วันเวลาปัจจุบัน 29 พ.ย. 2023, 05:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 07:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๑

กุสราจอมราชัน ๑

สมัยหนึ่งขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย
มีอยู่คราหนึ่งพระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุผู้ไม่ยินดีในธรรม มีใจใคร่จะสึกว่า “ เราได้ยินมีกุลบุตรชาวสาวัตถีผู้หนึ่งถวายตนมาบรรพชา ขณะบิณฑบาตเห็นสตรีแต่งกายงดงามก็ถือเอานิมิตนั้นไปครุ่นคิด ถึงขนาดไม่หลับไม่ฉัน ปล่อยให้จีวรเศร้าหมอง เล็บงอกยาว จนกายผ่ายผอมอุปมาดั่งเทวบุตรเห็นนิมิตห้าประการบอกว่าตนใกล้ถึงกาลจุติแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ”

บรรดาสงฆ์พอฟังต่างก็ร้อนใจ จึงให้พระรูปหนึ่งไปตามภิกษุรูปดังกล่าวมาเข้าเฝ้าทันที เมื่อพระที่ถูกพาดพิงมาถึงแลได้ถวายอภิวาทสมเด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว องค์ศาสดาจึงตรัสถามเขา “ ดูก่อนภิกษุ เราได้ยินว่าเธอจะสึกหรือ? ” ภิกษุผู้มีใจเบื่อหน่ายในสมณเพศได้ทูลว่า“ เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า ” องค์บรมครูครั้นทรงสดับจึงตรัสกับพระรูปนั้น

“ ดูก่อนสมณ เธอจงอย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำดวงจิตเลย อันสตรีย่อมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ขอเธอจงห้ามใจอย่าไปครุ่นคิดถึงมาตุคามเถิด บุรุษใดแม้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก แต่ฤทธิ์ของเขาก็ต้องเสื่อมเพราะมีใจไปหลงใหลในสตรี สุดท้ายต้องถึงความพินาศก็เพราะมาตุคามเป็นเหตุ ” เมื่อตรัสดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก

บรรดาภิกษุเมื่อฟังพระดำรัสอย่างย่อต่างก็ปรารถนาจักทราบความนัยโดยละเอียด จึงอาราธนาองค์บรมครูให้ทรงขยายความต่อ สมเด็จพระศาสดาเมื่อทรงสดับคำขอของเหล่าสงฆ์ จึงทรงยกเอานิทานในอดีตมาแสดงเป็นตัวอย่าง ซึ่งเนื้อหาใจความที่แสดงมีดังนี้

ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตอันเนิ่นนานยังมีราชาพระองค์หนึ่งนามว่า พระเจ้าโอกกากราช ครอง กรุงกุสาวดี แคว้น มัลละ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนต่างให้ความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยราชาพระองค์นี้ทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมในการปกครองแผ่นดิน ดังนั้นภายใต้พระบรมโพธิสมภารแผ่นดินแคว้นมัลละจึงมีแต่ความสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอด

พระเจ้าโอกกากราชทรงมีพระมเหสีนางหนึ่งชื่อว่า สีลวดี ทรงเป็นสตรีที่มีความงามทั้งกายและใจ โดยเฉพาะ ศีลาจารวัตรที่พระนางทรงยึดถือปฏิบัติ ได้เลื่องลือไปจนผู้คนทั่วแคว้นต่างก็ทราบกันดี จอมราชาทรงรักถนอมมเหสีนางนี้ยิ่งกว่าชีวิตจิตใจ แต่ทุกสิ่งล้วนไม่มีอะไรสมบูรณ์ หลังพระนางสีลวดีได้ทรงอภิเษกสมรสกับจอมกษัตริย์ หลายปีผ่านไปพระนางก็ยังไม่ทรงมีทีท่าว่าจะทรงให้กำเนิดพระโอรสแก่พระเจ้าโอกกากราชได้ ดังนั้นจึงทำให้ชาวเมืองไม่พอใจ

วันหนึ่งหลังจากเหล่าชาวเมืองต่างรอแล้วรอเล่ามาเป็นเวลาหลายปีในที่สุดพวกเขาก็มิอาจทนรอต่อไปได้อีกจึงพากันมารวมตัวที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังเพื่อร้องเรียนพระราชาว่าบ้านเมืองจักถึงกาลพินาศหากพระองค์ยังทรงไร้ซึ่งรัชทายาทสืบสันตติวงศ์องค์ราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงชี้แจงว่าพระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมเหตุไฉนบ้านเมืองจึงจักพินาศเล่า แต่ชาวเมืองแย้งว่าถึงจักทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมในการปกครองแผ่นดินก็จริง แต่การที่ทรงไร้ซึ่งรัชทายาทอาจเป็นสาเหตุให้ชนเหล่าอื่นคิดช่วงชิงเอาพระราชสมบัติได้ แล้วก็จักกลายเป็นสงคราม จนนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมือง ฉะนั้นขอพระองค์โปรดทรงขวนขวายให้ได้มาซึ่งรัชทายาทโดยไวเถิด

พระราชาครั้นทรงสดับเหตุผลก็ทรงเห็นด้วย แต่จักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร ก็ในเมื่อสนมทุกนางพวกนางล้วนไม่ตั้งครรภ์เอง ทั้งที่ร่างกายพวกนางก็แข็งแรงสมบูรณ์ ตัวแทนชาวเมืองได้ทูลว่าหากสนมทุกนางมีสุขภาพดีจริงเหมือนอย่างที่จอมกษัตริย์ตรัส อย่างนั้นขอโปรดทรงอนุญาตให้นางสนมวัยสาวออกจากวังไปมีสัมพันธ์กับบุรุษนอกวังเป็นเวลาสักเจ็ดวันเพื่อทดสอบดูว่าพวกนางสามารถให้กำเนิดบุตรได้หรือไม่ หากครบเจ็ดวันแล้วสนมนางนั้นยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ก็ให้คนถัดไปทดลองดู ทำอย่างนี้ไปเรื่อย จนถึงสนมรุ่นกลางแลรุ่นใหญ่ ในบรรดาสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางที่ทรงมีอยู่ เชื่อว่าต้องมีสักนางที่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่

จอมราชาพอทรงสดับก็ทรงปฏิบัติตามโดยดี มิได้ทรงรู้สึกหวงแหนบรรดาสนมแต่อย่างใด แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีข่าวคราวขององค์รัชทายาทแพร่ออกมาให้ได้ยินแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังคงเงียบฉี่เหมือนเดิม จึงทำให้ชาวเมืองที่ตั้งตารอต่างอดเกิดความสงสัยไม่ได้ พวกเขาจึงพากันมารวมตัวที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังกันอีกครั้ง

ครั้งนี้จอมกษัตริย์ได้ตรัสว่าพระองค์ได้ทรงทำตามที่พวกเขาบอกจนไม่เหลือสนมสักนางแล้ว แต่ก็หาได้มีนางใดจักให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ได้ จนพระองค์เองก็ทรงหมดพระปัญญาไม่รู้จักทำอย่างไรแล้วเช่นกัน บรรดาชาวเมืองเมื่อฟังก็ให้ประหลาดใจ จึงขอพระราชอนุญาตประชุมปรึกษาหารือกัน หลังได้ข้อสรุปจึงทูลจอมราชาว่าสนมทั้งหมื่นหกพันนางคงจักเป็นผู้ทุศีลเสียเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่มีผู้มีบุญลงมาเกิดในครรภ์พวกนาง เอาอย่างนี้ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีผู้เป็นอัครมเหสีได้ทรงทดลองเถิด ด้วยพระนางทรงเป็นผู้มีมีศีลสมบูรณ์ พวกตนเชื่อว่าองค์เทวีจักต้องทรงให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่ จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับทรงปวดร้าวพระทัยขึ้นมาทันที ด้วยมเหสีนางนี้ทรงเปรียบได้กับชีวิตจิตใจพระองค์ แต่เพื่อบ้านเมือง จำต้องทรงตัดพระทัยปล่อยให้นางทดลองดู

หลังชาวเมืองกลับไปราชาโอกกากราชจึงทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร นับจากนี้เป็นเวลา ๗ วันพระองค์จะทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีออกจากวังไปเลือกบุรุษที่พระนางพึงใจเพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่แคว้น บุรุษใดอยากถูกรับเลือกให้มารวมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังในเช้าวันนั้น! รุ่งเช้าวันที่แปดราชาโอกกากราชได้ทรงให้นางกำนัลตกแต่งพระมเหสีสีลวดีด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จากนั้นทรงบัญชาให้นายทวารเปิดประตูพระบรมมหาราชวังอัญเชิญองค์เทวีเสด็จพระราชดำเนินออกสู่ภายนอก

เวลาเดียวกันนั้น ณ ภพดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของ ท้าวสักกเทวราช ด้วยอานุภาพแห่งศีลที่พระนางสีลวดีได้ทรงรักษา ทันทีที่พระนางทรงย่างพระบาทพ้นบานทวารของพระบรมมหาราชวัง ภพของเทพราชันก็เกิดเร่าร้อนขึ้นมาทันใด จอมเทพผู้กระเดื่องนามพอทรงเห็นก็ทรงรู้ทันทีว่าบัดนี้แดนมนุษยโลกคงต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ จึงทรงกำหนดจิตดู

ทันใดก็ทราบว่าพระนางสีลวดีผู้เปี่ยมด้วยศีลกำลังจะเสียสละตนเองเพื่อบ้านเมืองโดยทรงยอมไปมีความ สัมพันธ์กับบุรุษอื่นที่มิใช่สามีตนเพื่อจักทรงให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระเจ้าโอกกากราช พอทรงทราบดังนั้นจอมเทพแห่งตาวติงสาก็มิอาจจักทรงนิ่งเฉยได้ ทรงคำนึงขึ้น “ เราจะปล่อยให้ศีลของเทวีต้องมาด่างพร้อยเพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ แลจักต้องให้นางได้พระโอรสสมปรารถนาด้วย! แต่จักทำอย่างไรดี? ”

ทันใดนั้นภาพของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งซึ่งถึงกาลใกล้จุติจากภพดาวดึงส์ไปบังเกิดยังเทวภูมิชั้นที่สูงกว่า ก็ปรากฏขึ้นในมโนทวารของเทพราชัน พอทรงทราบดังนั้นจอมเทพแห่งตาวติงสาจึงไม่รอช้า รีบเสด็จไปยังวิมานของพระมหาสัตว์พร้อมเทพผู้ติดตามทันที พอถึงก็ทรงรวบรัดตัดบทตรัสกับเทพโพธิสัตว์ว่า “ ดูก่อน
พระมหาสัตว์ ขอท่านจงลงไปเกิดยังภพมนุษย์ในครรภ์ของพระมเหสีสีลวดีเถิด ”

แลเพื่อจักให้เทพโพธิสัตว์ยอมรับในเทวบัญชา องค์เทพราชันจึงทรงหันไปตรัสกับเทพผู้ติดตามโดยมิยอมให้เทพโพธิสัตว์ได้ทันอ้าปาก “ ดูก่อนท่านมาตาลี ถึงท่านก็เช่นกัน จงลงไปเกิดเป็นพระโอรสของพระนางสีลาวดีร่วมกับพระมหาสัตว์เถิด ” แหละทันทีที่ทรงรับสั่งจบ ท้าวสหัสนัยน์ก็ไม่ทรงรอให้เทพบุตรทั้งสองได้โต้แย้งแต่อย่างใด รีบเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาปรากฏพระองค์ยังลานหน้าพระบรมมหาราชวังกรุงกุสาวดีในร่างของพราหมณ์แก่ทันที

เวลานั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังอันกว้างใหญ่ ซึ่งบัดนี้ดูจักคับแคบไป เนื่องจากมีเหล่าบุรุษมารวมกันจนแทบจะหาที่ยืนมิได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษน้อยบุรุษใหญ่ ไล่ไปจนถึงบุรุษวัยใกล้ขึ้นเมรุ ต่างก็พากันมายืนอวดโฉมรอให้พระนางสีลวดีเลือกตนไปเป็นคู่อภิรมย์กันให้สลอน บุรุษเหล่านั้นพอเห็นท้าวสักกะในร่างพราหมณ์แก่ก็มายืนปิดท้ายรอเลือกกับเขาด้วย ต่างก็หัวเราะขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางกันไปต่างๆนานาอีก

พราหมณ์เฒ่าเมื่อถูกเหล่าฉกรรจ์ดูถูกก็เกิดให้มีโมโหจึงโต้กลับไปอย่างเสียงสั่น ไม่เพียงเท่านั้นแถมยังปนตะกุกตะกักอีก “ ชิ ชะ! เจ้า พวก ผู้เยาว์ ถึง กาย เรา จักแก่ก็จริง แต่ความ กระชุ่ม กระชวย มันหาแก่ตาม ไปด้วย เสียเมื่อไหร่ ครั้ง นี้ เราจัก แสดงให้เห็นว่า พระนาง สี ล วดี จัก ต้อง เป็น ของเรา ขอพวกท่าน จงคอย ดูเถอะ! ”

เหล่าบุรุษเมื่อได้ฟังคำโต้ตอบของพราหมณ์แก่ผู้มีใจหนุ่ม ก็ยิ่งหัวเราะขบขันกันเข้าไปใหญ่ แต่พราหมณ์ชราหาสนใจไม่ เนื่องจากเขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจักมิให้ศีลของพระนางสีลวดีต้องด่างพร้อยได้ ทันใดเขาก็ผุดความคิดจึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันกึกก้อง “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอจงเปิดทางให้กับข้าพเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! ” พอสิ้นเสียงตะโกนพราหมณ์เฒ่าก็ไม่รอช้ากระโจนพรวดขึ้นไปข้างหน้าสุดตัวราวกับอาชาชำนาญศึกยังไงก็ยังงั้น

แต่ช่างเป็นเรื่องประหลาด เสียงที่พราหมณ์ แก่ตะโกนออกไปครั้งนี้ไฉนมันจึงมิได้สั่นพร่าแลตะกุกตะกักเหมือนที่พูดคราแรก แต่กลับกังวานราวกับระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีโดยผู้ที่มีพละกำลัง จนคนรอบข้างต่างหูอื้อกันไปตามๆกัน บรรดาบุรุษที่ยืนด้านหน้าแต่ละคนต่างไม่มีใครคิดว่าจักมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับตน จึงไม่มีผู้ใดได้ทันเตรียมตัว พอสิ้นเสียงตะโกนพวกเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแรงไร้สภาพอะไรสักอย่างกระแทกเข้าใส่อย่างจังจนต้องกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศคนละทาง เพียงชั่วกระพริบตาพราหมณ์แก่ที่ยืนอยู่แถวหลังสุด ฉับพลันก็ขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าสุดได้อย่างง่ายดายจนเป็นที่อัศจรรย์!

ขณะนั้นพระนางสีลวดีได้เสด็จมาถึงเบื้องหน้าพราหมณ์ชราพอดี ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า เอื้อมมือไปคว้าข้อพระหัตถ์ของนางได้ก็รีบจูงพระนางออกจากลานหน้าพระบรมมหาราชวังหายลับไปในหมู่ผู้คนทันที ฝ่ายบรรดาบุรุษที่มัวแต่หันไปดูผู้ที่นอนร้องครวญครางอยู่ที่พื้นเนื่องจากถูกพราหมณ์แก่ชน จนไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตว่าด้านหน้ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น พอหันกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นร่างของมเหสีสีลวดีและพราหมณ์ชราแล้ว จึงต่างพากันผรุสวาทออกไป “ ดูเถิดท่านผู้เจริญ! พราหมณ์แก่ได้พาพระเทวีผู้เลอโฉมหนีไปแล้ว ตาเฒ่านี่ช่างไม่รู้เลยว่าสิ่งใดควรฤามิควรกับตน ถึงองค์ทวีก็เช่นกัน ไฉนจึงมิได้ทรงเขินอายเลยว่าพราหมณ์ชราคราวปู่เป็นผู้พาตนไป ไยจึงยอมไปกันง่ายๆเยี่ยงนี้ มันช่างน่าแค้นใจจริงๆ! ” ด้านพระเจ้าโอกกากราชซึ่งทรงเฝ้าแอบมองนางอันเป็นที่รักทางช่องพระแกล ครั้นทรงเห็นพระชายาถูกพราหมณ์ชราพาไปก็ทรงเสียพระทัยไม่แพ้เหล่าบรรดาบุรุษเช่นกัน!

กล่าวถึงพราหมณ์เฒ่า หลังจากพาพระมเหสีสีลวดีแยกจากฝูงชนแล้ว เขาก็รีบพานางมายังเรือนไม้ที่ตนได้เนรมิตไว้ก่อนหน้านี้ พอมาถึงก็เชิญพระนางขึ้นเรือน ลำดับนั้นพระเทวีพอทรงทอดพระเนตรเห็นเรือนไม้ของพราหมณ์ชราก็ทรงรู้สึกเกิดความกังขาขึ้นมาทันที เนื่องจากมันช่างใหญ่โตโอฬารเกินกว่าฐานะที่พรามหณ์แก่อย่างเขาจักมีได้จริงๆ จึงตรัสถามเขา “ พ่อเอย นี่เรือนของพ่อรึ? ” จอมเทพในร่างพราหมณ์แก่ตอบว่า “ ใช่แล้วน้องหญิง กาลก่อนพี่อยู่คนเดียว บัดนี้มีน้องมาอยู่ด้วย ฉะนั้นเดี๋ยวพี่ต้องออกไปหาข้าวสารมาเพิ่มก่อน ขอน้องจงพักให้สบายบนเครื่องลาดนี้เถิด ”

ไม่เพียงแต่พูด ว่าแล้วท้าวสุรบดีในร่างพราหมณ์เฒ่าก็ทรงยื่นพระหัตถ์ไปแตะที่พระกรขององค์เทวีทันที มเหสีสีลวดีพอทรงถูกฝ่าพระหัตถ์ของจอมเทพแตะใส่ บัดนั้นก็ทรงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาทันใด ไม่ถึงอึดใจก็ทรงเผลอหลับไปโดยไม่รู้พระองค์ ลำดับนั้นท้าวโกสีย์เมื่อทรงเห็นพระมเหสีของพระเจ้าโอกกากราชทรงหมดสติแล้วจึงทรงอุ้มนางเข้าไว้ในอ้อมพระอุระ จากนั้นก็ไม่รอช้า ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้าเหาะกลับดาวดึงส์เทวโลกทันใด พอถึงภพดาวดึงส์ก็ทรงวางนางลงบนทิพอาสน์ในห้องบรรทมของไพชยนต์ปราสาท จากนั้นจึงเสด็จไปพักผ่อนคลายพระอิริยาบถในสวนอุทยานทิพย์ปุณฑริกวันเพื่อรอนางตื่น

กล่าวถึงมเหสีสีลวดี หลังจากที่ทรงหลับใหลไปพักใหญ่พระนางก็ทรงฟื้นสติ พอทรงตื่นมาเห็นห้องบรรทมที่งามเหนือคำบรรยายข้าวของแต่ละชิ้นล้วนไม่เคยทรงพบจากที่ไหนมาก่อน ก็ทรงทราบว่าพราหมณ์ชราผู้นี้เห็นทีคงจักมิใช่มนุษย์เสียเป็นแน่ คงจักเป็นท้าวสักกะจำแลงมา ดังนั้นจึงทรงลุกจากพระแท่นบรรทมเสด็จออกไปยังนอกปราสาท

เพลานั้นสมเด็จพระอมรินทร์กำลังประทับอยู่บนพระแท่นบัณฑุกัมศิลาอาสน์ ใต้ร่มปาริฉัตร มีเหล่านางฟ้านับพันรายล้อม องค์เทพราชันพอทรงเห็นมเหสีสีลวดีเสด็จออกมาจึงทรงกวักพระหัตถ์เรียก องค์เทวีพอทรงเห็นจึงเสด็จเข้าไป เมื่อทรงไปถึงจอมเทพแห่งตาวติงสาได้ตรัสกับนางว่า “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้เจ้าคงทราบแล้วว่าพี่เป็นใคร การที่พี่พาเจ้ามายังภพดาวดึงส์ ก็เพราะไม่ปรารถนาให้ศีลของเจ้าต้องด่างพร้อย และเพื่อให้เจ้าได้สมปรารถนาในสิ่งที่ต้องการ พี่จะให้พรเจ้าข้อหนึ่ง จงบอกมาเถิดว่าน้องต้องการสิ่งใด? ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ให้ทรงตื้นตันพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทูลว่า “ ขอเดชะพระ องค์ผู้ทรงฤทธิ์ หม่อมฉันปรารถนาจักได้พระโอรสองค์หนึ่งเพคะ ขอพระองค์โปรดทรงประทานพระโอรสให้แก่หม่อมฉันด้วยเถิด ”

ท้าวสักกะครั้นทรงสดับจึงตรัส “ ดูก่อนน้องหญิง อย่าว่าแต่พระโอรสหนึ่งองค์เลย พี่จักให้เจ้า ๒ องค์เลยก็แล้วกัน แต่โอรสทั้งสองนี้ องค์หนึ่งจักเป็นผู้ที่เรืองปัญญามากสามารถ แต่ทว่ามีรูปไม่งาม ส่วนอีกองค์จักเป็นผู้ที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ด้อยสามารถ โอรสทั้งสองนี้เจ้าปรารถนาองค์ใดก่อนฤา? ” มเหสีแคว้นมัลละรีบทูลว่า “ ขอเดชะ หม่อมฉันปรารถนาพระโอรสที่เรืองปัญญาก่อนเพคะ ” ท้าววาสพจึงตรัส “ ดูก่อนน้องหญิง เจ้าจักได้ตามที่เจ้าต้องการ แลนอกจากพรแล้วพี่ยังจักประทานสิ่งของให้เจ้าอีก ๕ อย่าง คือ หญ้าคาทิพย์ ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตรทิพย์ และพิณโกกนท ”

พอตรัสจบจอมเทพแห่งดาวดึงส์ภพก็ทรงบันดาลให้มเหสีสีลวดีหมดสติไปทันใด จากนั้นก็ทรงอุ้มนางเหาะกลับลงมายังโลกมนุษย์ พอถึงก็ทรงวางนางลงบนพระแท่นบรรทมของพระเจ้าโอกากราช จากนั้นก็ทรงใช้พระอังคุฐ(นิ้วหัวแม่มือ) ลูบพระนาภี(ท้อง) ขององค์เทวีขึ้นแลลงหนึ่งครั้ง เสร็จแล้วจึงเสด็จกลับเทวโลก ทันทีที่ท้าวโกสีย์ทรงลูบพระนาภีของมเหสีสีลวดีบัดนั้นพระโพธิสัตว์เทพบุตรก็ถึงกาลจุติจากดาวดึงส์ภพลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางเวลานั้นทันทีทันใดเช่นกัน เพลานั้นมเหสีแคว้นมัลละก็พลันทรงฟื้นพระสติขึ้นมา แหละก็ทรงทราบว่าบัดนี้พระนางได้ทรงตั้งพระครรภ์แล้ว!

ครั้นรุ่งเช้าพอพระเจ้าโอกกากราชทรงตื่นจากบรรทมแลทรงเห็นพระชายาทรงหลับอยู่ข้างๆ ก็ให้ทรงประหลาดพระทัยเป็นกำลัง ทรงรีบปลุกนางขึ้นมาถามทันใด “ ดูก่อนพระชายา นี่เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใด? ใครเป็นคนพาเจ้ามารึ? ” องค์เทวีซึ่งกำลังบรรทมอยู่อย่างเป็นสุข ครั้นทรงถูกปลุกจึงทรงค่อยๆลืมพระเนตร จากนั้นจึงทูล

“ หม่อมฉันมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนเพคะ ท้าวสักกะทรงพาหม่อมฉันมา ” จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับทรงชะงักไปทันใด หลังจากทรงตั้งพระสติได้จึงตรัสถามพระชายาด้วยสีพระพักตร์ที่งุนงง “ ดูก่อนเทวี เราเห็นเจ้าถูกพราหมณ์ชราพาตัวไป ไฉนจึงต้องมากล่าวความเท็จต่อเราเล่า? ” มเหสีสีลวดีทูลว่า “ ขอพระองค์โปรดทรงเชื่อหม่อมฉันเถิด องค์อมรินทร์ทรงพาหม่อมฉันไปยังดาวดึงส์ภพ แล้วก็ทรงพาหม่อมฉันกลับมายังโลกมนุษย์จริงๆเพคะ! ”

แต่ถึงจะทรงอธิบายเพียงใดจอมราชาก็หาได้ทรงยอมเชื่อไม่ จนในที่สุดพระนางจึงทรงนำเอาของวิเศษ ๕ อย่างที่ท้าวสักกะทรงประทานให้ ออกมาแสดงต่อพระพักตร์ เมื่อนั้นพระเจ้าโอกกากราชจึงทรงยอมเชื่อ จากนั้นจึงตรัสถามถึงเรื่องที่ทรงร้อนพระทัยที่สุด “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ พักเรื่องท้าวสักกะไว้ก่อน พี่อยากทราบว่าการที่เจ้าหายไปหลายวันนี้เจ้าได้บุตรกลับมาหรือไม่? ” องค์เทวีเมื่อทรงถูกถามเช่นนั้นก็ให้ทรงรู้สึกเขินอาย จึงทรงก้มพระพักตร์ตอบจอมราชาไปด้วยน้ำพระเสียงที่แผ่วเบาว่าพระนางได้ทรงตั้งพระครรภ์แล้ว ซึ่งยังความปลื้มพระทัยให้จอมกษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง ทรงบัญชาให้นางกำนัลรีบไปนำเครื่องบำรุงครรภ์มาถวายพระชายาเป็นการด่วน จากนั้นทรงรับสั่งให้ทหารไปประกาศข่าวดีนี้ให้ประชาชนทั้งหลายได้รับทราบโดยทั่วกัน และให้ทุกครัว เรือนร่วมเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทที่เพิ่งจักปฏิสนธิในพระครรภ์นี้เป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน

กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เมื่อครบกำหนดทศมาสพระนางสีลวดีก็ทรงประสูติพระโอรสที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ให้กับพระเจ้าโอกกากราช พระนามว่า กุสติณราชกุมาร (กุสราชกุมาร) ถัดจากนั้น ๑๐ เดือนก็ทรงประสูติพระโอรสองค์ที่สองพระนามว่า ชยัมบดีราชกุมาร ตามมา พระกุมารทั้งสองต่างทรงเจริญพระชันษามาด้วยพระอิสริยยศที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งสองพระองค์ พระเชษฐากุสราชทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังแลพระสติปัญญาเป็นเลิศ ไม่ว่าจักทรงศึกษาศิลปะแขนงใดก็ทรงถึงซึ่งความ สำเร็จไปเสียทั้งหมด พอพระชนมายุได้ ๑๖ พระชันษาพระบิดาก็ทรงปรารถนาจะมอบราชสมบัติให้

วันหนึ่งหลังจากที่ทรงตัดสินพระทัยเป็นที่เรียบร้อยจอมราชาได้ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระมเหสีสีลวดีมาพบ เพื่อจะทรงปรึกษาเรื่องการยกราชสมบัติให้กับพระราชโอรสองค์โต เมื่อองค์เทวีเสด็จมาถึงจอมกษัตริย์จึงตรัส “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะมอบราชสมบัติให้แก่ลูกกุสราช แลจักให้เหล่านางฟ้อนมาบำรุงบำเรอความสุขให้เขาในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็ลูกเราคิดชอบใจพระธิดากษัตริย์แคว้นใดในชมพูทวีป พี่ก็จะไปขอพระธิดานางนั้นมาเป็นมเหสีของลูกเรา น้องเห็นเป็นเช่นไร? ” พระนางสีลวดีเมื่อทรงสดับก็ทรงเห็นด้วย หลังกลับจากเข้าเฝ้าเพื่อจักทรงหยั่งเชิงบุตรชายดู องค์เทวีจึงทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลเรื่องการยกราชสมบัติให้กับพระโอรสกุสราชได้ทรงรับทราบ

พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับคำนางกำนัลก็ทรงดำริว่าตนนั้นมีรูปไม่งามพระธิดาผู้สมบูรณ์ด้วยรูปหากมาเห็นก็คงจักตอบปฏิเสธเสียเป็นแน่ เรื่องอะไรจะมาทนอยู่กับสามีที่มีหน้าตาขี้ริ้ว เห็นทีเราควรอยู่เป็นโสดคอยบำรุงบิดามารดาให้มีความสุขจึงจักดีกว่า แลเมื่อใดที่ท่านทั้งสองทรงสิ้นพระชนม์ เราก็จักออกบวชเพื่อประกอบกิจสำหรับโลกหน้า หนทางนี้ท่าจักดีที่สุดสำหรับเรา! เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับนางกำนัล “ ดูก่อนพี่สาว เราไม่ต้องการราชสมบัติดอก แลก็ไม่ต้องการนางฟ้อนด้วย พอพระชนกแลพระชนนีทรงสิ้นพระชนม์เราก็จักออกบวช ขอพี่สาวจงไปตอบพระมารดาตามนี้เถิด ” นางกำนัลพอรับพระบัญชาจึงกลับมาทูลพระมเหสีสีลวดีตามที่พระมหาสัตว์ตรัส องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงรู้สึกเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็หาได้ทรงยอมแพ้! ผ่านไปสองวันพระนางก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลกลับไปถามราชบุตรใหม่ แต่พระมหาสัตว์ก็ยังทรงยืนยันคำเดิม เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา

ครั้นถึงครั้งที่สี่พระโอรสกุสราชได้ทรงดำริว่า “ ธรรมดาผู้เป็นบุตรจะขัดขืนบิดามารดาอยู่ร่ำไปนั้นหาควรไม่ จำเราจักต้องทำอุบายสักอย่างให้พระมารดาทรงเปลี่ยนพระทัยดีกว่า ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงรับสั่งให้มหาดเล็กไปขนทองคำจากท้องพระคลังมาเก็บไว้ที่ตำหนักพระองค์ ๒ คันรถ พอมหาดเล็กขนเสร็จพระองค์ก็ทรงบัญชาให้เขาไปตามช่างทองมาพบ เมื่อนายช่างมาถึงพระมหาสัตว์ได้ตรัสกับช่างทอง

“ ดูก่อนท่านนายช่าง เราอยากจักได้รูปหล่อสตรีมาตั้งไว้ในห้องนอนของเราสักองค์ ขอท่านจงเอาทองคำนี้ไปหนึ่งคันรถ ไปหล่อเป็นรูปสตรีเถิด เสร็จเมื่อใดจงนำมาให้เราดู ” ช่างทองพอรับพระบัญชาก็เข็นรถทองคำคันหนึ่งจากไป ฝ่ายโอรสกุสราชพอนายช่างไปแล้วก็ทรงเข็นรถทองคำคันที่เหลือไปยังด้านหลังพระตำหนัก จากนั้นก็ทรงหล่อรูปสตรีขึ้นบ้าง

ธรรมดาความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ย่อมสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ หลังจากที่องค์รัชทายาททรงหล่อรูปสตรีเสร็จ รูปหล่อของพระองค์ก็มีความงามราวกับมีชีวิต และยิ่งเมื่อทรงนำเอาเครื่องทรงธิดากษัตริย์มาสวมให้อีกก็ยิ่งทำให้รูปหล่อนั้นดูคล้ายกับพระธิดาผู้สูงศักดิ์องค์หนึ่งขึ้นมาจริงๆ! หลังจากทรงตกแต่งเสื้อผ้าเครื่องประดับให้กับรูปหล่อ พระมหาสัตว์ก็ทรงเข็นเอารูปหล่อไปเก็บไว้ในห้องบรรทม จนกาลล่วงไปเดือนเศษช่างทองจึงหล่อรูปสตรีของเขาเสร็จ แลได้เข็นรูปหล่อของตนมาแสดงต่อพระพักตร์

พระมหาสัตว์พอทรงเห็นรูปหล่อของช่างทองจึงตรัสให้เขาไปเข็นเอารูปหล่อของพระองค์ในห้องบรรทมออกมาบ้าง เพื่อจักทรงเทียบดูว่าของใครงดงามกว่ากัน ช่างทองพอรับพระบัญชาจึงรีบลุกไปตามรับสั่ง เมื่อเข้าไปในห้องเนื่องจากพระมหาสัตว์มิ ได้ทรงเปิดบานพระแกลไว้ ดังนั้นภายในจึงดูมืดสลัว ช่างทองพอไปเห็นรูปหล่อสตรีที่สวมเครื่อง ทรงธิดากษัตริย์ ก็สำคัญผิดคิดว่ารูปหล่อนั้นเป็นนางอัปสรจำแลงกายมาร่วมอภิรมย์กับพระราชโอรส จึงรีบลนลานกลับมาทูลพระมหาสัตว์อย่างปากคอสั่น

“ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระบาทมิทราบว่าในห้องมีพระแม่เจ้าประทับอยู่จึงละลาบละล้วงเข้าไป ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับข้าพระบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า ” พระโอรสกุสราชครั้นทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์จากนั้นจึงตรัสกับช่างทอง “ ดูก่อนท่านนายช่าง สตรีที่ไหนรึ? ที่ท่านเห็นนั้นคือรูปหล่อที่เราหล่อขึ้นต่างหาก หาใช่สตรีจริงๆเสียเมื่อไหร่ขอท่านจงไปเข็นออกมาเถิด” ช่างทองพอฟังก็ยังแสดงอาการกล้าๆกลัวๆอยู่ แต่พอพระโอรสตรัสซ้ำเขาจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้พอไปถึงเขาลองค่อยๆยื่นมือออกไปแตะที่ผิวรูปหล่อก่อน พอสัมผัสถึงความเย็นเฉียบของเนื้อโลหะจึงยอมเชื่อว่านางมิใช่มนุษย์ จึงเข็นเอารูปหล่อออกมา

พระมหาสัตว์เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อของพระองค์นั้นงดงามกว่าของช่างทองอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ จึงทรงรับสั่งให้ช่างทองเข็นรูปหล่อของเขาไปเก็บไว้ในท้องพระคลัง จากนั้นก็ทรงบัญชาให้ทหารยกเอารูปหล่อของพระองค์ขึ้นตั้งบนแคร่ส่งไปยังตำหนักพระมารดา พร้อมกับทรงฝากพระดำรัสให้ไปทูลพระมารดาว่า หากแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีสตรีที่งดงามเหมือนดังรูปหล่อนี้ เมื่อนั้นแลพระองค์จึงจักทรงยอมอยู่ครองเรือน! องค์เทวีพอทรงสดับพระดำรัสที่ราชบุตรฝากทหารมา แลทรงเห็นรูปหล่อที่งดงามเหนือคำบรรยายก็ให้ทรงรู้สึกท้อพระทัยเป็นอย่างยิ่งแต่ก็หาได้ทรงยอมแพ้ไม่ ทรงดำริว่า “ ฤาแผ่นดินอันกว้างใหญ่จักไม่มีสตรีที่งามเทียบเท่ารูปหล่อนี้ เป็นไปไม่ได้ ย่อมต้องมีสักนางที่งามเทียบได้แน่แต่เราจักรู้ได้อย่างไรว่าสตรีที่ว่านี้พำนักอยู่แว่นแคว้นไหน หรือว่ามีชื่อเรียงเสียงไร? ”

จอมเทวีทรงพยายามนึกหาวิธีเพื่อจักให้ได้มาซึ่งหญิงนางนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทรงนึกไม่ออก หลังจากที่ทรงย่างพระบาทวนไปเวียนมาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ทรงผุดความคิด จึงตรัสเรียกนางกำนัลให้ไปตามท่านอำมาตย์มาพบด่วน เมื่อท่านอำมาตย์มาถึงพระนางได้ทรงบัญชาให้เขารีบไปจัดเตรียมขบวนคณะทูตเป็นการด่วน หากพร้อมเมื่อใดให้นำรูปหล่อทองคำเบื้องหน้านี้ขึ้นรถม้า ปิดผ้าคลุมเอาไว้อย่าให้ผู้ใดเห็น จากนั้นให้เขาพาคณะฑูตท่องไปยังแว่นแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป หากพบพระธิดาแคว้นใดมีรูปโฉมงดงามปานรูปหล่อก็จงถวายรูปหล่อนี้แด่พระราชาแคว้นนั้น แล้วให้ทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละจักขอกระทำอาวาหวิวาหมงคล (การแต่งงานที่ฝ่ายหญิงย้ายมาอยู่กับฝ่ายชาย) พร้อมกันนั้นให้เขานัดวันที่จะทำพิธีกับแคว้นนั้นให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นให้รีบกลับกรุงกุสาวดีมารายงานให้พระนางรับทราบเป็นการด่วน ท่านอำมาตย์พอรับพระบัญชาก็รีบไปดำเนินการตามรับสั่งทันที

ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนคณะทูตแห่งแคว้นมัลละก็ออกเดินทางจากกรุงกุสาวดีท่องไปยังแว่นแคว้นต่างๆตามพระราชเสาวนีย์ เมื่อขบวนคณะทูตไปถึงเมืองหรือแหล่งชุมชนใดพวกเขาก็นำเอาดอกไม้แลเครื่องประดับตกแต่งให้รูปหล่อ พอยามโพล้เพล้ก็นำรูปหล่อไปตั้งไว้ริมทางก่อนจะลงสู่ท่าน้ำ จากนั้นก็พากันแอบซุ่มคอยดักฟังคำสนทนาของผู้คนที่มาอาบน้ำว่าจักพูดถึงรูปหล่ออย่างไร บรรดาผู้ที่มาอาบน้ำพอเห็นรูปหล่อสตรีตั้งอยู่บนวอต่างก็คิดว่าคงเป็นสตรีสูงศักดิ์จากต่างเมืองจะมาอาบน้ำ หามีผู้ใดจักคิดไปว่าเป็นรูปหล่อไม่ ต่างเอ่ยปากชมเชยกันว่าแม่หญิงนางนี้ช่างมีผิวพรรณงดงามนัก แม้เทพอัปสรก็คงมิได้งามเกินกว่านี้แน่ แต่ไฉนจึงมานั่งอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้ก็ไม่ทราบ เมืองเราไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีที่งามปานนี้ เห็นทีคงจักเป็นสตรีจากต่างแคว้นเสียเป็นแน่ หลังซุบซิบกันพวกเขาก็พากันลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ ฝ่ายพวกอำมาตย์ที่แอบซุ่ม พอได้ยินชาวเมืองวิพากษ์วิจารณ์รูปหล่อก็รู้ว่าเมืองนี้คงไม่มีสตรีที่งามเทียบเท่ารูปหล่อแน่ จึงพากันออกเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อ พวกเขาเที่ยวทำอุบายลักษณะนี้ไปตามแว่นแคว้นต่างๆจนกระทั่งมาถึง กรุงสาคละ เมืองหลวงแคว้น มัททะ มี พระเจ้ามัททราช ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้น

ราชามัททราชพระองค์นี้ทรงมีพระธิดาที่มีรูปโฉมงดงามอยู่ถึง ๘ นาง โดยเฉพาะธิดาองค์โตที่มีนามว่าประภาวดี กล่าวได้ว่าทั่วทั้งชมพูทวีปหาได้มีสตรีใดจักมีรูปโฉมงดงามเสมอนาง แม้ยามราตรีในห้องอันมืดมิดหากมีนางประทับอยู่ ห้องนั้นก็ยังเรืองรองไปด้วยรัศมีที่แผ่ออกมาจากกายนางดุจดังแสงอาทิตย์อ่อนๆยามรุ่งอรุณยังไงก็ยังงั้น!(อะไรมันจะขนาดนั้น) พระธิดาประภาวดีทรงมีพระพี่เลี้ยงนางหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม ทุกเย็นพี่เลี้ยงค่อมจักให้หญิงรับใช้ ๘ นางถือหม้อไปตักน้ำจากท่าน้ำนำมาให้เทวีทรงสรงสนานที่พระตำหนัก

โพล้เพล้วันหนึ่งขณะที่เหล่านางรับใช้กำลังเดินไปตักน้ำที่ท่าน้ำเหมือนเช่นปกติ หญิงรับใช้นางหนึ่งได้เหลือบไปเห็นรูปหล่อที่คณะทูตนำมาตั้งไว้เข้าโดยบังเอิญ พอเห็นนางก็เข้าใจว่ารูปหล่อนั้นเป็นพระธิดาประภาวดีทรงแอบหนีมาสรงน้ำเพียงลำพัง ดังนั้นจึงพูดขึ้น“พวกท่านจงดูเถิดพระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นผู้ว่ายากเสียเหลือเกิน ตรัสว่าจักทรงสรงน้ำอยู่ที่พระตำหนัก แต่ไฉนจึงมาประทับอยู่ที่ข้างทางได้? ” เหล่าหญิงรับใช้พอฟังต่างก็หันไปมองตามที่นางบอก จึงเห็นพระธิดาประทับอยู่จริงเหมือนคำนาง ดังนั้นจึงพากันเดินเข้าไป

พอไปถึงนาง ผู้เป็นพี่ใหญ่ได้พูดขึ้น “ พระธิดาประภาวดีเพคะ เหตุไฉนจึงมาประทับอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ช่างเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเลย หากผู้ใดมาเห็นเข้าอาจทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียได้นะเพคะ! ” ว่าแล้วนางก็ยื่นมือไปแตะที่แขนรูปหล่อ แต่พอนิ้วของนางสัมผัสกับผิวรูปหล่อ บัดนั้นนางก็ถึงกับสะดุ้งโหยงจนต้องยกมือหนีแทบไม่ทัน เพราะมันช่างเย็นเฉียบราวกับเกล็ดของหิมะยังไงก็ยังงั้น! เหล่านางรับใช้พอเห็นอากัปกิริยาพี่ใหญ่ต่างก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน นางรับใช้ผู้หนึ่งอดปากไม่อยู่จึงร้องถามไป “ ท่านพี่เป็นอะไรรึ? ไฉนจึงต้องตกใจถึงปานนั้นด้วย? ” ผู้เป็นพี่ใหญ่ซึ่งยังไม่คลายจากอาการสะดุ้งฝืนตอบไปว่า

“ จักไม่ให้ตกใจได้ยังไง พวกเจ้าดูซิ! เราสำคัญผิดคิดว่ารูปหล่อนี้คือพระธิดาประภาวดีไปเสียได้ ช่างน่าขันจริงๆ! ” พอนางพูดจบพุ่มไม้ข้างๆก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็แว่วยินเสียงผู้คนคุยกันจากนั้นไม่ถึงอึดใจก็มีกลุ่มคนกรูกันออกมาจากพุ่มไม้ดังกล่าวตรงมาที่พวกนาง กลุ่มคนเหล่านี้ที่แท้ก็คือคณะทูตแคว้นมัลละที่แอบซ่อนอยู่นั่นเอง พวกเขาพอได้ยินพี่ใหญ่หญิงรับใช้บอกว่าตนเข้าใจผิด คิดว่ารูปหล่อเป็นพระธิดาประภาวดี จึงพลุ่งพล่านใจ พากันกรูออกมาทันที เมื่อเข้ามาถึงท่านอำมาตย์รีบถามหญิงผู้เป็นพี่ใหญ่ทันใด “ดูก่อนน้องหญิง ที่ท่านกล่าวว่าพระธิดาประภาวดีนั้น ท่านหมายถึงผู้ใดรึ? ”

เหล่าหญิงรับใช้พอฟังต่างก็มองไปที่ใบหน้าท่านอำมาตย์เหมือนดั่งสงสัยว่าไฉนเขาจึงไม่รู้จักพระธิดาประภาวดี อย่างไรก็ตามนางผู้เป็นพี่ใหญ่ได้ตอบ “ ก็หมายถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราชน่ะซิ จะหมายถึงผู้ใดได้ รูปหล่อนี้หากเปรียบกับพระรูปโฉมของพระธิดา ยังเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว! ” ท่านอำมาตย์พอฟังก็ให้แสนดีใจ รีบบอกว่าตนเป็นใคร มาจากไหน จากนั้นก็ขอให้นางพาพวกตนไปเฝ้าพระเจ้ามัททราชเป็นการด่วน

เมื่อขบวนคณะทูตมาถึงพระราชวังกรุงสาคละ มหาดเล็กได้พาพวกเขาไปยังท้องพระโรงเพื่อรอเสด็จองค์เหนือหัวมัททราช ผ่านไปสักครู่หลังจากราชามัททะทรงสดับคำถวายรายงานก็รีบเสด็จมายังท้องพระโรงทันที เมื่อองค์ราชาเสด็จมาถึงแลทรงขึ้นประทับเรียบร้อย ท่านอำมาตย์แห่งแคว้นมัลละจึงกราบบังคมทูล “ ข้าแต่มหาราช พระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละได้ฝากพระดำรัสมาถามพระองค์ว่าพระองค์ทรงพระสำราญดีฤาพระเจ้าข้า” ราชามัททะพอทรงสดับจึงตรัส “ เราสบายดี พวกท่านมาเยือนแคว้นเรามีธุระอันใดรึ? ”

หัวหน้าคณะทูตได้กราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชทรงมีพระประสงค์จะมอบราชสมบัติให้แก่องค์รัชทายาทกุสราชผู้มีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์คำราม มีพละกำลังประดุจพญาคชสาร ดังนั้นจึงทรงมอบหมายพวกตนมาถวายบังคมแด่พระองค์เพื่อแจ้งความประสงค์จักทรงขอพระราชทานพระนางประภาวดีผู้เป็นพระธิดาองค์โตของพระองค์ให้แก่พระราชโอรสกุสราช ไม่ทราบพระองค์ทรงมีความเห็นเช่นไร? พอกล่าวจบตัวแทนคณะทูตก็ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการและรูปหล่อสตรีทองคำแด่พระเจ้ามัททราช

ราชามัททะพอทรงได้รับเครื่องราชบรรณาการเป็นจำนวนมาก แถมยังมีรูปหล่อสตรีทองคำที่งดงามเกินกว่าจักพรรณนาอีก ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำริอยู่ภายใน “ แคว้นเล็กอย่างเราจักได้เกี่ยวดองกับแคว้นใหญ่อย่างมัลละ มันช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ! ” จึงทรงตกปากรับคำทันที หัวหน้าคณะทูตเมื่อเห็นฝ่ายหญิงไม่ขัดข้องจึงแจ้งหมายกำหนดการวันที่จะมารับพระธิดาประภาวดีกลับแคว้นมัลละให้ราชามัททะได้ทรงรับทราบ จากนั้นก็ขอพระราชอนุญาตลากลับแคว้นมัลละเพื่อจักรีบไปแจ้งข่าวดีให้กับพระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบเป็นการด่วน

เมื่อคณะทูตกลับถึงกรุงกุสาวดีท่านอำมาตย์ได้เข้าถวายรายงานพระเจ้าโอกกากราชให้ทรงรับทราบถึงรายละเอียดของภารกิจ หลังจากทรงรับทราบรายละเอียดราชาโอกกากราชก็ทรงรับสั่งให้จัดขบวนขันหมากเป็นการด่วนทันทีเพื่อไปรับพระธิดาประภาวดีกลับมาเป็นพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) พระองค์ ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ออกเดินทางจากแคว้นมัลละมุ่งตรงสู่แคว้นมัททะ ฝ่ายราชามัททะผู้ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะได้เกี่ยวดองกับแคว้นมัลละ เมื่อทรงทราบข่าวการเสด็จมาของพระเจ้าโอกกากราชก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่งทรงจัดเตรียมการต้อนรับไว้อย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน

หลังจากขบวนขันหมากของพระเจ้าโอกากราชเสด็จรอนแรมมาเป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงกรุงสาคละ และหลังจากได้เข้าพักเป็นที่เรียบร้อย ถัดจากนั้นสองวันราชวงศ์ทั้งสองแคว้นก็ทรงมีพระปฏิสันถารต่อกันและกัน ระหว่างการสนทนามเหสีสีลวดีได้ทรงปรารภขึ้น “ ดูก่อนมหาบพิตร ตั้งแต่หม่อมฉันมาพักที่แคว้นพระองค์นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วแต่หม่อมฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระธิดาประภาวดีเลยเพคะ ” ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัสให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีมาเข้าเฝ้า

สักครู่พระธิดาองค์โตแคว้น มัททะพร้อมด้วยหมู่พระพี่เลี้ยงก็เสด็จมาถึงท้องพระโรง เมื่อทรงมาถึงโฉมงามแห่งแคว้นมัททะก็ทรงทรุดพระองค์ลงถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาทของว่าที่พระสัสสุ (แม่ผัว) พระมเหสีสีลวดีพอทรงทอดพระเนตรเห็นว่าที่ลูกสะใภ้แต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จึงทรงดำริขึ้น “ พระธิดาประภาวดีนางนี้ช่างเป็นหญิงงามจนยากจักหานางใดในแผ่นดินเทียบได้จริงๆ ส่วนโอรสของเราซิกลับมิได้มีรูปงามเสมอนางแม้เพียงเศษเสี้ยว หากนางได้เห็นใบหน้าของลูกเรา เห็นทีคงจักไม่ยอมแต่งงานด้วยเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย จำเราจักต้องทำอุบายอะไรสักอย่างแล้ว! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จอมเทวีแห่งแคว้นมัลละจึงตรัสกับราชามัททะ

“ ข้าแต่มหาราช พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นหญิงงามเสียเหลือเกิน คู่ควรแก่พระโอรสของหม่อมฉันเสียยิ่งนัก เพียงแต่จารีตแห่งสกุลหม่อมฉันที่มีมาแต่โบราณนั้นมีข้อกำหนดอยู่ข้อหนึ่ง หากพระธิดาประภาวดีสามารถปฏิบัติตามได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับนางไว้เป็นพระสุณิสาเพคะ ” ราชามัททะเมื่อทรงสดับจึงตรัสถามจารีตที่ว่านั้นเป็นเช่นไร มเหสีสีลวดีทรงอธิบายว่า “ ดูก่อนมหาบพิตร อันธรรมเนียมราชวงศ์แคว้นมัลละพระชายาจะพบหน้าพระสวามีในเวลากลางวันมิได้จนกว่าจะตั้งพระครรภ์ หากพระธิดาประภาวดีสามารถปฏิบัติตามได้ หม่อมฉันก็จักรับนางไว้เป็นพระสุณิสาทันที ”

พระเจ้ามัททราชครั้นทรงสดับจึงทรงหันไปถามบุตรสาว “ ดูก่อนลูกเรา เจ้าสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่? ” โฉมพิลาศแห่งแคว้นมัททะหลังทรงสดับข้อห้ามก็ทรงเห็นว่ามิได้เป็นเรื่องที่ยากอันใด จึงทรงตอบว่านางสามารถปฏิบัติตามได้ ดังนั้นราชวงศ์ทั้งสองจึงต่างปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายพระเจ้าโอกกากราชครั้นทรงเห็นว่าเวลานี้ทั้งสองราชวงศ์ต่างกำลังชื่นมื่น ดังนั้นจึงทรงถือโอกาสถวายพระราชทรัพย์อันเป็นเครื่องสินสอดแก่พระเจ้ามัททราชทันที ถัดจากนั้นสองวันจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงพาพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับกรุงกุสาวดี เพื่อมาเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชโอรสกุสราช

เมื่อขบวนเสด็จพระเจ้าโอกกากราชกลับถึงแคว้นมัลละจอมราชาได้ทรงรับสั่งให้ทหารไปประกาศข่าวดีนี้ให้กับประชาชนทั่วแคว้นรับทราบ พร้อมกันนั้นก็ให้พวกเขาตกแต่งบ้านเรือนให้สว่างไสวเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ให้กับองค์รัชทายาทในพระราชพิธีมงคลที่จะมีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงบำเพ็ญพระราชอภัยทานด้วยการ ปลดปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระอีก ถัดจากนั้นสองวันก็ทรงโปรดเกล้าให้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้กับองค์รัชทายาทและพระธิดาแคว้นมัททะอย่างยิ่งใหญ่อลังการโดยมีการเชิญแขกเหรื่อที่เป็นกษัตริย์ ราชนิกุล ตลอดจนพ่อค้ากระฎุมพีจากแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีปมาร่วมงาน

แลหลังพระราชพิธีอภิเษกสมรสเพียงไม่นาน สมเด็จพระราชาธิบดีก็ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้พระราชโอรสกุสราชทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมัลละแทนพระองค์เหมือนดั่งที่เคยทรงตั้งพระทัยไว้ แลเพื่อเป็นการประกาศศักดาต่อแคว้นต่างๆ ราชสำนักแคว้นมัลละก็ได้ส่งราชทูตนำพระราชสานส์ไปป่าวประกาศยังแว่นแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีปให้ทราบ บัดนี้แคว้นมัลละได้มีพระราชาพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว อาณาจักรใดมีพระ ธิดาขอให้ส่งพระธิดาแคว้นตนมาถวายแด่พระเจ้ากุสราช อาณาจักรใดมีพระโอรส หากหวังความเป็นมิตรขอให้ส่งพระโอรสมาเป็นพระราชอุปัฏฐากให้กับราชากุสราช

ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทรงมีพระสนมเป็นบริวารมากมาย ทรงปกครองประเทศด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ใดทั่วชมพูทวีป ส่วนพระนางประภาวดีหลังผ่านพระราชพิธีราชาภิเษกได้เพียงไม่กี่วัน พระนางก็ทรงได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้ากุสราชในเวลาถัดมา


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 04 ต.ค. 2023, 07:05, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๒

กุสราชมหาสัตว์ ๒

กล่าวถึงพระนางประภาวดี หลังทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอัครมเหสีแล้วพระนางก็ยังไม่เคยทรงเห็นพระพักตร์ของพระสวามีในยามกลางวันเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือนกัน ตั้งแต่รุ่งอรุณจวบจนพระอาทิตย์ตกดินพระองค์ก็ยังไม่เคยทรงเห็นพระพักตร์ของพระชายาเลยเช่นกัน จนวันหนึ่งราชาโพธิสัตว์ก็มิอาจทรงทนต่อความอยากเห็นหน้าภรรยาได้ จึงเสด็จไปเฝ้าพระมารดาเพื่ออ้อนวอนให้ทรงพาพระองค์ไปพบพระชายาในยามกลางวัน แต่มเหสีสีลวดีได้ทรงทัดทานไว้ ว่าอย่าได้ทำตามอำเภอใจ รอจนพระชายาทรงตั้งพระครรภ์ก่อนจึงค่อยพบกัน

แต่ความอยากเห็นหน้าภรรยานั้นมันช่างมีกำลังมากเหลือเกิน เกินกว่าที่ราชาหนุ่มจักทรงหักห้ามพระทัยได้ ดังนั้นผ่านไปสองวันราชาวัยฉกรรจ์ก็ทรงเข้าไปรบเร้าพระมารดาใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา
ในที่สุดพระมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จำต้องทรงอนุญาตให้จอมกษัตริย์ได้พบกับพระชายาในยามกลางวันได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามมิให้พระนางประภาวดีทรงรู้พระองค์เป็นอันขาด โดยจอมเทวีทรงนัดให้พระมหาสัตว์ทรงไปคอยอยู่ที่โรงช้าง เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระนางประภาวดีไปดูช้างศึก

ราชากุสราชครั้นทรงสดับก็ให้แสนลิงโลดพระทัย รีบตรัสให้ทหารไปนำชุดตะพุ่นหญ้าช้าง (คนเลี้ยงช้าง)
มาให้พระองค์ทันที จากนั้นก็ทรงทูลลาพระมารดาเสด็จกลับพระตำหนักเพื่อทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็น
คนเลี้ยงช้าง ฝ่ายมเหสีแคว้นมัลละพอราชบุตรเสด็จกลับพระนางก็ทรงบัญชาให้ทหารไปทำความสะอาดโรงช้างเป็นการด่วน จากนั้นก็เสด็จไปยังตำหนักพระสุณิสาเพื่อจักชวนนางมาทอดพระเนตรโรงช้างหลวง

กล่าวถึงพระเจ้ากุสราชในฉลองพระองค์ของตะพุ่นหญ้าช้าง หลังจากทรงมาคอยอยู่ที่โรงช้างหลวงได้สักครู่ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระมารดาแลพระชายากำลังเสด็จมาที่โรงช้าง พอทรงเห็นดังนั้นก็ทรงเกิดนึกสนุกขึ้นมา จึงทรงเก็บเอามูลช้างแห้งก้อนหนึ่งที่ติดอยู่บนพื้นกำไว้ในพระหัตถ์ พอทรงเห็นพระนางประภาวดีทรงเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่ง ก็ทรงขว้างมูลช้างไปที่พระนาง ขณะนั้นพระธิดาแคว้นมัททะกำลังทรงตื่นเต้นพระทัยกับช้างศึกที่มีขนาดใหญ่ กว่าแคว้นของพระนางอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ พอจู่ๆถูกคนเลี้ยงช้างปามูลช้างใส่ ก็ทรงเกิดมีพระพิโรธโกรธกริ้วขึ้นมาทันใด ทรงเผลอพระองค์ตวาดใส่เจ้าตะพุ่นหญ้าช้าง

“ เหม่! เจ้าผู้บังอาจ เราจักให้พระราชาทรงลงโทษตัดมือเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ คอยดูเถอะ! ” ตรัสบริภาษแล้วก็ทรงหันมาทูลพระสัสสุให้ลงโทษเจ้าคนเลี้ยงช้างสามหาวคนนี้ทันที พระมเหสีสีลวดีทรงเกรงว่าความจักแตก จึงทรงโผเข้าไปกอดพระสุณิสาเอาไว้พร้อมกับทรงปลอบโยน “ โถ..คนดีของแม่ อย่าได้ขุ่นเคืองไปเลยลูก ไฉนจึงจักเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเล่า ” ตรัสพลางก็ทรงลูบพระปฤษฎางค์ (หลัง) ของพระสุณิสาไปพลาง ขณะเดียวกันก็ทรงถลึงพระเนตรไปทางพระมหาสัตว์ ด้านพระนางประภาวดีเมื่อทรงเห็นผู้เป็นแม่ผัวให้ความรักความห่วงใยในพระองค์ถึงเพียงนี้ หากยังจักทรงถือโทษเอาความเจ้าคนชั้นต่ำอีก ก็เกรงจะทำให้พระมเหสีลวดีทรงไม่พอพระทัย จึงทรงยอมเลิกรากันไป

กล่าวถึงราชากุสราช หลังจากทรงได้เห็นพระพักตร์ของพระชายาก็ถึงกับทรงเก็บเอาภาพของนางไปฝันจนถึงกับเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับทรงอยากจะเห็นพระพักตร์ของนางอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผ่านไปแค่สองวันจึงเสด็จเข้าไปรบเร้าพระมารดาใหม่ และก็เหมือนเคย จอมเทวีมิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้ไปคอยอยู่ที่โรงม้า เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระชายาอันเป็นที่รักไปทอดพระเนตรโรงม้าหลวง แหละพอพระสัสสุและพระสุณิสาเสด็จไปถึงโรงม้าก็ถูกพระมหาสัตว์ทรงแกล้งด้วยการเอามูลม้าปาใส่ เหมือนคราเสด็จไปยังโรงช้าง เดือดร้อนถึงจอมเทวีต้องทรงทำหน้าที่ปลอบประโลมกันเป็นการใหญ่อีก

อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆพระนางประภาวดีก็ทรงรู้สึกอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระสวามีในยามกลางวันบ้าง จึงเสด็จไปหาพระสัสสุเพื่อจักทรงขอให้นางพาไปพบราชากุสราช แต่มเหสีสีลวดีได้ทัดทานไว้ว่าอย่าได้ทำผิดจารีตเลย อดทนรอไปก่อน ดังนั้นจึงสงบไปได้พักหนึ่ง แต่ผ่านไปสองวันพระนางก็ทรงปรารถนาจักเห็นพระพักตร์ของราชากุสราชอีก จึงเสด็จเข้าไปรบเร้าจอมเทวีใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา ในที่สุดมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าจากพระสุณิสาได้ จึงตรัสกับลูกสะใภ้

“ ดูก่อนลูกแม่ หากเจ้าปรารถนาจักเห็นสามีเจ้าจริงๆ อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าจงเปิดสีหบัญชรคอยดูก็แล้วกัน ราชากุสราชพระสวามีเจ้าพร้อมเหล่าทหารองครักษ์ จักกระทำประทักษิณพระนครในเช้าวันพรุ่งนี้ ขอจงตั้งตาดูเถิด ” พระชายาประภาวดีพอทรงสดับก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบเสด็จกลับตำหนักเพื่อจัดเตรียมฉลองพระองค์สำหรับวันพรุ่งนี้ทันที

พอพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับพระมเหสีสีลวดีก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร เช้าพรุ่งนี้ราชากุสราชจะเสด็จเยี่ยมเยี่ยนประชาชน ขอให้ชาวเมืองตกแต่งบ้านเรือนให้งดงามรอรับเสด็จ จากนั้นก็ทรงให้นางกำนัลไปทูลพระชยัมบดี เช้าพรุ่งนี้ในพิธีเสด็จประทักษิณเลียบพระนคร ให้พระชยัมบดีทรงเครื่องต้นของกษัตริย์แทนพระเชษฐา และให้ประทับที่อาสน์ด้านหน้าช้าง ส่วนราชากุสราชให้ประทับที่อาสน์ด้านหลัง

ครั้นถึงรุ่งเช้ายังมิทันที่พระอาทิตย์จะเริ่มฉายแสง พระสัสสุและพระสุณิสาทั้งสองพระองค์ก็ทรงพากันเสด็จไปประทับรออยู่ที่สีหบัญชรตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อรอชมขบวนเสด็จพยุหยาตราทางสถลมารค เมื่อขบวนเสด็จได้มาถึงด้านหน้าพระบรม มหาราชวังพระมเหสีสีลวดีได้ตรัสให้พระธิดาแคว้นมัททะทรงทอดพระเนตร “ ดูก่อนลูกแม่ เจ้าจงดูความสง่างามของพระสวามีเจ้าเถิด ” พระนางประภาวดีพอทรงเห็นพระชยัมบดีซึ่งทรงมีพระรูปโฉมงดงามราวเทพบุตรประทับอยู่อาสน์ด้านหน้าช้าง ก็ทรงสำคัญผิดคิดว่าเป็นราชากุสราชพระสวามี จึงทรงรู้สึกโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงเหลือบไปเห็นทหารที่นั่งอยู่อาสน์หลังซึ่งมีใบหน้าขี้ริ้ว ความสุขเมื่อครู่ก็พลันเหือดหายลงไปจนสิ้น เนื่องจากทรงจำได้ว่าเจ้าผู้นี้ก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างผู้สามหาวนั่นเอง และยิ่งทรงเห็นเขาโบกไม้โบกมือแสดงอาการยั่วเย้ามาให้พระนางก็ยิ่งทรงขัดเคืองพระทัยมากยิ่งขึ้นไปอีกจนสุดจักทรงข่มกลั้นได้ จึงทรงหันไปถามพระสัสสุ

“ เสด็จแม่เพคะ! ไฉนควาญช้างที่นั่งด้านหลังเสด็จพี่กุสราชจึงเป็นผู้ดื้อด้านเสียเหลือเกิน มิได้ยำเกรงพระราชอำนาจแห่งกษัตริย์แม้แต่น้อย บังอาจแสดงกิริยาที่มิบังควรในงานพระราชพิธีเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ผู้ใดฤาเป็นคนจัดให้เจ้าผู้ไม่มีสง่าราศีขึ้นไปนั่งด้านหลังพระเจ้าแผ่นดิน? ” จอมเทวีพอทรงสดับก็ถึงกับทรงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใด แต่เพื่อจะทรงปิดบังฐานะของบุตรชายจึงเสตรัสว่า “ ดูก่อนลูกแม่ ธรรมดาการระวังหลังพระราชานั้นเป็นเรื่องที่มิอาจมองข้ามได้ ถึงเจ้าผู้นี้จะมีหน้าตาขี้ริ้วก็จริง แต่ฝีมือนั้นยากจักหาผู้ใดในแผ่นดินเทียบได้! ”

พระสุณิสาครั้นทรงสดับพระสัสสุตรัสในเชิงปกป้องเจ้าคนชั้นต่ำก็ทรงรู้สึกคลางแคลงพระทัยขึ้นมาจึงทรงดำริอยู่ภายใน “ เหตุไฉนเจ้าตะพุ่นผู้นี้จึงได้รับความเมตตาจากเสด็จแม่เสียเหลือเกิน ขนาดแสดงกิริยาหยาบช้าต่อเราก็ยังไม่ถูกลงโทษอีก หรือเขาจะเป็นตัวราชากุสราชเอง! ก็พระเจ้ากุสราชพระองค์นี้คงจักมีพระพักตร์ที่แสนน่าเกลียดเสียเป็นแน่ มิฉะนั้นเหตุใดจึงไม่ยอมแสดงพระองค์ให้เราเห็น! ” พอทรงคิดเยี่ยงนี้พระธิดาแคว้นมัททะจึงทรงก้มพระพักตร์ลงกระซิบกับนางค่อมที่หมอบอยู่ข้างๆ “ ดูก่อนพี่ค่อม ขอพี่จงรีบไปดักรออยู่ที่โรงช้างก่อนที่ขบวนเสด็จจักกลับถึงเถิด แหละจงดูว่าระหว่างพระเจ้ากุสราชที่ประทับบนอาสน์ด้านหน้าช้าง กับเจ้าตะพุ่นสามหาวที่นั่งอยู่อาสน์หลัง ผู้ใดเป็นคนลงจากหลังช้างก่อน หากผู้ใดลงก่อนผู้นั้นก็คือราชากุสราช! ” นางค่อมพอรับบัญชาก็ไม่รอช้า รีบปลีกกายไปซุ่มอยู่ข้างโรงช้างทันที

หลังขบวนเสด็จได้วนจนรอบพระนครแล้ว ก็วกกลับไปที่โรงช้าง พอไปถึงโรงช้างพระชยัมบดีผู้ซึ่งประทับอยู่อาสน์หน้าแทนที่จักเสด็จลงจากหลังช้างก่อน ที่ไหนได้เจ้าตะพุ่นขี้ริ้วผู้มีกิริยาสามหาว กลับชิงตัดหน้าลงเป็นคนแรกเสียยังงั้น จากนั้นพระชยัมบดีจึงค่อยเสด็จตามลงมาทีหลัง พระมหาสัตว์เมื่อทรงลงจากหลังช้างแล้วด้วยพระอุปนิสัยที่ทรงเป็นผู้รอบครอบ จึงทรงหันไปทอดพระเนตรรอบๆตามความเคยชิน ทันใดก็ทรงเห็นนางค่อมที่แอบอยู่ มองมาพอดี ดังนั้นจึงทรงรับสั่งให้ทหารไปพาตัวนางเข้ามา

เมื่อทหารพาพระพี่เลี้ยงมาถึงจอมราชันได้ตรัสกำชับนางว่าห้ามนำเรื่องที่เห็นไปทูลให้พระนางประภาวดีรับทราบเป็นอันขาด มิฉะนั้นศีรษะของนางอาจไม่อยู่บนบ่า นางค่อมด้วยความเกรงพระอาญาจึงรีบรับปากอย่างปากคอสั่น พอกลับถึงตำหนักก็ทูลผู้เป็นนายว่าพระเจ้ากุสราชที่ประทับอยู่อาสน์หน้าเป็นผู้เสด็จลงจากหลังช้างก่อน พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ทรงให้คลายพระกังวล

หลายวันต่อมาพระมหาสัตว์ก็ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระชายาขึ้นมาอีก จึงเสด็จเข้าไปรบเร้าพระมารดาเหมือนเคย พระมเหสีสีลวดีย่อมมิอาจทรงทนการรบเร้าจากราชบุตรได้ จึงตรัสให้จอมราชันไปซ่อนตัวอยู่ในสระนิลุบลก่อน เดี๋ยวพระนางจักทรงพานางอันเป็นที่รักไปชมสระบัว พอคล้อยหลังบุตรจอมเทวีแห่งแคว้นมัลละก็เสด็จไปยังตำหนักของพระสุณิสาเพื่อจักทรงชวนนางให้มาชมดอกไม้ในสวนอุทยานด้วยกัน

หลังจากทั้งสองพระองค์ทรงเดินดูสิ่งสวยๆงามๆจนทั่วอุทยานหลวงแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ทรงรู้สึกเมื่อยล้าพระวรกาย พระนางสีลวดีจึงทรงชวนพระสุณิสาให้ไปนั่งพักเหนื่อยใต้ร่มไม้ริมสระบัว เมื่อเสด็จไปถึงยังมิทันที่จะทรงทรุดพระองค์ลงประทับ พระนางประภาวดีก็ทรงทอดพระเนตรไปเห็นสระโบกขรณีอันดารดาษไปด้วยโกมุทชาติหลากสีสันกำลังส่ายก้านเอนไกวไปตามลม บวกกับระลอกน้ำที่พลิ้วเป็นประกายคราต้องแสงอาทิตย์เข้าก่อน ดังนั้นความเมื่อยที่มีก็พลันมลายหายไปจนสิ้น ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะสรงน้ำขึ้นมาทันใด จึงตรัสชวนเหล่าพระพี่เลี้ยงให้ลงเล่นน้ำด้วยกัน

ขณะที่ทรงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน สายพระเนตรก็ทรงเหลือบไปเห็นดอกจงกลนีดอกหนึ่งมีสีสันสวยงามเกินดอกใด จึงทรงอยากจักเก็บเอามาเชยชม ดังนั้นจึงทรงค่อยๆแวกว่ายเข้าไป พอถึงก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหมายจักเด็ดเจ้าดอกอุบลนี้ เวลานั้นราชากุสราชซึ่งทรงแอบอยู่หลังใบบัวใกล้กับดอกที่เทวีทรงหมายพระเนตร พอทรงเห็นพระชายาเอื้อมพระหัตถ์มาจอมราชาก็ทรงเกิดเผลอพระองค์ คิดจักทรงหยอกล้อพระชายาเล่นจึงทรงโผล่พระพักตร์ออกไปพร้อมกับทรงคว้าข้อพระหัตถ์ของนางเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงเปล่งพระสุรเสียงออกไปดังลั่นหมายจักทำให้องค์เทวีทรงตกพระทัยอีกว่า “ เราคือราชากุสราช! ”

ด้านโฉมงามซึ่งกำลังทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปเด็ดดอกปทุม มิได้ทรงคาดคิดมาก่อนว่าสระหลวงที่มีทหารอารักขาจะมีคนแอบซ่อนอยู่ พอมีใครไม่รู้โผล่มาจับมือซ้ำยังตะโกนเสียจนพระกรรณของนางอื้อ ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง และยิ่งพอทรงเงยพระพักตร์มาเห็นใบหน้าคนจับเข้า ก็ถึงกับทรงถึงซึ่งวิสัญญีภาพ หมดสติไปทันใด เพราะทรงคิดว่าเป็นยักษ์มารจำแลงกายมาจับพระองค์ เกิดเป็นความโกลาหลจนพระมเหสีสีลวดีต้องทรงให้เหล่าพระพี่เลี้ยงอุ้มนางกลับตำหนักทันที

หลังทรงฟื้นพระสติและทรงได้คิดทบทวนองค์เทวีก็ทรงทราบว่าผู้ที่จับนางนั้นก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างที่มีใบหน้าขี้ริ้วนั่นเอง เห็นทีเขาผู้นี้คงต้องเป็นราชากุสราชเสียเป็นแน่ มิฉะนั้นจักกล้าทำตามใจได้ถึงขนาดนี้เทียวหรือ พระนางไม่ปรารถนาจะมีพระสวามีที่มีพระพักตร์ที่แสนจะน่าเกลียดเยี่ยงนี้ ดังนั้นจึงทรงคิดจักหนีไปจากแคว้นมัลละทันที หลังจากทรงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงตรัสให้เหล่าพระพี่เลี้ยงไปเตรียมรถม้าแลข้าวของให้พร้อม สองยามคืนนี้นางจะหนีไปจากแคว้นมัลละ!

การเตรียมการจะหนีของพระนางประภาวดีหาได้รอดไปจากการเฝ้าจับตาของทหารคนสนิทที่พระเจ้ากุสราช
ทรงส่งไปอารักขาองค์เทวีไม่ พอเขาเห็นเหล่าพระพี่เลี้ยงจัดเตรียมข้าวของก็ทราบว่าเป็นเรื่องผิดปกติ จึงนำความเข้ากราบทูลให้จอมราชันได้ทรงรับทราบทันที พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับก็ทรงดำริ “ ครั้งนี้หากเราไม่ยอมให้นางกลับแคว้นมัททะ เห็นทีนางคงต้องอกแตกตายเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราควรให้นางกลับบ้านเมืองนางไปก่อน จากนั้นค่อยไปพากลับมาทีหลัง วิธีนี้น่าจักเป็นการดี ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสให้ทหารคนสนิทไปบอกยามเฝ้าประตูวังว่าอย่าได้ขัดขวางขบวนเสด็จของพระชายาเป็นอันขาดปล่อยให้นางเสด็จไป ดังนั้นสองยามคืนนั้นขบวนเสด็จของพระนางประภาวดีจึงออกจากเมืองกุสาวดีไปได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีอุปสรรคใด!

สาเหตุที่ทำให้พระนางประภาวดีมิได้ทรงรักใคร่ในพระเจ้ากุสราชทั้งๆที่ทรงเป็นพระชายา ก็เพราะชาติที่ผ่านมาพระนางทรงเคยตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ ฉะนั้นมาชาตินี้กรรมจึงให้ผล ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือกัน ที่ทรงเกิดมามีพระพักตร์ไม่งดงามก็เพราะอำนาจแห่งวิบาก (การให้ผลของกรรม) ที่เคยทรงทำไว้ให้ผลเช่นกัน ซึ่งหากจะเท้าความ เรื่องก็มีอยู่ว่า

เมื่อครั้งอดีตอันเนิ่นนานยังมีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองพาราณสีสักเท่าไหร่ หมู่บ้านนี้มีตระกูลที่รักใคร่สนิทสนมกันอยู่สองตระกูล ตระกูลหนึ่งมีบุตรชาย ๒ คน อีกตระกูลหนึ่งมีบุตรสาว ๑ คน พระโพธิสัตว์ในชาตินั้นได้ทรงถือกำเนิดเกิดเป็นคนน้องของตระกูลที่มีบุตรชาย สองตระกูลนี้ต่างไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ จนวันหนึ่งถึงวัยที่บุตรของทั้งสองฝ่ายจักต้องมีคู่ ตระกูลฝ่ายชายจึงไปขอบุตรสาวของอีกฝ่ายให้มาเป็นภรรยาของลูกชายคนโต ซึ่งฝ่ายหญิงก็มิได้ปฏิเสธอันใด

หลังแต่งเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายชาย ผู้เป็นสะใภ้ก็ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสม มิได้มีความขี้เกียจขี้คร้านแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งลูกสะใภ้ได้ทำขนมที่มีรสชาติอร่อยให้กับครอบครัวสามี ซึ่งขณะนั้นพระโพธิสัตว์ไม่อยู่บ้าน เขาออกไปหาของป่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พี่สะใภ้เมื่อเห็นน้องสามีไม่อยู่จึงแบ่งขนมส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้เขา ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายกันบริโภคในครัวเรือนจนสิ้น สายวันนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งท่านบิณฑบาตผ่านมาพอดี พี่สะใภ้พอเห็นก็เกิดศรัทธา เลยนำขนมส่วนของน้องสามีถวายให้ท่านไป ส่วนในใจคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้เขาใหม่ หลังจากพระคุณเจ้าจากไปนางก็เดินถือภาชนะที่ใส่ขนมเตรียมจักนำไปล้าง แต่ช่างประจวบเสียนี่กระไร เวลานั้นพระมหาสัตว์กลับมาจากป่าพอดี เลยทันเห็นหลังพระคุณเจ้าอยู่ไวๆ

เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงถามพี่สะใภ้ว่ามีใครมาบ้านรึ พี่สะใภ้บอกว่าไม่มีใครมาดอก เป็นสมณะรูปหนึ่งบิณฑบาตผ่านมา นางเห็นท่านมีกิริยาน่าเลื่อมใสจึงนำขนมส่วนของเขาถวายให้ท่านไป ขอเขาจงทำใจให้ผ่องใสเถิด เดี๋ยวนางจะรีบทำให้ใหม่ แต่เวลานั้นพระมหาสัตว์กำลังถูกความหิวเข้าครอบงำจึงไม่ฟังอีร้าค่าอีรม รีบวิ่งตามพระ คุณเจ้าไปทันใด พี่สะใภ้เมื่อเห็นน้องสามีพรวดพราดออกไปก็รู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงรีบออกจากเรือนกลับไปยังเรือนตนเช่นกัน พอถึงก็ไปตักเอาก้อนมันเนยที่มารดานางเพิ่งจักทำเสร็จใหม่ๆมีสีประดุจดอกจำปาใส่ลงในภาชนะที่เตรียมจักนำไปล้างนั่นเอง จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งตามน้องสามีไปจนทันกัน

เมื่อไปถึงนางเห็นเขาถือห่อขนมที่นางเพิ่งจะถวายพระคุณเจ้าไปอยู่ในมือ ส่วนพระเถระท่านก็กำลังหันหลังเตรียมจะจากไป ดังนั้นนางจึงร้องนิมนต์ให้ท่านหยุดก่อน จากนั้นก็เข้าไปเอาก้อนมันเนยที่ตักมาจากเรือนมารดาใส่ลงในบาตรท่าน ก้อนมันเนยพออยู่ในบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า บัดนั้นมันก็แผ่รัศมีเหลืองอร่ามออกไปโดยรอบ จนเกิดเป็นที่อัศจรรย์ พี่สะใภ้พอเห็นก็ให้ปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบคุกเข่าพนมมืออธิษฐาน หากแม้นชาติหน้าฉันใดนางตายจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ขอให้นางจงมีร่างกายที่ผ่องใสงดงาม มีรัศมีเรืองรองตระการ เกินกว่าหญิงใดในหล้าจักเทียบได้ แหละขอให้นางอย่าได้อยู่ร่วมกับคนที่เป็นอสัตบุรุษเยี่ยงน้องสามีผู้นี้ในที่แห่งเดียวกันเลย!

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ซึ่งยังมิได้จากไปไหน พอได้ยินพี่สะใภ้อธิษฐานเยี่ยงนั้นเขาก็ให้นึกโกรธนางขึ้นมาทันที จึงนำขนมที่หยิบออกมาจากบาตรพระคุณเจ้าใส่กลับเข้าไปใหม่ พร้อมกันนั้นก็เปล่งวาจาอธิษฐานบ้างว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้า ไม่ว่าพี่สะใภ้ของข้าพเจ้านางนี้จะไปเกิดในภพภูมิใด ใกล้ไกลเพียงไหน ก็ขอให้ข้าพเจ้าพึงมีความ สามารถไปนำนางมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้ด้วยเถิด! ” แลด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมที่ทั้งคู่ได้ทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้า มาชาตินี้พระนางประภาวดีจึงทรงมีพระวรกายที่เปล่งปลั่งงดงามเกินกว่าหญิงใดในแผ่นดิน ส่วนพระมหาสัตว์เนื่องจากทรงทำกุศลในขณะที่จิตมีโทสะ ดังนั้นพอมาชาตินี้พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่มีรูปโฉมขี้ริ้วไม่งดงาม ทั้งนี้ก็เพราะกรรมเก่าในอดีตชาติที่เคยทรงทำไว้ให้ผลนั่นเอง!

ย้อนมาเข้าเรื่อง หลังขบวนเสด็จพระนางประภาวดีออกจากเมืองกุสาวดีแล้ว ก็มุ่งตรงสู่แคว้นมัททะทันทีโดยมิได้แวะพักที่ใด จนล่วงครึ่งเดือนจึงถึงกรุงสาคละ ฝ่ายราชากุสราชพอพระชายาเสด็จไปพระองค์ก็ทรงโศกเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แม้เหล่านางรำจะบำรุงบำเรอด้วยวิธีต่างๆนานาก็หาทำให้ทรงคลายจากความคิดถึงได้ จนรุ่งสางวันหนึ่งเมื่อความอดทนได้ถึงที่สุด จอมราชาจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อทูลขอพระราชอนุญาตองค์เทวีออกตามพระชายากลับคืนยังกรุงกุสาวดีดังเดิม

มเหสีสีลวดีทรงเข้าพระทัยถึงความรู้สึกของบุตรชาย จึงตรัสเตือนสติ “ ลูกเอ๋ย! หากเจ้าปรารถนาเยี่ยงนั้นแม่ก็มิขัดดอก แต่จงจำไว้ขึ้นชื่อมาตุคาม ย่อมเป็นผู้มีใจไม่บริสุทธิ์ ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจักทำการใดหากเกี่ยวด้วยสตรีขอจงพิจารณาให้รอบครอบก่อน ขอลูกแม่จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ” หลังตรัสเตือนสติองค์เทวีก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลนำของบริโภคเลิศรสชนิดต่างๆใส่ลงในโหลทองคำ เพื่อให้บุตรชายนำติดตัวไปบริโภคระหว่างทาง

ราชากุสราชครั้นทรงรับของเสวยจากพระมารดาก็ทรงกระทำประทักษิณ ๓ รอบ เพื่อแสดงถึงความเคารพที่พระองค์ทรงมีต่อจอมเทวี จากนั้นจึงเสด็จกลับตำหนักเพื่อทรงจัดเตรียมข้าวของ ทรงนำเอาพระแสงเบญจาวุธห้า ชนิดเหน็บไว้ที่พระกฤษฎี (สะเอว) ทรงหยิบกหาปณะหนึ่งพันใส่ย่าม และที่มิอาจลืมได้ทรงนำถุงพิณโกกนุทขึ้นสะพายบนพระอังสา (ไหล่) ติดพระองค์ไปด้วย แล้วจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็เสด็จออกจากกรุงกุสาวดีมุ่งตรงสู่แคว้นมัททะ เนื่องจากทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังมหาศาล เพียงชั่วเวลาจากเช้าถึงเที่ยงพระองค์ก็ทรงสามารถเดินทางได้ถึง ๕๐ โยชน์ แหละพอเสวยพระกระยาหารมื้อกลางวันเสร็จก็เสด็จพระราชดำเนินต่อได้อีก ๕๐ โยชน์ ฉะนั้นเวลาเพียงแค่หนึ่งวันพระองค์ก็ทรงมาถึงชายแดนแคว้นมัททะได้อย่างเป็นที่อัศจรรย์!

เมื่อทรงมาถึงขณะนั้นก็เย็นมากแล้ว ดังนั้น จึงทรงสรงน้ำในลำธารข้างทางเพื่อชำระพระวรกายให้เป็นที่สบายพระองค์ หลังจากทรงอาบน้ำแล้วก็ทรงรู้สึกสดชื่นจึงเสด็จเข้าเมืองทันใด แลด้วยเดชะแห่งองค์พระโพธิสัตว์เจ้า ทันทีที่จอมราชันทรงเหยียบแผ่นดินกรุงสาคละพระนางประภาวดีที่กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมอย่างเป็นสุข บัดนั้นก็ทรงรู้สึกร้อนรุ่มพระวรกายขึ้นมาโดยมิทราบสาเหตุ จนถึงกับมิอาจทรงฝืนบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมได้ จำต้องเสด็จลงมานอนอยู่ที่พื้นแทน!

พระมหาสัตว์เมื่อทรงเข้าเมืองมาแล้ว ก็ทรงย่างพระบาทไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย ขณะเสด็จพระราชดำเนินสายพระเนตรก็ทรงมองดูสภาพบ้านเมืองของกรุงสาคคะในยามค่ำคืนไปในตัว เวลานั้นมีหญิงชาวบ้านนางหนึ่งออกมานั่งรับลมอยู่หน้าบ้าน นางพอเห็นจอมราชันซึ่งเป็นคนต่างถิ่นเดินบนถนนในยามนี้จึงร้องเรียกให้พระองค์ทรงมาพักที่บ้านนางก่อน พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับจึงเสด็จเข้าไป เมื่อเข้าไปใกล้แลได้สบตากับนางก็ทรงรู้ว่าหญิงนางนี้เป็นผู้มีใจอารี หาได้มีจิตใจคิดร้ายแต่อย่างใด จึงทรงแสดงการคราวะนาง

หญิงชาวบ้านพอเห็นกิริยาท่าทางของจอมกษัตริย์แตกต่างจากคนธรรมดาจึงรีบไปตักน้ำมาให้ทรงใช้ล้างพระบาท จากนั้นก็เข้าเรือนไปจัดที่บรรทมถวาย จอมราชาหลังจากทรงเร่งเดินทางมาอย่างแทบจักมิได้ทรงหายใจหายคอ พอทรงล้มพระวรกายลงบนที่นอนที่หญิงชาวบ้านจัดให้ก็ทรงหลับใหลไปทันที ฝ่ายหญิงมีน้ำใจพอเห็นพระองค์บรรทมหลับก็เข้าครัวไปสำรวจอาหารที่จักทำถวายในยามเช้า

รุ่งขึ้นพอพระมหาสัตว์ทรงตื่นจากบรรทมแลได้เสวยพระกายาหารที่หญิงชาวบ้านจัดเตรียมให้ ก็ทรงรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของนางเป็นอย่างยิ่งจึงทรงพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะให้นาง ไม่พอเท่านั้น
ยังทรงมอบโหลทองคำที่ใส่ของเสวยแถมให้ไปอีก จากนั้นก็ทรงฝากพระแสงเบญจาวุธให้นางช่วยเก็บไว้
แล้วพระองค์ก็ทรงหยิบถุงพิณโกกนุทขึ้นสะพายพระอังสาเสด็จพระราชดำเนินไป

หลังออกจากเรือนหญิงชาวบ้านราชาพลัดถิ่นก็ทรงถามผู้คนถึงที่ตั้งของโรงช้างหลวงว่าอยู่ ณ ที่ใดจากนั้นก็เสด็จไปยังสถานที่นั้น พอไปถึงก็ตรัสกับผู้ที่เป็นหัวหน้าว่าพระองค์จักขอทรงพักอยู่ที่นี่สักเวลาหนึ่ง แต่จะไม่ทรงอยู่เฉยๆ จะทรงช่วยเขาทำงานโดยไม่คิดค่าแรง นอกจากนั้นยังจักทำการขับร้องให้พวกเขาได้รื่นเริงบันเทิงใจเป็นการตอบแทนอีก หัวหน้าโรงช้างพอฟังว่าจอมราชันไม่ทรงเรียกร้องค่าจ้างจึงอนุญาตให้ทรงพักได้ ค่ำวันนั้นหลังจากเสร็จงานพระมหาสัตว์ก็ทรงหยิบพิณโกกนุทออกมาพร้อมกับทรงคำนึงในพระทัย “ ชาวสาคละเอ๋ย ขอพวกท่านจงดื่มด่ำกับเสียงพิณเถิด ” จากนั้นก็ทรงดีดพิณพร้อมกับทรงขับร้องตามไปด้วย เวลานั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังบรรทมอยู่ที่พื้นข้างพระแท่นบรรทม พอทรงสดับเสียงพิณของจอมราชาก็ทรงทราบทันทีว่าบัดนี้พระเจ้ากุสราชได้เสด็จตามนางมาถึงกรุงสาคละแล้ว!

เสียงพิณผสานเสียงร้องที่องค์พระโพธิสัตว์เจ้าทรงร้องนั้น ได้กังวานแผ่ไปทั่วนครสาคละ จนแม้แต่พระเจ้า มัททราชที่กำลังบรรทมอยู่พอทรงสดับก็ถึงกับทรงรำพึงรำพัน “ ใครหนอช่างร้องเพลงได้ไพเราะนัก อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้เราควรให้มหาดเล็กไปตามคนผู้นี้มาขับร้องให้เราฟัง ท่าจักดี! ” จอมราชันหลังจากทรงขับร้องไปได้สักพักก็ทรงหยุด ด้วยทรงเกิดความคิดว่าการที่พระองค์ทรงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้คงยากจักมีโอกาสได้พบพระชายา หากยังทรงฝืนอยู่ต่อก็คงมิเกิดประโยชน์อันใด รังแต่จักเสียเวลาไปเปล่าๆ ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นจึงเสด็จออกจากโรงช้างกลับไปยังเรือนของหญิงชาวบ้านเพื่อเสวยพระกระยาหารก่อน พอเสวยเสร็จก็ทรงฝากพิณโกกนุทไว้กับนาง แล้วพระองค์ก็เสด็จไปยังโรงปั้นหม้อหลวงเป็นลำดับต่อไป

เมื่อทรงไปถึงโรงปั้นช่างปั้นหม้อพอเห็นพระวรกายอันสูงใหญ่กำยำของจอมราชาก็รับเข้าทำงานทันที โดยวันแรกก็ประเดิมให้ทรงไปขนดินสำหรับปั้นหม้อมาเก็บไว้ที่โรงปั้นในวันนั้นเลย หลังอธิบายขั้นตอนต่างๆเสร็จเขาก็เดินออกไปจากโรงปั้นอ้างว่ามีธุระจักต้องไปทำ เย็นวันนั้นเมื่อช่างปั้นหม้อกลับมาถึงโรงปั้นแลได้เห็นกองดินที่พระมหาสัตว์ทรงขนมากองไว้ เขาก็ถึงกับปากอ้าตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ด้วยคิดไม่ถึงว่ามันจักมีขนาดใหญ่โตถึงเพียงนี้ กองดินราวกับภูเขาเลากาเบื้องหน้าหากให้กรรมกรทั่วไปขนกัน ก็ต้องใช้เป็นจำนวนอย่างน้อย ๘ ถึง ๑๐ คนถึงจักขนได้กองใหญ่ปานนี้ แต่นี่เกิดจากแรงงานของคนเพียงคนเดียว มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!

หลังมีดินสำหรับปั้นหม้ออยู่ได้นานนับปี รุ่งขึ้นราชากุสราช ได้ตรัสกับช่างปั้นหม้อว่าพระองค์อยากจักทรงแสดงฝีมือปั้นให้เขาดู เผื่อเขาจะได้ชี้แนะให้ดีขึ้น ช่างปั้นหม้อพอฟังก็ไม่ขัดข้อง ดังนั้นจอมราชันจึงทรงลงมือปั้นทันที พระองค์ทรงปั้นภาชนะต่างๆขึ้นมามากมายหลายชนิด เล็กบ้างใหญ่บ้าง พอทรงปั้นเสร็จก็ทรงวาดลวดลายลงบนภาชนะ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อพระนางประภาวดี เมื่อทรงวาดเสร็จก็ทรงอธิษฐานให้ลวดลายที่ทรงวาดนั้นมีแต่พระนางประภาวดีผู้เดียวที่ทรงเห็น แล้วก็ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปผึ่งแดดก่อนจักทรงนำไปเข้าเตาเผา เมื่อเผาเสร็จพระองค์ได้ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปให้นายช่างดู

ช่างปั้นหม้อพอเห็นภาชนะดินเผาของพระมหาสัตว์ก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ด้วยตั้งแต่เขาทำงานด้านนี้มายังไม่เคยเห็นภาชนะใดจักมีความงามเท่านี้มาก่อน ดังนั้นพอรุ่งเช้ายังมิทันที่พระอาทิตย์จักโผล่พ้นขอบฟ้าเขาก็รีบขนเอาถ้วยโถโอชามที่พระมหาสัตว์ทรงปั้นขึ้นเกวียน เพื่อจักนำไปให้พระเจ้ามัททราชทรงทอดพระเนตรดู ราชามัททะครั้นทรงทอดพระเนตรเครื่องปั้น ดินเผาที่หมดจดงดงามอย่างที่ไม่เคยทรงเห็นจากไหนมาก่อน ก็ทรงรู้สึกอัศจรรย์พระทัยไม่แพ้กัน จึงตรัสถามช่างปั้นหม้อ

“ นี่ท่านนายช่าง ภาชนะเหล่านี้ใครเป็นคนปั้นรึ? ไฉนจึงงามปานนี้ ” ช่างปั้นหม้อเมื่อฟังก็เกิดความโลภขึ้นในใจ จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะมหาราช ข้าพระบาทเป็นผู้ปั้นขึ้นเองพระเจ้าข้า ” สมเด็จพระราชาธิบดีพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าช่างปั้นหม้อกล่าวความเท็จ จึงตรัสกลับไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนคนปั้นหม้อ! ภาชนะที่เจ้าปั้นมีหรือเราจะจำฝีมือไม่ได้ จงตอบเรามาตามสัตย์ว่าเป็นฝีมือใคร? ” ช่างปั้นหม้อพอฟังก็ถึงกับเหงื่อกาฬตก รีบก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท พร้อมกันนั้นก็ตอบจอมราชาไปด้วยเสียงที่สั่นฟันกระทบกันว่า “ ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ภาชนะเหล่านี้ลูกศิษย์คนใหม่ของข้าพระบาท เป็นคนปั้นขึ้น พระเจ้าข้า! ”

จอมกษัตริย์เมื่อทรงสดับจึงตรัส “ ฝีมือเยี่ยงนี้เขาไม่น่าจักเป็นลูกศิษย์เจ้า เจ้านั่นแหละควรเป็นลูกศิษย์เขา ไป! จงกลับไปบอกให้เขาปั้นภาชนะต่างๆเพิ่มขึ้นอีก เราจักนำไปให้ลูกเราทั้งแปดไว้เชยชมเล่น แลนี่! ทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ! จงนำไปมอบให้เขา แลจงบอกเขาด้วยว่านี่เป็นรางวัลที่เราประทานให้ ส่วนถ้วยโถโอชามเหล่านี้เจ้าจงนำไปมอบให้กับธิดาของเราทุกนาง ไป! ไสหัวไปได้ ” ช่างปั้นเมื่อเห็นจอมกษัตริย์มิได้ทรงติดพระทัยเอาความเรื่องที่ตนโกหก ก็ให้โล่งใจเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากอก รีบนำภาชนะของพระมหาสัตว์ไปยังตำหนักพระธิดาทั้งแปดทันที!

กล่าวถึงพระนางประภาวดี ตั้งแต่ทรงทราบว่าราชากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละแล้วพระนางก็ทรงวิตกกังวลไม่เว้นในแต่ละวัน พอทรงเห็นช่างปั้นหม้อนำภาชนะดินเผามาถวายก็ให้ทรงดีพระทัย ทรงหยิบภาชนะเหล่านั้นขึ้นมาทันที แต่พอทรงเห็นลวดลายบนภาชนะเท่านั้น ความดีพระทัยเมื่อครู่ก็พลันมลายหายไปจนสิ้น แลไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังทรงวิตกกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก ทรงถามช่างปั้นหม้อว่าผู้ใดฤาที่เป็นคนปั้นภาชนะเหล่านี้ ช่างปั้นหม้อซึ่งเพิ่งจักได้บทเรียนจากองค์เหนือหัวมาหมาดๆ พอฟังจึงมิกล้าแอบอ้างอีก รีบทูลไปว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ตน พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ทรงรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร จึงทรงขว้างภาชนะที่ทรงถืออยู่ลงบนพื้นจนแตกกระจาย พร้อมกันนั้นก็ตรัสกับนายช่างด้วยพระสุรเสียงอันดังว่าพระนางไม่ทรงต้องการของเหล่านี้ ขอเขาจงนำไปให้กับผู้ที่ปรารถนาเถิด

ด้านพระภคินีทั้งเจ็ดพอทรงสดับเสียงภาชนะแตกแลเสียงเอะอะโวยวาย จึงพากันเสด็จออกจากตำหนักมายังตำหนักพระพี่นาง พอทรงมาเห็นเศษกระเบื้องทแตกอยู่เกลื่อนพื้นก็ทรงแย้มยิ้มให้กัน พระขนิษฐานางหนึ่งทรงคิดจักปลอบพระทัยพระพี่นางจึงตรัส “ โถ.. เสด็จพี่ประภาวดีเพคะ ไฉนจึงทรงขว้างปาภาชนะเหล่านี้เล่า? หรือทรงเข้าพระทัยว่าถ้วยโถโอชามเหล่านี้พระสวามีกุสราชทรงปั้นขึ้น? ขออย่าทรงหวาดระแวงไปเลยเพคะ ภาชนะเหล่านี้ท่านนายช่างเป็นผู้ปั้นขึ้นต่างหาก ขอพระพี่นางโปรดทรงรับไว้เถิด ” องค์เทวีมิทรงต้องการให้บรรดาพระภคินีรู้เรื่องของนางจึงทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ พอช่างปั้นหม้อกลับมาพร้อมกับยื่นกหาปณะหนึ่งพันให้ แถมยังบอกว่าราชามัททะมีรับสั่งให้พระองค์ทรงทำภาชนะเพิ่มขึ้นอีก ก็ทรงดำริขึ้น “ ถึงเราอยู่นี่ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าพระชายาเช่นกัน อย่ากระนั้นเลย ควรไปยังที่ใหม่ดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับช่างปั้นหม้อว่าให้เขาจงเก็บเงินนี้ไว้เถิด ส่วนพระองค์นั้นทรงมีความปรารถนาอยากจักเรียนรู้ศิลปะแขนงใหม่ ดังนั้นจึงเสด็จออกจากโรงปั้นหลวงไปยังสำนักช่างสานหลวงเป็นลำดับต่อไป

ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงมาฝึกงานอยู่ที่โรงสานหลวงก็ทรงมีหน้าที่ช่วยช่างสานวาดลวดลายลงบนพัดใบตาล พระองค์ทรงวาดรูปต่างๆมากมาย เช่นรูปเศวตฉัตร รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงเสวย รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงยืนเลือกผ้าเป็นต้น นายช่างสานพอเห็นฝีพระหัตถ์ก็ถึงกับอัศจรรย์ใจ รีบนำพัดที่พระมหาสัตว์ทรงวาดไปให้ราชามัททะทรงทอดพระเนตรทันที พระเจ้ามัททราชพอทรงเห็นผลงานอันหมดจดงดงามก็ทรงอัศจรรย์พระทัยไม่แพ้กันจึงตรัสถามช่างสานว่าผู้ใดเป็นคนวาดพัดเหล่านี้ ช่างสานพอฟังก็คิดจะเอาดีเข้าตัวเหมือนช่างปั้นหม้อจึงตอบว่าตนเป็นคนวาด ซึ่งราชามัททะก็หาได้ทรงเชื่อไม่ จึงทรงคาดคั้นจนได้ความจริง เหตุการณ์ลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นกับช่างร้อยมาลัยอีก ดังนั้นราชาพเนจรผู้ทรงตามหารักแท้ จึงต้องทรงย้ายที่อยู่ไปเรื่อย จนสุดท้ายทรงมาขอสมัครเป็นลูกมือของสำนักห้องเครื่องต้นหลวง (ห้องครัว)

วันหนึ่งหลังจากเจ้าพนักงานเครื่องต้นปรุงอาหารเสร็จ เขาก็นำอาหารใส่กระเช้าเตรียมจะหาบไปให้พระราชาแลเหล่าพระราชธิดาเสวย ก่อนไปเขาได้ให้เนื้อติดกระดูกมีมันปนชิ้นหนึ่งแก่ลูกมือคนใหม่ พร้อมกับบอกให้ไปย่างกินเอง จากนั้นเขาก็หาบกระเช้าเข้าวังไป ด้านพระมหาสัตว์เมื่อทรงได้เนื้อติดกระดูกมาก็ทรงนำย่างบนเตาทันที ขณะย่างมันเนื้อพอถูกเปลวไฟก็เปลี่ยนสภาพจากไขมันกลายเป็นน้ำมัน หยดลงบนถ่านเพลิงเสียงดังฉี่ๆๆ ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วพระราชวังอีก

ขณะนั้นราชามัททะกำลังจักทรงเปิดฝาครอบพระกายาหารที่พนักงานเครื่องต้นนำถวาย พอทรงได้กลิ่นเนื้อย่างพระองค์ก็ถึงกับทรงกลืนพระเขฬะ (น้ำลาย) ดัง เอื๊อก! รีบตรัสถามพนักงานเครื่องต้น “ นี่ท่านพ่อครัว ท่านกำลังย่างอะไรอยู่รึไฉนจึงหอมเพียงนี้? ” พนักงานเครื่องต้นเมื่อฟังก็ประหลาดใจ แต่พอกลิ่นของเนื้อย่างลอยเข้าจมูกเขาก็รู้ว่าองค์เหนือหัวทรงหมายถึงเรื่องใด จึงทูลว่า “ หามิได้พระเจ้าข้า ข้าพระบาทมิได้ย่างอันใด กลิ่นที่หอมนี้เห็นทีคงเป็นเนื้อติดกระดูกที่ข้าพระบาทให้ลูกมือคนใหม่ย่างบริโภคเองพระเจ้าข้า ”

ราชามัททะพอทรงสดับจึงทรงรับสั่งให้เขารีบไปนำเนื้อชิ้นนั้นมาให้พระองค์ทรงลองชิมดู เจ้าพนักงานเครื่องต้นจึงวิ่งไปยังห้องครัวทันที พอถึงก็ฉวยเอาเนื้อย่างบนเตาที่พระมหาสัตว์กำลังทรงย่างไปทันใด จากนั้นก็ห้อแน่บมายื่นให้กับองค์เหนือหัวราชามัททะพอทรงรับชิ้นเนื้อมาก็ทรงค่อยๆยกขึ้นแตะที่พระชิวหา พอพระชิวหาสัมผัสกับความหอมมันของเนื้อเท่านั้น บัดนั้นรสชาติอันแสนเอร็ดอร่อยก็แผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย จนถึงกับทำให้พระองค์มิอาจทรงหยุดเสวยได้ กระทั่งเหลือแต่กระดูกขาวโพลนนั่นแลจึงทรงยอมวางลง หลังจากเสวยเนื้อย่างที่มีรสชาติอร่อยที่สุดในชีวิต สมเด็จพระราชาธิบดีก็ตรัสให้มหาดเล็กไปนำทรัพย์มาหนึ่งพันกหาปณะฝากไปกับพนักงานเครื่องต้น ให้นำไปมอบให้กับลูกมือคนใหม่ พร้อมกันนั้นก็ทรงมีพระบัญชาตรัสกับพนักงาน เครื่องต้นว่า นับแต่นี้ไปเขาไม่ต้องปรุงพระกายาหารให้พระองค์เสวยแล้ว แต่ให้เจ้าลูกมือคนใหม่เป็นคนทำแทน

พนักงานเครื่องต้นหลังรับพระบัญชาจึงนำความไปบอกให้พระมหาสัตว์ทรงทราบ พร้อมกับยื่นทรัพย์ ๑พันกหาปณะให้ ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงสดับก็ให้ทรงลิงโลดพระทัย ทรงรู้ว่าบัดนี้ความปรารถนาของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว อีกไม่นานพระองค์จักทรงได้เห็นหน้าพระนางประภาวดีแล้ว ดังนั้นจึงทรงยกทรัพย์ทั้งหมดให้พนักงานเครื่องต้นไป

รุ่งขึ้นหลังจากทรงได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว พระมหาสัตว์ก็ทรงตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อทรงปรุงพระกายาหารให้กับราชามัททะแลพระธิดาทั้งแปด พอทำเสร็จก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปส่งตามตำหนักต่างๆ เริ่มจากตำหนักขององค์ราชา จากนั้นจึงเสด็จไปยังตำหนักของพระนางประภาวดีแลพระธิดาทั้งเจ็ด ขณะที่พระมหาสัตว์กำลังทรงหาบกระเช้าไปยังตำหนักพระนางประภาวดี เวลานั้นองค์เทวีกำลังทรงยืนรับลมอยู่หน้าห้องพอดีเลยทรงเห็นจอมราชันก่อน พอทรงเห็นพระสวามีทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้น องค์เทวีจึงทรงดำริ

“ ราชากุสราชผู้นี้เหตุใดจึงแสร้งมาทำงานเยี่ยงทาสกรรมกร ไฉนจึงมิได้คำนึงถึงเกียรติแลศักดิ์ศรีเลย หากเราทำนิ่งเฉยเธอก็จักสำคัญว่าเราปรารถนาในตัวเธอ แลก็คงไม่ไปไหน คงจักเฝ้ามองเราอยู่แต่ในที่นี้อย่างเดียว ฉะนั้นควรที่เราจักต้องขับไล่ไปเสีย อย่าให้พระองค์ได้ทรงอยู่แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงรีบเสด็จเข้าห้อง พร้อมกับทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับบานทวารไว้ รอจนพระมหาสัตว์เสด็จมาถึงจึงทรงชะโงกพระพักตร์ออกไปตรัสกับพระสวามีซึ่งขณะนี้มีสถานะเป็นเพียงเจ้าพนักงานเครื่องต้น

“ ดูก่อนราชาแห่งแคว้นมัลละ พระองค์ทรงหาบกระเช้ามาด้วยพระ ทัยไม่ซื่อตรง คงต้องเสวยทุกข์ทั้งกลางวันแลกลางคืนเป็นแน่ ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับกรุงกุสาวดีไปเถิดหม่อมฉันไม่ปรารถนาเห็นพระองค์ผู้ทรงมีผิวพรรณทรามอยู่ในพระราชวังหม่อมฉัน! ” พระโพธิสัตว์เมื่อทรงสดับวาจาเสียดสีของพระชายาก็หาได้ทรงโกรธไม่ ซ้ำยังกลับทรงดีพระทัยเสียอีก ด้วยทรงดำริว่าองค์เทวีทรงกล่าววาจาด้วย ดังนั้นจึงตรัส “ ประภาวดีเอ๋ย! พี่หลงใหลในผิวพรรณเจ้าจึงยอมจากเมืองกุสาวดีมา พี่มีความพอใจที่ได้เห็นเจ้าจึงยอมทิ้งบ้านทิ้งเมือง หวังจักได้อภิรมย์อยู่ในพระราชนิเวศน์ของเจ้า ดูก่อนแม่ยอดดวงใจ พี่หลงเจ้าเสียจนไม่รู้ว่าพี่นั้นมาจากทิศไหน แลจักไปต่อยังทิศไหน พี่ลุ่มหลงดวงเนตรอันแจ่มจรัสดุจตามฤค(กวาง)ของเจ้าผู้ทรงภูษาทองแลห้อยสังวาลทอง โปรดเถิดเทวีผู้มีเรือนกายอันงดงาม พี่ปรารถนาแต่เจ้าเท่านั้น พี่ไม่ปรารถนาราชสมบัติใดๆเลย! ”

โฉมงามแห่งแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพูดเกี้ยวพาราสีของจอมราชันก็ทรงดำริอยู่ในพระทัย “ ขนาดเรากล่าววาจาขับไล่หวังจักให้ท้าวเธอเจ็บแสบ แต่จอมกษัตริย์พระองค์นี้กลับยังมาพูดจาเกี้ยวพาราสีเราได้ ช่างเป็นผู้ที่ดื้อด้านเสียจริง! หากท้าวเธอจักอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพระสวามีเราแล้วเข้ามาจับมือถือแขน ใครเล่าจะห้ามเธอได้? แลหากมีใครผ่านมาแล้วได้ยินคำโต้ตอบของเราเล่า เห็นทีความลับที่พระเจ้ากุสราชเสด็จมายังกรุงสาคละก็คงจักต้องรับรู้ถึงพระกรรณของเสด็จพ่อเป็นแน่! ” พอทรงดำริดังนี้ องค์เทวีแห่งแคว้นมัททะก็ทรงรู้สึกประหวั่นพรั่นพระทัยขึ้นมาทันที จึงทรงปิดบานทวารดังโครม พร้อมกับทรงลั่นดาลประตูอย่างแน่นหนา

ฝ่ายราชาตกอับเมื่อทรงเห็นพระชายาปิดบานทวารใส่ก็ทรงยิ้มในสีพระพักตร์ ทรงยกถาดเครื่องเสวยวางไว้หน้าห้องนาง จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปยังห้องพระธิดาองค์อื่นต่อ พอคล้อยหลังพระมหาสัตว์องค์เทวีก็ทรงรับสั่งให้พี่เลี้ยงค่อมไปนำพระกายาหารหน้าห้องเข้ามา แล้วก็ทรงยกอาหารเหล่านั้นให้นางค่อมไป ส่วนพระนางกลับตรัสให้นางค่อมเอาอาหารของตนมาให้พระองค์เสวยแทน ซ้ำยังทรงกำชับห้ามนางบอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด นับแต่นั้นนางค่อมผู้โชคดีก็เลยได้ลาภปากเป็นเครื่องเสวยอันโอชะอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ส่วนอาหารชั้นเลวของตนก็น้อมถวายให้พระนางประภาวดีเสวยไป!


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 10 ส.ค. 2023, 11:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2021, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๓

กุสราชมหาสัตว์ ๓

หลังจากพระเจ้ากุสราชได้ทรงตอบโต้ถ้อยคำกับพระนางประภาวดีในวันนั้นแล้ว หลายวันผ่านไปพระองค์ก็ยังไม่ได้ทรงเห็นพระพักตร์ของนางอีกเลย จึงทรงเกิดความกังขาว่านางมีความ รู้สึกเยี่ยงไรต่อพระองค์ จึงทรงคิดจักทดสอบดู วันหนึ่งหลังจากที่ทรงส่งพระกายาหารให้กับพระธิดาจนครบทุกพระองค์แล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงหาบกระเช้าย้อนกลับมาทางห้องของพระนางประภาวดีอีก พอถึงก็ทรงกระทืบพระบาทลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ถ้วยชามในกระเช้ากระทบกันเกรียวกราว จากนั้นก็ทรงแสร้งทำเป็นถอนพระทัยเฮือกใหญ่พร้อมกับทรงทรุดพระวรกายลงไปนอนบนพื้นทำประหนึ่งว่าถึงแก่วิสัญญีภาพ

ลำดับนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังประทับอยู่ในห้อง พอทรงสดับเสียงโครมครามแลเสียงกระทบกันของถ้วยชามก็ให้ทรงตกพระทัย ทรงรีบเปิดบานทวารออกมาทอดพระเนตรทันที ทันใดก็ทรงเห็นพระโพธิสัตว์นอนหมดสติอยู่บนพื้น มีไม้คานหาบกระเช้าวางทับอยู่บนพระอุระ พอทรงเห็นเช่นนั้นก็ทรงดำริขึ้น “ ราชากุสราช พระองค์นี้ทรงเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรี การที่ทรงมายอมลำบากลำบนทั้งกลางวันแลกลางคืนเยี่ยงนี้ ก็เพราะเราเป็นเหตุ ท้าวเธอทรงเป็นสุขุมาลชาติ (ผู้ดีมีตระกูล) มาแต่กำเนิด มิเคยตรากตรำงานหนักมาก่อน ครั้งนี้มาถูกไม้คานทับเอาไม่รู้จักยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่หรือเปล่าหนอ? หรือจักทรงสิ้น พระชนม์แล้ว? ” พอทรงดำริดังนี้จึงเสด็จเข้าไปก้มพระพักตร์ดูว่าจอมราชันยังมีพระปัสสาสะ (ลมหายใจ) อยู่หรือไม่

ฝ่ายจอมราชันที่ทรงแสร้งทำเป็นสลบ พอทรงเห็นพระชายาทรงก้มพระพักตร์ลงมาก็ทรงคว้าเอาพระวรกายของนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระทันที องค์เทวีจู่ๆพอทรงถูกพระเจ้ากุสราชทรงกระทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง ทรงเผลอพระองค์ผรุสวาทออกไปทันใด “ ดูก่อนราชากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่ปรารถนาตอบ ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเสื่อม หม่อมฉันไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็จักบังคับให้หม่อมฉันรัก ก็ในเมื่อคนเขาไม่รักไยยังต้องการให้เขารักอีก ” พระมหาสัตว์ครั้นทรงถูกพระชายาตรัสบริภาษแทนที่จักทรงมีพระพิโรธ ที่ไหนได้กลับทรงยิ้มเสียยังงั้น ทั้งนี้ก็เพราะเวลานี้พระทัยของพระองค์ล้วนเปี่ยมไปด้วยความปฏิพัทธ์ในองค์เทวีอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นจึงตรัส “ ดูก่อนนางผู้มีวงพักตร์อันงดงาม นรชนใดได้คนที่ไม่ปรารถนาเรามาเป็นคนรัก เราสรรเสริญการได้นั้นว่าเป็นสิ่งดี การไม่ได้ต่างหากที่เป็นความชั่วช้า ”

พระธิดาแคว้นมัททะพอทรงสดับถ้อยคำที่เถียงแบบข้างๆคูๆของจอมกษัตริย์ ก็ทรงมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนราชาแคว้นมัลละ พระองค์ทรงปรารถนาหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันหาได้ปรารถนาพระองค์ เปรียบไปก็เหมือนบุรุษโง่เขลาเอาไม้กรรณิการ์มางัดเพชรที่ฝังในหิน เหมือนผู้โง่งมเอาตาข่ายมาดักลม ซึ่งการกระทำทั้งสองย่อมมิอาจเป็นไปได้! ” จอมราชาเมื่อทรงสดับคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยก็ทรงแสร้งทำเป็นพยักพระพักตร์คล้อยตาม พอนางตรัสจบจึงตรัส “ เพชรที่เจ้าพูดคงฝังอยู่ในใจเจ้าที่แข็งกระด้างกระมัง เพราะตั้งแต่พี่เหยียบแผ่นดินกรุงสาคละมาพี่ก็ยังไม่เคยได้รับความชื่นชมจากเจ้าเลย น้องพี่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตราบใดที่น้องยังคงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ ตราบนั้นพี่ก็คงเป็นได้แค่พนักงานเครื่องต้นคอยทำอาหารให้เจ้าเสวยเท่านั้น แต่เมื่อใดที่น้องยิ้มให้พี่ เมื่อนั้นแลพี่จึงจะเลิกเป็นพ่อครัว แลจักกลับมาเป็นราชากุสราชของเจ้าดังเดิม ”

พระธิดาแห่งกรุงสาคละเมื่อทรงสดับก็ทรงคำนึง “ ราชากุสราชผู้นี้ยิ่งพูดด้วยก็ยิ่งเซ้าซี้ เห็นทีเราจักต้องแกล้งกล่าวมุสาวาทให้เธอจากไปด้วยอุบายดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัส “ ข้าแต่จอมกษัตริย์ โหรแคว้นมัททะเคยทำนายหม่อมฉัน ว่าพระสวามีที่แท้จริงของหม่อมฉันนั้นมิใช่ราชาแห่งแคว้นมัลละอย่างแน่นอน พวกเขายังสัญญาว่าหากทำนายผิดจักยอมให้หม่อมฉันบั่นร่างออกเป็น ๗ ท่อนเลย! ”

จอมราชันพอทรงสดับก็สุดจักทรงข่มความขบขันเอาไว้ได้ จึงทรงเปล่งเสียงหัวร่อออกไปเสียจนดังลั่น นั่นยิ่งทำให้โฉมงามรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง หลังจากทรงคลายจากอาการขบขันจึงตรัสกับนาง “ ดูก่อนน้องหญิง โหรแคว้นมัลละก็เคยทำนายพี่เช่นกัน พวกเขาบอกว่าพระมเหสีของราชากุสราชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ มีพละกำลังดุจคชสาร นอกจากพระธิดาองค์โตแห่งแคว้นมัททะแล้ว พระธิดาเมืองใดก็มิคู่ควรกับจอมราชันเยี่ยงพี่ได้! ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับก็ยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ให้อับจนหนทาง ไม่รู้จักทรงโต้ตอบกษัตริย์ผู้มีพระพักตร์ด้านหนานี้อย่างไร จึงเสด็จลงส้นพระบาทดังตึงๆกลับเข้าห้องไป พร้อมกันนั้นก็ทรงปิดบานทวารใส่พระพักตร์พระเจ้ากุสราชดังโครมเพื่อเป็นการระบายความโกรธ ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อทรงเห็นโฉมงามงอนกระฟัดกระเฟียดเดินเข้าห้องก็ทรงแอบยิ้มอยู่ในพระทัย จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับที่พำนัก ซึ่งก็คือโรงเครื่องต้นนั่นเอง นับจากนั้นทั้งสองก็มิได้ทรงพบหน้ากันอีก เป็นเวลาถึงครึ่งค่อนปี!

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ หลังจากทรงรับหน้าที่เป็นพนักงานเครื่องต้นก็ทรงได้รับความลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจักทรงทำพระกายาหารเท่านั้นไม่พอ ยังต้องทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะน้อยใหญ่ พอล้างเสร็จก็ต้องทรงไปหาบน้ำนำกลับมาใช้อีก แม้แต่ยามบรรทมก็ยังต้องบรรทมอยู่ข้างรางน้ำทิ้ง ตื่นบรรทมก็ต้องทรงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งนี้ก็เพราะกามราคะความหลงใหลในรูปของพระนางประภาวดีเป็นเหตุนั่นเอง จนวันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นนางค่อมผ่านมาทางห้องเครื่องต้นจึงตรัสเรียกนางให้เข้ามา นางขุชชาพอได้ยินแทนที่จักรีบเข้าไป ที่ไหนได้กลับเร่งฝีเท้าเดินหนีไปซะยังงั้น จอมราชันจึงรีบเสด็จตามไปทันที พอทรงไปทันกันจึงตรัสกับนาง

“ นี่แน่ะค่อมเอ๋ย เหตุไฉนนายเจ้าจึงมีใจที่แข็งกระด้างเสียเหลือเกิน เรามาอยู่วังเจ้าก็นานโข คำถามเจ็บไข้ไม่สบายสักคำก็ยังไม่เคยได้ยินจากปากนาง ยกเรื่องที่หลับที่นอนไม่ต้องพูดถึง ผ้าสักท่อนหมอนสักใบไม่เคยจักมีน้ำจิตน้ำใจหยิบยื่นมาให้ แต่ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้เราไม่ติดใจดอก ว่าแต่เจ้าเถอะ หากเราจักขอให้ทำอะไรสักอย่างเจ้าพอจักทำให้เราได้มั้ย? อย่างเช่นพานายเจ้ามาพบเราสักครั้ง หากทำได้เราจะให้สร้อยคอทองคำแก่เจ้าเส้นหนึ่ง ”

นางค่อมทีแรกก็ทำเป็นนิ่งไม่ยอมพูดจา แต่พอจอมกษัตริย์ตรัสว่าจะให้สร้อยคอทองคำก็ตาโตทันที รีบทูลไปว่า “ ข้าแต่มหาราชผู้เปี่ยมเมตตา ในเมื่อพระองค์สัญญาจะให้สร้อยทองหม่อมฉัน อย่างนั้นขอพระองค์เชิญเสด็จกลับที่พักก่อนเถิด อีกสองวันหม่อมฉันสัญญาจักพาองค์เทวีมาพบพระองค์ให้จงได้ ขอจงทรงรอฟังข่าวดีเถิด ” พอทูลเสร็จพระพี่เลี้ยงผู้หลงใหลในสีเหลืองอร่ามก็ขอพระราชอนุญาตลากลับไปวางแผนเพื่อพาองค์เทวีมาพบพระมหาสัตว์

สองวันถัดมานางขุชชาก็เข้าไปทำความสะอาดห้องประทับพระนางประภาวดีเหมือนเคย แต่ครั้งนี้นางเก็บกวาดอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ จนไม่เหลือสิ่งใดจะให้หยิบฉวยได้ แม้แต่รองพระบาทนางก็นำออกไปไว้นอกห้อง แล้วนางก็ลากม้านั่งตัวหนึ่งมาตั้งคร่อมธรณีประตูเอาไว้ จากนั้นก็ลากม้านั่งอีกตัวมาตั้งไว้ด้านตรงข้ามเพื่อใช้เป็นที่พาดพระบาท พอเสร็จนางก็นั่งลงบนม้านั่งตัวที่คร่อมธรณีประตูพร้อมกับทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีให้เสด็จมานอนบนตักนาง เดี๋ยวนางจักสางพระเกศาให้ องค์เทวีเมื่อทรงเห็นพระพี่เลี้ยงวางม้านั่งค่อมธรณีประตูก็ทรงสงสัย จึงตรัสถามไฉนจึงไม่ทำในห้องเหมือนเคย พี่เลี้ยงค่อมตอบว่าตรงนี้แสงสว่างกว่ามองเห็นง่าย ขอโปรดทรงมานอนบนตักนางโดยไวเถิดพระธิดาประภาวดีเมื่อทรงสดับจึงเสด็จเข้าไปบรรทมบนตักนาง

ระหว่างที่องค์เทวีทรงหลับพระเนตรมือหนึ่งนางขุชชาก็แหวกเส้นพระเกศาแสร้งทำเป็นหาไข่เหา ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นไปรูดเส้นผมตนซึ่งล้วนมีแต่ไข่เหาเกาะอยู่เต็ม แล้วนางก็กำไข่เหาที่รูดไว้ในมือ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นอุทาน “ ตายจริง! เส้นพระเกศาพระธิดาไฉนจึงมีไข่เหาเกาะอยู่เล่าเพคะ ” ว่าแล้วนางก็แบมือที่กำไข่เหาจากศีรษะตนให้พระธิดาทรงทอดพระเนตร “ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อมจักจัดการให้เกลี้ยงเลย ขอพระธิดาโปรดทรงสบายพระทัยเถิด ” ขณะที่มือแสร้งทำเป็นแหวกเส้นพระเกศา ปากก็พร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ยากของพระมหาสัตว์ไปต่างๆนานา

“ น่าสงสารราชากุสราชเสียจริ๊ง! ทรงยอมสละได้แม้แต่ราชบัลลังก์เพื่อมาตามหาสตรีอันเป็นที่รัก แม้จักทรงลำบากลำบนต้องทรงลุกขึ้นมาหุงหาพระกายาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ก็มิเคยจักทรงปริพระโอษฐ์บ่น ไม่เพียงเท่านั้น พอทรงทำพระกายาหารเสร็จ ก็ยังต้องทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยตะรอนไปตามตำหนักต่างๆเพื่อ ทรงนำไปถวายให้กับพระธิดาทุกพระองค์ พอทุกพระองค์เสวยเสร็จก็ต้องทรงตามไปเก็บถ้วยชามเพื่อนำไปล้าง พอทรงล้างเสร็จจักทรงพักสักหน่อย ก็ถึงเวลาจักต้องทรงทำพระกายาหารมื้อเที่ยงต่อ หมุนไปวนมาอยู่อย่างนี้จนถึงเที่ยงคืนสองยามจึงจักได้บรรทม ทั้งนี้ก็เพราะทรงต้องการจักเห็นหน้านางอันเป็นที่รักเท่านั้น ค่าจ้างค่าแรงก็มิได้ทรงเรียกร้องแต่อย่างใด ทรงหวังเพียงคำปฏิสันถารจากหญิงคนรักเวลาบังเอิญได้พบกัน เท่านั้นก็ทรงดีพระทัยแล้ว แต่นี่แม้คำทักทายสักคำจากปากนางอันเป็นรัก ก็ยังมิเคยจักทรงได้ยิน! ช่างเป็นชายชาติบุรุษอาชาไนยที่น่าสงสารจริงๆ ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับคำพระพี่เลี้ยงในทำนองเห็นใจพระมหาสัตว์ ก็ทรงมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด จึงทรงลุกจากตักนางพร้อมกับทรงตวาดออกไปด้วยพระสุรเสียงอันดัง “ เหม่! นางขุชชาค่อม จงหุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! การที่เจ้ามาพูดสามหาวเยี่ยงนี้ฤามิกลัวเราจักตัดลิ้นเจ้าทิ้ง! ” นางค่อมไม่เคยเห็นพระธิดาทรงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้มาก่อน พอเห็นเข้าก็ให้ตกใจเป็นกำลัง แต่เพื่อสร้อยคอทองคำ ยังไงก็ต้องกล่อมนางให้ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจผลักองค์เทวีเข้าไปในห้องจากนั้นก็รีบปิดบานทวารแลดึงเชือกชักลูกดาล(กลอนประตู)มาเก็บไว้กับตน พระนางประภาวดีเมื่อไม่มีเชือกชักลูกดาลก็มิอาจจะทรงเปิดบานทวารออกจากห้องได้ จึงทรงทุบบานประตูพร้อมกับทรงตะโกนบอกให้พี่เลี้ยงค่อมรีบเปิดบานทวารเป็นการด่วน นางขุชชาเมื่อตัดสินใจแล้วก็มิอาจถอยหลังกลับได้ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมเทวีให้คล้อยตามโดยยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง

“ ข้าแต่พระแม่เจ้า อันรูปร่างพระองค์นอกจากจักดูงดงามเมื่อยามมอง ที่เหลือยังจักมีประโยชน์อันใดเล่า มันสามารถจักยังชีวิตผู้คนได้เหมือนข้าวปลาอาหารหรือ? ราชากุสราชนอกจากทรงมีพระรูปโฉมไม่งดงาม แต่คุณสมบัติอย่างอื่นกษัตริย์ใดในชมพูทวีปหาเทียบได้ไม่ ทรงเป็นมหาราช เป็นนักปราชญ์เรืองปัญญา เป็นราชาที่ มีทรัพย์หาศาล ทรงมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ ทรงมีพระทัยรักศิลปะ ทรงมีทักษะด้านการยุทธ์ ทรงมีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์ ทรงชำนาญดนตรีการขับร้อง ขอเทวีโปรดทรงไตร่ตรองให้ดีเถิด บุรุษทั่วแผ่นดินยังจักมีผู้ใดมีความสามารถเสมอกับจอมราชัน? เหตุฉะนี้ขอพระองค์โปรดทรงกระทำความรักให้บังเกิดขึ้นกับท้าวเธอเถิด ”

พระนางประภาวดีเมื่อทรงสดับคำสรรเสริญนานัปการของพระสวามีแทนที่จักทรงดีพระทัย ที่ไหนได้กลับยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากยิ่งขึ้นไปอีก ทรงตะโกนตรัสบริภาษนางค่อมว่า “ เหม่! นางขุชชาค่อม เจ้านี่ช่างอกตัญญูเสียจริง เจ้าคิดจะขู่เรารึ? ” พี่เลี้ยงค่อมพอฟังจึงตอบ “ หามิได้เพคะหม่อมฉันมิได้ขู่ หากแต่กำลังปกป้องพระนางต่างหาก ที่ผ่านมาหม่อมฉันมิได้ทูลองค์เหนือหัวว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนก่อน ก็เพราะเห็นแก่พระพักตร์พระองค์ อย่างไรเสียเพลานี้จักเข้าไปทูลให้ทรงทราบเลยก็แล้วกัน! ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงหวั่นเกรงว่าจักมีผู้อื่นแอบได้ยิน จึงทรงตรัสให้นางรีบหุบปาก สุดท้ายก็ทรงจำพระทัยรับปากนาง แต่มีข้อแม้ว่า ขอให้พระองค์ได้ทรงทำพระทัยสักเจ็ดวันหรือครึ่งเดือนก่อน

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ หลังจากนางค่อมสัญญาว่าจะพานางอันเป็นที่รักมาพบ เพียงผ่านไปแค่หนึ่งวันไม่ทรงเห็นนางกลับมารายงาน ก็ทรงรู้สึกกระวนกระวายพระทัยแล้ว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความลำบากที่ต้องทรงงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ อีกทั้งที่หลับที่บรรทมก็มิได้มีความสุขสบาย จึงทรงดำริว่านางค่อมผู้นี้เห็นทีคงจักพึ่งไม่ได้ แม้จักทรงรอคอยต่อก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระชายาอยู่ดี ดังนั้นจึงทรงคิดจะกลับแคว้นมัลละไปเยี่ยมพระมารดากับพระบิดา เพลานั้นท้าวสักกะผู้ทรงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ของพระมหาสัตว์มาโดยตลอด พอทรงเห็นองค์โพธิสัตว์ทรงรู้สึกท้อพระทัย จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงดำริ “ ราชากุสราชไม่ได้เห็นหน้าพระธิดาประภาวดีมาเป็นเวลาครึ่งปีจึงเกิดความท้อแท้ เห็นทีเราจักต้องทำให้เธอสมปรารถนาแล้ว ”

เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงบัญชาให้เทพบริวารปลอมเป็นขบวนราชทูต ๗ ขบวน อ้างเป็นทูตจากกรุงสาคละ เดินทางไปยังแคว้น ๗ แคว้นเพื่อส่งพระราชสาสน์ให้ราชาแต่ละแคว้นทราบว่า บัดนี้พระนางประภาวดีได้ทรงเป็นอิสสระจากพระเจ้ากุสราชแล้ว แลกำลังประทับอยู่ที่กรุงสาคละ หากพระราชาแคว้นใดทรงปรารถนาจักรับนางไปเป็นพระชายาก็จงรีบเสด็จมารับโดยไวเถิด ราชาทั้งเจ็ดพอทรงทราบต่างก็พากันยกทัพมายังกรุงสาคละเพื่อจักมารับองค์เทวีไปเป็นพระชายา

เมื่อทัพทั้ง ๗ ยกมาถึงเขตพระนครชั้นนอก กษัตริย์แต่ละแคว้นถึงทราบว่ามิได้มีแต่พระองค์ผู้เดียวที่ทรงต้องการพระนางประภาวดี แต่ยังมีกษัตริย์อีก ๖ แคว้นก็ทรงมีพระประสงค์เช่นเดียวกัน ดังนั้นแต่ละพระองค์จึงทรงมีพระพิโรธโกรธกริ้วพระเจ้ามัททะขึ้นมาทันใด จึงทรงทำการรวมกลุ่มปรึกษาหารือกันว่าจักจัดการกับพระเจ้า มัททะอย่างไร

“ ราชามัททะนี่ช่างกระไร ตนเองมีลูกสาวอยู่คนเดียวแต่จะยกให้ลูกเขย ๗ คน ท่านทั้งหลายจงดูความประพฤติอันไม่เหมาะสมของพระเจ้ามัททะเถิด สงสัยคงจักเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือกระมังจึงแกล้งหยอกล้อเยี่ยงนี้? ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราจงช่วยกันจับพระเจ้ามัทราชมาลงโทษเถิด! ” ราชาทั้งเจ็ดเมื่อเห็นตรงกัน ดังนั้นแต่ละแคว้นจึงส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นมัททะให้ส่งพระนางประภาวดีมาให้แคว้นตนโดยด่วน มิฉะนั้นกรุง สาคละจักต้องเรียบเป็นหน้ากลอง

ด้านพระเจ้ามัททราชผู้ทรงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอทรงสดับพระราชสาสน์ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบตรัสให้มหาดเล็กไปตามเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองมาเข้าเฝ้าเป็นการด่วน บรรดาแม่ทัพอำมาตย์หลังปรึกษากันจึงทูลว่า “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า กษัตริย์ทั้ง ๗ เสด็จมาก็เพราะประสงค์จักได้พระธิดาประภาวดี ไปเป็นพระชายา หากพระองค์มิทรงยกเทวีให้ บรรดาท้าวเธอก็จักทรงยกทัพมาพังกำแพงเมืองเราเสียเป็นแน่ เห็นทีครานี้แคว้นเราคงจักต้องถึงกาลพินาศจนมิอาจกอบกู้ได้ พวกข้าพระบาทเห็นว่าพระองค์ควรส่งพระธิดาประภาวดีให้กษัตริย์เหล่านั้นเสียเถิดพระเจ้าข้า! ”

ราชามัททะครั้นทรงสดับ พระทัยหนึ่งก็ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวเสียยิ่งนัก แต่อีกพระทัยก็ให้ทรงนึกโกรธที่นางทิ้งราชากุสราชมา ทรงคิดทบทวนไปมา “ หากเรายกลูกสาวให้กษัตริย์แคว้นใดแคว้นหนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือก็คงยกทัพมาตีเมืองเราเช่นกัน แต่หากไม่ยกให้แคว้นใด กรุงสาคละก็หนีไม่พ้นจักต้องพินาศอยู่ดี เฮ้อ! ช่างเป็นเรื่องที่ยากไขเสียจริง! ทั้งนี้ก็เพราะนังลูกไม่รักดีกลับทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปมาได้ด้วยรังเกียจว่ารูปไม่งาม บัดนี้เมื่อกรรมตามมาถึง เห็นทีต้องปล่อยให้นางรับผลแห่งการกระทำของตนไปแต่เพียงลำพังก็แล้วกัน! ”

พอทรงดำริดังนี้สมเด็จพระราชาธิบดีผู้ทรงเห็นความสำคัญของบ้านเมืองเหนือสิ่งอื่นใด จึงจำตัดพระทัยทรงประกาศบรมราชโองการต่อที่ประชุมเหล่าเสนาว่า “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความสงบสุขของบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎร์จักต้องมาก่อน ก็ในเมื่อพระธิดาประภาวดีคือต้นเหตุแห่งปัญหา ฉะนั้นเพื่อมิให้เหล่าพสกนิกรตลอดจนไพร่พลต้องมาล้มตาย เราจักสั่งประหารนางพร้อมกับตัดร่างนางออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับกษัตริย์ทั้งเจ็ด! ”

พอจบพระบรมราชโองการทั่วทั้งท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ก็พลันเงียบกริบลงไปราวกับไร้ซึ่งผู้คน บรรดาเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองต่างก็หันมามองหน้ากันให้เลิ่กลั่ก ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอความเห็นคัดค้าน นางกำนัลผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านนอกพอได้ยินพระบรมราชโองการให้ประหารพระธิดาประภาวดีก็ถึงกับตกใจ รีบวิ่งมาทูลให้องค์เทวีได้ทรงรับทราบทันที ลำดับนั้นโฉมงามผู้มีผิวพรรณดั่งทองคำ ทรงผ้าโกไสยพัสตร์ พอทรงสดับคำนางกำนัลก็ถึงกับสีพระพักตร์ซีดเผือด พระเนตรทั้งสองเอ่อล้นไปด้วยพระอัสสุชล รีบเสด็จไปยังตำหนักพระมารดาทันใด พอถึงก็ทรงฟูมฟายต่อพระพักตร์ “ ข้าแต่พระมารดา ขอโปรดทรงจดจำดวงหน้าอันงดงาม ดวงเนตรที่สุกสกาว แลผิวพรรณที่ขาวผ่องของลูกไว้เถิด เพราะอีกไม่กี่เพลามันจักไม่ปรากฏให้ทรงได้เห็นอีกแล้ว พระบิดาจักทรงให้เพชฌฆาตประหารลูกแล้วตัดร่างของลูกออกเป็นเจ็ดท่อนส่งให้กับกษัตริย์เจ็ดแคว้น กษัตริย์เหล่านั้นเมื่อทรงได้รับเนื้อหนังมังสาของลูกก็คงจักโยนมันทิ้งเสียในป่า ให้แร้งกาจิกกินกันเป็นที่สนุก ฝ่ามือที่อ่อนละมุนแลเล็บที่แดงชมพูนี้ พวกเขาก็คงจักตัดทิ้งแล้วโยนให้ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดแทะกันอย่างเอร็ดอร่อย

ข้าแต่พระมารดา หากกษัตริย์เหล่านั้นให้เดรัจฉานกัดกินเนื้อหนังของลูกจนหมดสิ้นแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงขอเอากระดูกของลูกจากพวกเขามามาเผาด้วยเถิด แลขอโปรดทรงปลูกสวนกรรณิการ์ไว้ในสถานที่ที่เผาศพลูกด้วย ยามใดที่ดอกกรรณิการ์เบ่งบาน ปุยหิมะเริ่มโปรยปราย กาลนั้นขอพระมารดาโปรดทรงหวนรำลึกว่าครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยมีบุตรสาวที่มีผิวพรรณเยี่ยงนี้ผู้หนึ่ง! ” โฉมงามแห่งแคว้น มัททะครั้นทรงถูกมรณภัยเข้าคุกคาม ก็ทรงหลั่งพระอัสสุชลพร่ำเพ้อรำพันดังราวกับคนบ้าใบ้ไร้สติ!

กล่าวถึงพระเจ้ามัททะเมื่อทรงตัดสินพระทัยประหารบุตรสาวแล้วก็มิอาจที่จักทรงแก้ไขกลับคืนได้ จึงทรงรับสั่งให้ทหารไปลั่นระฆัง แจ้งให้ข้าราชบริพารทั้งหมดมารวมกันยังลานหน้าพระบรมมหาราชวัง พร้อมกันนั้นก็ทรงบัญชาให้ทหารผู้หนึ่งไปตามตัวนายเพชฌฆาตมาเข้าเฝ้า ลำดับนั้นพระมเหสีแคว้นมัททะพอทรงได้รับรายงานว่าพระเจ้ามัททะมีรับสั่งให้นายเพชฌฆาตเข้าเฝ้า จึงรีบเสด็จไปยังท้องพระโรงทันที พอถึงก็ตรัสถามจอมราชา “ ข้าแต่มหาราช พระองค์จักทรงประหารธิดาหม่อมฉันแล้วบั่นเป็นท่อนส่งให้กษัตริย์ทั้งเจ็ดจริงหรือเพคะ! ”

ราชามัททะเมื่อทรงสดับก็ทรงพยายามข่มกลั้นพระอัสสุชลมิให้หลั่งไหล ทรงแสร้งตอบพระชายาไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนพระชายา ก็ธิดาท่านไยมาทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปไปด้วยรังเกียจว่ารูปไม่งามเล่า? ที่ผ่านมาท้าวเธอไม่ทรงติดพระทัยเอาความก็ถือว่าเป็นบุญของแคว้นเราแล้ว มาบัดนี้เมื่อความพินาศกำลังจักกล้ำกลายบ้านเมือง นอกจากหนทางตายแล้วไม่มีวิธีอื่น! พระธิดาประภาวดีจักต้องรับผลแห่งความทะนงในรูปโฉมของตนด้วยความตายสถานเดียว! ”

จอมเทวีพอทรงสดับพระดำรัสแบบตัดเยื่อตัดใยของพระสวามีก็เหมือนหนึ่งว่าดวงพระทัยจักขาดเสียให้ได้ ค่อยๆเสด็จกลับตำหนักดังราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ เมื่อทรงมาถึงครั้นทรงเห็นดวงเนตรของธิดาอันเป็นที่รักเปี่ยมไปด้วยพระอัสสุชล ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วย จนผ่านไปพักใหญ่จึงทรงมีพระดำรัสตรัสปลอบบุตรสาว “ ลูกเอ๋ย! บิดาเจ้าไม่อาจทำตามคำขอของแม่ได้ เห็นทีวันนี้เจ้าคงไม่แคล้วต้องไปสู่สำนักแห่งพระยายมเสียเป็นแน่ บุตรคนใดไม่เชื่อฟังบิดามารดาผู้เห็นประโยชน์แห่งลูกหลาน บุตรคนนั้นย่อมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเยี่ยงนี้แล ที่ผ่านมาหากเจ้าไม่ทิ้งราชากุสราชกลับแคว้นเรา วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องเยี่ยงนี้แน่!

ประภาวดีเอ๋ย! เสียงกลองชัยที่ดังตึงๆ เสียงช้างศึกที่แผดกึกก้อง เจ้าเห็นตระกูลไหนยิ่งใหญ่กว่าตระกูลพระสวามีเจ้า? เหตุไฉนเจ้าจึงจากมา? ประภาวดีเอ๋ย!เสียงนกยูงที่กู่ขับขาน เสียงกุมารร้องรำทำเพลง เจ้าเห็นตระกูลไหนจักมีความสุขยิ่งกว่าตระกูลพระสวามีเจ้า? เหตุไฉนเจ้าจึงจากมา? ถ้าวันนี้พระเจ้ากุสราชผู้เป็นจอมกษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่ มีหรือกษัตริย์ทั้งเจ็ดจักกล้ามาแสดงกิริยาที่กำแหงหาญเยี่ยงนี้ คงจะถูกจอมราชันขับไล่เสียจนแตกกระเจิงเสียเป็นแน่ แต่เจ้ากลับทำลายเกราะคุ้มภัยของเจ้าเอง แล้วอย่างนี้จักโทษใคร? ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับคำพระมารดาที่ว่าหากวันนี้พระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่ ก็เหมือนดั่งว่าคนที่ติดอยู่ในถ้ำแล้วจู่ๆก็เห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากปากถ้ำ ทรงอุทานขึ้นในพระทัย “ ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงพระปรีชาสามารถเพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเรามิใช่หรือ เช้าที่ผ่านมายังทรงทำพระกายาหารมาส่งให้เราเลย จำเราจักบอกความจริงให้พระมารดาทราบเสียเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้โฉมงามแห่งแคว้นมัททะจึงตรัสกับจอมเทวี “ ข้าแต่พระมารดา ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถอันเลิศล้ำ เพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเราแล้วนี่เพคะ! ไฉนยังต้องถามหาพระองค์อีก? ”

มหาเทวีแคว้นมัททะครั้นทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง ทรงคิดว่าลูกตนคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือน ดังนั้นจึงตรัสปลอบ “ โถ! ลูกแม่ เจ้าคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือนแล้วกระมัง หากพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่จริงมีหรือแม่จะไม่รู้? อย่าว่าแต่อยู่ในวังเลย เพียงพระองค์เสด็จมาถึงกึ่งทางก็จะต้องส่งพระราชสาส์นมายังแคว้นเราแล้ว แลยิ่งหากทรงรู้ว่าแคว้นเรากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตาย มีหรือพระองค์จักไม่ทรงปรากฏกายออกมาช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากุสราชที่เจ้าเพ้อคงจักกลัวตายเสียล่ะกระมัง ถึงจึงไม่เห็นแม้เงา! ”

พระธิดาประภาวดีเมื่อทรงเห็นพระมารดาไม่ทรงเชื่อจึงตรัส “ หากพระมารดาทรงไม่เชื่อ อย่างนั้นขอเชิญเสด็จไปที่ช่องพระแกลแล้วทรงทอดพระเนตรไปที่โรงเครื่องต้นเถิดเพคะ พนักงานที่ทรงพระภูษาหยักรั้งแลกำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ นั่นก็คือราชากุสราช! แหละพระองค์ก็ประทับอยู่ที่วังเรามานานถึงเจ็ดเดือนแล้วเพคะ! ” ลำดับนั้นมเหสีแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพูดบุตรสาวก็ทรงจ้องไปที่ใบหน้านางเสมือนหนึ่งจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขณะเดียวกันก็ทรงค่อยๆย่างพระบาทไปยังช่องพระแกลทอดพระเนตรไปตามที่นางบอก ทันใดก็ทรงเห็นพระมหาสัตว์ในฉลองพระองค์ที่เก่าซอมซ่อ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกทาสกรรมกร กำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ พอทรงเห็นเช่นนั้นความสงสารบุตรสาวคราใกล้ประหารเมื่อครู่ ก็ถึงกับปลาตไปสิ้น เปลี่ยนเป็นทรงมีพระโมโหโกรธาขึ้นมาแทน ทรงเผลอพระองค์ตรัสบริภาษบุตรสาวไปด้วยพระสุรเสียงอันดัง

“ เหม่! ประภาวดี! เหตุไฉนเจ้าจึงเป็นหญิงจัณฑาลประทุษร้ายต่อตระกูลถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เหตุใดจึงพูดจาเปรียบเปรยพระสวามีด้วยชนชั้นต่ำเยี่ยงทาสกรรมกรได้? ” บุตรสาวเมื่อถูกตำหนิจึงกล่าว “ หม่อมฉันหาได้เป็นหญิงจัณฑาล แลหาได้ประทุษร้ายต่อตระกูลเหมือนดั่งคำพระมารดาไม่ ที่ทรงเห็นนั้นคือราชากุสราชพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราชจริงๆเพคะ! พระ ราชาองค์ใดสามารถเชิญให้พราหมณ์สองหมื่นคนมาบริโภคอาหารในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! พระราชาองค์ใดสามารถสั่งให้เตรียมช้างศึกสองหมื่นเชือก รถศึกสองหมื่นคันในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! หากแต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยผิดเองว่าท้าวเธอทรงเป็นทาสกรรมกร ขอถวายพระพร! ”

มเหสีแคว้นมัททะเมื่อทรงสดับคำพรรณนาพระอิสริยยศของพระมหาสัตว์จากปากลูกสาว ด้วยอาการที่หนักแน่น ไม่สะทกสะท้าน ก็ทรงดำริขึ้น “ ฤาลูกเราจักพูดจริง เพราะดูจากท่าทางที่นางกล่าวเหมือนมิได้โกหก อย่างไรเสียเราควรไปทูลให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบไว้ก่อนท่าจักดี! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงเสด็จไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง ขณะนั้นราชามัททะกำลังทรงย่างพระบาทวนไปเวียนมาครุ่นคิดถึงการที่ทรงตัดสินพระทัยไป ไม่ทราบว่าทรงทำถูกหรือผิด ครั้นทรงเหลือบมาเห็นพระชายาเสด็จกลับมาอีกด้วยความที่ยังทรงมีพระอารมณ์ขุ่นมัว จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงที่กราดเกรี้ยว

“ ดูก่อนพระชายา! หากเจ้าจักมาพูดให้เราเปลี่ยนใจล่ะก็ ขอจงกลับตำหนักของเจ้าไปซะ! เราขอย้ำสิ่งที่เราพูดไปแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลง! ” องค์เทวีเมื่อทรงสดับคำขับไล่ของพระสวามีก็หาได้ทรงโกรธไม่ ทรงย่างพระบาทเข้าไปใกล้พร้อมกับตรัสให้จอมราชาโปรดทรงเย็นพระทัยก่อน จากนั้นจึงทรงเล่าเรื่องที่บุตรสาวบอกว่าเวลานี้พระเจ้ากุสราชประทับอยู่ในพระราชวังกรุงสาคละให้กับพระเจ้ามัททะได้ทรงทราบ จอมราชาพอทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรู้ว่าเรื่องนี้หากเป็นจริงปัญหาที่หนักอกอยู่ในเวลานี้ก็พอจักมีหนทางแก้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมิทรงยอมเชื่อเสียทีเดียว จึงรีบเสด็จมายังตำหนักพระมเหสีพร้อมองค์เทวีทันที

เมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงเห็นบุตรสาวยังนั่งร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามนาง “ ดูก่อนประภาวดี สิ่งที่แม่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือไม่? ” โฉมงามซึ่งขณะนี้ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา พอทรงสดับคำพระบิดาจึงตรัส “ เป็นจริงเพคะ! ” ราชามัททะพอทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงรู้สึกลิงโลดพระทัยทันที แต่อย่างไรเพื่อความแน่ใจจึงทรงหันไปถามนางค่อมที่หมอบอยู่ข้างๆอีกว่าเป็นจริงหรือไม่ นางขุชชาไม่รอให้องค์เหนือหัวตรัสจบ รีบทูลสวนไปทันทีว่าเป็นจริงเหมือนที่พระธิดาตรัสทุกประการ พอได้รับการยืนยันจากพระพี่เลี้ยงพระเจ้ามัททราชก็ทรงรู้สึกเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากพระอุระ ทรงรู้สึกปลอดโปร่งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงหวนนึกถึงการกระทำของบุตรสาวที่ปิดเรื่องพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ในวังมาเป็นเวลานานถึงเจ็ดแล้ว โดยไม่บอกให้พระองค์ทรงทราบ ก็ทรงกลับมามีพระพิโรธอีก จึงทรงตวาดบุตรสาวด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

“ เหม่! นางลูกไม่รักดี ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักดีชั่วเอาเสียเลย ราชากุสราชผู้เป็นพระสวามีเจ้ามีทแกล้วทหารกล้ามากมายเหลือคณานับ มีช้างศึกม้าศึกมากกว่ากองทัพใด ทรงมาพำนักอยู่ที่วังเรานานถึงครึ่งค่อนปีแต่เจ้ากลับเพิ่งมาบอก เจ้าทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดี๋ยวรอให้พ่อเข้าเฝ้าพระองค์ก่อนแล้วจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า! ” หลังทรงติเตียนบุตรสาวแล้วสมเด็จพระราชาธิบดีก็เสด็จไปยังสำนักของพระมหาสัตว์

เมื่อทรงไปถึงก็ทรงมีพระปฏิสันถารกับราชันพลัดถิ่นถึงความผิดบุตรสาวที่มิได้แจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่าจอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละได้เสด็จมาถึงแคว้นพระองค์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ซ้ำยังทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้นอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงการขอขมาอย่างจริงพระทัย ราชามัททะจึงทรงคุกเข่าก้มลงกราบพระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระชามาดา(ลูกเขย) แทนบุตรสาว

พระมหาสัตว์พอทรงเห็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ทรงก้มลงกราบพระองค์ ก็ทรงรีบเข้าไปประคองให้ทรงลุกขึ้นทันที จากนั้นจึงตรัส “ หม่อมฉันมิได้ปกปิดการมาของหม่อมฉันต่อพระองค์เลยพระเจ้าข้า แลพระองค์ก็มิได้ทรงมีความผิดใดที่หม่อมฉันจักต้องงดโทษให้ ” พระเจ้ามัททะพอทรงสดับคำพระชามาดาก็ให้ทรงดีพระทัย จึงเสด็จกลับมาตรัสสั่งให้ธิดาผู้ก่อปัญหาไปกราบขอขมาโทษพระมหาสัตว์เป็นการด่วน “ ดูก่อนนางลูกไม่รักดี! เจ้าจงรีบไปขอขมาโทษต่อพระเจ้ากุสราชบัดเดี๋ยวนี้! ดูซิพระองค์ยังจักทรงประทานชีวิตให้กับเจ้าอีกหรือไม่! ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงได้รับพระบัญชาจากราชามัททะจึงเสด็จไปยังโรงเครื่องต้นพร้อมด้วยพระภคินีทั้งเจ็ดแลเหล่านางบริจาริกาอีกจำนวนหนึ่ง ฝ่ายพระมหาสัตว์พอทรงเห็นนางอันเป็นที่รักกำลังเสด็จมาจึงทรงดำริ “ วันนี้เราจักต้องทำลายทิฐิการทะนงตนของแม่ประภาวดีให้จงได้ คอยดูเถอะ! ” ดังนั้นก่อนที่องค์เทวีจะเสด็จมาถึงโรงเครื่องต้นจอมราชาจึงทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับปากโอ่งน้ำขนาดสองคนโอบ แลมีน้ำอยู่เต็ม ยกขึ้นเสมอพระอุระ จากนั้นก็ทรงใช้พระหัตถ์อีกข้างช้อนก้นโอ่ง เทน้ำในโอ่งทั้งหมดลงบนดินรอบๆที่ประทับ ยังผลให้พื้นดินรอบๆบริเวณนั้นเกิดเป็นบ่อโคลนน้อยๆขึ้นมา พอพระชายาผู้มีผิวพรรณดั่งทองคำเสด็จมาถึงจอมราชันก็ทรงคอยชำเลืองดูว่านางจักทรงแสดงกิริยาเยี่ยงไรเมื่อเห็นพื้นเฉอะแฉะ แต่แทนที่จักทรงเห็นท่าทีที่ขยักแขยงของนาง ที่ไหนได้องค์เทวีกลับทรงทรุดพระวรกายก้มลงกราบจอมราชันบนพื้นที่เฉอะ แฉะราวกับว่าทรงถวายบังคมอยู่บนพรม มิได้ทรงสนพระทัยเลยว่าฉลองพระองค์จักทรงเปรอะเปื้อนหรือไม่ ทรงซบพระเศียรกอดพระยุคลบาทของพระมหาสัตว์พร้อมกับตรัส

“ ข้าแต่จอมไท้ผู้เปี่ยมเมตตา เจ็ดเดือนที่ผ่านมาหม่อมฉันมิเคยได้ถวายการรับใช้พระองค์เลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว! หม่อมฉันรู้สึกสำนึกผิดถึงการกระทำของตนเสียยิ่งนัก หม่อมฉันขอสัญญาว่านับแต่นี้ไปไม่ว่าพระ องค์จักทรงให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันก็จักปฏิบัติตามทุกประการ หม่อมฉันจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจให้พระองค์ทรงได้เห็นอีกแม้แต่น้อย ขอพระองค์โปรดอย่าทรงมีพระพิโรธต่อหม่อมฉันเลย หากพระองค์ไม่ทรงอภัย เห็นทีพระบิดาคงจักให้เพชฌฆาตประหารหม่อมฉันแล้วตัดร่างหม่อมฉันออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับกษัตริย์ทั้งเจ็ดเป็นแน่! ”

พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับคำขออภัยจากโฉมงามอันเป็นที่รักก็ทรงดำริ “ ครั้งนี้หากเราไม่ให้อภัยนาง เห็นทีนางต้องหัวใจแตกสลายเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย จำเราจักปลอบนางให้คลายกังวลเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จอมราชันแห่งแคว้นมัลละจึงตรัส “ ดูก่อนน้องประภาวดี เมื่อน้องยอมลดศักดิ์ศรีมาขอขมาพี่ มีหรือพี่จักไม่ให้อภัย พี่ไม่เคยโกรธเจ้าผู้มีผิวประดุจรัศมีแขเลย โปรดอย่ากังวล พี่ขอสัญญานับแต่นี้ไปพี่จักไม่แกล้งเจ้าอีก ที่ผ่านมาถ้าพี่โกรธเจ้าจริง ด้วยความสามารถของพี่มีหรือบ้านเมืองเจ้าจักดำรงคงอยู่มาได้ถึงป่านนี้ แต่เพราะพี่รักเจ้าต่างหาก ถึงสู้ยอมทนลำบากมาเป็นพนักงานเครื่องต้นคอยปรุงอาหารให้เจ้าเสวย เจ้าคงจักเห็นถึงความจริงใจที่พี่มีต่อเจ้าแล้วนะ เอาล่ะ! บัดนี้เมื่อพี่ยังอยู่ทั้งคน กษัตริย์ใดยังจักกล้ามาแย่งเอาพระมเหสีของพี่ไปอีกก็ลองดู ถ้ามันไม่กลัวว่าหัวจักหลุดจากบ่า! ”

ตรัสจบราชากุสราชก็ทรงก้มพระองค์ลงประครองพระชายาให้ทรงลุกขึ้นพร้อมกับบอกให้นางไปคอยอยู่บนตำหนักก่อน จากนั้นจอมราชันก็เสด็จออกจากโรงเครื่องต้นไปยังพระลานหลวง เมื่อทรงไปถึงก็ทรงประกาศบันลือสีหนาทเปล่งพระสุรเสียงกู่ก้องจนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งพระนคร ยังผลให้ชาวบ้านร้านถิ่นตลอดจนเหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตระหนกตกใจ รีบเปิดหน้าต่างประตูออกมาดูกันให้พรึบพรับ

จากนั้นจอมราชันก็ทรงตบพระหัตถ์ติดๆกันพร้อมกับทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศก้อง “ ดูก่อนชาวสาคละนครทั้งหลาย เราราชากุสราชพระชามาดาแห่งแคว้นมัททะ บัดนี้เราจักจับเป็นกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์เต็มสองตา! ขอพวกท่านจงคอยดูเถิด ” หลังจากทรงประกาศศักดาอย่างเป็นที่เอิกเกริกจอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละก็เสด็จไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททะเพื่อทรงขอยืมไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนช้างศึกม้าศึกต่อท่านพ่อตา พร้อมกับตรัสให้พระสัสสุระโปรดทรงไปสรงสนานแลพักผ่อนคลายพระอิริยาบถให้เป็นที่สำราญเถิด เรื่องการศึกไว้เป็นหน้าที่ของพระองค์เอง ราชามัททะพอทรงสดับคำพระชามาดาก็ให้ทรงเบิกบานพระทัยเป็นยิ่งนัก ทรงหันไปตรัสกับเหล่าอำมาตย์ให้ช่วยทำการอุปัฏฐากจอมราชันแทนพระองค์ด้วย จากนั้นก็เสด็จขึ้นปราสาท

บรรดาอำมาตย์พอรับพระบัญชาก็สั่งให้ทหารกั้นพระวิสูตรล้อมโรงเครื่องต้นทันที จากนั้นก็ให้ช่างกัลบกเข้าไปตัดพระเกศาแลปลงพระมัสสุ (หนวด) ของพระมหาสัตว์ พอตัดผมโกนหนวดเสร็จ ก็อัญเชิญพระเจ้ากุสราชให้ทรงไปสรงสนานชำระพระวรกาย หลังจากทรงสรงน้ำเสร็จเจ้าพนักงานก็ได้นำเครื่องทรงแลเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์มาแต่งให้กับจอมราชัน จากนั้นจึงอัญเชิญพระมหาสัตว์ให้เสด็จขึ้นสู่สีหบัญชรเพื่อทรงทอด
พระเนตรกองทัพข้าศึกที่ล้อมเมือง จอมกษัตริย์เมื่อทรงขึ้นยืนอยู่หน้าสีหบัญชรก็ทรงกวาดสายพระเนตรไปรอบๆ พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ จากนั้นจึงทรงปรบพระหัตถ์ติดกันเสียงดังฉานๆๆพร้อมกับทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศก้องสนั่น “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงคอยดูเราจัดการกับพวกข้าศึกเหล่านี้เถิด ”

เหล่านางสนมนางกำนัลตลอดจนพระภคินีของพระนางประภาวดี พอทราบว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จขึ้นยัง
สีหบัญชรต่างก็พากันเปิดหน้าต่างออกมาดูพระกิริยาท่าทางของพระองค์กันอย่างตื่นตาตื่นใจ เพลานั้นมหาดเล็กผู้หนึ่งได้เข้ามารายงานว่า บัดนี้พระเจ้ามัททะได้ทรงจัดเตรียมช้างศึกม้าศึกพร้อมไพร่พลให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงบัญชามาเถิดว่าจักให้ออกศึกเมื่อใด จอมราชันเมื่อทรงสดับจึงเสด็จลงจากสีหบัญชร
ขึ้นประทับบนคอช้างใต้เศวตฉัตรที่ประดับด้วยอัญมณีหลากสีสันอย่างวิจิตรตระการตา แต่ก่อนที่จักทรงไสช้างออกประตูเมืองพระองค์ได้ตรัสให้ทหารไปทูลอัญเชิญพระนางประภาวดีให้เสด็จมาพบ

พอโฉมงามแห่งแคว้นมัททะเสด็จมาถึงพระองค์ก็ทรงอุ้มนางขึ้นประทับบนอาสน์ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) อันมีจตุรงคินีเสนา (กองทัพที่ประกอบด้วยกำลังพล ๔ เหล่า คือเหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ และเหล่าราบ) แวดล้อมเป็นกระบวนทัพ จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เคลื่อนพลออกทางประตูเมืองด้านทิศปราจีน

ทัพพระมหาสัตว์พอเคลื่อนพลพ้นกำแพงเมือง จอมกษัตริย์ได้ตรัสให้หยุดทัพอยู่ที่หน้ากำแพงก่อน จากนั้นพระ องค์ก็ทรงไส้ช้างออกไปยืนอยู่หน้าไพร่พลแต่เพียงผู้เดียว ทรงกวาดพระเนตรไปมาดูทัพข้าศึกที่ตั้งประจันหน้า แล้วจู่ๆโดยที่ไม่มีใครคาดคิด จอมราชันก็ทรงเปล่งพระสุรสีหนาทออกไปจนกึกก้องสะท้านสะเทือนไปทั่วอาณาบริเวณแถบนั้น ยังผลให้ไพร่พลทัพข้าศึกถึงกับแก้วหูอื้อกันไปตามๆกัน “ ดูก่อนเจ้าผู้มีใจบังอาจทั้งหลาย เราราชากุสราชราชบุตรแห่งพระเจ้าโอกกากราช ใครที่ยังรักตัวกลัวตายก็จงยอมสยบให้เราเสียบัดนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนจักต้องกลายเป็นผีหัวขาด! ”

กษัตริย์ทั้ง ๗ พอทรงสดับพระสุรสีหนาทที่ทรงบันลือประดุจราชสีห์คำราม แลทรงทอดพระเนตรเห็นพระรูปกายอันสูงใหญ่กำยำเกินกว่าบุรุษทั่วไปถึงเกือบเท่าตัว ต่างก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนถึงกับพระหัตถ์อ่อน แม้แต่อาวุธที่ทรงถืออยู่ก็ยังมิอาจจักกำไว้ได้ ต้องปล่อยให้ร่วงหล่นพื้นดังเกรียวกราว ต่างองค์ต่างไม่ยอมแม้แต่จักพูดให้เสียเวลา พอทรงไสช้างหันหลังกลับได้ ก็หนีเอาตัวรอดกันไปคนละทิศคนละทาง ปล่อยให้ไพร่พลแตกตื่นขวัญเสีย พากันทิ้งอาวุธหนีตามผู้เป็นนายไป ดังราวกับฝูงมฤคได้ยินเสียงคำรามของพญาราชสีห์ยังไงก็ยังงั้น! เกิดเป็นความโกลาหลจนกองทัพต้องระส่ำระสายไม่เป็นรูปขบวน เพลานั้นท้าวสักกะผู้ทรงเฝ้าติดตามพระมหาสัตว์มาโดยตลอด เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นราชากุสราชทรงมีชัยเหนือกษัตริย์ทั้งเจ็ดได้อย่างมิต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ก็ให้ทรงชื่นชมในความสามารถของพระมหาสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพมาลอยพระองค์ปรากฏยังเบื้องพระพักตร์ของจอมราชัน พร้อมกันนั้นก็ทรงมอบลูกแก้ววิเศษชื่อ “ เวโรจนะ ” ให้กับพระมหาสัตว์เป็นรางวัล

จอมกษัตริย์เมื่อทรงเห็นราชาแห่งเทพเสด็จลงจากฟากฟ้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพระองค์ ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พอจอมเทพทรงมอบแก้ววิเศษให้จึงทรงรีบยื่นพระหัตถ์ออกไปรับลูกแก้วไว้ แหละทันทีที่พระหัตถ์ของพระมหาสัตว์สัมผัสกับลูกแก้ว บัดนั้นพระพักตร์ที่ดูขี้ริ้วไม่งดงาม ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นผ่องใสเรืองรองราวกับเทพบุตรจำแลงมายังไงก็ยังงั้น! ยังผลให้เหล่าไพร่พลทั้งสองฝ่ายที่เห็นปรากฏการณ์อันแสนอัศจรรย์ต้องตกตะลึงตาค้างกันไปตามๆกัน

หลังจากทรงมีชัยเหนือข้าศึกราชากุสราชก็ทรงนำทัพกลับเข้าเมือง จากนั้นก็ทรงบัญชาให้นายกองผู้หนึ่งนำทหารไปจับตัวกษัตริย์ทั้งเจ็ดมา เมื่อนายกองนำกษัตริย์ทั้งเจ็ดมาถึงพระมหาสัตว์จึงตรัสกับพระสัสสุระว่า “ ข้าแต่มหาราช กษัตริย์ทั้งเจ็ดนี้มีใจเหิมเกริมกล้าบังอาจยกทัพมารุกรานแคว้นพระองค์ บัดนี้พวกเขาได้ตกอยู่ใต้พระราชอำนาจแห่งพระองค์แล้ว ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยเถิด ว่าจักทรงลงโทษพวกเขาสถานใด! ”

ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรัส “ ขอเดชะจอมราชัน! พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ขอพระองค์โปรดทรงเป็นผู้ตัดสินเถิด หากพระองค์ประสงค์เช่นไรก็ให้เป็นตามนั้น! ” พระเจ้ามัททะเพื่อจะทรงหลีกเลี่ยงมิให้ผิดพ้องหมองใจกับแคว้นทั้งเจ็ด จึงโยนหน้าที่ตัดสินมาให้พระมหาสัตว์ทรงทำแทน ด้านพระชามาดาก็ทรงรู้เท่าทันความคิดของพระสัสสุระ จึงทรงดำริ“ ประโยชน์อะไรที่เราจะไปฆ่ากษัตริย์เหล่านี้ การยกทัพมาของพวกเขาถือเป็นคุณกับเราเสียอีก เพราะทำให้น้องประภาวดีหันกลับมารักเรา ฉะนั้นการมาของพวกเขาก็จงอย่าได้เปล่าประโยชน์เลย จำเราจักยกพระภคินีทั้ง ๗ ของน้องประภาวดีให้เป็นรางวัลตอบแทนพวกเขาเถิด! ”

เมื่อทรงดำริดังนี้จอมราชันแห่งแคว้นมัลละจึงตรัส “ ดูก่อนท่านทั้งเจ็ด ในเมื่อองค์เหนือหัวมัททราชทรงมอบหมายหน้าที่ให้เราเป็นผู้ตัดสินคดีความพวกท่าน ฉะนั้นขอพวกท่านจงตั้งใจฟังคำตัดสินของเราให้ดี เนื่องจากพระราชาแคว้นมัททะทรงมีพระธิดาที่ทรงรูปโฉมอยู่ถึง ๗ นาง แลแต่ละนางต่างก็ยังไม่ทรงมีคู่หมั่นหมาย ถึงแม้การมาของพวกท่านคราแรกจักถือเป็นโทษ แต่บัดนี้ถือว่าเป็นคุณ เพราะแคว้นมัททะและแคว้นทั้งเจ็ดของพวกท่านจักได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน สมเด็จพระราชาธิบดีมัททราชผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์จักทรงยกพระธิดาทั้ง ๗ ให้เป็นพระมเหสีพวกท่าน ไม่ทราบพวกท่านเห็นเป็นเช่นไร? ”

กษัตริย์ทั้งเจ็ดทีแรกต่างก็พากันหมดอาลัยตายอยากคิดว่าพวกตนคงไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้แน่แต่พอได้ฟังคำตัดสินของพระมหาสัตว์ก็เหมือนหนึ่งว่ามัจฉาที่ถูกจับขึ้นมาบนบก แล้วจู่ๆก็ถูกจับโยนลงทะเลไปใหม่ มันช่างเหลือเชื่อเสียจริงๆ! ต่างพากันทรุดพระองค์ลงถวายบังคมพระมหาสัตว์เพื่อแสดงถึงความขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง

หลังเรื่องราวจบลงด้วยดี ถัดจากนั้นไม่กี่วันพระมหาสัตว์ก็ทรงขอพระราชอนุญาตราชามัททะพาพระมเหสีประภาวดีเสด็จกลับแคว้นมัลละ ระหว่างทางขณะที่สองพระองค์ประทับอยู่ในราชรถ พระฉวีวรรณและพระรูปโฉมของจอมกษัตริย์ที่ทรงเปลี่ยนไปทำให้องค์ราชันทรงดูสง่างามจนแทบจักกล่าวได้ว่ามิได้ทรงยิ่งหย่อนไปกว่าพระชายาเลย!

ย้อนมาทางแคว้นมัลละ หลังจากพระมเหสีสีลวดีทรงทราบข่าวการเสด็จกลับของราชบุตรพระนางก็ทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวมงคลนี้ให้ประชาชนทั่วแคว้นรับทราบ พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ทุกครัวเรือนตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับจอมราชัน จากนั้นจอมเทวีก็ทรงบัญชาให้ทหารกองเกียรติยศนำเครื่องราชบรรณาการตามพระองค์แลพระชยัมบดีออกไปต้อนรับพระมหาสัตว์ยังนอกพระนคร

เมื่อขบวนเสด็จพระเจ้ากุสราชผ่านเข้ากำแพงเมือง พระมหาสัตว์ได้ทรงสั่งให้ขบวนเสด็จทำการประทักษิณพระนครเพื่อเป็นการแสดงการคารวะที่พระองค์ทรงมีให้ต่อพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง ระหว่างที่ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านบ้านเรือนประชาชน เหล่าพสกนิกรที่รอรับเสด็จต่างพากันส่งเสียงไชโยโห่ร้องแสดงถึงจงรักภักดีที่พวกเขามีให้ต่อราชาของตน จนสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งพระนคร จอมราชันได้ทรงประกาศให้มีการเฉลิมฉลองแลการละ เล่นมหรสพสมโภชเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ในกาลนั้นพระเจ้ากุสราชแลพระนางประภาวดีต่างก็ทรงสมัครสมานรักใคร่สามัคคีกัน ทรงช่วยกันปกครองพระราชอาณาจักรกรุงกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองสืบมา ตลอดพระชนมายุของทั้ง ๒ พระองค์…

พอพระศาสดาตรัสชาดกเรื่องนี้จบ ภิกษุผู้เบื่อหน่ายในธรรมก็บรรลุโสดาปัตติผลกลายเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นในสายของวันนั้นเอง .

หมายเหตุ :
พระเจ้าโอกกากราชในกาลนั้น ก็คือ พระเจ้าสุทโทธนะ
พระมเหสีสีลวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางศิริมหามายา
พระชยัมบดีราชกุมารในกาลนั้น ก็คือ พระอานนท์
นางค่อมในกาลนั้น ก็คือ นางขุชชุตตราอุบาสิกา
พระนางประภาวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางยโสธรามารดาของพระราหุล
และ
พระเจ้ากุสราชในกาลนั้น ก็คือ พระบรมศาสดา

ที่มาของเรื่อง .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ..

สืบ ธรรมไทย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron