือเอาของหอมและระเบียบเป็นอันมาก ห้อมล้อมด้วยหญิง
เหล่านั้น ไปยังพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อสดับพระธรรมกถา ในเวลาเย็น.
ก็หญิงเหล่านั้นดื่มสุราไปพลาง เดินทางร่วมไปกับนางวิสาขา ยืนดื่มสุราที่ซุ้ม
ประตู แล้วจึงได้เข้าไปยังสำนักพระศาสดาพร้อมกับนางวิสาขา. นางวิสาขา
ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่งลง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. บรรดาหญิงเหล่านั้น

บางพวกก็ฟ้อนรำ บางพวกก็คะนองมือคะนองเท้า จนทะเลาะวิวาทกัน ใน
สำนักของพระศาสดานั่นเอง พระบรมศาสดาจึงทรงเปล่งพระรัศมี ออกจาก
ขนพระโขนง โดยพระประสงค์จะให้หญิงเหล่านั้นเกิดความสังเวช หญิงเหล่านั้น
ตกใจกลัว ถูกมรณภัยคุกคาม ด้วยเหตุนั้น หญิงเหล่านั้นจึงสร่างเมา. พระ-
ศาสดาทรงอันตรธานหายไปจากบัลลังก์ที่ประทับ ทรงยืนอยู่ ณ ยอดสิเนรุ-

บรรพต เปล่งพระรัศมีออกจากพระอุณาโลม เป็นประหนึ่งว่าได้มีพระจันทร์
และพระอาทิตย์อุทัยขึ้นถึงพันดวง. พระศาสดาประทับยืน ณ ยอดสิเนรุบรรพต
นั่นเอง โดยพระประสงค์จะให้หญิงเหล่านั้นเกิดความสังเวช จึงตรัสพระคาถานี้
ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ท่านทั้งหลายจะมัวร่าเริง บันเทิงกันอยู่ทำไม
ในเมื่อโลกกำลังลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์ ท่านทั้งหลาย
อันความมืดมิดหุ้มห่อแล้ว ยังไม่พากันแสวงหาประทีป
คือที่พึ่ง (อีกหรือ?)

ในเวลาจบพระคาถา หญิงทั้ง ๕๐๐ เหล่านั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
พระศาสดาเสด็จมาประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ ใต้ร่มเงาพระคันธกุฎี ลำดับนั้น
นางวิสาขา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
น้ำดื่มที่ชื่อว่าสุราอันเป็นเครื่องทำลายหิริโอตตัปปะนี้ เกิดแล้วแต่ครั้งไร
พระเจ้าข้า. เมื่อพระศาสดาจะตรัสบอกแก่นาง จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส
ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติใน พระนคร-
พาราณสี มีนายพรานป่าผู้หนึ่งชื่อว่า สุระ เป็นชาวแคว้นกาสี ได้ไปสู่ป่า
หิมพานต์ เพื่อต้องการแสวงหาสิ่งของ ในป่าหิมพานต์นั้น มีต้นไม้ต้นหนึ่ง
ลำต้นตั้งตรง ที่ฐานสูงประมาณชั่วบุรุษหนึ่งได้แตกออกเป็นสามค่าคบ ระหว่าง
ค่าคบ ๓ แห่งของต้นไม้นั้น ได้มีโพรงใหญ่ขนาดเท่าตุ่ม เมื่อฝนตกก็เต็มไปด้วย

น้ำ ได้มีต้นสมอ มะขามป้อม และเถาพริกไท ขึ้นล้อมรอบต้นไม้นั้น. ผลแห่ง
ต้นไม้นั้น ๆ สุกแล้วก็หลุดออกจากขั้ว ตกลงไปในโพรงนั้น. ใกล้ๆ ต้นไม้นั้น
มีข้าวสาลีเกิดขึ้นเอง และนกแขกเต้าทั้งหลายมาคาบเอารวงข้าวสาลีจากที่นั้น
แล้วก็บินไปจับกินอยู่บนต้นไม้นั้น เมื่อนกแขกเต้าพากันจิกกินอยู่ เมล็ดข้าว-
เปลือกก็ดี เมล็ดข้าวสารก็ดี หลุดหล่นลงไปในโพรงนั้น น้ำในโพรงนั้นถูก

แสงแดดแผดเผา ก็เกิดมีรส มีสีแดง ๆ ด้วยประการฉะนี้. ในฤดูร้อนฝูงนก
ทั้งหลายที่ระหายน้ำ บินมากินน้ำนั้น ก็มึนเมาพลัดตกลงไปที่โคนต้นไม้ ม่อย
ไปหน่อยหนึ่งแล้วส่งเสียงคูขันบินไป. ถึงสุนัขป่าและลิงเป็นต้น ก็มีนัยอย่าง
เดียวกันนี้. พรานป่าเห็นดังนั้นก็หลากใจคิดว่า ถ้าน้ำนี้เป็นพิษ สัตว์เหล่านี้
คงตาย แต่นี่มันม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วก็บินไปได้ตามสบาย น้ำนี้คงไม่มีพิษ.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เขาจึงลองดื่มเอง ก็เกิดมึนเมา และอยากจะกินเนื้อสัตว์ ลำดับนั้นเขาจึงก่อไฟ
ให้โชนขึ้น แล้วฆ่านกที่พลัดตกไปที่โคนไม้ มีนกกระทาและไก่เป็นต้นตาย
ย่างเนื้อที่ถ่านเพลิง มือหนึ่งฟ้อนรำ มือหนึ่งถือเนื้อกัดกิน อยู่ในที่นั้นวันหนึ่ง
ถึงสองวัน ก็ ณ ที่ใกล้บริเวณนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อ วรุณะ นายพรานป่า

เดินไปยังสำนักพระดาบสนั้น โดยธุระอย่างอื่น. เขาได้เกิดความคิดว่า เราจัก
ดื่มน้ำนี้ร่วมกับพระดาบส เขาจึงตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งจนเต็ม หิ้วไป
กับเนื้อย่าง ถึงบรรณศาลาแล้วกล่าวชวนว่า ท่านขอรับ จงลองดื่มน้ำนี้ดูเถิด
แล้วทั้งสองก็บริโภคเนื้อดื่มน้ำด้วยกัน. ด้วยประการฉะนี้ น้ำดื่มนั้นเลยเกิดมี
ชื่อว่า สุราบ้าง วรุณีบ้าง เพราะนายพรานสุระและพระวรุณดาบส พบ
เห็นเข้า.

ฝ่าย สุรพราณ กับวรุณดาบส ทั้งสองคนคิดได้ว่า มีอุบายทำมาหา
กินได้อยู่ จึงตักสุราใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็ม แล้วพากันหาบไป จนถึงปัจจันต-
นคร ให้คนกราบทูลพระราชาว่า มีคนทำน้ำดื่มมาเฝ้า พระราชาจึงตรัสสั่งให้
คนทั้งสองเข้าเฝ้า เขาจึงนำน้ำดื่มเข้าไปถวาย พระราชาทรงเสวยได้ สอง
- สามครั้งก็ทรงมึนเมา แต่น้ำเมานั้น พอเสวยได้เพียงวัน สองวันเท่านั้น

ต่อมาพระราชาตรัสถามคนทั้งสองว่า น้ำชนิดนี้ มีอยู่ที่อื่นบ้างไหม? เขาพา
กันกราบทูลว่า ขอเดชะมีอยู่ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสถามว่า มีอยู่ที่ไหน?
เขาทูลว่า ที่ป่าหิมพานต์ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นท่านทั้ง
สองจงไปเอามา ชนทั้งสองไปนำเอามาคราว สองคราว แล้วปรึกษากันว่า

พวกเราไม่อาจเอามาบ่อย ๆ ได้ จึงกำหนดจดจำเครื่องปรุงทั้งปวงไว้ แล้ว
เอาเปลือกเป็นต้น ของต้นไม้นั้นมาใส่ปนลงในเครื่องปรุงทุกอย่าง ปรุงสุราขึ้น
ในพระนคร ชาวพระนครพากันดื่มสุราจนถึงความประมาทมัวเมา เลยยากจน
เข็ญใจไปตาม ๆ กัน พระนครก็ได้เป็นเหมือนเมืองร้าง ด้วยเหตุนั้น คนทำ

น้ำดื่มทั้งสอง จึงหลบหนีออกจากพระนครนั้น ไปยังเมืองพาราณสี ให้กราบ
ทูลพระราชาว่า คนทำน้ำดื่มมาเฝ้า พระเจ้าพาราณสีตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้า
แล้วพระราชทานเสบียงแก่คนทั้งสอง เขาช่วยกันจัดการปรุงสุราขึ้น แม้ใน
พระนครพาราณสีนั้น ถึงพระนครนั้น ก็พินาศไปเช่นนั้นอีก เขาทั้งสองจึง
หนีออกจากเมืองนั้นไปเมืองสาเกต หนีออกจากเมืองสาเกตไปยังเมืองสาวัตถี


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ครั้งนั้น พระเจ้าสัพพมิตต์ได้เป็นกษัตริย์ พระนครสาวัตถี ท้าวเธอทำการ
สงเคราะห์แก่คนทั้งสองนั้น แล้วตรัสถามว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง เมื่อ
เขากราบทูลว่า ต้องการรากไม้สำหรับปรุง แป้งข้าวสาลี และตุ่ม ห้าร้อย
ดังนี้ ก็ตรัสสั่งให้ประทานครบทุกอย่าง. พรานสุระ และวรุณดาบสทั้งสอง
ปรุงสุราใส่ตุ่ม ๕๐๐ ใบตั้งไว้แล้ว ประสงค์จะป้องกันโดยเกรงว่าหนูจะรบกวน

จึงผูกแมวไว้ข้างๆ ตุ่มใบละตัว แมวเหล่านั้น พากันดื่มสุราที่ไหลลงก้นตุ่ม
ในเวลาที่ต้มแล้วตักใส่ตุ่ม จนมึนเมาหลับไป พวกหนูมาแทะ หู จมูก
หนวด และหางแมว แล้วพากันวิ่งหนีไป พวกอายุตตกบุรุษ (คนสอดแนม)
คิดว่า แมวดื่มสุราพากันตายหมด จึงไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระ
เจ้าสัพพมิตต์ ทรงเห็นว่า ชนทั้งสองนี้ จักทำยาพิษ จึงตรัสสั่งให้ตัดศีรษะ

คนทั้งสองเสีย คนทั้งสอง พร่ำทูลขอร้องว่า ขอเดชะ ดื่มสุรามีรสอร่อย
พระเจ้าข้า ดังนี้ จนขาดใจตาย ครั้นพระราชาตรัสสั่งให้ประหารชีวิตคนทั้งสอง
แล้ว มีพระราชโองการให้ทำลายตุ่มเสีย ฝ่ายแมวทั้งหลาย เมื่อฤทธิ์สุราสร่าง
จางไป ก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้ พวกราชบุรุษเห็นดังนั้น จึงกราบทูลให้พระราชา
ทรงทราบ พระราชาทรงพระดำริว่า ถ้าน้ำสุราเป็นพิษ แมวคงตาย ชะรอย

จะมีรสอร่อย เราจะลองดื่มดู แล้วตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งพระนคร ให้สร้าง
มณฑปขึ้นที่หน้าพระลาน เสร็จแล้วประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ซึ่งยกเศวตฉัตร
ขึ้นไว้บนมณฑปที่ประดับตบแต่งแล้ว แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ มุขมนตรี
เริ่มจะเสวยสุรา.

ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงตรวจดูสัตวโลกว่า ชนเหล่าไหนบ้าง
หนอ ไม่ประมาทในการบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น บำเพ็ญสุจริต ๓ ให้เต็ม
บริบูรณ์ ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าสัพพมิตต์นั้น ประทับนั่ง เพื่อจะดื่มสุรา
จึงทรงพระดำริว่า ถ้าพระเจ้าสัพพมิตต์นี้จะดื่มสุราไซร้ สกลชมพูทวีป จัก
พินาศฉิบหาย เราจักต้องแก้ไข โดยวิธีที่จะให้ท้าวเธองดดื่ม แล้วทรงวางหม้อ
ที่เต็มไปด้วยสุราใบหนึ่งไว้ที่พระหัตถ์ จำแลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จมายืน


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อยู่ในอากาศ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าสัพพมิตต์ แล้วตรัสว่า ท่านทั้ง
หลายจงซื้อหม้อใบนี้ พระเจ้าสัพพมิตตราช ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์จำ
แลง ยืนพูดอยู่บนอากาศอย่างนั้น ทรงสงสัยว่า พราหมณ์นี้มาจากไหนกัน
หนอ เมื่อจะทรงสนทนากับพราหมณ์นั้น ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า

ท่านเป็นใคร มาจากไตรทิพย์หรือ จึงเปล่งรัศมี
สว่างไสวอยู่ในนภากาศ เหมือนพระจันทร์ส่องสว่าง
ในยามรัตติกาลฉะนั้น รัศมีแผ่ซ่านออกจากตัวท่าน
ดุจสายฟ้าแลบในเวหาสฉะนั้น.

ท่านเหยียบลมหนาวในอากาศได้ เดินและยืน
ในอากาศได้ ฤทธิ์ของเทวดาทั้งหลาย ผู้ไม่ต้องเดิน
ไกล ท่านทำให้เป็นที่ตั้ง และให้เจริญดีแล้วเป็นไฉน?
ท่านเป็นใครมายืนอยู่ในอากาศ ร้องขายหม้อ
อยู่ หรือว่าหม้อของท่านนี้ ใช้ประโยชน์อะไรได้ ดู
ก่อนพราหมณ์ ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก ปาตุราสิ ความว่า ท่านเป็นใคร
มาจากไหน จึงมาปรากฏ อธิบายว่า ท่านมาจากไหน? บทว่า ติทิวา
นภมฺหิ ความว่า พระเจ้าสัพพมิตต์ ตรัสถามว่า ท่านมาจากดาวดึงสพิภพ
หรือ จึงปรากฏในนภากาศนี้. บทว่า สํวรึ แปลว่า ในรัตติกาล. บทว่า
สเตริตา ได้แก่ พระจันทร์ซึ่งมีชื่ออย่างนี้ บทว่า โส ได้แก่ ท่านนั้น.

บทว่า ฉินฺนวาตํ ความว่า วลาหกเทพ ย่อมก้าวเดินตามลม อันมีกระแส
พัดเยือกเย็นไปได้ ก็แม้ลมนั้นไม่มีแก่ท่านเลย ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าสัพพมิตต์
จึงตรัสอย่างนี้. บทว่า กมสิ แปลว่า ล่องลอยไป. บทว่า อฆมฺหิ ได้แก่
ในอากาศ อันไม่มีอะไรกระทบ. บทว่า วตฺถุกตา ความว่า (ฤทธิ์ของท่าน)
เป็นสิ่งที่ทำแล้ว เหมือนวัตถุ เหมือนที่ตั้งฉะนั้น. บทว่า อนทฺธคูนมสิ


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เทวตานํ ความว่า พระเจ้าสัพพมิตต์ ตรัสถามว่า ฤทธิ์ของท่านที่อบรมดี
แล้ว คล้ายฤทธิ์ของทวยเทพ ผู้ชื่อว่า ไม่ต้องเดินทางไกล เพราะไม่ต้องใช้
เท้าเดินไปในทางไกล. บทว่า เวหาสยํ กมฺมาคมฺม ความว่า ท่านเป็น
ใครหรือ จึงอาศัยการย่างเท้า เข้าไปยืนบนอากาศได้. บัณฑิตพึงเชื่อมความ
ของบาทคาถานั้น เข้าด้วยบทว่า โก วา ตุวํ ท่านเป็นใครหรือ? อธิบาย

ว่า ท่านมายืนอยู่อย่างนี้ชื่อไรเล่า. บทว่า ยเมตมตฺถํ ความว่า ท่านพูดคำ
นี้ใด ต้องเชื่อมความของบาทคาถานี้ เข้ากับบทว่า อิมสฺส กิสฺส วตายํ
จึงได้ความว่า ท่านพูดคำว่า จงซื้อหม้อใบนี้ ดังนี้. อธิบายว่า ท่านพูดว่า
จงซื้อหม้อใบนี้ดังนี้ หม้อใบนี้ของท่านใช้ประโยชน์อะไรหรือ?
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง เมื่อจะทรง
แสดงโทษของสุรา จึงตรัสว่า

หม้อใบนี้มิใช่หม้อเนยใส มิใช่หม้อน้ำมัน มิใช่
หม้อน้ำผึ้ง โทษของหม้อใบนี้มีอยู่มิใช่น้อย ท่านจง
ฟังโทษเป็นอันมากที่มีอยู่ในหม้อใบนี้.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เดินโซเซตกลงไปยัง
บ่อ ถ้ำ หลุมน้ำครำและหลุมโสโครก พึงบริโภคของ
ที่ไม่ควรบริโภคแม้มากได้ ท่านจงซื้อหม้อนี้ ซึ่งเต็ม
ไปด้วยน้ำชนิดนั้น.

บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ
เที่ยวหยำเปไป เหมือนโคกินกากสุรา ฉะนั้น เป็น
เหมือนขาดที่พักพิง ย่อมฟ้อนรำได้ ขับร้องได้ ท่าน
จงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว แก้ผ้าเปลือยกาย เที่ยว
ไปตามตรอกตามถนน ในบ้านเหมือนชีเปลือย มีจิต
ลุ่มหลง นอนตื่นสาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไป
ด้วยน้ำชนิดนั้น.

บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ลุกขึ้นโซเซโคลงศีรษะ
และยกแขนขึ้นร่ายรำ เหมือนรูปหุ่นไม้ ฉะนั้น ท่าน
จงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว นอนจนถูกไฟไหม้
และกินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ ย่อมถึงการถูกจองจำ
ถูกฆ่า และความเสื่อมแห่งโภคะ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้
ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว พูดคำพูดที่ไม่ควรพูด
นั่งพร่ำในที่ประชุม ปราศจากผ้าผ่อน เลอะเทอะ
นอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีแต่เรื่องฉิบหาย ท่าน
จงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว วางมาดเป็นคนสำคัญ
นัยน์ตาขุ่นขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราคนเดียว
พระราชาแม้มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบขัณฑสีมา ก็ไม่
เสมอเรา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิด
นั้น.

บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ถือตัวจัด ก่อการ
ทะเลาะวิวาท ยุยงส่อเสียด มีผิวพรรณน่าเกลียด
เปลือยกายวิ่งไป อยู่อย่างนักเลงเก่า ท่านจงซื้อหม้อ
ใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
น้ำชนิดนี้ ทำตระกูลทั้งหลายในโลกนี้ อันมั่งคั่ง
บริบูรณ์ มีเงินทองตั้งหลายพันให้ขาดทายาทได้ ท่าน
จงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.

ข้าวเปลือก ทรัพย์สิน เงินทอง ไร่ นา โค
กระบือ ในสกุลใดย่อมพินาศไป ตระกูลที่มั่งมี
ทั้งหลายขาดสูญไป เพราะดื่มน้ำชนิดใด ท่านจงซื้อ
หม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เป็นคนหยาบช้า ด่า
มารดาบิดาได้ แม้ถึงเป็นพ่อผัวก็พึงหยอกลูกสะใภ้ได้
ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.

นารีดื่มน้ำชนิดใดแล้ว กลายเป็นคนกักขฬะ
หยาบช้า ด่าพ่อผัว แม่ผัว และสามีได้ แม้เป็นทาส
เป็นคนใช้ พึงรับเป็นสามีของตนได้ ท่านจงซื้อหม้อ
ใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ฆ่าสมณะ หรือพราหมณ์
ผู้ตั้งอยู่ในธรรมได้ พึงไปสู่อบาย เพราะกรรมนั้น
เป็นเหตุ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิด
นั้น.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ประพฤติทุจริต
ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจได้ ย่อมไปสู่นรก
เพราะประพฤติทุจริต ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไป
ด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายแม้จะยอมสละเงินเป็นอันมาก มา
อ้อนวอนบุรุษใด ซึ่งไม่เคยดื่มสุรา ให้พูดเท็จ ย่อม
ไม่ได้ บุรุษนั้นครั้นดื่มสุราแล้วย่อมพูดเหลาะแหละ
เหลวไหลได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำ
ชนิดนั้น.

คนรับใช้ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เมื่อถูกเขาใช้ไปใน
กรณียกิจรีบด่วน ถูกซักถามก็ไม่รู้เนื้อความ ท่านจง
ซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ถึงจะเคยมีความ
ละอายใจอยู่ ก็ย่อมจะทำความไม่ละอายให้ปรากฏได้
ถึงแม้จะเป็นคนมีปัญญาก็อดพูดมากไม่ได้ ท่านจงซื้อ
หม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.

ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว นอนคนเดียว
ไม่มีเพื่อน คล้ายลูกสุกรนอนเดียวดาย ด้วยชาติกำเนิด
อันต่ำฉะนั้น อดข้าวปลาอาหาร ย่อมเข้าถึงการนอน
เป็นทุกข์อยู่กับแผ่นดิน สิ้นสง่าราศรี และต้องครหา
นินทา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ย่อมนอนคอตก
หาเป็นเหมือนโคที่ถูกลงปฏักฉะนั้นไม่ ฤทธิ์สุราย่อม
ทำให้คนอดทนได้ (ไม่กินข้าวกินน้ำ) ท่านจงซื้อหม้อ
ใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.

มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเว้นดื่มน้ำชนิดใด อันเปรียบ
ด้วยงูมีพิษร้าย นรชนคนใดเล่า ควรจะดื่มน้ำชนิดนั้น
อันเป็นเช่นยาพิษมีในโลก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่ง
เต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โอรสทั้งหลายของท้าวอันธกเวณฑะ ดื่มสุรา
แล้ว พาหญิงไปบำเรออยู่ที่ริมฝั่งสมุทร ประหารกัน
และกันด้วยสาก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วย
น้ำชนิดนั้น.
บุรพเทพ คืออสูรทั้งหลาย ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว
เมามาย จนจุติจากไตรทิพย์ คือดาวดึงสเทวโลก ยัง
สำคัญตนว่าเที่ยง เป็นไปกับด้วยอสุรมายา ดูก่อน
มหาราชเจ้า บุรุษผู้ฉลาดเช่นกับพระองค์ เมื่อทราบ
ว่าน้ำดื่มชนิดนี้เป็นน้ำเมา หาประโยชน์มิได้ จะดื่ม
ทำไม?

ในหม้อใบนี้ ไม่มีเนยข้น หรือน้ำผึ้ง พระองค์
รู้อย่างนี้แล้ว จงซื้อเสีย ดูก่อนท่านสัพพมิตต์ สิ่ง
ที่อยู่ในหม้อนี้ ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านแล้วตามความเป็น
จริงอย่างนี้แหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วชฺชานิ ได้แก่ โทษทั้งหลาย. บทว่า
คเลยฺย ความว่า เมื่อจะเดินก็เดินโซเซไปทุกย่างก้าว. บทว่า ยํ ปิตฺวา ปเต
ความว่า บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วพึงตกลงไป. บทว่า โสพฺภํ ได้แก่ หลุม-
บ่อ. บทว่า จนฺทนิโยฬิคลฺลํ ได้แก่ หลุมเทขยะ และหลุมโสโครก.

บทว่า อโภชเนยฺยํ ได้แก่ ของไม่ควรเพื่อจะบริโภค. บทว่า
อเนสมาโน แปลว่า ไม่เป็นอิสระ. บทว่า โคริว ความว่า อุปมาเหมือนโค.
บทว่า ภกฺขสานี ความว่า เหมือนโคกินกากสุรา เที่ยวแสวงหาของกินใน
ที่ต่าง ๆ ฉันใด ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ ท่องเที่ยวไปฉันนั้น. บทว่า อนาถมาโน
ความว่า เป็นเหมือนคนขาดที่พักพิงไร้ที่พึ่ง. บทว่า อุปคายติ ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เห็นคนอื่นเขาขับเขารำ ก็เข้าไปขับบ้าง ฟ้อนรำบ้างก็ได้. บทว่า อเจลโกว
ความว่า เปลือยกายได้เหมือนอเจลก. บทว่า วิสิขนฺตรานิ ความว่า (เที่ยว
ซอกแซกไป) ตามตรอก ตามถนน. บทว่า อติเวลสายี ความว่า เป็นผู้มี
ปกตินอนเกินเวลา ปาฐะว่า อติเวลาจารี ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า นอนหลับ
ไปได้นานๆ. บทว่า ทารุกฏลฺลโกว แปลว่า เหมือนรูปหุ่นไม้. บทว่า

โภคชานิฺจุ เปนฺติ ความว่า ย่อมเข้าถึงความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์. อธิบายว่า
บุคคลดื่มน้ำใดแล้ว ย่อมทำทุจริตเป็นต้นว่า ปาณาติบาต ถูกลงอาชญาแล้ว
ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์และถึงทุกข์อื่น ๆ มีถูกฆ่าและจองจำเป็นต้น.

บทว่า วนฺตคโต ความว่า จมอยู่ในอาเจียนของตน. บทว่า
พฺยสนฺโน แปลว่า ถึงความพินาศ. ปาฐะว่า วิสนฺโน ดังนี้ก็มี. ความก็ว่า
นอนจมอยู่ในกองอาเจียนนั้น. บทว่า อุกฺกฏฺโ€ ความว่า บุคคลดื่มน้ำ
ชนิดใดแล้วฮึกเหิม คุยโวว่า เรามีทะแกล้วทหารมาก จะมีใครเสมอกับเรา.
บทว่า อาวิลกฺโข แปลว่า มีนัยน์ตาแดง (ตาขวาง). บทว่า สพฺพป€วี

แปลว่า แผ่นดินทั้งหมด, ปาฐะว่า สพฺพาป€วี ดังนี้ก็มี. บทว่า จาตุรนฺโต
ความว่า เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต. บทว่า มานา
แปลว่า ก่อเกิดมานะ. แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็มีนัยนี้.

บทว่า คติ แปลว่า ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้เกิดผล. บทว่า นิเกโต
แปลว่า อยู่ (อย่างนักเลง). บทว่า ตสฺสา ปุณฺณํ ความว่า ท่านจงซื้อ
หม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสุราเห็นปานนั้น. บทว่า ยตฺถ วินาสยนฺติ ความว่า
ชนทั้งหลายอาศัยน้ำสุราใด ดำรงตนไว้ในการดื่มน้ำสุราใด ทำลายสมบัติ
มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น แม้อย่างเดียว หรือแม้หลายอย่างให้พินาศได้
จนเป็นคนกำพร้า. บทว่า อิทฺธานิ แปลว่า มั่งคั่ง. บทว่า ผีตานิ ความว่า


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยวัตถาลังการ และเครื่องใช้สอยทั้งหลาย. บทว่า อุจฺฉินฺน-
ทายชฺชกตานิ ความว่า น้ำสุรานี้ย่อมทำทายาทให้ขาดสูญ พาทรัพย์สมบัติ
ให้พินาศ. บทว่า ทุฏฺ€รูโป เป็นคนกักขฬะหยาบคาย. บทว่า คณฺเหยฺย
ความว่า จับมือถือแขนลูกสะใภ้ ด้วยอำนาจกิเลส โดยสำคัญว่าเป็นภรรยาได้.
บทว่า ทาสํปิ คณฺเห ความว่า จับมือถือแขน แม้ทาสคนรับใช้ของตนได้
ด้วยอำนาจกิเลส โดยสำคัญว่า สามีของตัว. บทว่า ปิตฺวาน แปลว่า ดื่มแล้ว.

บทว่า ทุจฺจริตํ จริตฺวา ความว่า กระทำอกุศลกรรมบถสิบอย่าง
ด้วยไตรทวารอย่างนี้. บทว่า ยาจมานา ความว่า ชนทั้งหลายแม้จะสละ
เงินทอง เป็นสินน้ำใจจำนวนมาก กล่าวอ้อนวอนบุรุษใด ซึ่งไม่เคยดื่มสุรา
มาก่อนว่า ท่านจงพูดเท็จดังนี้ ย่อมไม่ได้. บทว่า ปิตฺวา ความว่า คน

รับใช้ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว. บทว่า นปฺปชานาติ วุตฺโต ความว่า ถูกซักถาม
ว่าเจ้ามาเพื่อต้องการอะไร เขาย่อมไม่รู้แม้เรื่องราวนั้น เพราะตนรับข่าวสาสน์
ไปไม่ดี. บทว่า หิริมนาปิ ความว่า แม้จะมีจิตประกอบไปด้วยหิริ. บทว่า
เอกถูปา ความว่า นอนคนเดียวไม่มีเพื่อน คล้ายลูกสุกรนอนเดียวดายด้วย

ชาติกำเนิดอันต่ำฉะนั้น. บทว่า อนาสกา แปลว่า อดอาหาร. บทว่า
ถณฺฑิล ทุกฺขเสยฺยํ ความว่า นอนเป็นทุกข์อยู่บนแผ่นดิน. บทว่า อายสกฺยํ
ได้แก่ คำครหา. บทว่า ปตฺตกฺขนฺธา ความว่า นอนคอตก. บทว่า
กูฏหตาริว ความว่า ย่อมนอนคอพับคล้ายโค อันหม้อน้ำผูกติดอยู่ที่คอ

เบียดเบียน. อธิบายว่า ย่อมนอนแซ่วเหมือนโคที่ไม่กินหญ้า กินน้ำ นอนซม
อยู่ฉะนั้น. บทว่า โฆรสมิว แปลว่า อันเปรียบด้วยงูมีพิษร้าย. บทว่า
วิสสมานํ แปลว่า อันเป็นเช่นกับด้วยยาพิษ. บทว่า อนฺธกเวณฺฑปุตฺตา
ได้แก่ ราชาพี่น้องกันสิบองค์. บทว่า อุปกฺกมุํ แปลว่า ประหารกัน
(ด้วยสาก). บทว่า ปุพฺพเทวา ได้แก่ อสูรทั้งหลาย. บทว่า ติทิวา ความว่า

จากดาวดึงสเทวโลก. บทว่า สสฺสติยา ความว่า ยังสำคัญตนว่าเที่ยง โดย
ความเป็นผู้มีอายุยืน อธิบายว่า จากเทวโลก อันสมมติกันว่าเที่ยงเป็นนิรันดร์.
บทว่า สมายา ความว่า เป็นไปกับด้วยอสุรมายา.


+ทานข้าวเป็นได้ประโยชน์ ทานไม่เป็นย่อมเกิดโทษทุกข์ตามมา
+ มีของดีแต่มิเคยนำมาใช้ มีไว้ไม่นานคงต้องลางเลือนหาย
+ กลัวเพราะไม่กล้า กล้าเพราะไม่กลัว
+ มัวแต่กลัวคงไม่เกิดความกล้าหาญ
หากต้องการความกล้าหาญก็ต้องไม่กลัว
+ ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนกับสว่างกับความมืด
+ ประโยชน์ตนทำได้ง่าย ประโยชน์ท่านทำได้ยาก
ประโยชน์ทั้ง ๒ ทำได้ยากกว่า ประโยชน์คือพระนิพพาน
ทำได้ยากยิ่งนัก
+ ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 61, 62, 63, 64, 65, 66, 67 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร