วันเวลาปัจจุบัน 15 ต.ค. 2024, 14:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และเจ็บจนต้องซู๊ดปาก ฉันก็ใจแข็งไม่ยอมให้พ่อถักเปีย
ตอนที่แม่เสีย ไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้ มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้ว
ที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน

เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง เพ่งจนนานพอแล้ว
ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

น่าโมโหที่สุดคือเด็กอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม ( ฉันเป็นลูกคนเล็กอันดับสาม )
ฉันจะวิ่งกลับบ้าน เมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้

ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง
ถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้น หมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่า
ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่รายกาจที่สุดแล้ว

ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน
น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ ร้องไห้ตลอดทั้งคืน
เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง

เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ในที่สุด
ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก
ทว่า พ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่หรือจานโม่
ดูน่าเกลียดยิ่งนักในสายตาฉัน

ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่า พ่อฉันเป็นใบ้
นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในตอนนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร ไม่รู้ว่าโรงเต้าหู้นั้น พ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม
ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาล กี่ตำบลหมู่บ้าน
รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุด ฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรก
ในต้นฤดูใบไม้ร่วง 1992 ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าชื่อตาบาน ขณะยัดธนบัตรกำใหญ่
ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหูไว้ที่ฝ่ามือฉัน อย่างพิถีพิถัน ปากก็เอะอะเอออออย่างไม่หยุดยั้ง
ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก
เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ่มกริ่มพอใจ

เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและคุณพี่ๆมาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมาสองปีจนอ้วนพี
ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนในหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้
หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ

บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน
ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู
พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจในความหมายของฉัน
นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้

พ่อคงเมาแล้ว หน้าตาแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ
เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อ เป็นครั้งแรก
พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย

ปี 1996 ฉันเรียนจบ ได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็ก ห่างจากบ้านเกิด 40 กม.
เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียว มาอยู่ในเมือง
เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้ แม้จะช้านานก็ตาม
ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น

เรื่องราวต่างๆหลังอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้เล่าให้ฟัง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 49

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ซึ้งมาก ที่ได้อ่าน
ใครหนอรักเราเท่าชีวัน ใครหนอใครกันให้เราขี่คอ (คุณพ่อ คุณแม่) ใครหนอชักชวนดูหนังสี่จอ รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ
ทดแทนบุญคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



มีคนเดินทางจำได้ว่า ผู้ประสพอุบัติเหตุคือ ลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู

ดังนั้น พี่ใหญ่ พี่รอง สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง ต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้แต่ร้องไห้ เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก

พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด
ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่

พ่อใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่มือคนขับรถ
พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาไปส่งโรงพยาบาล

พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาล
อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น
และเปรยกับพี่ๆว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้
หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า

ชุดสวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ
จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า
พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องไห้เลย น้องสาวคุณยังไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า
ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่

หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่ ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล
และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้

ทันใดนั้นพ่อคลุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มาทางฉันพร้อมกับชูสองแขนสุง จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก
เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า พร้อมกับชูมือสองข้าง
กลับฝ่ามือไปมาสองรอบ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง
คุณหมอต้องช่วยเธอ ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้ ผมมีเงิน
ตอนนี้ก็มีอยู่4 พันหยวน

หมอจับมือพ่อพร้อมกับ สั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้
กำมือแน่น หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่ เห็นหมอยังทำเฉย
พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา
หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด

พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก
เรื่องเงินเราจะหาทางออก พี่ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป ไม่ทันแปลจบ
หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน

พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใครๆเห็นแล้วต้องร้องไห้ หมอบอกอีกว่า
ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร

พ่อ ตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว
ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน
ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน

ฉันถูกนำเข้า ห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรูป
พ่อ ไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปากหลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้อง
สิบกว่าชั่วโมง พ่อ ทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ
จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้ ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรัก
จากพ่อ ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา

มีเพียงพ่อคนเดียวที่ ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวด
ให้ฉัน กล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออออเรียกฉัน เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สดๆรอลูกอยู่”

เพื่อเอาใจหมอ และพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน ทำเต้าหู้ร้อนๆถาดใหญ่
มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม แม้โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับ
ของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจ
และมีความมั่นใจยิ่งขึ้น

พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่ ระหว่างนั้น
เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ได้รับความสนับสนุนเพียงพอที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ
พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอทว่าชัดเจนดังนี้
คุณจัง 20 หยวน คุณลี่100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน......


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ในที่สุดฉันฟื้น ขึ้นมาจนได้ตอนเช้าตรู่วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป
ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย
ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา

ผมขาวโพลนของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น ครึ่งเดือนก่อน
พ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี

หัวโกนจนเกลี้ยงของฉันเริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา
การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ

เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้
พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน
อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ
ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยองๆกับพื้น เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืน
และเดินได้ ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี
พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง

เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด
ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉยๆ ฉันจึงเช่าเพิงเล็กๆ ใกล้บ้านให้พ่อทำเป็นโรงเต้าหู้ เต้าหู้ที่พ่อทำ
รสชาตินุ่มหอมก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน

ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ ให้พ่อ แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน
แต่ท่านย่อมทราบดี ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง

เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย จนตัวฉันเองก็ใจไม่ถึง
พอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก
เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ แต่แล้ว พ่อผู้ใบ้ของฉันกลับสอนให้ฉันเข้าใจว่า
อันที่จริงแล้ว สังคีตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปลอดเสียง อันเป็นพลังที่ไม่พึงสงสัย
ทำให้ฉันตีความความรักให้สูงขึ้นไปอีก


ขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เพราะชีวิตเราได้มาไม่ง่าย มีโอกาสพบกันถือเป็นบุญวาสนา

ขอให้เราปรนนิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที
เพราะหลังจากท่านสิ้นบุญแล้วจะเหลือแต่ความรำลึก

ขอให้เราปฏิบัติต่อคู่ชีวิตด้วยความจริงใจ เพราะหลังจากจากกันแล้วจะไม่มีโอกาสจูงมือกันเดินเที่ยว

ขอให้เราทะนุถนอมการเจริญเติบโตของบุตร เพราะเมื่อถึงเวลาอันควรจะไม่มีโอกาสได้โอบกอดลูกๆอีก

ขอให้เราทุ่มเทและให้อย่างเต็มที่ ขอบคุณและอุทิศโดยไม่เห็นแก่ตัว
ต่อการพบปะในบุญวาสนาทุกโอกาส




มีเรื่องที่คล้ายคลึงกัน แต่นี่เป็นภาพยนต์ ไม่ทราบว่าใครได้ดูกันมั่งหรือเปล่า
ตัวเองไม่เคยดูหรอกค่ะ แต่พอดีเป็นคนชอบฟังเพลงจีน แล้วพเลงนี้อยู่ในชุดรวม
ของภาพยนต์เรื่อง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ




http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=30023

http://www.youtube.com/watch?v=Da4vX62L ... re=related

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในดินแดนที่ราบสูงของไทย ยังมีชาวอังกฤษคนหนึ่ง จบปริญญาตรีเกียรตินิยม
ภาษาละติน จาก London University แต่กลับมาใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรอยู่กินกับภรรยาชาวไทย
นานถึง 15 ปี ที่บ้านคำป่าหลาย ต.บ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น

วันนี้เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ในฐานะเกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จ
จากการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เขาคือ นายมาร์ติน วีลเลอร์ (Martin Wheeler)

ปัจจุบัน "มาร์ติน" อายุ 46 ปี

แต่แม้จะอยู่ประเทศไทยมานาน 15 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสเป็นคนไทยเนื่องจากติดปัญหาบางประการ
จึงไม่ได้รับการโอนสัญชาติ

อย่างไรก็ตาม เพราะถูกชาวบ้านยกฐานะให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน
จึงทำให้ชีวิตต้องเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองบ้านเราด้วย

"เขาว่าผมเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ทั้งที่ผมไม่ได้เก่งอะไร ผมก็เรียนรู้มาจากชาวบ้าน
จากคนไทยในชนบทที่ภาคอีสาน แต่เมื่อถูกเรียกเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ก็คิดว่าชาวบ้านต้องเชื่อ"

"ดังนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งทุกครั้ง จะมีผู้สมัคร ส.ส.มาติดต่อให้เป็นหัวคะแนน ช่วยหาเสียงให้"

"มาร์ติน" บอกว่า ทุกครั้งที่มีการติดต่อมาก็จะปฏิเสธไปทุกครั้งทุกราย เพราะสำนึกว่าตัวเอง
เป็นเพียงผู้อาศัย ไม่ควรไปยุ่งเรื่องภายในบ้านของเจ้าของบ้าน

สำหรับไอเดียของ "มาร์ติน" เขาบอกว่า ชาวบ้านในชนบทควรช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด
ดีกว่าไปหวังพึ่งนักการเมือง เราต้องพึ่งตัวเองก่อน

"ที่ผ่านมาผมก็ไม่เห็นมีนักการเมืองคนไหนช่วยให้ชาวบ้านพ้นจากความยากจน อย่าไปร้องขอ
กับนักการเมือง แต่ควรร้องขอกับตัวเอง เงินจากการขายเสียงไม่กี่บาท ไม่ได้ช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ความขยันขันแข็งจะช่วยตัวเอง จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นและยั่งยืน"

"มาร์ติน" บอกว่า แม้การเมืองและการเลือกตั้งของไทยยังไม่พัฒนามากนักเมื่อเปรียบเทียบกับอังกฤษ
แต่หากมองว่า ประเทศไทยพัฒนาทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยไม่ถึงร้อยปี
ขณะที่ประเทศอังกฤษมีการพัฒนาการเมืองมานานกว่า 300 ปี ซึ่งในช่วงแรกกว่า 250 ปี
เลวร้ายมากกว่าการเมืองไทยในปัจจุบันเสียอีก ก็ถือว่า การเมืองไทยมีพัฒนาการที่เร็ว

แม้การพัฒนาที่ไปสู่จุดที่สมบูรณ์จะต้องใช้เวลานาน นักการเมืองย่อมมีทั้งคนดีและคนเลว ประชาชน
จึงต้องให้ความสนใจหรือติดตามการเมืองอย่างเท่าทัน เพื่อจะได้คนดีไปเป็น ส.ส. และบริหารประเทศ

"สำหรับการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะถึงในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ แม้ผมจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังกังวล
ในปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ว่าจะไม่สามารถยุติลงได้ แม้จะผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว
และไม่ว่าฝ่ายไหนหรือพรรคการเมืองไหนจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังคงมีปัญหาความแตกแยก ทั้งทางสังคมและ
การเมืองอยู่เช่นเดิม ซึ่งหากเป็นอย่างที่กังวล ปัญหาเศรษฐกิจและอื่นๆ ก็ไม่สามารถแก้ไขได้เช่นกัน"

แถมยังอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

"มาร์ติน" บอกว่า เขาอยากให้เกิดความสมานฉันท์ และหวังไว้ว่า หลังการเลือกตั้งครั้งนี้
ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จะหันหน้ามาพูดคุยกันดีๆ

เพราะถ้าผู้นำไม่ทะเลาะกัน ประชาชนก็จะไม่ทะเลาะกัน

"หลังจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้ ผมอยากให้ผู้ใหญ่
ในบ้านเมือง ยึดกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน
มีความสามัคคีกัน ถ้าไม่สามัคคีกัน บ้านเมืองก็พัง ไปไม่รอด ถ้าผู้ใหญ่เป็นแบบอย่าง ไม่ทะเลาะกัน
ประชาชนก็จะไม่แบ่งฝ่ายแบ่งข้างกัน"

"ไม่อยากให้บ้านเมืองพัง ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อย่าแย่งเอาประชาชนไปเป็นพวก เพื่อทำประโยชน์
ให้แก่ตัวเอง แต่ควรร่วมมือกันทำเพื่อประชาชน" และเข้าไปเป็นพวกของประชาชน

มาร์ติน วีลเลอร์

แม้เติบโตจากระบบทุนนิยม แต่แนวคิดกลับแปลกแยกอย่างสิ้นเชิง แม้เป็นชาวอังกฤษ แต่มุมมอง
"ความเป็นไทย"กลับเฉียบคมยิ่ง๑๒ ปี ในเมืองไทย หล่อหลอมฝรั่งคนนี้เป็นคนไทย เกือบสมบูรณ์
กว่าคนไทยอีกหลายคน

ประวัติ
ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Blackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University

ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน

ผมเป็นชาวอังกฤษ
เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง
มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐ กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรี
เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน

ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน
มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศ
เก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า

ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ
ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขา
ในกลุ่มคนชั้นสูง เป็นพวกหอคอยงาช้าง

ที่ผมเรียนได้คะแนนดี เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง
สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่
มีเงินช่วย ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

ปฏิวัติค่านิยมเก่า

ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่ อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี
ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร

แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่
ส่งให้เรียนหนังสือ แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้นนิสัยเสีย

หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้ แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง
แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต
อยากรู้จักตัวเอง ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย
ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง มี่กี่คัน คุณมีบ้านใหญ่
ขนาดไหน ลูกของคุณเรียนที่ไหน เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง จบจากเคมบริดจ์ดีกว่า
จบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน

แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน
ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนัก
ไว้ก่อน เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้าง
ความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผมได้เห็น
ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น
เจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต ๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง
เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน
จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว
เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

พ่อแม่และผม

ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย ผมคิดว่าไม่ ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง เขาได้เงินเดือน
เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง มีเกียรติยศ
อะไรอีกเยอะแยะ แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน
ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว
อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียว ไม่ให้ใครรบกวน

พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ ผมไม่ได้คุยกับพ่อ
แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก
ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว
แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี
จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย
คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ได้ไป
ตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย

ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง

สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้ ๑ ปี ภายใน ๒ เดือน
ใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน
แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน
เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู
เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆ ให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษ
มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทย ก็แปลกดีเหมือนกัน
เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวัน
ทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ
ผมจะรับแน่เพราะว่า ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงิน
ของคุณไป แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ
ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ

เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข

ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท ๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม
เขาจะทำงานแบบนั้น ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก
ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเอง
คือ ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย

เพื่อเงินอย่างเดียว ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้
ขอให้มีเงิน แต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่
ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ
แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข


หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวัง

ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียว
ไม่มีปัญหา มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วย
จะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง
และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว จึงตัดสินใจ
ตัดตัวเองออกจากสังคมเมือง ไปอยู่บ้านนอก แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น
ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยาย เห็นว่า เป็นธรรมชาติดี

ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้ เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว พวกขุนนางยึดหมด คนยากจน
จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม
มีเงินเยอะ แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่ กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด
ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการ ก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่
บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวย ถึงขั้นจริงๆ เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น
เห็นแต่ละคน มีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี

พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก สะอาดด้วย อากาศก็ดี
ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก
คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย
ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด
ลูกก็ไม่มีอนาคต

ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ คนรวยกวาดเงินไปเยอะ
จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว ทำให้มีคนจนเยอะ ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย
ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้ ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้นจากความยากจนได้
ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ
แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ

แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต

ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ
ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบาก ต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม วันละร้อยยี่สิบบาท

โอ้โฮ... เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน แต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้
แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก ๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด
โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า ทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้ เขาคิดว่า
ผมเป็นฆาตกร ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่ ผมก็แค่อยากหาคำตอบ
ในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุข ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อยบางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน

แต่ผมไม่รู้ว่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้ ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัว
ของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด
อาหารธรรมชาติฟรีๆ ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก
แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า
๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี
๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน
เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน
แต่เงินที่เขาได้ มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร

นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สิน
คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน
แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง
ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า

๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา
ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท
อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก
จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา
ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน
เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน
คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูก
สร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปีตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ
๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น

เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตร
ได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า
แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย
แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์
แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว


วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ
๑. ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ
๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น
ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ
แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน

ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษ
กินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยาก ให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะ
ที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน
มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่
ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูก
ไปอยู่ในเมือง เพราะว่า คนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน
ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน
ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน
บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้
แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไ
ม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่า นั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด
ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น มันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก
ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น

ลูกผมเรียน หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขามีนักเรียน ๓๙ คน
มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก

ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น
ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอน
ให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต ของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา
ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคน มีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ

เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจ ถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต
ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่

วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา

ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง สอนภาษาอังกฤษ เขาก็ร้องไห้ ๆ
ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก
จะไม่สอนเขาอีก แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เขายังไม่บอกผมเลย
ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร

ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขา
เรียนภาษาอังกฤษ เพื่ออะไรสมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต ภาษาอังกฤษ
ก็จะเป็นความรู้ ที่ไม่เป็น ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า เอาไว้รับจ้างเฉยๆ
เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิต
ของเขา เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย

ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน
ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก
คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ

๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย
๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย
๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้
๔. ไปอยู่ในเมือง
๕. ไปรับจ้างเขา
๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี
ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย ที่จะช่วย
ให้เขา ได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่า ลูกของผม จะมีความคิดสูงกว่านั้น
ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ
เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้
ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียน เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย

ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา
ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนา ระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ
สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทย
สนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน
คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทย
อุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน
ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้
ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง
แต่ไม่ยอมปฏิบัติ ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง
แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตาม
ในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน

ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด
ของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ
เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ
เหมือนประเทศไทย

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ
มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ
มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้

ปรัชญาของ ศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ เป็นศาสนา
ที่ ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติโดย ไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ
แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย

คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน
จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด
เรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง

คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิต
ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 02:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ..................................

ชายหนุ่มกับดวงดาว

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 13006 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ..................................

นานมาแล้วมีชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชอบดูดาวบนท้องฟ้าเป็นชีวิตจิตใจ

Once upon a time, there was a man who loved to watch the star.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 13008 ครั้ง ]
คำอธิบาย: .......................................

ทุกคืนเขาจะเดินแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาว

Every night he would look up in the sky that was full of twinkling stars.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 13006 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ..............................

ระหว่างนั้นเขาก็เฝ้าขบคิดว่า ดวงดาวเกิดมาจากอะไรและขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร

Then he would wonder how the stars were born and how they were up in the sky.

เขาได้แต่เหม่อมอง โดยไม่สนใจว่ากำลังจะเดินไปทางไหน

He lost himself in the watching and did not pay attention to direction he was going.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 154.74 KiB | เปิดดู 13006 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ..............................

เพื่อนๆ ของเขาต่างขบขัน ที่เห็นอาการเช่นนั้นของเขา

His friends laughed at him when they saw what he was doing.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 179.35 KiB | เปิดดู 13005 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ...............................

“ที่แหนะ ฉันว่าแกน่าจะไปนั่งดูดาวที่หอดูดาวที่ไหนสักแห่ง แทนที่จะมาเดินท่อมๆ แบบนี้” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยเตือนเขา

“I think you should watch the stars on a tower instead of walking all around,” one of his friends warned him.


“นั่นนะซิ เดี๋ยวก็เดินตกหลุมตกร่องเข้าสักวันหนึ่งหรอก” เพื่อนอีกคนเสริม

“That right! You will miss your steps some day,” another friend said.


ชายหนุ่มไม่สนใจต่อคำเตือนนั้นและยังคงเดินแหงนดูดาวเช่นนั้นต่อไป

The man did not care about his friends warnings. He continued to look up in the sky and watched the stars.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 135.4 KiB | เปิดดู 13005 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ...................................

และแล้วในคืนหนึ่งเขาก็ก้าวตกลงไปในหลุมแหงนหนึ่งเข้าจนได้

Finally one night he stepped into a hole.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 13006 ครั้ง ]
คำอธิบาย: .....................................

หลุมนั้นลึกมาก จนเขาไม่สามารถปีนขึ้นไปได้

The hole was very deep, and he could not climb up.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 172.22 KiB | เปิดดู 13004 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ..................................

หลุมนั้นลึกมาก จนเขาไม่สามารถปีนขึ้นไปได้

The hole was very deep, and he could not climb up.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 141.9 KiB | เปิดดู 13003 ครั้ง ]
คำอธิบาย: .....................................

บังเอิญเพื่อนๆ ของเขาเดินผ่านมาได้ยินเข้า จึงร้องถามลงไปว่า “นั่นใครน่ะ ?”

Luckily, his friends who were walking by heard his voice. They shouted back, “Who is hat?”

“ฉันเอง นักดูดาวไงเล่า!” ชายหนุ่มตอบด้วยความดีใจ

“It’s me. The star watcher,” the man replied gladly.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 13003 ครั้ง ]
ชายหนุ่มกับดวงดาว
The man who stared at the stars

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: .................................

เพื่อนๆ ของเขาพากันหัวเราะร่า “ฉันว่าแล้วไง เจอดีเข้าจนได้ไหมล่ะ”

His friends laughed at him, “I have told you and see what you have got

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 12993 ครั้ง ]
คำอธิบาย: .................................

นับตั้งแต่ได้รับความช่วยเหลือให้ขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มก็เลิกเดินเหม่อเช่นนั้นอีกต่อไป

After that, the man never walked absent-minded again.

untitled2...bmp
untitled2...bmp [ 197.81 KiB | เปิดดู 12996 ครั้ง ]
ชายหนุ่มกับดวงดาว
The man who stared at the stars




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนฉลาดย่อมไม่มองข้ามคำวิจารณ์ / ตักเตือนของผู้อื่น

The clever never ignores any warning.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 เม.ย. 2009, 11:17
โพสต์: 17

แนวปฏิบัติ: มโนมยิทธิ
งานอดิเรก: เล่นเฟส อ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สิ่งที่ชื่นชอบ: หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงปู่ปาน สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง ศูนย์พุทธศรัทธา
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley รู้สึกดีทุกครั้ง
ที่ได้อ่านข้อความเกี่่่ยวกับ
ความรักระหว่างแม่กับลูก
หรือระหว่างพ่่อกับลูก
นั่นแสดงว่า โลกใบนี้
ยังคงมีคนดี และสิ่งดีๆ
ให้เราได้เห็นทุกวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนรักดี เขียน:
smiley รู้สึกดีทุกครั้ง
ที่ได้อ่านข้อความเกี่่่ยวกับ
ความรักระหว่างแม่กับลูก
หรือระหว่างพ่่อกับลูก
นั่นแสดงว่า โลกใบนี้
ยังคงมีคนดี และสิ่งดีๆ
ให้เราได้เห็นทุกวัน





มีอีกเรื่องหนึ่งนะคะ ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกเหมือนกัน
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น ซึ่งน้องคนหนึ่งเขาแต่งไว้ให้ค่ะ
ขอบคุณ kANALOVE มา ณ .ที่นี้ด้วยค่ะ tongue

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




imgp5558.jpg
imgp5558.jpg [ 78.07 KiB | เปิดดู 12964 ครั้ง ]
ชีวิตเล็กๆภายใต้ฟากฟ้าอันกว้างใหญ่


สีน้ำตาลอันแสนหม่นหมอง ดูจะเป็นสีที่เห็นจนชินชาเสียแล้ว
โลกที่ไร้ซึ่งสีสันใดๆ โลกที่มองเห็นแค่ความหม่นหมองและเปล่าเปลี่ยว

โลกที่ผมเห็นอยู่เนี่ย... มันคืออะไรนะ?


นับตั้งแต่วันที่ผมเกิดมา ผมก็ตั้งคำถามนี้ในใจบ่อยๆ

มันเพราะอะไรกัน ที่ผมได้ตั้งคำถามโง่ๆนี้ออกมา
ผมไม่เข้าใจนักหรอก เพียงแค่คิดว่า โลกที่เห็นมันน่าจะสวยงามกว่านี้

ผมมองเห็นชีวิตนับร้อยที่แออัดอยู่ภายในห้องแคบๆแห่งนี้ แสนอับชื้นและเหี่ยวเฉา
ผมเป็นหนึ่งในชีวิตนับร้อย ภายในพื้นที่แคบๆแสนหดหู่

คำถามนั้น อยู่ในใจของผมเรื่อยมา
จนกระทั้ง เมื่อไม่มีใครสามารถให้คำตอบของผมในตอนนั้นได้
ก็ทำให้คำถามของผมถูกลืมเลือนไป

และผมก็จำมันไม่ได้อีก...
จนกระทั่ง

วันที่แม่ได้บอกกับผม

โลกที่มีแต่สีมืดทึม อากาศที่อับชื้น
ไร้ซึ่งสีสันใดๆที่สามารถบอกว่างดงามได้ มีเพียงสีไม่กี่สีที่เห็นอยู่ในโลกนี้ และดูลานตาจนเหมือนกับภาพโทนสีเทา

มีเพียงความรื่นเริงของเหล่าเด็กๆ และความโศกเศร้าของเหล่าผู้ใหญ่
เสียงร้องเซ่งเซระงมของทุกวัย จนฟังไม่ได้ศัพท์แม้สักประโยคหนึ่ง

ตั้งแต่วันที่ผมลืมตาขึ้นมา ก็เจอแต่ห้องมืดๆ เทาๆ

ทุกอย่างแน่นแออัดไปหมด แม้ผมจะนอนหรือนั่ง ก็ยังมีเพื่อนพี่น้องเดินมาชนผมได้
ผม.. และทุกชีวิตที่อยู่ในนี้ ไม่เคยได้ออกไปจากห้องนี้
ไม่เคยรู้ ว่าประตูที่เปิดอยู่เบื้องหน้า แสงสว่างอันเจิดจ้าที่ทำเอาตาพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง จะมีอะไรอยู่

ผมอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้
แล้วก็จะอยู่ไปเพื่ออะไร และทำไม
เหมือนกับชีวิต... เกิดมาเพื่ออยู่ไปวันๆหนึ่ง เพื่อรออะไรบางอย่าง

ทุกๆวัน ผมจะเห็นสัตว์สองเท้าจำนวนหนึ่ง เดินเข้ามาในห้องเพื่อเทอาหารและน้ำให้ บางวันก็มาตรวจดูร่างกายของพวกเราทุกชีวิต จดแท่งยาวๆลงบนอะไรบางอย่างที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปึกเล็กๆ พูดคุยไปมาระหว่างกัน แล้วก็เดินออกจากห้องไป

ผมถามแม่ และแม่ก็ตอบมาว่า

“พวกนี้ คือมนุษย์”

เมื่อถามว่าที่นี่ที่ไหน แม่ก็ตอบว่า

“ที่นี่คือกรงขังขนาดใหญ่ในพื้นที่ปิด มีไว้เพื่อเลี้ยงพวกเราให้เป็นเพียงอาหารมื้อหนึ่งในช่วงชีวิตอันยาวนานของเขา พวกเขาจะรอให้ลูกๆโตขึ้น เพื่อถึงวันหนึ่งที่ลูกจะมีในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วเขาก็จะพรากชีวิตของลูกไป”

คำตอบนี้ของแม่ ผมไม่เข้าใจเท่าไร
ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ชีวิตหนึ่งจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อการต้องสังเวยอีกชีวิตหนึ่ง
เพราะผม แม่ และทุกชีวิตที่อยู่ที่นี่ไม่เคยต้องพรากชีวิตใครเพียงเพื่อเป็นแค่อาหาร
ผมก็เลย ไม่ได้สนใจเรื่องที่แม่บอกเรื่องนั้น


หลายวันถัดมา ผมได้ยินเสียงสะอื้นไห้ข้างๆตัว

ท่ามกลางความมืดเพราะแสงที่อยู่บนเพดานดับลงตามเวลาแล้ว ผมหันไปมองข้างๆตัว และพบว่าแม่กำลังร้องไห้อยู่

“แม่... แม่ร้องไห้ทำไมเหรอ?” ผมถามแม่อย่างตกใจ
“ไม่มีอะไรหรอก” แม่เพียงแค่ส่ายหน้าไปมา แล้วพยายามข่มตาให้หลับลง
แต่ดูก็รู้ว่าเธอไม่อาจหลับลงได้อีก...

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกที่แสนหม่นหมอง มีเพียงสีน้ำตาลเหลืองๆของเพดานและกำแพง ผมไม่เห็นความสดใส
สิ่งที่ยืนยันว่าผมมีชีวิตจริงๆ อยู่ที่นี่เลย

“อะไรคือสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกฮะ”

คำถามนี้ทำให้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปข้างบน ที่เบื้องบนมีเพดานกั้นอยู่

“ท้องฟ้าจ๊ะลูก ลูกจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความไร้ที่สิ้นสุดของมัน เวลาที่จ้องมองท้องฟ้านั้น
ก็ให้ความรู้สึกราวกับจะสามารถโบยบินไปบนนั้นได้ ทุกชีวิตที่อยู่ใต้ท้องฟ้าจะได้รับอ้อมกอด
อันแสนบริสุทธิ์ ท้องฟ้าช่างสวยงาม มีสีสันที่งดงามเกินคำบรรยาย”

คำตอบของแม่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น

“ท้องฟ้าเป็นยังไงเหรอฮะ มันอยู่ที่ไหน แล้วผมเคยเห็นมันไหม?”

“ท้องฟ้าอยู่ข้างนอก” แม่พะเยิบคอให้มองไปทางประตูที่ตอนนี้ปิดสนิทแล้ว
“อยู่หลังประตูนั้น อยู่ข้างนอกจากที่นี่ ไม่มีแล้ว ไม่มีใครมีสิทธิ์จะได้เห็นท้องฟ้าอีกแล้ว
มันเป็นความฝันที่ไร้ค่าไร้ความหมายจริงๆ”

เธอสะอื้นไห้ก่อนจะหลับตาแน่น ตั้งสติแล้วเหยียดตัวลงนอนดั่งเดิมโดยที่ไม่ได้สนใจผมอีก
ผมได้แต่มองดูด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าเทียบกับหลายๆชีวิตในห้องนี้แล้วถือว่าผมยังเด็กมาก
แต่สิ่งที่ผมเข้าใจในตอนนี้มีเพียงแค่อย่างเดียว คือ

ท้องฟ้า

เวลาผ่านไป

ไม่นานเท่าความรู้สึกของมนุษย์

แต่นานเพียงพอสำหรับผู้ที่มีอายุขัยน้อยกว่าและถูกจำกัดอิสรภาพ

ผมโตขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับเหล่าพี่ๆน้องๆ และเพื่อนๆที่อยู่ในนี้
แต่ทุกครั้งที่แม่มองพวกเรา เธอจะเบือนหน้าหนีและแอบร้องไห้เงียบๆเพียงลำพัง

ช่วงนี้

แม่ร้องไห้ทุกวัน

เด็กๆไม่มีทางรู้ว่าพวกผู้ใหญ่กำลังเศร้าเสียใจเรื่องอะไร แม้จะถามไป แต่ก็ไม่มีใครเคยได้คำตอบกลับมา

ผมคิดออกแค่อย่างเดียว ว่าแม่คงคิดถึงท้องฟ้า

เพราะว่าคิดถึง ก็เลยเศร้าเสียใจ

ถ้าผมออกไปจากหลังประตูนั้นได้ ถ้าผมหนีออกไปจากที่นี่ ผมก็คงจะได้เจอกับท้องฟ้า

และถ้าผมเจอ ผมแน่ใจว่า ผมจะเก็บท้องฟ้ามาให้แม่

แม่จะได้หายเศร้า หยุดร้องไห้

ผมคิดกับตัวเองอย่างนั้น

และแน่ใจว่า ถ้ามีโอกาส... จะต้องทำให้ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 23 พ.ค. 2010, 21:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ความฝันในชีวิตของผมมีแค่อย่างเดียว

คือ การได้เห็นท้องฟ้า


วันหนึ่ง ตอนที่สัตว์สองขาเปิดประตูที่อยู่เบื้องหน้า แสงสว่างอันสดใสสาดส่องเข้ามา

ผมนิ่งคิดประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจทะยานออกไป

ท่ามกลางความตกใจของทุกคน และสัตว์สองขาจำนวนมากมายที่รายล้อมอยู่

ผมกระโดดออกนอกรั้วกรงที่อยู่เบื้องหน้า แล้วทะยานออกไปดุจนกที่โหยหาอิสรภาพ
โดยที่ไม่สนใจใครหน้าไหน ไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น

ตัวของผมมีพลังเอ่อล้นอย่างเต็มเปี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ ด้วยแรงปรารถนาแห่งความฝัน

ผมต้องการเห็นท้องฟ้า

ดวงตาของผมมองแต่เบื้องหน้า ท่ามกลางเสียงฮือฮาแตกตื่นของสัตว์สองเท้าที่รายล้อม แต่ผมก็วิ่งผ่านประตูบานเดียวบานนั้นไป และวิ่งออกไปแล้ว

ฝ่าเท้าได้สัมผัสกับผืนสีเขียวนุ่มๆ ร่างกายสัมผัสกับสายลมของอยู่ในโลกภายนอก ให้ความรู้สึกแปลกใหม่และเบิกบาน

แต่...

เหล่าสัตว์สองเท้าที่รายล้อมอยู่ข้างนอกกรูกันเข้ามาล้อมตัวของผม ขัดขวางอิสรภาพของผมไว้
เสียงเอะอะโวยวาย และร่างกายมากมายนั้น กลบเสียงแห่งธรรมชาติและบดบังทัศนีย์ภาพจนหมดสิ้น

ผมกรีดร้องด้วยความโกรธ กรีดร้องด้วยโทสะ และบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้านั้น ผมจึงพุ่งทะยานเข้าใส่

น้ำสีแดงข้นกระเด็นโดนตัวผม ผมไม่สนใจว่ามันคือน้ำอะไรจากการปะทะ ผมรู้สึกอยากจะวิ่งไปให้ไกลกว่านี้ ออกไปไกลจากที่นี้ที่มีสัตว์สองเท้าอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างนิ่งเงียบด้วยความตกใจพักหนึ่ง ก่อนจะเกิดเสียงที่ดังสนั่นตามมา

ปัง!!!!

ฝูงนกแถบหนึ่งจากต้นไม้ไกลๆบินอย่างโกลาหลขึ้นท้องฟ้า ร่างของผมกลิ้งหลายตลบไปบนพื้นหญ้าตามแรงกระแทก และล้มตัวลงนอนในที่สุด

กลิ่นของต้นหญ้า... กลิ่นอ่อนๆที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน...
กลิ่นที่ให้ความรู้สึกดี ราวกับตัวเองได้เป็นหนึ่งเดียวกับผืนดินของต้นหญ้า

แต่สายตาของผมได้มองเห็นเบื้องบนที่เหมือนจะอยู่ไกลแสนไกล

ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้า... ปุยเมฆสีขาวสะอาดล่องลอยอย่างเสรี

นี่คือ ท้องฟ้า... ที่แม่พูดถึง

ใจของผมคิดต่อไป... ด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่แสนเศร้า ฝากให้บุคคลผู้เป็นที่รักคนหนึ่ง...

แม่ฮะ... ในที่สุด ผมก็ได้เห็นท้องฟ้าแล้ว

มันสวยงามมากเลยฮะ


ช่างกว้างใหญ่ ยิ่งใหญ่และงดงาม

ผมคิดว่าอยากจะเอากลับไปให้แม่...

แต่

ผมกลับรู้สึกว่า ท้องฟ้านั้นสวยงามที่สุดเมื่อได้อยู่บนฟ้า

ถ้าผมเอากลับไป ท้องฟ้าก็จะไม่ใช่ท้องฟ้าอีก...

ท่ามกลางเสียงอื้ออึงรอบตัวผม ช่างน่ารำคาญเสียจริง... ผมคิด... และก็คิดต่อไป อยากจะตะโกนออกมาดังๆ... แต่ร่างกายของผมเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว... ผมอยากจะบอกว่า

มนุษย์มีสิทธิ์อะไรมาบงการหรือตัดสินชีวิตของพวกผม พวกเราก็มีชีวิต มีจิตใจไม่ต่างกัน
ทำไมต้องมาจำกัดอิสรภาพ ทำไมไม่ให้พวกผมได้อยู่ตามอัธยาศัยเหมือนครั้งหนึ่งที่แม่ผมเคยได้เห็นท้องฟ้า
เคยได้วิ่งเล่นไร้รั้วขอบแดนใต้ท้องฟ้าอันยิ่งใหญ่ ได้สูญกลิ่นแห่งธรรมชาติ ได้รับรู้ว่าชีวิตนี้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ทั้งๆที่พวกเราก็อยู่ใต้ท้องฟ้าเดียวกันแท้ๆ...

มนุษย์... มีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตของพวกเรา

แต่คำถามเหล่านั้นที่อยู่ในใจไม่ได้รับการตอบกลับมา ผมรู้และเข้าใจว่าผมมาได้เพียงเท่านี้....

ความรู้สึกใกล้จะดับลงไปพร้อมๆกับลมหายใจที่เริ่มรัวริน... ผมได้แต่คิด... หวังว่าความคิดที่ผมคำนึงถึงจะไปหาผู้รับ... ทั้งๆที่ใจส่วนลึกรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้... แต่ผมก็อยากจะให้สายลมพัดพาความคิดคำนึงห้วงสุดท้าย ส่งไปถึงเธอผู้เป็นบุคคลที่รักที่สุด....


แม่ฮะ... ผมได้เห็นท้องฟ้าแล้วล่ะ

ขอโทษฮะ ที่ผมเอากลับไปให้แม่ไม่ได้

แต่ผมคิดว่าแม่คงจะดีใจมากๆ ที่ผมได้เห็นท้องฟ้าแล้ว ท้องฟ้าเดียวกับที่แม่มองและเล่าให้ผมฟัง ตอนนี้ผมได้ทำความฝันของผมให้เป็นจริงได้แล้ว....

แต่ผมคงไม่สามารถกลับไปหาแม่ได้อีก...


ลาก่อนฮะ...

แม่



by KANALOVE

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว





http://il.youtube.com/watch?v=jIQaBYwMp ... re=related


ใครหนอรักเราเท่าชีวัน


การดูหนัง แต่ละคนอาจจะมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน
สำหรับเรา การดูหนังในเรื่องนี้ ดูแล้วคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงเพลงใครหนอ

อาทิตย์หน้าจะไปส่งแม่ แม่กำลังจะไปถืออุโบสถศิลที่วัดภาวนาพุทโธ 3 เดือน
ถึงแม้เราจะเป็นผู้หญิง สิ่งที่สามารถช่วยสนับสนุนพ่อแม่เราได้คือแรงพระกรรมฐาน
ตั้งแต่เราปฏิบัติมา อธิษฐานให้กับแม่ตลอดเวลา ไม่ว่าแม่จะได้ปฏิบัติแบบไหนก็ตาม
ถือว่านั่นคือสิ่งที่จะเป็นเหตุส่งเสริมให้แม่มีภพชาติที่สั้นลงไปเรื่อยๆ

นี่แหละหญิงไม่ใช่ชาย ชายไม่ใช่หญิง เพียงการเกิดไม่ว่าจะเป็นอะไร ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำกันมาทั้งสิ้น
เหตุแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป ตามกิเลสของแต่ละคน ที่มีมากน้อยแตกต่างกันไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 26 ก.ย. 2010, 13:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร