วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 11:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 46
วันแต่งงาน

เราอดทนมาจนปีครึ่งได้ ในที่สุดพ่อแม่ของลี่เสียก็ใจอ่อนยอมให้เราแต่งงานกัน

ตอนหลัง ลี่เสียจึงได้เล่าให้ผมฟังว่า ช่วงที่คนในบ้านควบคุมเธออย่างเข้มงวดนั้น เธอรู้สึกเหมือนว่ามีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ในหัวใจ แม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจก็แทบจะไม่มี เธอไม่เคยนอนหลับได้เลยสักวัน แต่ก็ตั้งใจมั่นว่าอย่างไรก็จะต้องสู้เพื่อรัก วันหนึ่งขณะที่พ่อไปเข้างานกะกลางคืน เหลือแต่แม่อยู่บ้านเพียงลำพัง เธอก็ก้าวลงบันไดเข้าไปหาแม่อย่างอาจหาญ พร้อมกับขอออกไปพบผม แม่ยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตู ไม่ว่าลี่เสียจะอ้อนวอนอย่างไรแม่ก็ไม่อนุญาต สุดท้ายลี่เสียก็เลยพูดกับแม่ว่า

“แม่คะ ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อน่ะ พ่อกับแม่ต่างคนก็ต่างมีคนรักด้วยกันอยู่แล้วทั้งคู่ไม่ใช่หรือคะ แต่เพียงเพราะต้องเชื่อฟังคำของผู้ใหญ่ พ่อกับแม่จึงต้องทรยศต่อหัวใจตัวเอง มาแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักมาก่อน จริงอยู่ว่าฐานะทางบ้านเรานั้นไม่เลวเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่ แต่ใช่ว่าพ่อกับแม่จะเข้ากันได้ดี กลับทะเลาะกันเป็นประจำ พอมาถึงตอนนี้แล้ว แม่ยังคิดว่าตอนนั้นแม่ตัดสินใจถูกอีกหรือคะ เป็นเพราะพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่กินกับคนที่ตัวเองรัก จึงไม่เคยได้รู้จักกับความสุขอย่างแท้จริงเลย แล้วแม่ยังอยากจะให้ลูกสาวแม่ต้องเป็นอย่างเดียวกับที่แม่เป็นอย่างนั้นหรือคะ”

อาจเป็นเพราะคำพูดที่ออกมาจากใจของลี่เสียทำให้แม่ใจละลาย หรืออาจเป็นเพราะว่าท่านลองกลับไปย้อนคิดถึงความเจ็บปวดที่ต้องแยกจากคนรักตอนสมัยสาว ๆ ทำให้เรื่องที่เคยคิดว่าจะลืมได้ลง กลับย้อนมาสะเทือนใจอีกหน แม่ฟังแล้วก็น้ำตาคลอ ไม่พูดอะไรอีก

นิ่งเงียบไปนาน กว่าแม่จะพูดกับลี่เสียว่า “อาเสีย ความรักความรู้สึกของลูกเอง ลูกต้องคิดเองให้ดี ๆ นะ ต่อไป...ต่อไปวันข้างหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้นเองนะ” พูดจบ แม่ก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องครัวไปทันที เลิกขัดขวางการนัดพบของลี่เสียกับผมอีกต่อไป

ช่วงเวลานั้น เป็นเพราะความใจอ่อนของแม่ของลี่เสียแท้ ๆ ที่ทำให้เราได้พบกันต่อไป ดีที่ตอนหลัง พี่ชายลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของลี่เสียเคยได้ยินเรื่องของผมมาก่อน เขาเชื่อว่าคนที่เคยทุกข์ยากลำบากมาก่อนนั้นจะต้องเป็นคนที่ยิ่งรู้ค่าของความสุขเป็นแน่ จึงช่วยพูดกับพ่อของลี่เสียให้ บวกกับความใจแข็งของลี่เสียด้วย ทำให้พ่อของลี่เสียฝืนใจยอมรับผมในที่สุด

คืนก่อนวันแต่งงาน พ่อของลี่เสียยอมเปิดใจพูดกับลูกสาวว่า “พ่อของอาจิ้นตาบอด แม่กับน้องของเขาก็ปัญญาอ่อน ลูกรู้ไหมว่าต่อไปลูกจะต้องเจอกับอะไรบ้าง”

ลี่เสียพยักหน้า

พ่อตายังพูดอีกว่า “มีผู้ชายดี ๆ ให้เลือกอีกตั้งเยอะแยะ แต่แกกลับจะเอาครอบครัวที่โชคร้ายที่สุดในโลกคนนี้ให้ได้ ในเมื่อแกตัดสินใจเลือกเอง แกก็ต้องเตรียมใจรับเรื่องที่แกจะต้องเจอเอาเองนะ”

ลี่เสียรับคำทั้งน้ำตา

ผมไม่มีเงินมากมายพอที่จะจัดพิธีวิวาห์ที่ใหญ่โตมีหน้ามีตาให้กับลี่เสียได้ แม้แต่รถรับเจ้าสาวที่ใช้ในพิธีก็ยังต้องเช่าแท็กซี่มา แล้วก็จัดเลี้ยงญาติทั้งสองฝ่ายขึ้นที่บ้านของเราเอง

พอบรรดาญาติ ๆ ของลี่เสียมาถึงบ้านผม ได้เห็นเกียรติบัตรต่าง ๆ ที่แขวนไว้จนเต็มผนังบ้าน ก็พากันสนอกสนใจเข้าไปอ่านดูทีละใบ ๆ พวกเขาแทบไม่เชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดนี้เป็นของผมคนเดียว พวกเขาเดินเข้ามาตบไหล่ผมเบา ๆ อย่างประทับใจ แล้วพูดกับเจ้าสาวของผมว่า “หนูนี่ตาแหลมจริง ๆ นะ เลือกเจ้าบ่าวได้ถูกคนแล้วละ ขอเพียงแต่ให้พวกเธอขยันขันแข็งมีน้ำอดน้ำทนพากเพียรอย่างนี้ต่อไป รับรองเลยว่าจะต้องเจริญก้าวหน้าแน่” ลี่เสียหันมาสบตาผมอย่างเอียงอาย น้ำตาแห่งความปีติหล่อรื้นเต็มดวงตาของเรา

พ่อกลัวว่าแม่จะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วจะทำให้ผมต้องขายหน้า จึงจับแม่ไปขังไว้ในห้องตลอดทั้งคืน ไม่กล้าให้ญาติพี่น้องของฝ่ายเจ้าสาวเห็น พอถึงตอนถ่ายรูป พ่อก็แอบเข้าไปหลบอยู่หลังห้องครัว พอผมรู้เรื่องก็รีบตามเข้าไป ดึงแขนพ่อกับแม่ให้ออกมาถ่ายรูปด้วยกัน พ่อส่ายหัวโบกไม้โบกมือไล่บอกว่า

“อย่าเลยน่า พวกแกถ่ายกันเองก็พอแล้วละ”

“พ่อ ผมเป็นขอทานมายี่สิบปี มันเป็นเรื่องจริงนี่พ่อ ผมไม่เคยกลัวใครจะหัวเราะผมเลย พ่อกับแม่เป็นคนที่ผมเคารพรักที่สุด ก็ต้องออกมาถ่ายรูปด้วยกันสิ” ผมบอก

แต่พ่อก็ยังดึงดันไม่ยอมออกไป หลายปีที่ผ่านมา ผมรู้ดีว่าถ้าเรื่องใดที่ลงว่าพ่อได้ตัดสินใจแล้วละก็ ใครก็ยากจะเปลี่ยนใจท่านได้ แต่ทว่ามันมีอย่างนี้ในโลกด้วยหรือ ลูกชายแต่งงานทั้งที พ่อกับแม่ก็ยังแข็งแรงดี แต่กลับออกมายินดีออกหน้าออกตาไม่ได้ ผมเจ็บแปลบขึ้นมาที่ใจ น้ำตาไหลพราก พ่อตบไหล่ผมแล้วบอกว่า

“ไปเถอะ! แกไปถ่ายรูปไป วันนี้เป็นวันดีของแกนะ ร้องไห้ทำไม! รีบไปซะ ทุกคนเขารอแกอยู่นะ”

ตอนถ่ายรูป ลี่เสียกุมมือผมแน่น ผมก็บีบกระชับมือเธอตอบ ในใจคิดว่า อาเสีย ผมจะซาบซึ้งน้ำใจความหนักแน่นในรักของคุณอย่างนี้ตลอดไป คุณโปรดมั่นใจเถอะว่า ผมจะต้องทำให้คุณมีความสุขให้ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 47
มีได้มีเสีย

คืนวันแต่งงาน ที่จริงควรจะเริ่มต้นด้วยความหวานชื่น แต่เจ้าสาวของผมกลับนั่งร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ที่ปลายเตียง

ผมตกใจแทบแย่ รีบก้าวเข้ามาโอบเธอไว้ ถามเธอว่าเป็นอะไรไป

“ฉันชักจะเริ่มเสียใจแล้วสิ...” คำพูดประโยคนี้ของลี่เสียทำเอาผมใจหายใจคว่ำ ความจริงก็คือ แม้เธอจะรู้ว่าพ่อผมตาบอด แม่และน้องชายผมปัญญาอ่อน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าในครอบครัวเรายังมีน้องชายเล็ก ๆ อีกสองคน คนหนึ่งเรียนประถมห้า อีกคนเรียนประถมสาม ที่โตแล้วก็ต้องดู ที่ยังเล็กก็ต้องแล “ฉันรู้สึกว่าโลกทั้งโลกนี้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ทำไมฉันถึงต้องแต่งงานเข้ามาในครอบครัวใหญ่ที่ซับซ้อนแสนจะน่าสังเวชอย่างนี้ด้วยนะ”

ผมไม่โทษเลยที่ลี่เสียจะรู้สึกเสียใจ ลำพังแค่เธอมีใจมั่นคงที่จะแต่งงานกับผม ลำพังแค่เธอมีใจมั่นคงที่จะแต่งงานกับผม เท่านี้สามชาติผมก็ไม่มีวันตอบแทนน้ำใจเธอหมดแล้ว ครอบครัวของผมมันน่าสังเวชเสียขนาดนี้ ใครได้เห็นเข้าก็มีแต่จะถอยห่างด้วยความรังเกียจ แล้วถ้าหากว่าลี่เสียจะรู้สึกกลัวและกังวลขึ้นมาบ้าง มันก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร

ตอนนั้น แม้ผมจะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว แต่พอตกกลางคืนพ่อก็ยัง “อดไม่ได้” ที่จะออกไปขอทานอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะท่านต้องการเงินหรอกครับ แต่เป็นเพราะท่านเป็นขอทานจน “ติด” แล้ว การออกขอทานจึงกลายเป็น “งานอดิเรก” อย่างหนึ่งไป ถ้าวันไหนไม่ได้ออกไปขอทาน พ่อก็ชักจะเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที

พอกลับมาจากขอทานแล้ว พ่อเคยกินอาหารรอบดึกจนชิน ตอนนี้อายุปาเข้าไปเจ็ดสิบ ฟันก็แทบจะไม่มี ลี่เสียจึงต้องใช้เวลาต้มข้ามต้มให้เละเป็นพิเศษ แล้วก็ปล่อยไว้ให้เย็นรอพ่อกลับมากิน ปรนนิบัติพ่อสามีจนท่านกินข้าวรอบดึกเรียบร้อยแล้ว เธอจึงจะกล้านอนหลับได้อย่างสบายใจ

เช้าวันต่อมา น้องชายสองคนก็ต้องห่อข้าวใส่ปิ่นโตไปกินที่โรงเรียน เธอก็ต้องรีบตื่นมาหุงข้าวแต่เช้าตรู่ ดูแลให้พวกเขาอาบน้ำกินข้าวให้เรียบร้อย แล้วยังต้องสอนให้ทำการบ้านอ่านหนังสือด้วย มีอยู่หลายครั้งที่ลี่เสียพาน้อง ๆ ของผมออกไปข้างนอก มักไม่มีใครเชื่อว่าเป็นน้องของสามี มีแต่คนเข้าใจว่าเป็นลูกของเธอเองทั้งนั้น

แต่เรื่องที่ลี่เสียทำใจรับได้ยากที่สุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ทุกวันตอนเช้า พอพ่อตื่นขึ้นมาทีไร สิ่งที่ท่านจะต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ การด่ากราดไปทั่ว ด่าอากาศดีเกินไป ด่าเทวดาที่ทำให้ฝนตก ด่าคน ด่าสังคม ด่าเสียงเด็กร้องหนวกหูน่ารำคาญ ด่าหมาจรจัดข้างถนน ด่านกกระจอกบนต้นไม้ ไม่มีเรื่องใดที่ท่านจะด่าไม่ได้ แถมด่าแต่ละครั้งก็ยาวเป็นชั่วโมง ๆ ที่บ้านเรา ทุกคนฟังมาตั้งแต่เล็กจนโตเลยชินกันหมดแล้ว จึงทำเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจได้

แต่ลี่เสียเป็นลูกสาวในครอบครัวที่ได้การอบรมมาอย่างดี เกิดมาไม่เคยได้ยินคำด่าแสลงหูอย่างนี้มาก่อน แม้ว่าพ่อจะดีกับเธอมาก และคำด่าทอหยาบคายเหล่านี้ก็ไม่ได้ด่าเธอ แต่มันก็หยาบคายพอที่จะทำให้เธอหน้าแดงผ่าวไปจนถึงใบหู ให้ต้องกระอักกระอ่วนใจอยู่เสมอ

ผมเข้าใจดีถึงความลำบากของลี่เสีย และสิ่งเดียวที่พอจะช่วยทดแทนปลอบใจเธอได้ นั่นคือผมจะต้องตั้งใจทำงานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ลี่เสียเองก็เคยบอกกับผมว่า “เราคงจะไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมอะไรไม่ได้หรอก ฉันก็หวังแต่ว่าจะช่วยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในครอบครัวเราให้ดีขึ้นนี้ ให้คนอื่นหันมามองเราใหม่ให้ได้

พอถึงปีที่สองของการแต่งงาน พ่อก็เริ่มป่วยด้วยโรคมะเร็งในลำคอ แล้วก็ไม่รู้ว่าพ่อไปได้เคล็ดลับยาผีบอกที่ไหนมา ถึงได้ไปหาโอ่งน้ำใบใหญ่มาใบหนึ่งแล้วเลี้ยงแมลงสาบไว้ในนั้นนับเป็นร้อย ๆ ตัว พ่อจะจับแมลงสาบออกจากโอ่งน้ำแล้วกลืนลงไปทั้งเป็น ๆ อย่างนั้นทุกวัน วันละสองสามตัว คนในบ้านเห็นอย่างนั้นก็อดรู้สึกขนลุกขนพองไม่ได้ พยายามห้ามพ่อไม่ให้กินแมลงสาบอีก แต่พ่อก็ยังยืนยันว่าจะใช้ “พิษระงับพิษ” แบบ “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง” อยู่อย่างนี้ ก่อนพ่อจะเสีย ท่านก็กินแมลงสาบไปแล้วเกือบครึ่งปีเต็ม ๆ ได้

ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า ชีวิตของพ่อมีแต่เรื่องแปลก ๆ เต็มไปหมด ถ้าเรื่องของผมมีค่าพอที่จะเขียนออกมาเป็นหนังสือได้แล้วละก็ อย่างนั้นชีวิตพ่อก็คงจะเหมาะที่จะถ่ายทำออกมาเป็นละครยาวหลายสิบตอนเลยทีเดียว

พ่อเริ่มตาบอดตั้งแต่อายุสิบเก้าปี ตาดำเว้าเป็นรูโบ๋ลงทั้งสองข้าง จนมองไม่เห็นลูกตาดำ เห็นแต่ฝ้าขาวไปหมดทั้งลูกตา แต่พ่อก็ไม่เคยสวมแว่นตาดำหรือคิดจะปิดบังเรื่องที่ตัวเองตาบอดเลย พ่อตาบอด แต่ใจไม่บอด ถึงตัวจะพิการ แต่ใจไม่พิการ ชีวิตนี้มีเพียงพิณและซอเป็นเพื่อน ออกขอทานมาเกือบชั่วชีวิต พ่อร้องแต่เพลงที่ชักจูงให้คนทำความดี ในสมองของท่านมีแต่เรื่องยา พอเร่ร่อนไปถึงไหนก็จะช่วยตรวจโรคแก่คนทั่วไปโดยไม่คิดสตางค์ แต่พ่อก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่า แม้ตัวเองจะมีความชำนาญเรื่องยาเสียขนาดนี้ แต่สุดท้ายตำรายาพวกนี้ก็ไม่เห็นจะช่วยชีวิตตัวท่านเอาไว้ได้เลย

วันนั้น ผมรับโทรศัพท์อาเสียตอนอยู่ที่บริษัท เธอบอกว่า ดูท่าทางว่าพ่อคงจะไม่รอดแล้ว ให้ผมรีบกลับมาบ้านด่วน แม้ว่าโรคมะเร็งในลำคอของพ่อจะไม่ใช่โรคที่จะทำให้เสียชีวิตกะทันหัน และพวกเราต่างก็เตรียมใจกันไว้บ้างแล้ว แต่พอได้ยินอาเสียพูดอย่างนี้ ผมก็ยังรู้สึกเหมือนกับถูกฟ้าผ่าลงมากลางหัวตอนกลางวันแสก ๆ

ก่อนจะสิ้นใจ พ่อพยายามพูดออกมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายว่า “ดูแลแม่กับน้องให้ดี ๆ นะ” สองคนนี้คงเป็นห่วงสุดท้ายที่พ่อยังตัดไม่ได้ก่อนตาย พอพูดจบเท่านี้พ่อก็ไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย ผมกอดพ่อแน่นร้องไห้โฮ เรื่องในอดีตที่แล้ว ๆ มาผุดขึ้นตรงหน้าผม ท่านเคยตีผม ด่าทอผมอย่างไม่ปรานีปราศรัย ผมก็เคยเกลียดท่าน โกรธท่าน แต่ในวินาทีสุดท้ายนี้ ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองรักท่าน เคารพท่าน ผูกพันกับท่านมากมายเหลือเกิน

ถูกต้อง แม่พ่อผมจะเป็นแค่คนตาบอด เป็นแค่ขอทาน แต่ผมกลับรู้สึกว่าท่านคือต้นโพต้นไทรต้นใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างมั่นคงในใจผม ท่านเป็นที่เลื่อมใสและพึ่งพาแห่งแรกและแห่งสุดท้ายของผม ตลอดชั่วชีวิต ผมต้องเสียน้ำตาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกโศกเศร้าอาดูรมากเท่าครั้งนี้ ผมกอดท่านร้องห่มร้องไห้ ตราบจนกระทั่งอุณหภูมิในร่างกายของท่านค่อย ๆ ลดลงไปในที่สุด

คติพจน์หนึ่งที่ฝังในใจพ่อมาตลอดทั้งชีวิตก็คือ “เวลามาก็มาตัวเปล่า เวลาไปก็ไปตัวเปล่า” การที่เรื่องราวร้าย ๆ ต่าง ๆ คุกคามมาตลอดชีวิตของพ่อ ทำให้ท่านได้ตระหนักถึงความอนิจจังของชีวิตบนโลกใบนี้ สิ่งที่เราควรจะยึดมั่นถือมั่นไว้ให้ดีก็คือ ความรู้จักพอ ต้องรู้จักทะนุถนอมความสุขตรงหน้า รู้จักกตัญญูรู้คุณคน ส่วนเรื่องของทรัพย์สินเงินทองนั้นก็ปล่อยมันไป อย่าไปยึดติดถือมั่นกับสิ่งเหล่านี้

ความจริงตอนที่พ่อเสีย บ้านเราก็ยังยากจนขนาดที่ว่ามีเงินไม่พอซื้อโลงและจัดงานศพ ผมต้องรบกวนลี่เสีย ให้นำเครื่องประดับที่พ่อแม่ให้เธอตอนแต่งงานออกมาขาย รวมกับเงินช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านจิ่วเต๋อ อำเภออูรื่อ ที่พ่อเคยตรวจโรคให้ จึงสามารถจัดการงานศพของพ่อจนลุล่วงได้ด้วยดี

ปีนี้ผมอายุครบยี่สิบเจ็ดปีบริบูรณ์ เพียงระยะสองปีสั้น ๆ ที่ผ่านมา ผมทั้งได้ดื่มด่ำกับความหวานชื่นในชีวิตสมรส พร้อม ๆ กับได้ลิ้มรสแห่งความทุกข์ระทมกับการจากไปของพ่อด้วย ได้มากับเสียไป ความสุขกับความทุกข์ มันใกล้กันนิดเดียวอย่างนี้นี่เอง แต่ก่อนพ่อมักจะทอดถอนใจเสมอว่า “ชีวิตเป็นอนิจจัง” สำหรับผมนั้น แม้ว่าจะเคยได้ลิ้มรสและเข้าใจซาบซึ้งกับความจริงมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีวินาทีไหนที่จะรู้สึกซึมซาบเท่านี้เลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 48
บ้านของเรา

อย่างกับในละครน้ำเน่าอย่างไรอย่างนั้น วินาทีที่ผมได้รู้ว่าลี่เสียตั้งท้อง ในวินาทีนั้นผมก็ดีใจแทบจะปีนขึ้นไปสอยดวงจันทร์ลงมาให้เธอ

ชีวิตหลังสมรสของเรา แม้จะอยู่กันอย่างจน ๆ แต่ว่าในด้านแรงใจนั้นมันแสนจะเต็มเปี่ยม คนเราพอรักกันก็แต่งงานสร้างครอบครัวกัน ประโยคนี้ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย แต่ในกรณีของผมกับลี่เสียนั้น เราต้องเพียรพยายามมานะอดทนมาก กว่าจะได้มาอยู่ร่วมกัน ดังนั้นเราจึงยิ่งทะนุถนอมบ่มเพาะความสุขนี้ไว้ให้ดีที่สุด

ตอนกลางวัน ผมกับลี่เสียต่างคนก็ต่างไปทำงานบริษัทตัวเอง พอกลางคืนก็เอางานจากโรงงานมาทำเพิ่มที่บ้าน เราสองคนช่วยกันทำงานหามรุ่งหามค่ำ บางครั้งก็ปวดหลังปวดเอวเหลือทน แต่พอนึกถึงว่าเราสองคนกำลังร่วมกันสร้างอนาคตเพื่อกันและกันแล้ว ความปวดเมื่อยตามร่างกายก็แทบจะแปรเป็นความอบอุ่นที่หวานจับหัวใจ

และตอนนี้ เรากำลังจะมีลูกแล้ว! ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอะไรปานนี้ ขณะเดียวกัน ร่องรอยของความกังวลที่ปรากฏอยู่บนคิ้วขมวดแน่นอยู่ตลอดเวลาของลี่เสีย ก็เป็นเหมือนสัญญาณที่คอยเตือนผม ด้วยไม่รู้ว่าลูกของเราจะได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมปัญญาอ่อนและภาวะอารมณ์ผิดปกติจากแม่มาบ้างหรือเปล่า

แม้ปากผมจะคอยปลอบลี่เสีย แต่ใจผมเองก็อดที่จะวิตกและหวาดกลัวไม่ได้ ยิ่งมองเห็นท้องของลี่เสียที่ยิ่งโตขึ้น ๆ ทุกวัน ความรู้สึกดีใจที่จะได้เป็นพ่อคน ระคนกับความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โถมทับเข้ามาหาผมพร้อม ๆ กัน เป็นช่วงเวลายาวนานที่ผมแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย กว่าจะข่มตาข่มใจให้หลับลงได้ แต่ยังถูกฝันร้ายปลุกให้ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก ผมฝันเห็นลูกของตัวเองมีหัวบวมโตขนาดใหญ่ปกติ น้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปากตลอดเวลา หันมาส่งยิ้มเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ให้ผม

แม้จะใกล้คลอดเต็มที แต่ลี่เสียก็ยังคงยืนกรานจะไปทำงานตามปกติ ช่วงนั้นโรงงานแบ่งพนักงานออกเป็นสามกะ ลี่เสียต้องเข้าเวรกะดึกหนึ่งครั้งในทุกสองสัปดาห์ จนเที่ยงคืนผมถึงจะรับกลับบ้านได้ ผมเห็นเงาของลี่เสียเดินท้องโย้ออกมาจากโรงงานแต่ไกล ๆ ครั้งใด ก็รู้สึกปวดใจอย่างไรบอกไม่ถูก คิดแต่ว่าตัวเองเอาเปรียบเธอเกินไป

แล้วก็ตอนนี้อีกที่ผมเพิ่งจะรู้ว่าโรงงานที่ลี่เสียทำงานอยู่แม้จะใหญ่โตตั้งขนาดนี้ แต่กลับไม่มีกฎการลาคลอดของพนักงาน การลาคลอดของพนักงานนั้นใช้กฎเกณฑ์เดียวกับการลากิจลาป่วยทั่วไป แต่ในความเป็นจริงก็เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า นี่เป็นวิธีบีบให้พนักงานที่ท้องต้องออกจากงานนั่นเอง แต่ผมกับลี่เสียต่างก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม แม้โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับครอบครัวของเราก็ยังไม่สามารถทำให้เรายอมพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมได้ แล้วนับประสาอะไรกับความไม่ถูกต้องเช่นนี้

พอตัดสินใจแน่นอนแล้วผมก็ลงมือเขียนหนังสือราชการ ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานราชการแทบทุกแห่งของจังหวัด เพื่อร้องเรียนว่าบริษัทนี้ละเมิดกฎหมายแรงงานขั้นพื้นฐาน ผมหวังว่าพนักงานทุกคนจะได้รับสิทธิอันชอบธรรมที่ตนเองพึงมีกลับคืนมา แต่แม้ว่าผมจะยื่นหนังสือทำเรื่องร้องเรียนไปตั้งมากมายก็ไม่เห็นว่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้น

ประชาชนพลเมืองธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียงอย่างผมจะเอาสิทธิอะไรไปหาเรียกหาความชอบธรรมได้ที่ไหน หากต้องการจะเอาชนะให้ได้ก็เห็นจะมีอยู่ทางเดียว ก็คือไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ดังนั้นผมจึงตั้งหน้าตั้งตาเขียนคำร้องเรียนต่อไปอย่างไม่ท้อถอย ผมเขียนจนกระทั่งกรมแรงงานเมืองไถจงมีหนังสือมาถึงโรงงานของลี่เสีย ดำเนินการให้โรงงานของลี่เสียจัดให้พนักงานมีกำหนดวันลาคลอดตามกฎหมายแรงงานขั้นพื้นฐาน

ความจริงเราต่างก็รู้ดีว่า การกระทำเช่นนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับทางบริษัทเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ต้องมี “การคิดบัญชี” กันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เสียด้วย เพราะหลังจากเกิดเรื่อง ลี่เสียก็ถูกบริษัทกลั่นแกล้งทุกรูปแบบ และในที่สุดก็ต้องลาออกจากที่นั่น แต่ทว่าพวกเราก็ไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว

อย่างน้อยความพยายามของเราก็ทำให้เพื่อนร่วมงานของลี่เสียตลอดจนพนักงานใหม่ ๆ ที่เข้ามาทำงานในโรงงานนี้ได้รับประโยชน์สุขกันมากขึ้น

ผมคิดว่า ในสายเลือดผมนี้คงจะได้รับพันธุกรรมการมีความสุขจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นมาจากพ่อไม่มากก็น้อย สมัยก่อนพ่อขอทานไปด้วยช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย ใคร ๆ ต่างก็เรียกท่านว่า “งูซื่อ” ตอนนี้ผมกลายเป็น “ตาจิ้นคนซื่อ” ไปแล้วเหมือนกัน

ในที่สุดก็มาถึงวันคลอดของลี่เสีย พอผมไปถึงโรงพยาบาลได้เห็นลูกสาวที่สมบูรณ์แข็งแรงของเราส่งยิ้มมาให้ ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ถ้าลูกสาวที่ผมได้มานี้ต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากทั้งหลายที่ผมเคยได้รับมา ก็ต้องนับว่ามันแสนจะคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง จะลูกสาวหรือลูกชายก็ไม่สำคัญ ขอเพียงแต่ให้ลูกน้อยของผมสมบูรณ์แข็งแรงก็พอแล้ว

อาจเป็นเพราะได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่า ผมต้องลำบากพากเพียรเพียงไรและมีความกระตือรือร้นต่อชีวิตและอนาคตอย่างไรบ้าง จึงทำให้พอหลังแต่งงานแล้ว พ่อตากับแม่ยายจึงเปลี่ยนไปเป็นดีต่อผมมาก ท่านทั้งสองรู้ดีว่าฐานะทางบ้านเราไม่ดี ทุกครั้งที่ลี่เสียกลับไปเยี่ยมบ้าน ท่านจึงมักจะเอาข้าวสารและผักสดที่ปลูกเองให้ลี่เสียเอากลับบ้านมาด้วย และทุกครั้งที่พบกับผมก็มักจะต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ราวกับผมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของท่านเลยทีเดียว

พอปีที่สอง เราก็มีลูกเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ลี่เสียที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนหนักแน่นและมัธยัสถ์ จู่ ๆ ก็เกิดตัดสินใจว่าจะซื้อบ้านขึ้นมา เธอบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีบ้านเป็นของตัวเองเสียที บ้านเช่านั้นถึงจะเช่าอีกสักยี่สิบปีอย่างไรก็เป็นของคนอื่นอยู่ดี รังแต่จะเป็นที่ดูถูกของคนอื่นเขาตลอดไป เธอมั่นใจว่าเราจะต้องมีความสามารถพอที่จะซื้อบ้านสักหลังหนึ่งได้แน่

ลองคลำ ๆ ดูในกระเป๋า คำนวณดูตัวเลขในสมุดบัญชี แล้วก็ต้องหนักใจจริง ๆ แต่พอเห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของลี่เสียแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาทันใด พวกเรานั้นจะทำงานหนักหักโหมไม่ยอมท้อถอย ลี่เสียก็รับงานพิเศษมากขึ้น โดยหวังให้มีรายได้เพิ่มขึ้นแม้จะสักเล็กน้อยก็ยังดี

พอถึงวันหยุด ผมก็จะขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายพาลี่เสียตระเวนไปดูบ้านตามที่ต่าง ๆ แค่ขอให้ได้ยินว่าที่ไหนมีที่ทางทำเลดีแล้วละก็ รับรองได้ว่าเราไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง

พอเก็บเงินได้สักระยะหนึ่ง ตัวเลขในบัญชีเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย เราก็ตัดสินใจเด็ดขาด เข้าไปจองบ้านหลังหนึ่งกลางเมืองไถจงไว้ แน่นอนว่าย่อมจะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ติดตามมาเป็นเงาตามตัว ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนบ้าน ค่าเทอมของน้องชายสองคน ค่านมของลูกสาวทั้งสอง ค่าใช้จ่ายของคนในบ้านอีกจิปาถะ เราต้องทำงานเพิ่มขึ้นจนถึงตีหนึ่งตีสองทุกวัน แม้จะค่อนข้างกดดัน แต่เมื่อไรก็ตามที่ได้ไปดูบ้านที่กำลังก่อสร้างกับลี่เสีย เห็นคนงานกำลังขุดพื้นตอกเสาเข็ม ลี่เสียก็ชี้ให้ผมดูบ้านในอนาคตของเรา แล้วพูดขึ้นอย่างร่าเริงว่า

“คุณคะ ดูสิคะ! นั่นไงบ้านของเรา”

จริงด้วย ผมชักจะมองเห็นขึ้นมาราง ๆ ตึกสามชั้น มีสนามเล็ก ๆ ลูก ๆ นั่งเล่นขายของกันอยู่ตรงนั้น หาห่วงมาแขวนไว้ตรงโน้นสักอันก็เล่นบาสได้แล้ว ภรรยากำลังวุ่นวายอยู่ในครัวที่สะอาดเอี่ยม กลิ่นกับข้าวหอมโชยออกมา ไม่ใช่ศาลเจ้าทึม ๆ ที่มีแต่เงาของผีในป่าช้าอีกต่อไป ไม่ใช่เล้าหมูที่ไม่มีน้ำไม่มีไฟอีกต่อไป

ชั่วขณะนั้น ในมโนภาพของผมก็เกิดขึ้นเป็นเงาซ้อนขึ้นมา ภาพเก่า ๆ ของคนในบ้านที่ต้องระหกระเหินนอนกลางดินกินกลางทรายกันไปตามทุ่งนาป่าร้าง พ่อที่ยืนถือไม้เท้า แม่ที่ถูกโซ่ล่ามผูกติดอยู่กับต้นไม้ เด็ก ๆ ฝูงหนึ่งที่ตัวดำเหม็นสกปรกและไม่ได้ใส่เสื้อผ้า วันเวลาสามสิบปีที่ผ่านมามันยาวนานอย่างนี้นี่เอง แล้วผมก็รู้สึกว่าน้ำตาคลอ “จริงด้วย! นั่นไงบ้านของเรา”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 49
การเดินทางของความฝัน

“บ้านฉันช่างน่ารักจริงเอย สะอาด สดใส มีพลานามัยและเปี่ยมสุข”

ตลอดระยะเวลาสี่สิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยจะร้องเพลงนี้ออกมาได้เลย แต่ ณ วันนี้ ลูกสาวหนึ่งคู่กับลูกชายคนหนึ่งของผม ในที่สุดก็สามารถร้องเพลงนี้ออกมาดัง ๆ ได้อย่างสุขใจ ผมและลี่เสียคอยเฝ้าดูลูก ๆ ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นด้วยความอิ่มเอมใจ ในที่สุดสวรรค์ก็มอบความสุขสวัสดิ์มาเป็นน้ำทิพย์ประโลมใจให้แก่คนที่มีมานะและพากเพียร

บนถนนสายนี้ อาจเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา แต่หากว่าผมต้องเสียน้ำตามากมายเพื่อแลกกับรอยยิ้มแห่งความสุขในวันนี้ ผมก็ยินดียิ่ง แม้ความทุกข์ยากยังติดตามครอบครัวผมเรื่อยมา แต่ถ้าหากว่าความทุกข์ยากนี้สอนให้ผมเติบโตขึ้น ให้ผมรู้จักรักและเสียสละเพื่อครอบครัวได้อย่างเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น ผมก็เต็มใจแบกรับมัน

ผมคิดถึงพี่สาว พี่สาวกับผมประคับประคองกันเดินบนถนนสายนี้ เธอลำบากยิ่งกว่าผมมากนัก หลังจากที่พี่หนีออกจากซ่องได้ไม่นาน ก็ถูกจับให้กลับเข้าไปอีก แล้วยังมีปัญหาอื่น ๆ เป็นโซ่พันธนาการรอบตัวเธออยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดไม่จบสิ้นเสียที พอคิดถึงพี่สาวขึ้นมาทีไร ผมมักจะรู้สึกว่าความลำบากของตัวเองนั้นมันเป็นเรื่องขี้ผง ต่อมาพี่สาวก็แต่งงานกับพี่เขย

พี่เขยก็เหมือนกับพ่อของเรา คือเป็นขอทานตาบอด แถมตอนสมัยเป็นหนุ่มพี่เขยคงร้ายน่าดู เลยโดนคนเขาตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง เรียกได้ว่าพิการซ้ำซ้อน ตอนแรกก็เพื่อทุกคนในบ้าน พ่อจึงต้องแต่งพี่เขยเข้ามาอยู่ในบ้าน คนที่เสียสละก็ยังต้องเป็นพี่สาวอีกตามเคย ชีวิตคู่ของพี่สาวนั้นก็เลวร้ายไปยิ่งกว่าเดิม พี่เขยติดการพนันงอมแงม ทั้งยังเจ้าอารมณ์ พี่สาวต้องคอยตามใช้หนี้ให้พี่เขยเสมอ แถมบางทีพี่เขยยังถึงขั้นลงไม้ลงมือกับพี่สาวอีกด้วย

ชีวิตเธอเหมือนตกอยู่ในความฝันเลวร้ายอย่างไม่มีวันตื่น หมดหนทางดิ้นรนหลีกหนี ช่างเป็นชีวิตที่ขมขื่นยิ่งนัก ทั้งความสาวของเธอ วันคืนของเธอก็ล้วนแต่อุทิศเพื่อครอบครัวทั้งสิ้น พี่ไม่เคยเห็นแก่ความสุขส่วนตัว ทั้งยังไม่เคยต้องการสิ่งใดตอบแทน ผมพูดได้เต็มปากว่า ความสำเร็จใด ๆ ที่อาจิ้นได้มาในวันนี้ ก็ล้วนมาจากพี่สาวคนนี้ทั้งสิ้น

ผมไม่เพียงแต่ขอบคุณพี่เท่านั้น ทั้งยังอยากจะขอประกาศคุณความดีทั้งหมดแก่เธอด้วย ตอนนี้พี่สาวอยู่บ้านใกล้ ๆ บ้านของผม จะได้ดูแลซึ่งกันและกันได้ ทุกครั้งเราเจอหน้ากัน พอผมจะหยิบเรื่องเก่าขึ้นมาคุย พี่สาวเป็นต้องบอกว่า อย่าพูดถึงเรื่องที่มันผ่านมาแล้วเลย อืม...ผมรู้ดี เรื่องเลวร้ายทั้งหลายที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิตเธอ เมื่อไม่ได้เกิดกับตัวก็ยากจะเข้าใจ พี่คงอยากจะปล่อยให้ความปวดร้าวทั้งหลายในหัวใจผ่านเลยไปอย่างเงียบ ๆ กระมัง!

ตอนนี้แม่ก็อาศัยอยู่บ้านเดียวกับเราด้วย หลังจากเราพยายามฝึกหัดแม่มาเป็นเวลานาน แม้ตอนนี้จะมีบางครั้งที่แม่ยังทะเลาะแย่งของกับหลานตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็พอจะช่วยไปซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันที่ร้านค้าใกล้ ๆ บ้านให้เราได้แล้ว

เมื่อวานนี้ก็ไม่รู้ว่าแม่ไปซื้อถังขยะใบใหญ่กับใครที่ไหนมา เราทั้งบ้านรวมก็ยังไม่จำเป็นจะต้องใช้ถังขยะใบใหญ่ขนาดนี้เลย ผมเห็นแล้วก็ต้องส่ายหน้าดุแม่เบา ๆ เพียงเท่านี้แม่ก็รู้ตัวเองว่าทำผิด แม้แม่จะทำผิดหรือรู้สึกผิด แต่ความผิดอย่างนี้ทำให้เราซาบซึ้งใจเหลือเกิน แม่ไม่จำเป็นต้องถูกล่ามโซ่อีกต่อไปแล้ว แม่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรี และที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นที่ตอนนี้แม่ได้มีบ้านซึ่งเป็นที่หลบแดดหลบฝนเป็นของตัวเองเสียที

ขอให้ความทุกข์ระทมขมขื่นจงผ่านเลยไป ลี่เสีย พี่สาว และแม่ พวกเราทุกคนต่างร่วมทางเดินโอบกอดความฝันกันมาไกลแสนไกลนานแสนนาน ถึงตอนนี้เราทุกคนก็ล้วนแต่มีความสุขกันถ้วนหน้า ผมขอบคุณพวกเราทุกคน ลูกพ่อ ขอบคุณสวรรค์เสียเถิด บ้านของเราจะเป็นปราการที่แข็งแกร่งในอนาคตให้แก่เจ้า ให้ลูก ๆ ทุกคนยืดอกไปเผชิญหน้ากับสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ พ่อขออวยพรให้แก่พวกเจ้า!

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



บทส่งท้าย
ความฝันยังไม่สิ้น

ผมได้รักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับพ่อก่อนตายตลอดมา ที่รับปากว่าจะดูแลแม่และน้องชายคนโตให้ดี ๆ แม่กับน้องชายคนโตนั้นใส่เสื้อผ้ากลับหน้ากลับหลังไม่เคยถูกสักที ใส่รองเท้าก็ไม่เคยถูกข้างซ้ายขวา สำหรับเรื่องการดูแลให้พวกเขากินข้าวแต่งตัว ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสำหรับผม แต่เขาทั้งสองคนนั้นเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่อาจจะระเบิดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้

บางครั้งก็โวยวายทั้งวันไม่ยอมหยุด อาละวาดรื้อค้นข้าวของกระจุยกระจายไปทั้งบ้าน บางทีก็ทุบโต๊ะเคาะเก้าอี้เสียงดังอึกทึกทั้งวัน จะพูดอย่างไรก็ไม่ฟังไม่เข้าใจ นอกจากจะพากันบ้าไปด้วยกันกับพวกเขาแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี

มีอยู่คืนหนึ่ง ผมกับลี่เสียมีธุระต้องออกไปข้างนอก จึงช่วยกันหลอกล่อให้แม่กับน้องชายกินข้าวแล้วก็เข้านอนจนเรียบร้อย เสร็จแล้วผมกับลี่เสียจึงค่อยพาลูก ๆ ออกไปงานเลี้ยงของเพื่อน พอตอนดึกกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าที่ประตูใหญ่มีรอยถีบจนบุบเบี้ยว ม่านหน้าต่างก็ขาดเป็นรูใหญ่ เครื่องเรือนที่เป็นไม้ภายในบ้านก็มีรอยถูกของมีคมขูดขีดจนเสียหายยับเยิน มือทั้งสองข้างของผมสั่นเทาไปหมด ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

อารมณ์ของผมในแต่ละวันแปรผันตามความแปรปรวนของอารมณ์พวกเขา ความดันเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ หลอดเลือดเดี๋ยวพองเดี๋ยวหด โดยเฉพาะช่วงที่ผมกับลี่เสียเอางานพิเศษกลับมาทำตอนกลางคืน ลำพังตอนกลางวันก็ทำงานเครียดพอแล้ว กลางคืนกลับมาทำงานต่อที่บ้าน พวกเขาก็ยังร้องไห้โวยวายไม่หยุดอีก จะปลอบจะขู่อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

เสียงอาละวาดโวยวายของพวกเขาแทบจะทำให้ผมสติแตกอยู่แล้ว ผมแทบจะคุกเข่าลงขอร้องพวกเขาว่า “แม่ น้อง เลิกร้องไห้เถอะ เลิกโวยวายกันเสียทีจะได้ไหม” แต่เสียงอ้อนวอนของผมนั้นกลับทำให้พวกเขาอาละวาดหนักยิ่งไปกว่าเดิม ผมหมดปัญญาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ก็บอกให้ลี่เสียงับประตูให้สนิท ใช้สำลีอุดหูไว้ แล้วก็เปิดเพลงให้ดังสุดเสียง ให้ตัวเรามึนเมาอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมไปเลย

กลางคืนตอนดึก ๆ แม่ชอบลุกขึ้นมาไม่ให้สุ้มให้เสียง แล้วยืนนิ่งอยู่ในห้องมืด ๆ หลายต่อหลายครั้งที่ทำให้เด็ก ๆ ที่ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำต้องตกใจจนขวัญกระเจิง บางครั้งยิ่งไปกันใหญ่ เพราะแม่เห็นตัวเองในกระจกห้องน้ำ แล้วแกก็ตกใจหวีดร้องออกมาด้วยความหวาดผวา ตะโกนว่า “ผี! ผี!” พยายามจะอธิบายอย่างไรว่าเงาที่เห็นในกระจกนั้นก็คือเงาของตัวแกเอง แม่ก็ไม่ยอมเชื่อ เอาแต่ร้องไห้ไม่ฟังเสียง แถมยังบอกอีกว่า คนในกระจกยังคุยกับแกด้วย!

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ “หวยรัฐบาล” กำลังเป็นที่นิยมมาก ผมเลิกงานกลับบ้านมาตอนเย็น เห็นชาวบ้านเข้ามารุมล้อมกันอยู่เต็มบ้าน ก็ตกใจคิดว่าที่บ้านต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ แต่ที่จริงแล้วก็คือพวกชาวบ้านพากันแห่เข้ามาขอหวยนั่นเอง ต่างก็ออกันเข้ามาเลขเด็ดจากแม่และน้องชาย

คุณลุงคนหนึ่งบอกผมว่า ครั้งที่แล้วแกเจอกับน้องชายผมอยู่ที่ปากซอย แกก็เลยลองถามดูเล่น ๆ ว่า งวดนี้หวยออกเบอร์อะไร เจ้าน้องชายผมก็ชูสองนิ้วออกมาโบกใส่หน้าแก แล้วคุณลุงแกก็เชื่อจริง ๆ ก็เลยไปซื้อ “02” ปรากฏว่าถูกรางวัลใหญ่ วันนี้ลุงแกก็เลยตั้งใจซื้อขนมนมเนยมากำนัลน้องชายผมเป็นพิเศษเพื่อเป็นการขอบคุณ

แล้วข่าวลือเรื่องน้องชายผมใบ้หวยแม่นก็เลยแพร่สะพัดไปในหมู่เพื่อนบ้าน ผู้คนจึงพากันหลั่งไหลมาหาเลขเด็ด ผมได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ รับรองได้ว่าเรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องเลขอลวนคนอลเวงเป็นแน่ เพราะความบังเอิญแท้ ๆ ทำไมถึงยังมีคนเชื่ออีกนะ

แม่กับน้องชายผมบ้ามาตั้งแต่เกิด แต่กลับมีคนเข้ามาขอเลขเด็ด คนพวกนี้ย่อมต้องบ้ากว่าแม่และน้องชายผมอีกน่ะสิ ที่แท้บนโลกนี้ไอ้ความบ้ากับความอัจฉริยะนี่ มันก็ห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง

ตอนที่ผมอายุครบรอบสามสิบปีนั้น มีเรื่องราวใหญ่ ๆ เกิดขึ้นกับผมอยู่หลายเหตุการณ์ พวกเราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่กัน คราวนี้เป็นบ้านใหม่ที่ถือได้ว่าเป็นรังที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ลี่เสียให้กำเนิดลูกชายคนใหม่เพิ่มมาอีกคน ผมได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าโรงงานของบริษัทป้องกันอัคคีภัยจงเหม่ย มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลบริษัทที่สาขาไถจงทั้งหมด ถึงตอนนี้ผมจึงได้รู้สึกว่า ในที่สุดวันของเราก็มาถึงเสียที

ผมเชื่อเสมอว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราจะได้มาเปล่า ๆ แม้ว่าคุณจะทุ่มเทลงไปสักแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องได้รับผลตอบแทนเท่ากับที่คุณทุ่มเทลงไป ถ้าหากว่าคุณไม่ได้มีความมานะพากเพียรอย่างแท้จริง สิ่งที่คุณได้มาก็อาจจะหมดไปได้ง่าย ๆ เพราะสิ่งใดที่ได้มาโดยง่าย คนก็มักจะไม่ตระหนักถึงคุณค่าของมัน

ในสังคมของเราทุกวันนี้อยู่ดีกินดีกว่าเดิมมาก ผมเองก็อาจนับว่าได้เดินพ้นออกมาจากถนนแห่งความแร้นแค้นแล้ว พอผมหันกลับไปมองเรื่องที่ผมเคยประสบมาครั้งใด ก็ได้แต่หวังอย่างยิ่งว่า ในสังคมเราต้องไม่มีครอบครัวอนาถาอย่างนั้นอีกต่อไป ต้องไม่มีคนแก่และเด็กเล็กที่อนาถาไร้ที่พึ่งพิงอย่างนั้นอีก คนพิการทุกคนไม่ว่าจะพิการทางร่างกายหรือด้านจิตใจก็ควรจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง เด็ก ๆ ที่ยากจนและถูกทอดทิ้งก็ควรจะมีโอกาสได้เข้าโรงเรียนเรียนหนังสืออย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเด็กอื่นทั่วไป

วันนี้ผมยินดีมอบอดีตที่ผ่านมาครึ่งชีวิตนี้มาแบ่งปันให้กับทุกท่านด้วยความนอบน้อม หวังเหลือเกินว่าผู้อ่านคงจะชอบหนังสือเล่มนี้ นอกจากนี้แล้ว ผมยังมีความปรารถนาอีกประการหนึ่งว่า ผมจะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะสร้างสวนสาธารณะ “กตัญญู” ซึ่งเป็นสวนสาธารณะอเนกประสงค์ และห้องสมุด “กตัญญู” สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา

และแน่นอนว่าความปรารถนาของผมนั้นอาจจะบรรลุผลได้ไม่ง่ายนัก แต่ผมก็เชื่อว่าขอเพียงแต่ให้มีความพยายามเท่านั้น แล้วที่สุดเราก็จะสามารถทำให้ความฝันของเราเป็นจริงได้ในสักวัน

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณจากใจจริงแด่ทุกท่านที่เคยปรากฏเข้ามาในชีวิตผม

ขอบคุณผู้มีพระคุณทุกท่านที่เคยช่วยเหลือผม ตลอดจนคำสั่งสอน การดูแล และกำลังใจจากครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ทำให้ผมได้มีวันนี้

ขอบคุณอาเสีย ยอดภรรยาของผม ขอบคุณที่เธอยินดีเสียสละตนทุกอย่างเพื่อครอบครัวที่น่าเวทนาที่สุดในโลกครอบครัวนี้ เธอยืนอยู่เคียงข้างผมตลอดมา ฝ่าฟันความทุกข์ยากที่ผ่านมาโดยไม่เคยปริปากบ่นสักคำ

และต้องขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อและคุณแม่ของผม ที่ท่านได้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูผมว่า ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นคนพิการด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมก็จะเคารพเทิดทูน และระลึกถึงท่านทั้งสองตลอดไป รวมทั้งพี่สาวผู้เป็นที่รักยิ่งของผม ถ้าไม่ใช่เธอที่ยอมอุทิศกายขายตัวเพื่อความกตัญญู ถ้าไม่ใช่เธอที่เป็นตะเกียงส่องทางให้แสงสว่างแก่ชีวิตผม และเป็นหลักพึ่งพิงทางใจให้แก่ผมแล้ว ผมอาจิ้นคงไม่มีวันมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้แน่

ขอบคุณเจ้านายที่วางใจผม ให้โอกาสผมได้แสดงความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่

และขอบคุณทุกคนที่เคยหัวเราะเยาะผม ดูถูกผม ก็เพราะการกระทำของพวกเขาที่คอยทิ่มแทงใจผมนั้น นับเป็นแรงผลักดันอย่างดีที่ทำให้ผมมีพลังมุ่งไปข้างหน้า

สุดท้ายนี้ ผมขอกล่าวอีกครั้งจากใจจริงว่า ขอขอบคุณทุกท่าน และแล้วผมก็สามารถทำให้สิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวผมเป็นจริงขึ้นมาได้ในที่สุด มนุษย์ไม่มีวันจะสิ้นไร้หนทางไป แม้แสนจะเจ็บปวดทรมาน ทั้งถูกรังแกและดูถูกเหยียดหยามทุกอย่าง แต่ในที่สุดก็เดินผ่านถนนสายขวากหนามที่แสนเยือกเย็นและมืดมนนี้มาจนได้ ในที่สุดผมก็มีวันนี้ วันที่ผมมองเห็นความฝันอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ

อาจิ้นไม่เพียงจะยิ่งพากเพียร ยิ่งกล้าหาญ ยิ่งยืนหยัดที่จะสู้ต่อไปเท่านั้น แต่อาจิ้นยังจะต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีสีสันงดงามอีกด้วย หนังสือแห่งชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หนังสือ “ไล่ตงจิ้น เด็กขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต” เล่มนี้เป็นแค่เพียงบทนำ ปลายปากกาผมยังไม่หยุดลงเพียงเท่านี้แน่ ผมยังจะสร้างสรรค์ผลงานอื่นต่อไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร