วันเวลาปัจจุบัน 23 พ.ค. 2024, 17:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไขปัญหาธรรม ๕

วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗

ผู้ถาม : กราบเรียนพระอาจารย์สุเมโธ เราจะสามารถ ปฏิบัติธรรมในขณะทำงานและใน ชีวิตประจำวันได้อย่างไรครับ ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ


หลวงพ่อ : นี่เป็นคำถามที่คนสงสัยมาก และเวลามีงานที่จัดพิเศษอย่างที่นี่ สถาน ที่เฉพาะนั่งสมาธิ เดินจงกรม รักษาวาจา ไม่ให้คลุกคลีกัน มีระเบียบ มันช่วย ให้ความสงบเกิดขึ้นได้ เวลากลับบ้านสิ่งแวดล้อม ชีวิตประจำวันก็ไม่ เหมือน สิ่งที่สำคัญให้มีสติ รักษาจิตด้วยสติ อย่างนี้ก็ทำได้ ไม่ได้อาศัย สถานที่หรือสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องอาศัยสถานที่พิเศษ มาเพื่อจะปฏิบัติที่ยุว พุทธก็ดี เป็นโอกาสพิเศษที่จะปฏิบัติ มีอาจารย์สอน มีให้กำลังใจ แล้วก็ เพื่อนร่วมกัน มีความมุ่งหมายอันเดียวกัน ถ้าพิจารณาอย่างนี้ก็ดี แต่เวลา เรากลับบ้านก็ไม่เหมือน ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา บางทีพ่อแม่อะไรก็กลัวจะออก บวชเป็นพระเป็นชีอะไร หรือบางคนก็ไม่เห็นประโยชน์ในการปฏิบัติ


การรักษาจิตใจ เวลากลับบ้านก็ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น เพราะบางทีเราจะติดความสงบ ที่ได้จากการปฏิบัติธรรม เวลาเรากลับบ้านก็เกิดอารมณ์แบบรังเกียจบ้านก็ ได้ มันมีแต่ปัญหา มีแต่เสียงดัง มีแต่โทรทัศน์ มีแต่เรื่องของชาวบ้าน เสมอ บางทีเราก็เบื่อแล้ว ไม่อยากฟัง ไม่อยากเกี่ยวข้อง พิจารณาอารมณ์นี้ก็ ดี ถ้ามีอารมณ์รังเกียจหรือเบื่อ หรือสงสัย หรืออารมณ์เป็นอย่างไร ให้ พิจารณาอารมณ์นั้นได้ ก็จะปัญญามันจะช่วยให้ใช้อาการอย่างนี้เพื่อจะพ้น ทุกข์ได้ และสิ่งที่ดีจะมีความสามารถถ้ามีห้องพิเศษก็ดี ห้องพระ ห้องนั่ง สมาธิ บางทีเราไม่มี บ้านที่จะจัดห้องสถานที่พิเศษไม่ได้ สิ่งสำคัญคือจิตใจ เท่านั้น แล้วก็ได้คบกับคนที่สนใจธรรมะก็ดี ให้มีเพื่อนมีมิตรที่สนใจ การ ปฏิบัตินี่สำคัญ เราจะสนทนาธรรม คุยธรรมะก็ได้ มีความสุขอย่างนั้น


แต่ความสงสัยที่เกิดขึ้น หรือคนที่พูดเล่นกับเราว่า ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ออกไป ทำงาน ไปหาเงิน ก็ดูหมิ่นนักกรรมฐาน ไม่มีประโยชน์ที่จะดูลมหายใจเข้าลม หายใจออก กลับบ้านก็ถามว่า ๗ วันที่ผ่านมาทำอะไร ดูลมหายใจเข้า ลมหายใจ ออก บางคนก็เห็นว่าการกระทำอย่างนี้ไม่มีประโยชน์เลย แสดงความคิดได้ เวลาคน แสดงความคิดก็มีอารมณ์เกิดขึ้น ก็ดูจิตดูใจของตนเอง


นี่ก็เป็นวิธีที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อจะมีศรัทธามากขึ้น และจะแก้ปัญหา ทางโลกได้ เราจะบังคับโลกให้เป็นยุวพุทธิกสมาคม คงจะเป็นไปไม่ได้ หรือจะพระ พวกเราติดแต่วัดของเรา ออกจากวัดก็จะ criticize (วิจารณ์ หรือตำหนิ) สิ่ง ที่ไม่ดีที่เราชอบในกรุงลอนดอน ในกรุงเทพฯ อะไรก็ได้


ความจริงอาตมาเองก็ชอบดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ได้ปัญญามากๆ ที่จะไม่สร้างความทุกข์กับสิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างนี้ในปัจจุบัน


เมื่อหลายปีมาแล้ว เราก็ปฏิบัติที่เมืองไทยนี้อยู่ภาคอีสาน แล้ววันนั้นต้องมา กรุงเทพฯ เพื่อจะทำ visa แล้วก็พระที่รู้จักบอกว่าปฏิบัติภาวนาที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ มีแต่ความยั่วยวน ลำบาก เสียงดัง คนเยอะ ต้องระวังมาก องค์นี้ก็มี ความเห็นว่าต้องอยู่ในวัดปฏิบัติตลอดถึงจะปฏิบัติได้ เราก็สงสัยคำพูดอย่าง นี้ด้วย ความคิดอย่างนี้


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องพ้น ทุกข์ นิพพานไม่ได้อาศัยสิ่งแวดล้อม ไม่มีปัจจัยที่จะอาศัยกัน เวลาพระ พุทธเจ้าพูดถึงพระนิพพาน ถ้าเราอาศัยวัดป่าหรือสำนักกรรมฐานตลอดเพื่อจะมี สติ มันจะแคบไปหน่อย เราก็กลัวเข้าในกรุงเทพฯ กลัวจะเสียสติ ของยั่วยวนก็จะ ทำลายสติปัญญาของเรา เราจะสร้างอารมณ์กลัวอะไรมากอย่างนี้


ถ้าหากว่าเราดูจิตของเราได้ เราก็จะเห็นนิสัยของเราที่จะสร้างเป็นกังวล เป็น ความรังเกียจ เป็นความสงสัย ดูอารมณ์อย่างนี้มากเพื่อจะรับรู้ นี่ก็เป็น สิ่งที่เราสร้างเอง ถ้าเราเห็นผู้สร้างทุกข์ เราก็จะเห็นว่าไม่สมควร ไม่จำ เป็นที่จะทำอย่างนี้ต่อไป ก็ปล่อยวางอาการอย่างนั้นได้


ในชีวิตประจำวันก็ฝึกอานาปานสติดี ไปที่ไหน อยู่ออฟฟิศ อยู่บ้าน อยู่ โรงเรียน เวลาระลึกถึงอานาปานสติ เวลาจิตฟุ้งซ่านรำคาญใจของเรา ก็ได้รับ รู้ เรากำลังจะลอยไปทางโลก ก็ไปดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ดีนะ เพื่อจะหยุด ฟุ้งซ่าน


ถ้าเราตามความสงสารมันก็ไม่มีสิ้นสุด มัน เป็น วัฏสงสารทำให้เราพ้นไม่ได้ ถ้าหากเราตั้งใจพิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจ ออก เราไปที่ไหนก็ได้ รถติดกรุงเทพฯ เป็นอะไร เป็นไข้ หรือมีปัญหาครอบ ครัว เพื่อจะหยุดความคิดของเราที่จะทำให้มีความทุกข์ เพื่อจะพิจารณาสิ่งที่ มันเป็นอยู่อย่างนี้ในปัจจุบัน ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ร่าง กาย อิริยาบถ ๔ คนที่คุ้นเคยแล้วกับเสียงสงัด ก็ดูเสียงสงัดก็ได้ ไปที่ไหน ก็มีแต่เสียงสงัด อาตมาก็ฝึกอย่างนี้ มีคนก็พูดไม่ดีกับอาตมา อาตมาก็อยู่ กับเสียงสงัด มันช่วยไม่ให้สร้างอารมณ์ ตามอารมณ์รังเกียจ น้อยใจอะไร ได้ เพื่อจะเป็นทางพ้นทุกข์


ผู้ถาม : นมัสการหลวง พ่อ นอกเหนือจากเวลาการปฏิบัติธรรม อย่างเช่นการเทศน์ หรือการทำธุรกิจ ใดๆ หลวงพ่อกำหนดพุทโธอยู่ในใจหรือไม่ ถ้ากำหนดจะต้องทำอย่างไร หรือควรทำ อย่างไร เพื่อให้มีสติตลอดเวลา


หลวงพ่อ : ก็มีอุบายพุ ทโธ เราก็ใช้พุทโธ ชอบพุทโธมาก ไปที่ไหนก็ถ้าอยากจะคิด ก็คิดพุทโธ พุ ทโธ แล้วก็มีลูกประคำใช้นี่ก็ได้ แล้วก็พุทโธ พุทโธ มันช่วยให้อยู่กับพุทโธ ได้


แล้วพุทโธก็เป็นเหมือนกับพิจารณาที่อาตมาสอน แล้ว ผู้ รู้ปัจจุบัน แล้วก็ถามใครเป็นผู้รู้ แล้วก็ตัวตนสุเมโธเป็นผู้รู้มั้ย สุเม โธมันก็เกิดขึ้นดับไป ผู้รู้ก็รู้นะ สุเมโธก็กำลังคิดแบบสุเมโธ และรู้เวลา สุเมโธไม่มี นี่ก็เป็นอาการที่จะค้นคว้าปัจจุบันได้


ความจริงในปัจจุบันนี้ นี่เป็นจุดกลางในสากลจักรวาล ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ เรื่อง สากลจักรวาลที่เรากำลังอยู่นี่เป็น จุดกลางที่นี่ ไม่ใช่สุเมโธเป็นจุดกลาง ของจักรวาล พิจารณาสิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างนี้ในปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่าง มันรอบ นี่เป็นจุดกลาง เป็นผู้รู้ ผู้จะเห็นลมหายใจที่นี่ได้ เราจะเห็นลม หายใจของโยมไม่ได้ ต้องตั้งใจเหมือนกับลมหายใจของคนอื่นจึงจะเห็น


แต่เดี๋ยวนี้ก็เห็นลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่นี่ก็ได้ ก็เป็นจุดกลางในชีวิตทุก คน ผู้หญิง ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ นี่เป็นสิ่งที่จะอบรมจำได้ ชีวิตของเรานี่ สำคัญ เพราะนี่เป็นจุดกลาง ประสบการณ์ที่มากระทบที่นี่เป็นอย่างไร ดีไม่ ดี สวยไม่สวย ทุกสิ่งในสากลจักรวาลมันจะกระทบตัวนี้


แล้วก็มีความสามารถมีสติปัญญา มีจิตวิญญาณ นี่เป็นจุดกลางที่จะพิสูจน์ ที่จะ เห็นธรรมเป็นธรรม เห็นโลกเป็นโลก ถ้าเราคิดแบบปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่เคย พิจารณาความจริง เราคิดว่าเราเป็นคนนี้ เป็นพระสุเมโธ เราก็คิดว่าเราเป็น เหมือนกับคนหนึ่ง โยมก็เป็นคนหนึ่ง อาจารย์มหาปริญญาเป็นอีกคนหนึ่ง คุณ ผาณิตเป็นอีกคนหนึ่ง เราก็เท่ากันทั้งหมด แล้วก็มีกี่คนมารวมกันในห้อง กรรมฐานที่นี่ นี่ ก็เป็นความคิดแบบโลกียธรรม แบบสมมุตินะ


ความจริงนี่เป็นจุดกลาง มันเกิดขึ้นดับไปในจิตของอาตมาเอง เวลาเรากลับไป ห้อง โยมก็ไม่ได้ไปตาม โยม ทุกคน อาจารย์มหาปริญญา ก็เป็นสัญญาอีก อยู่ใน จิตของเราในปัจจุบัน


นี่จิตปัจจุบันมีความสามารถจะรับทุกคน ในห้องนี้ ห้องใหญ่และมีหลายคน นั่งที่นี่ และพิจารณาในสถานการณ์เป็นอย่าง นี้ เราจะเห็นโยม แต่เห็นหน้าของพระสุเมโธก็ไม่ได้นะ เห็นหน้าของโยมได้ แต่ เห็นหน้าของอาตมาเองไม่ได้ เพราะนี่เป็นจุดกลางนะ


พิจารณาอย่างนี้ก็จะมีปัญญาที่จะเห็นธรรม ที่จะออกจากความยึดมั่นถือมั่นทางความคิด ความเห็น และวัฒนธรรมที่เราถือเป็นสมมุติสัจจะ เป็นสิ่งที่สังคมถือเป็นความ จริง แต่ความจริงไม่ได้เป็นนะ สมมุติทั้งนั้น อันนี้พระพุทธเจ้าผู้รู้ธรรม เป็นอย่างนี้ และเป็นธรรมะทั้งหมด ผู้รู้นะ ธัมโม สังโฆ อย่างนี้ก็เป็นวิธี ของพระพุทธเจ้าที่จะช่วยให้เราพิจารณาสิ่งที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อจะ พ้นจากอวิชชา และความทุกข์


ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อที่ เคารพอย่างสูง เวลาที่เราไม่สบาย จะปฏิบัติก็ท้อแท้และเหนื่อย จะทำอย่าง ไร พิจารณาอย่างไรคะ


และอีกฉบับหนึ่งนะครับ
กราบเรียนถามพระอาจารย์ เมื่อมีความเจ็บปวดมากๆ เช่น หลังผ่าตัด กำหนดอย่างไรก็ ไม่ช่วย กรุณาสอนอุบายที่จะช่วยให้คลายทุกขเวทนาด้วยค่ะ


หลวงพ่อ : เวลาไม่สบาย มันก็มีอาการเป็นไข้ นี่ก็เป็นโอกาสที่เทวทูตมาสอนเรานะ เทวทูต ๔ ที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะออกบวช


ความเจ็บไข้เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาในอาการ เวลามีความเจ็บปวดหรือมีอาการเป็นไข้ ให้ดูอาการนั้นมีเวทนาอย่างไร


ถ้าเป็นไข้ก็พิจารณาความร้อนเป็นยังไง แล้วก็พิจารณาอารมณ์จิตใจด้วย บางทีเรา ก็กลัวว่า เราเป็นไข้มีอาการที่เราไม่รู้เป็นอะไร สงสัยเป็นโรคมะเร็ง หรือ เป็นเอชไอวี ก็เกิดอารมณ์ที่เป็นทุกข์ได้ เราก็สร้างอารมณ์เป็นตัวตน เป็นสิ่งที่น่ากลัว


สมัยก่อนเวลาเราอยู่ภาคอีสาน เป็นพระไม่เกิน ๓ พรรษา พระใหม่ เป็นไข้มาลาเรีย เวลาเรารู้ว่าเป็นมาลาเรีย เราก็เกิด อารมณ์กลัวมาก เราก็มีความคิดว่าไข้มาลาเรียอันตรายมาก ทำให้เราจะตาย จะทำ ให้เป็นบ้าก็ได้ เราก็มีความสงสัยอย่างนี้


ก่อนที่เป็น มาลาเรีย เราเคยเป็นองค์ที่ชอบนั่งสมาธิวันละหลายชั่วโมงด้วย แล้วก็เคร่งครัดด้วย แล้วฉันอาหารบิณฑบาตแล้ว กลับกุฏิก็ตั้งใจนั่งสมาธิ กำลังจะเก่งใน เรื่องสมาธิ เวลาเป็นไข้มาลาเรียนั่งสมาธิไม่ค่อยได้ มีอาการแบบไม่มี กำลัง มาลาเรียก็มีลักษณะมีอาการเป็นไข้ หนาว หนาวจริงๆ เหงื่อออกมาก สิ่ง เหล่านี้แปลกด้วย ทำให้เรากลัวและรังเกียจ ไม่อยากให้เป็นมาลาเรีย


วันหนึ่งหลวงพ่อชาก็มาเยี่ยมเราอยู่ในสาขาวัดป่าพง อาตมาก็บอกหลวงพ่อ ปฏิบัติ ไม่ได้นะ เป็นไข้มาลาเรีย ไม่มีกำลัง รู้สึกไม่ดีเลย กลัวจะขึ้นสมอง ทำให้ เราเป็นบ้าได้ บ่นกันอย่างนี้ ก็ว่าทำสมาธิไม่ได้เดี๋ยวนี้


หลวงพ่อก็บอกปฏิบัติได้นี่ ถ้าเป็นไข้อย่างนี้ก็พิจารณาอาการ กำลังสอนเรา ได้ ท่านก็เอามาลาเรียมาเป็นอาจารย์สอน ต้องรับรู้ มันเป็นอย่างไร ให้เราดู อาการสิ่งที่รู้สึกไม่สบาย อาการร้อนกาย หรือความกลัว ความรังเกียจ ความ เกลียดที่เราสร้างต่ออาการอย่างนี้ ให้เราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วย ก็ได้ ผลดีด้วย ก็พิจารณาอาการมาลาเรีย ความกลัวก็หายไป อาการที่รังเกียจ กลัว ก็ หายไป แล้วพิจารณาเวทนาเกิดขึ้น ทุกขเวทนาของมาลาเรียแล้วก็เห็นว่านี่ก็ทน ได้นะ อาการอย่างนี้ก็ทนได้


บางทีจิตก็บอกว่าไม่ไหว ทนไม่ไหว ไม่เชื่อ ความจริงก็ทนได้ เป็นอาการที่ทนได้ อบรมตัวเองอย่างนี้ ทำให้ เราไม่กลัว และเราก็มีปัญญามากขึ้นที่จะปล่อยความรู้สึกความคิดว่าคนเป็นไข้มาลาเรียปฏิบัติไม่ได้ ทำสมาธิไม่ได้ เราก็เห็นการปฏิบัติมันไม่ใช่เฉพาะทำสมาธิ เพื่อจะต้องมีสุขภาพดี รู้สึกสบายที่จะมีกำลังที่จะฝึกสมาธิมากๆ


ความจริงชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็ควบคุม สั่งให้มันตามความคิดความ เห็นของเราไม่ได้นะ เราต้องมีสติปัญญาพอที่จะรับรู้เดี๋ยวนี้อาการเป็นอย่าง นี้ มันร้อนอย่างนี้ หนาวอย่างนี้ อบรมอย่างนี้ก็เป็นทางที่จะเอาสิ่งที่มา เป็นความแก่ความเจ็บความตาย เป็นเทวทูตอบรมสอน เห็นเป็นโอกาส จะปล่อยความ คิดว่าเป็นอุปสรรค


อุปสรรคคือความยึดมั่นถือมั่น ความเห็น ว่า ปฏิบัติไม่ได้ ไม่สบายเลย ถ้าเรายึดถือความเห็นอย่างนี้ นี่เป็น อุปสรรค ถ้าเราไม่เห็นอุปสรรค เราก็จะอยู่ที่นั่น เวลาสิ่งแวดล้อมร่างกาย ไม่อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติ โอ้ ปฏิบัติไม่ได้ ไม่สบายแล้ว ถึงมีอายุมาก หรือมีอาการเจ็บไข้เกิดขึ้นก็..... เราปฏิบัติไม่ได้เดี๋ยวนี้ไม่สบาย


หลวง พ่อชาก็บอกให้เราดูทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจะเป็นพุทโธ ผู้รู้เห็นธรรม เพราะ อาการมาลาเรีย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน แล้วก็เรื่องความเจ็บปวด มากๆ นี่ก็สำคัญ เวลานั่ง เวลาฝึกสมาธิ เราทดลองดูเพื่อจะรู้ความเจ็บปวดมัน ถึงแค่ไหน และเป็นอันตรายแก่ร่างกายด้วย บางที บางคนก็บังคับร่างกายมากเกิน ไป ทำร้ายร่างกายก็ได้ เพื่อจะต่อสู้ความเจ็บปวดไม่อยากให้ความเจ็บปวดชนะ เรา เราอยากชนะ และเกร็งตัวบังคับให้นั่งทนต่อความเจ็บปวดมากๆ ต่อมาก็เป็น หัวเข่าเสีย ไขสันหลังก็ไม่ดี ไม่ได้ใช้สติ ปัญญา ตัวตนก็มาอบรม ต้องชนะ ความเจ็บปวด


ความเจ็บปวด เราก็พิจารณาเวทนา ทุกขเวทนา อย่างนี้ เราก็แยกออก ความรังเกียจเราไม่อยากให้เป็น เราไม่ชอบ ทุกขเวทนา นี่ก็เป็นความทุกข์ และความเจ็บปวดทางกาย ก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติ เราไม่ได้สร้าง ไม่ได้เป็นการปรุงแต่ง เราไม่ได้ทำให้ มันเกิด เอง เราจะรักษาจิตใจเพื่อจะรู้อาการนี้ ทุกขเวทนาในกาย บางทีหัวเข่า ไข สันหลัง หรือที่ไหนก็ได้


และบางทีจิตใจก็บอกว่าไม่ไหว แล้ว มันมากเกินไปแล้ว ไม่ไหวแล้ว อาศัยพุทโธเพื่อจะเห็นอารมณ์นี้ ไม่ไหว แล้ว ไม่ไหวแล้ว ความจริงก็ไหวได้ อาตมาก็สังเกตในการปฏิบัติของตนเองที่มี อารมณ์ โอ้ย ไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว แล้วก็มองดู กำลังทนอยู่นะ


ตัวตนก็โกหกเราได้ อย่าไปเชื่อง่าย และถ้าหากว่ารู้ความจริง รู้เวลามันนั่งจน เป็นอันตรายกับสุขภาพ ก็เปลี่ยนอิริยาบถได้ บางคนมีความเจ็บปวดแบบ ตลอด เรียกว่า Chronic ไม่สิ้นสุด อาการอย่างนี้ก็น่าสนใจด้วย เราไม่เคย เป็นความจริงก็มีบารมี สุขภาพ ความเจ็บปวดมี แต่มันไม่ได้เป็น Chronic มัน เป็นแบบธรรมดา แต่เราก็รู้หลายคนมีความเจ็บเป็น Chronic หมายความว่ามีตลอด ไป แล้วก็กินยาอะไรก็ยังเป็นอยู่ หรือต้องกินยาเป็นมอร์ฟีนอะไรที่จะระงับ อาการทำให้เราจะติดมอร์ฟีนได้
แต่นักปฏิบัติส่วนมากไม่อยากจะกินยามอร์ฟีน ฉีดยาอย่างนี้ เพราะไม่อยากติดสิ่งเหล่านี้นะ
(เทปเงียบไปครู่หนึ่ง)


เราก็ทำด้วยจิตได้ เพื่อจะพิจารณาอาการ ความจริงมันบังคับให้เรามีสติมากๆ ความ ปวด Chronic บังคับให้เรามีสติพิจารณาอาการ ก็ทำให้เราอดทนและแยกออกจากตัวตน เพื่อจะเห็นรายละเอียดของความเจ็บเป็นอย่างไร และเห็นปฏิกิริยาของ เรา อารมณ์ของเรารังเกียจ อยากจะกินยาเพื่อระงับความเจ็บปวด หรือจิตบอกทน ไม่ไหว พิจารณาอย่างนี้ ผู้รู้เขารู้มันเป็นอย่างนี้ มีอาการอย่างนี้เป็น อย่างนี้ ใช้เป็นเพื่อจะทำให้เรามีสติปัญญามากขึ้น ถึงที่สุดแล้ว บางคนก็ ได้ปัญญามากๆ ศรัทธาในการปฏิบัติสมบูรณ์จริงๆ เพราะได้ผลดีในการพิจารณา อาการเจ็บปวดแบบ Chronic pain ได้


มีโยมผู้ชายคนหนึ่ง มี ชื่อเสียงทุกวันนี้อยู่ในอเมริกา อยู่บอสตัน คนนั้นก็เคยฝึกกรรมฐาน เกือบ ๔๐-๕๐ ปีแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านก็จัดองค์การที่บอสตัน เพื่อจะสอนในโรง พยาบาลในเมืองนั้น เพื่อจะช่วยคนมีอาการเจ็บปวดแบบ Chronic pain เพื่อจะแก้ ปัญหาด้วยพลังจิตได้ คนนั้นก็มาเยี่ยมเราที่อมราวดี เมื่อ ๔-๕ เดือนมา แล้ว และเราก็สนทนาในสิ่งเหล่านี้ ทุกวันนี้พวกแพทย์ หมอ นักวิทยาศาสตร์ กำลังจะสนใจการปฏิบัติด้วย เพราะเห็นผลเรื่องกินแต่ยาระงับประสาท มอร์ฟีน อะไรอย่างนี้ แล้วก็ทำให้มีปัญหาอีกหลายอย่างได้


แต่คนนี้ชื่อ Jon Kabat-Zinn ก็เขียนหนังสือ ๒-๓ เล่มแล้ว ก็เก่งเรื่องสอน ไม่ได้สอนแบบพุทธศาสนา สอนแบบ meditation กรรมฐานเฉยๆ ถ้าสอนเป็นพุทธ ศาสนา บางคนก็กลัวศาสนา ก็ไม่สนใจ ถ้าเราพูดถึงเป็นวีธีที่จะรักษาจิต แก้ ปัญหาความเจ็บปวด อย่างนี้ก็หลายคนก็ได้ปัญญามากขึ้นในชีวิตด้วย ไม่ใช่ เฉพาะรักษาอาการอย่างดี แต่คุณภาพชีวิตมันดีขึ้น เป็นคนที่มีความฉลาดมี ปัญญามากขึ้นในชีวิตด้วย


ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อพูดถึง Chronic pain เมื่อกี้นี้คือการเจ็บป่วยแบบเรื้อรัง
กราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อสอนให้อยู่กับอารมณ์ ถ้าเรารู้สึกตัวว่าอารมณ์ไม่ดีจะทำอย่างไรที่จะกำจัดอารมณ์ไม่ดีได้คะ


หลวงพ่อ : อารมณ์ไม่ดีก็เป็นธรรมเหมือนกัน นี่ก็ต้องพิจารณาบ่อยๆ เพื่อจะเป็น ผู้เห็นอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้เป็นอารมณ์ นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์เอง เพราะ เรื่องการสอนด้วยคำพูดอย่างนี้นะ มันสอนยาก เราต้องเห็นประโยชน์ในรักษาพุ ทโธเป็นผู้รู้


แต่ใครพูดว่าอารมณ์ไม่ดี มันก็มีอารมณ์ โกรธ อิจฉา อะไร แล้วตัวตนก็บอกว่า นี่อารมณ์ไม่ดีนะ แล้วก็เป็นการปรุงแต่ง ของเรา เราก็ไม่ชอบอารมณ์นี้ และอารมณ์นี้เราก็พูดว่าเป็นอารมณ์ไม่ดีนะ มัน มาจากสังขารการปรุงแต่งทั้งหมด


ผู้รู้อารมณ์เป็นอย่างนี้ อารมณ์ที่เราถือว่าเป็นอารมณ์ไม่ดี เราไม่ต้องคิดว่าไม่ดี รู้มันเป็น อย่างนี้ ถ้ามีอาการมีอารมณ์แบบโกรธ แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าไม่ดี ก็รับรู้มัน เป็นอย่างนี้ พิจารณาอารมณ์ในปัจจุบัน แล้วก็ไม่ต้องอธิบายอีก เรื่องมันดี ไม่ดี สมควรหรือไม่สมควร ให้รับรู้ ก็รู้มันเป็นอย่างนี้


ถ้าโกรธ แล้วก็เรารู้ รักษาศีลด้วย ไม่ให้พูดตามอารมณ์อย่างนี้ แล้วรับรู้ ได้ มันเป็นอย่างนี้เอง เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นดับไป ไม่ได้เป็นตัว ตนอย่างนี้


นี่ก็สำคัญมาก ไม่ให้สร้างตัวตนต่อไป บางทีเรา อยากจะเป็นคนดีๆ เรามีความมุ่งหมายให้เป็นคนดีๆ คนซื่อสัตย์สุจริตอย่าง นี้ แล้วก็เป็นอุดมคติที่เราชอบ แล้วก็เป็นอุดมคติสวยมากด้วย แต่บางที มนุษย์เรา เราก็อยากจะเป็นคนดี แต่บางทีอารมณ์ไม่ดีเหมือนกันนะ นี่ก็เป็น ธรรมดาเป็นธรรมชาติในการเป็นมนุษย์ อยากเป็นคนดีๆ บางครั้งบางคราวอารมณ์ไม่ ดีเกิดขึ้น บางทีอารมณ์ไม่ดีก็มีมาก แต่จะทำอย่างไร จะบังคับให้มีอารมณ์ ดีๆ ตลอดไปก็เป็นไปไม่ได้


เราต้องรับรู้สังขารทั้งหลายไม่ เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นดีเป็นชั่ว เป็นอะไรทุกอย่าง เป็นเทวดาเป็นปีศาจ ก็ได้ สวรรค์ นรก แต่สติปัญญาจะทำให้เราเห็นสังขารเป็นสังขารได้ ปัญญาก็รับ รู้ มันเป็นอย่างนี้ ลักษณะรู้มันมีอาการอารมณ์มีความรู้สึกอย่างนี้ และถ้า เรายอมรับโดยสติปัญญา สติสัมปชัญญะ สัมปชัญญะมันจะทำให้เรารับได้ ไม่ใช่ยึด มั่นถือมั่น ไม่ได้พูดอย่างนี้ รับหมายความว่า ยอมให้เป็นอย่างนี้ วางเป็น อย่างนี้


เราก็จะรับด้วยสติปัญญา เราก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นสังขาร เป็นอย่างนี้ ถ้ารับด้วยไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็ดับไปเอง หมาย ความว่าเราไม่ได้สร้างเป็นตัวตนอีก ไม่มีกรรมกับสิ่งเหล่านั้น เราไม่ได้ สร้างเป็นกรรมไม่ดี หรือกรรมอะไรเลย


ถ้าเรามีสติมีปัญญา อย่างนี้ อบรมเรา วิธีที่จะออกจากปฏิกิริยาและนิสัยสันดานที่ทำให้เป็นตัว ตน เราอยากเป็นคนดี เวลาอารมณ์ไม่ดี เราก็จะโทษตัวเองด้วย โอ้ เราอยากเป็น คนดี แต่เราเป็นคนไม่ดี บางทีก็ดูหมิ่นดูถูก และรังเกียจตัวเองได้ มันถูก อีก บางทีก็อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย เราก็จะหลงความรังเกียจมาก เราก็อยากให้จับ อุดมคติอยากเป็นคนดีๆ เท่านั้นตลอดไป นี่ก็เป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างสูง สุดแบบอุดมคติที่สวยงาม ก็ดีอยู่ แต่ความยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุให้เกิด ทุกข์


เราก็เห็นอุดมคติ อยากจะเป็นคนสุจริตซื่อสัตย์ คนดี เท่านั้น ก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะคิดได้ ก็น่าสรรเสริญ แต่ความยึดมั่นถือมั่น ก็ทำให้เรามีความทุกข์ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นอุดมคติ เราเป็นมนุษย์ มีร่าง กายอย่างนี้ อุดมคติไม่มีประสาท อุดมคติมันเป็นแบบสมบูรณ์ สวยที่สุด แล้ว ถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่มีเลือดลม ไม่มีประสาท ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่สวยที่สุด แต่ไม่มีชีวิตและไม่มีความ สามารถจะพิจารณาด้วยปัญญา


มนุษย์เรามีความสามารถจะ พิจารณา ดีก็เกิดขึ้นดับไป ไม่ดีก็เกิดขึ้นดับไป ถ้าเราตั้งใจจะพิจารณา อย่างนี้ เราไม่ต้องกลัวอารมณ์ไม่ดีจะเกิดขึ้น ก็เป็นโอกาสที่จะเห็นด้วย ปัญญา เพื่อจะไม่สร้างความทุกข์ เวลาชีวิตของเราเปลี่ยน แปลงอย่างที่มี อารมณ์ไม่สบายใจ มีอารมณ์โกรธ อิจฉา สิ่งแวดล้อมมันบังคับให้เรามีอารมณ์ที่ เราไม่ต้องการ ถ้าเป็นอย่างนี้ บางทีชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น บางทีคน สรรเสริญ คนนินทา ทุกคนก็ต้องอดทนต่อสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปทางกาย และสังคม ด้วย


ผู้ถาม : เวลาปฏิบัติมีปัญหาเรื่องความฟุ้งซ่านมาก จิตจะแวบออกไปจากพุทโธเสมอ กราบขออุบายรู้ทันความฟุ้งซ่านด้วยค่ะ


หลวงพ่อ : ครั้งแรกเราก็ฝึกพุทโธ อาตมาก็มีปัญหาอย่างนี้ครั้งแรกจิต ฟุ้งซ่าน ครั้งแรกตามลมหายใจเข้าลมหายใจออกไม่ค่อยได้ เวลาไปคณะ ๕ วัด มหาธาตุฯ ท่านเจ้าคุณสอนยุบหนอพองหนอ ไม่ค่อยเห็นนะ ยุบหนอ ไม่เคยสังเกต อย่างนี้นะร่างกาย แล้วก็เปลี่ยนเป็นพุทโธ ปลายจมูกก็มีเวทนาเบาๆ ในที่ นี้ แล้วต้องรับรู้เวทนาตามลมหายใจ เข้าลมหายใจออก ก็เข้าใจคำอธิบาย แต่จะ ตั้งใจมั่นก็ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ยาก เราก็สังเกตนิสัยก็เป็นอย่าง นี้ จิตฟุ้งซ่าน ก็รับรู้ถ้าเป็นอย่างนี้ ต้องตั้งใจต้องอธิษฐาน ลมหายใจ ออกสำคัญมาก ตรงนี้เป็นจุดที่ฟุ้งซ่านไป เรื่องสมาธิกับลมหายใจเข้าก็เห็น ว่าทำได้


วันหนึ่งที่จิตตวิเวก มีพระองค์หนึ่งบอกว่า เราก็ ฝึกสมาธิ ยังไม่มีอะไร ยังไม่ได้ผลในการปฏิบัติ เราก็ตอบว่าตามลมหายใจเข้า ได้มั้ย บอกว่าทำได้ งั้นก็ดีนะผลดีนะ บางทีเราก็อยากจะเข้าฌานทันทีเลย ไม่ อยากจะให้จิตฟุ้งซ่านเลย อยากจะถึงความสงบ อยากได้สิ่งที่เราไม่มี เราก็โทษ ตัวเองด้วย จิตฟุ้งซ่านมาก เราก็ โอ้ เราเป็นคนฟุ้งซ่าน ก็ไม่สบายใจเกิด ขึ้น


ถ้าเป็นอย่างนี้ อาตมาก็แนะนำให้พอใจกับลมหายใจเข้าก็ ดี เหมือนกับคนโง่ เราไม่ต้องเป็นคนเฉลียวฉลาด เป็นคนโง่ๆ ก็ได้ ก็ได้ผลดี วันนี้ก็ลมหายใจเข้าครั้งเดียวก็มีสติ และจิตฟุ้งซ่านตลอด เราก็มีความสุข ในวันเดียวก็มีสติสมาธิกับลมหายใจเข้า เหมือนกับคนโง่


แต่ความจริงก็เป็นอุบายที่ทำให้อาตมาอดทนต่อนิสัยที่ฟุ้งซ่าน แต่อยากจะได้ สมาธิใหญ่โตแบบฌานเป็นโสดาบัน เป็นสกทาคามีอย่างนี้ อยากเป็น พระอรหันต์ ทันที ไม่อยากจะปฏิบัติมากๆ นั่งเจ็บขา อยากจะนั่งสัก ๕ นาทีตรัสรู้เป็นพระ อรหันต์เลย อเมริกันก็มีนิสัยอย่างนั้นนะ อยากได้ทันที เหมือน กับ instant coffee นะ instant อะไร fast food นะ อเมริกันก็มีอาการอย่าง นี้ สิ่งที่อยากได้ก็อยากได้ทันที เหมือนหลวงพ่อชาแนะนำให้อดทนสร้างขันติ บารมี พอจิตฟุ้งซ่านมาก เราเป็นคนช่างคิดก็เอาพุทโธมา


เวลาอยู่หนองคาย เป็นสามเณรก็อยู่แบบเข้าห้อง อยู่ในกุฏิไม่เคยออกไปบิณฑบาต ไม่ มีประชุม ไม่รวมกับใคร เราก็ต้องอยู่กับตัวเองตลอดวันตลอดคืน น่าเบื่อ จริงๆ สุเมโธเบื่อเต็มที ไม่มีเพื่อน ไม่มีโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือ หนังสือ พิมพ์อะไรเลย


แต่เราฝึกลมหายใจ ยุบหนอพองหนอมาก กำลัง ปฏิบัติแบบนั้น ก็ดี และบางทีทำมากแล้ว จิตก็ยังฟุ้งซ่าน เราก็ท้อใจ แต่เรา เคยพิจารณา ถ้าเราเป็นคนคิดมากคนฟุ้งซ่านมาก เราต้องใช้คำบริกรรม อันนี้ เป็นความคิดเหมือนกัน แต่จำกัดให้ความคิดไม่ออกไป เพียงแต่พุทโธ พุทโธเท่านั้น


แต่ตอนนั้นยังไม่รู้พุทโธเราก็ทำเป็น let go นะ แบบ ปล่อยวาง ภาษาอังกฤษ let go let go นะ เราก็เอา คำศัพท์นี้ let go เป็น คำบริกรรม และก็นั่ง ครั้งแรกเราก็ตามลมหายใจเข้า ยังฟุ้งซ่านได้ ยังเป็น ปัญหา แต่ก็ใช้ let go ได้และสวด let go ในใจไม่มีเสียง let go let go คิด ใน ใจแบบเร็วมาก เพราะไม่ให้ฟุ้งซ่าน ถ้าไม่เร็ว let go ออกไป ฟุ้งไปแล้ว


และ เราก็รู้ ถ้าทำเร็วๆ let go let go อย่างนี้ และก็ทำให้มันชัดด้วย สร้างภาพ เขียนสะกดนะ let go นะ let go แล้วก็เขียนเป็นสีแดง สีเขียว ภาพในใจ เพื่อ จะทำให้สนใจ จะทำให้คำบริกรรมมันชัดในใจ ไม่ได้เป็นแบบสิ่งที่มันสวดแต่จิต ฟุ้งซ่านได้


บางทีก็สวดนะโม ตัสสะ จิตฟุ้งซ่านได้ เราไม่ได้ ตั้งใจมั่นกับการสวดมนต์ แต่เราก็เอาคำศัพท์ ๒ คำ let go ภาษาอังกฤษ แล้ว ก็ let go let go ทำได้เป็น ๕ นาที เราก็สังเกตผลในการฝึกอย่างนั้น ก็เห็น ว่าจิตไม่ฟุ้งซ่านเดี๋ยวนี้ มันว่าง แล้วก็เพ่งดูผลในการปฏิบัติ แล้วบางที ก็มีความรู้สึกจิตฟุ้งซ่าน ก็ let go let go let go รับรู้ มีความตั้งใจ มั่นกับ let go พอสมควร


ต่อมาก็สวดเร็วไม่จำเป็น ตามลม หายใจเข้าหายใจออกได้ แต่ครั้งแรกเวลาเป็นปัญหาจิตฟุ้งซ่านตลอด เราจะตามลม หายใจเข้าลมหายใจออกไม่ได้ หรือยุบหนอพองหนอไม่ได้ เราก็ท้อใจในการ ปฏิบัติ เราจะคิดว่าฟุ้งซ่านมาก ก็ไม่ได้ผลในการปฏิบัติ


ทดลองดู ถ้าจะคิดก็คิดเพียงแต่พุทโธได้ ทำให้มันเป็นจุดสนใจ ไม่ให้หลงเป็นแบบสวด ไม่รู้เรื่อง สร้างเป็นภาพก็ได้ ทำให้มันชัดในจิตด้วยพุทโธ พุทโธ


ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ก็จะเห็นช่องว่างด้วย ช่องว่างเวลาไม่มีความคิด ครั้งแรกเรา ไม่รู้เวลา เราไม่มีความคิด ครั้งแรกก็คิดว่าเราเป็นคนคิดตลอด เราก็ยัง สงสัยเวลาหลับคงจะยังคิดอยู่นะ เพราะเราก็ยึดถือความคิด เราไม่เคยมีสติ ไม่ เคยรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีความคิดในใจ ถ้าจิตว่างเราไม่เคยสังเกตจิต ว่างนะ เราก็รู้สึกสร้างตัวตนตลอด อ้อ คิดอย่างนี้ คิดอย่างนั้น คิดดี ชั่ว สร้างภาพในใจ อ่านหนังสือมากๆ และช่องว่างเวลาเราไม่มีความคิดเราไม่ เคยได้สังเกต แต่ในเวลาปฏิบัติ พิจารณาเวลาไม่มีความคิดเป็นยังไง เวลาความ คิดไม่เกิดขึ้น


นี่ก็เป็นเรื่องสงสัยด้วย ความสงสัยเป็น วิจิกิจฉา เป็นนิวรณ์ และเป็นอาจารย์ดีมาก สงสัยนี่มันทำให้เราหยุดคิด ได้ เหมือนกับใครเป็นผู้รู้ พุทโธ เราก็ถามปัญหา ใครเป็นพุทโธ ถ้าเราดูเวลา เราถามตัวเองใครเป็นพุทโธ ความคิดจะหยุด มีช่องว่างในปัจจุบัน สังเกตมีช่อง ว่าง


บางทีจิตก็พุทโธเป็นพระพุทธเจ้า หรือเราก็อยากจะตอบคำ ถาม แต่เราไม่สนใจคำตอบ เราสนใจคำถามตัวเองเพื่อจะเห็นความว่างในจิตใน ปัจจุบัน นั่นก็เป็นแบบ Zen Buddhism ด้วย มีโกอาน มีคำถามที่พิสูจน์ไม่ ได้ด้วยความคิด ที่ไม่มีคำตอบด้วยความคิด นี่ก็เป็นวิธีของญี่ปุ่นที่จะดู ความว่าง จิตว่าง เราไม่เคยสังเกตเวลาจิตว่าง ความจริงก็มีอยู่เป็นธรรมดาใน ชีวิต ไม่เคยรู้เป็นอะไร


เดี๋ยวนี้สติที่จะติดต่อ กัน บางทีเวลาคิดก็มีสตินะ เราก็รู้สึกที่จะเป็นอะไร เราต้องเป็นคนอย่างนี้ คนอย่างนั้น บางทีเราก็ยึดถือหลายสิ่งหลายอย่างเพราะสิ่งที่เรายึดถือ เรา เป็นคนอย่างนั้น เราเป็นทนายความ เราเป็นครู เราเป็นพยาบาล เราเป็นพระ เรา เป็นอเมริกัน เราเป็นอะไร ให้เป็นอะไร เราก็ รู้สึกเราเป็นสัตว์ เป็น บุคคล หรืออยากจะให้เป็นคนสำคัญ VIP เราอยากได้ยศ ลาภ สรรเสริญ บางทีเราก็ กลัว เราจะเป็นคน ธรรมดา ไม่มีอะไร ไม่มีชื่อเสียงอะไร แล้วก็ดูหมิ่นตัวเอง ได้


ความจริงมียศหรือไม่มี ความว่างเป็นสิ่งที่เราไม่ เคยสังเกต เราต้องตั้งใจให้เห็นอยู่ คำถามนะ ใครเป็นพุทโธ ใครเห็น สังขาร ความคิดก็หยุด แล้วกำหนดรู้มันอยู่อย่างนี้ จิตว่าง ก็เป็นอย่าง นี้ อบรมเรื่องสิ่งเหล่านี้จะเห็นความว่างมากขึ้น และจะอบรมเพื่อจะรู้ความ ว่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เป็น แนวความคิด บางทีเราบอกรู้คำศัพท์จิตว่าง แต่ เป็นความคิดเฉยๆ


อีกอย่างหนึ่งก็ใช้อุบายคิดในใจ ผมเป็น มนุษย์ ผมเป็นสัตว์มนุษย์ อย่างนี้นะ ก็เป็นความคิดที่ไม่น่าจะสนใจเท่าไหร่ นะ แต่เราก็ใช้คำศัพท์อย่างนี้ เพื่อจะพิจารณาความว่างก่อนที่คิดและตั้งใจ ให้คิด ผม ตอนที่คิด ‘ผม’ ก็มีความว่าง สังเกตดูนะ ตอนที่คิดมีช่อง ว่าง ‘ผม’ ‘เป็น’ ระหว่างผม-เป็น ก็มีช่องว่างนะ


สังเกตดู ช่องว่างในเวลาคิดอย่างนี้ ผม-เป็น-สัตว์-(ว่าง)-มนุษย์ สังเกตกำหนดรู้ความ ว่างเป็นอย่างนี้ คือจะรู้จิตว่างเป็นธรรมดา ไม่ใช่เป็นสิ่งแปลกๆ หรือเป็น สิ่งยาก แต่เราไม่เคยกำหนดรู้ว่างเป็นอย่างไร ในประสบการณ์ ในชีวิตประจำ วัน และเห็นความว่างอย่างนี้ เสียงสงัดมันจะช่วยให้ความคิดดับไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไขปัญหาธรรม ๖

วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๗

ผู้ถาม : ขอความกรุณาหลวงพ่อเล่าเรื่อง sister แม่ชี นะครับในประเทศ อังกฤษ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ผู้หญิงไทยที่ ต้องการเป็นภิกขุนี


หลวงพ่อ : เราเคยบวชแม่ชีบรรพชาแบบสามเณรี เมื่อเกือบ ๒๐ ปีนะ ได้รับอนุญาตพระ ผู้ใหญ่ในเมืองไทยนี้ก่อนที่บรรพชาให้ ก็ปรึกษากับพระบางรูปในวัดป่าพง พระ มหาเถระในกรุงเทพฯ ปัญหาเรื่องการเผยแผ่ศาสนาภายนอก สังคมมันต่างกัน เป็น ประชาธิปไตยเป็นอันมากแล้วก็ถือแต่ผู้ชายผู้หญิงเสมอ


ในสมัยปัจจุบันก็มีแต่ความคิดใหม่ จะไม่ทำให้ผู้ชายเป็นที่หนึ่ง และผู้หญิง เป็นที่สอง ถ้ามีความคิดอย่างนี้ก็จะน้อยใจบ้าง ถ้าเป็นแม่ชีเฉยๆ ต้องอยู่ กับพระที่มีระดับสูง ผู้หญิงก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ ก็อยากจะแก้ปัญหา อย่างนี้ ตามความสามารถในฝ่ายเถรวาท คิดจะทำเป็นแบบสามเณรีสีลธรา แต่สีลธราก็ปฏิบัติ เกือบ ๒๐ ปี กับศีล ๑๐ และรักษาวินัยอีกมากมาย วินัยของนางภิกขุนี เพื่อจะ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นคณะที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ ผลอย่างนี้ก็ ดี อาตมาไม่เสียใจ ก็เห็นประโยชน์ในการทำอย่างนี้ สีลธราที่อังกฤษก็ดี ขึ้น ปัญญามากขึ้น การอยู่ร่วมกันเป็นผู้หญิงสงฆ์อย่างนี้ก็ปัญญามันมาก ขึ้น ครั้งแรกก็ปัญหามาก ผู้หญิงในต่างประเทศก็ไม่เคยอยู่รวมกันกับผู้หญิง หลายคน ส่วนมากไม่เคยอยู่อย่างนั้น ถืออิสระเป็นใหญ่ และประชาธิปไตย และไม่ มีผู้หญิงที่เป็นผู้มีปัญญาที่จะเป็นอาจารย์สอนด้วย


ครั้งแรกก็เป็นผู้หญิง ๔ คน ก็ขอให้รับศีล ๘ เป็นแม่ชี ศีล ๘ แล้ว ๔ คนนี้อยู่ รวมกัน ๔-๕ ปี ก็มีปัญหาเรื่อยๆ ระหว่างกันนะ เพราะยังไม่ฉลาด ยังแก้ปัญหา ในตนเองไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหมือน เดี๋ยวนี้ก็เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระ หว่างสีลธรา ก็มีความสามารถจะแก้ปัญหาอย่างนี้ โดยไม่ต้องอาศัยเราเป็นผู้ แก้ปัญหาของสีลธรา


เดี๋ยวนี้ก็เป็นบางคน บางคนก็พอใจอยู่ เป็นสีลธราก็พอแล้ว จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้มีสติมากขึ้น และก็อยู่รักษาชีวิต เป็นสมณะได้ง่ายๆ บางคนก็ยังไม่พอใจ มีความหวังจะเป็นภิกขุนีต่อไป


สิ่งเหล่านี้ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน วินัยของนางภิกขุนีมันมาก มากกว่าพระ ภิกษุ ถ้าทำก็ต้องขอจากเกาหลีหรือไต้หวันจากมหายาน มหายานก็ยังมี ภิกขุนี เราก็ตั้งใจจะร่วมมือกันกับพระผู้ใหญ่ในเมืองไทยด้วย ไม่ให้ทำอะไร ที่เห็นว่าจะสร้างความแตกแยกสงฆ์อะไรอย่างนี้


ความจริงอาตมาก็สนใจแต่พ้นทุกข์เท่านั้น เรื่องสมมุติสัจจะ เรื่องสมมุติทำอย่างไรก็ใช้ เพื่อจะพ้นทุกข์ได้ และเราก็สรรเสริญคนที่มีสันโดษในการเป็นสมณะ ก็เป็น อย่างไร ก็เป็นพระภิกษุ เป็นเณร เป็นแม่ชี เป็นสีลธรา เป็นภิกขุนีก็ ได้ สิ่งสำคัญในการปฏิบัติคือ เพื่อจะเห็นทางที่จะได้ผลคือมีสันโดษ


ความจริงสิ่งจำเป็นที่จะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่ขาด ไม่มีอะไรบกพร่อง สิ่งเหล่านี้ เห็นว่ามีแล้ว เรื่องการสอนธรรมะก็เหมือนกันเราไม่ได้สอนธรรมะเฉพาะพระ ภิกษุ แล้วก็สีลธราก็ฟังไม่ได้ ธรรมะเป็นอริยสัจ อย่างที่เราสอนในอาทิตย์ นี้ด้วย ให้โยมก็มีโอกาสจะฟังเทศน์ฟังธรรมพิจารณาด้วย


คำสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสิ่งที่จะแสดงเฉพาะคนพิเศษ คนที่สนใจ มนุษย์ที่ สนใจ ผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นอะไรที่สนใจอยากรู้ขอให้ได้อาราธนาเทศน์ เรา ก็จะเทศน์ตามความสามารถของเราเรื่องคำสอนพระพุทธเจ้า ต่อไปข้างหน้าก็ไม่ รู้ เดี๋ยวนี้เมืองไทยก็เปลี่ยนแปลงด้วย จะตั้งสงฆ์เป็นนางภิกขุนีเราก็ไม่ ขัดข้อง เรื่องนี้ความจริง เราไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ไม่ยอมจะทำตามความคิด ของตนเองด้วย


อันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องตัดสินใจกับพระ สงฆ์ ให้ร่วมมือกัน ไม่ให้เราทำตามความคิดของตนเอง คงจะแยกออกเป็นลัทธิอีก อย่างหนึ่งก็ได้ แต่เราก็ไม่ยอมจะทำอย่างนั้น


นี่เป็นความ คิดความเห็นของอาตมาเอง ความจริงเรื่องสิ่งที่ Experiment (ทดลอง) ในประเทศ อังกฤษ เราก็พอใจกับสิ่งเหล่านั้น ไม่เสียใจ เดี๋ยวนี้ก็มันมากขึ้น ผู้หญิง ที่สนใจขอให้อยู่ ครั้งแรกต้องอยู่เป็นฆราวาสเป็นโยมอุปัฏฐากอยู่ในวัด แล้ว ก็แสดงว่ามีศรัทธามากขึ้นที่จะบวชเป็นแม่ชีศีล ๘ ก็ได้นะ ให้ศีล ๘ โดย เรียกว่าอนาคาริกา แล้วก็โกนศีรษะห่มผ้าขาวเหมือนแม่ชีในเมืองไทย แล้วก็ อยู่เป็น อนาคาริกา สัก ๒-๓ ปี แล้วก็สงฆ์สีลธราคนนั้นขอให้รับบรรพชา สงฆ์ก็พิจารณาสมควรหรือไม่ แล้วแต่พระเห็นว่าสมควรก็จะให้บรรพชา


บรรพชา ก็มีความหมายอย่างดีด้วย เหมือนกับสามเณร สามเณรี ความหมายก็คือจะเสีย สละ โลกียธรรมมันมากไม่มีเงินทรัพย์สมบัติแล้ว ก็จะปล่อยไม่ให้มี เงิน ทรัพย์สมบัติ ห่มผ้าสีเหลืองสีกลักยังไม่ได้



ครั้งแรกปัญหามันเกิดขึ้นเพราะ ถ้าสีลธรามาเมืองไทย ลักษณะของผู้หญิงฝรั่งบางที โกนศีรษะคนไทยเห็นว่าเป็นผู้ชาย แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นในงานศพ พระราชทาน เพลิงศพหลวงพ่อชา สีลธราไปด้วย แล้วสีลธราองค์หนึ่งก็จับมือกับแม่ชีเดิน ไป คนไทยเห็นก็ โอ้ ลูกศิษย์พระสุเมโธ.....เห็นเป็นผู้ชาย เห็นเป็นพระ ความ จริงสีมันต่างกัน สีลธราสีช็อกโกแลต ไม่ใช่สีช็อกโกแลตดำนะ พระก็มีสีอย่าง นี้ แล้วสีลธราก็สีช็อกโกแลต แล้วสีลธราที่อังกฤษก็ไม่บังคับอะไร ส่วนมาก ความมุ่งหมาย ความประสงค์คือพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่เรื่องโลกียธรรม เป็นสี ลธรา เป็นภิกขุนี เป็นอะไร ก็ยังไม่มีสันโดษ อยากจะเป็นสังฆราชก็ได้ ถึงที่ สุดแล้วก็ยังไม่พอนะ ถ้าเรายังไม่แก้ปัญหาในใจเอง แก้ปัญหาเรื่องทะเยอทะยาน ก็ต้องแก้ที่นี่ แก้เรื่องภายนอกก็ไม่ได้ ที่สุดแล้วเป็นพระสังฆราชก็ ได้ ปัญหายังมีอยู่ เราก็เป็นพระสมณะแก้ปัญหาในจิต เรื่องยศก็ไม่สำคัญ เรา ไม่ถือ อันนี้ก็ไม่สนใจเหมือนกัน มียศ เราไม่อยากยึดถือยศเป็นตัวตนเป็น อุปสรรคในการปฏิบัติด้วย


ระลึกถึงคำศัพท์ภิกษุ ภิกษุณี ด้วย หมายความว่าผู้อาศัยความดีของคนอื่น บางคนก็แปลเป็นขอทาน แต่เราก็ไม่ ความสามารถจะเลี้ยงตัวเอง ไม่มีเงินทรัพย์สมบัติอะไรที่จะทำงานทำอะไรที่จะ เลี้ยงชีวิต ตามฆราวาสที่ทำได้ พระพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ทำไม สงสัยมาก ครั้งแรก ทำไม


พระพุทธเจ้าบังคับให้เรารักษาตัวเองเป็น อิสระ เป็น independent ไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นตลอด ออกบิณฑบาต รับอาหาร แล้วถึงเที่ยงแล้วอาหารที่ได้แล้วก็ต้องเสียสละ เก็บไว้เพื่อจะทานวัน อื่นก็ไม่ได้ เป็นระเบียบวินัย เราก็สงสัย ทำไมพระพุทธเจ้าตั้งระเบียบอย่าง นี้


แต่เราก็เห็นนะ ที่สุดแล้วก็เห็น พระพุทธเจ้าไม่อยากให้ เราเป็นฤาษีอิสระ ให้เราอาศัยสังคมด้วย ถ้าเราอิสระ เราก็จะอยู่ออกไป อยู่ ในถ้ำในภูเขาแล้วก็จะปลูกผักผลไม้รักษาตัวเองง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งกับสังคม ถ้า เป็นอย่างนั้นชาวบ้านไม่มีความสามารถจะฟังเทศน์ฟังธรรม หรือจะเข้าใกล้ผู้มี ปัญญาในเรื่องธรรมะ


และถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าผูกเรากับ สังคม เราต้องอาศัยซึ่งกันและกันได้ นี่เป็นสังคมที่ดี สิ่งที่ดีในสังคมมัน เกิดจากทาน ศีล สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมจะเจริญทางที่ดีด้วย ถ้าหากว่าไม่มี พระ ไม่มีสมณะในสังคม สังคมนั้นมันขาดสิ่งที่สำคัญที่จะเป็นสังคมสมบูรณ์


เหมือนเราไปเมืองลาวปีที่แล้ว อาจารย์มหาปริญญา อาตมาพักที่หลวงพระบางอาทิตย์ หนึ่ง และเราเคยอยู่เมืองลาวสมัยก่อน ก่อนที่เป็นคอมมิวนิสต์ เราเคยฝึก ปฏิบัติที่วัดในเวียงจันทน์ ตอนนั้นเมืองลาวก่อนที่เป็นคอมมิวนิสต์วัดก็มี พระเณรมาก แล้วก็ออกบิณฑบาตก็มีพระเป็นแถวเป็นเณรออกบิณฑบาตทุกวัน แต่สมัย ที่เปลี่ยนระบบเป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลไม่อยากสนับสนุน ไม่อยากให้คนลาว นับถือพุทธศาสนา และไม่ได้รำคาญเท่าไหร่ ไม่ได้ทำเหมือนในประเทศเขมร แต่ไม่ ค่อยสนใจ บางทีถ้าเป็นหนุ่มก็ไม่ให้อนุญาตที่จะบวช ถึงอายุ ๘๐ แล้วก็บวช ได้ ถนนมีแต่หลวงตาทั้งนั้น


ทุกวันนี้เราก็สังเกตดู หลวงพระ บางเป็นเมืองสวยงามมาก มีวัดเป็น ๖๐ กว่าวัดในเมืองหลวงพระบาง หลวงพระบางก็ ไม่ใหญ่นะ แต่มี ๖๐ กว่า และวัดทุกแห่งก็เต็ม มีพระมีเณรส่วนมากเป็นสามเณร เต็มเลย เราก็ถามคนลาวที่อยู่ที่นั่น ทำไมเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนระบบ คอมมิวนิสต์ไม่เคยอยากให้เป็นอย่างนี้ เขาก็ตอบว่า เห็นผลในการเลี้ยงลูก ระบบคอมมิวนิสต์ที่จะขาดศีลธรรม ไม่สอนศีลธรรมกับเด็ก ผลที่ได้จากการ สอนอย่างนั้นไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้เด็กเห็นแก่ตัวมาก ไม่มีศีลธรรม ไม่มีเมตตา กรุณาเท่าไหร่ ผลที่ได้จากทิ้งศาสนาก็เห็นว่าไม่สวยไม่งามที่จะทำเป็นสังคม ที่ดี ก็ไม่ดีเท่าไหร่


พวกนั้นในเมืองลาวก็เห็นประโยชน์ใน การช่วยสนับสนุนพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ก็พุทธศาสนากำลังเจริญอีกมากในประเทศ ลาว ทำให้เรายินดีด้วย


และเราก็เห็นด้วย ถ้าเราไม่มี ศีลธรรม เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาและรับรู้ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราเป็น มนุษย์ที่ดี มนุษย์สมบูรณ์ได้ ถ้าเราไปเรียนเฉยๆ นิยมวัตถุทำตามใจชอบ สังคม คงจะไม่สมบูรณ์ สิ่งที่จำเป็นก็ไม่มี ทำให้เรามีปัญหาส่วนตัวมาก ไม่พอ ใจ ทะเลาะกัน ทำอะไรด้วยความรู้สึกของส่วนตัวมากขึ้นจนเข้ากันร่วมมือกันทำ อะไรที่เป็นประโยชน์ สร้างประโยชน์กับสังคมก็เป็นไปไม่ได้


เราจะร่วมมือกันเป็นชาวพุทธ สร้างประโยชน์แก่สังคม เพราะมีใจที่มีศีล มี สมาธิ มีปัญญา เป็นทางที่เรากำลังฝึกอยู่และสอนลูกหลานของเราด้วย แล้วก็ สังเกตในเมืองนอกด้วย อเมริกา อังกฤษ คนที่หลงในวัตถุมาก แล้วก็ไม่มี ศีลธรรมในใจก็มีทุกข์มากเหมือนกัน ทางจิตใจ จิตใจมันสับสน ไม่รู้จัก ธรรมะ ไม่มีที่พึ่งเลย มันทำให้มีปัญหาอีกมากมายเกิดขึ้นในสังคม


พิจารณาอย่างนี้ก็เห็นประโยชน์ในการเป็นสงฆ์เป็นสมณะเป็นตามประเพณี รักษาประเพณี ให้ดีด้วย แต่ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอวิชชาต้องรู้ ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น ด้วยอวิชชาก็มีปัญหาเป็นอุปสรรค อุปสรรคเป็นเรื่องความยึดมั่นถือมั่น ไม่ ได้เป็นเรื่องประเพณี


นี่พระพุทธเจ้าชี้ไปถึงอย่างชัดเจน ความยึดมั่นถือมั่นเป็นจุดสำคัญที่จะรับรู้ ถ้าเราพูดถึงพุทธศาสนา เหมือนระบบคอมมิวนิสต์ บอกว่าเป็นศาสนาก็ไม่มีประโยชน์นะ เห็นอะไรก็ศาสนา อยู่ที่ไหนก็สร้างความวุ่นวาย เรามีประวัติในศาสนาหลายศาสนา จะเห็นว่ามีแต่ ทะเลาะวิวาทสงครามฆ่าคนเยอะแยะ จนเราจะเห็นว่าศาสนาไม่ดีก็ได้ และก็อยากจะ ทิ้งศาสนา


แต่เราก็พิจารณาไม่ใช่เป็นศาสนา เป็นความยึดมั่น ถือมั่น ยึดถือศาสนาด้วยอวิชชา เอาศาสนาเป็นสมมุติใช้เป็นอาวุธได้ ฆ่าคนก็ ได้ และเรื่องความจริงศาสนาเป็นอุบายที่จะแนะนำทางไปถึงความพ้นทุกข์ ถ้าเรา พิจารณาอย่างนี้ ถ้าเรายึดถือเปลือกภายนอกของศาสนา ก็จะสร้างความยุ่งยาก


บางคนก็คิดว่าศาสนาไม่ดีอย่างนี้ ความจริงศาสนาพุทธในเมืองไทยก็ดี บริสุทธิ์ อยู่เสมอ ไม่เสื่อม แต่อ่านหนังสือพิมพ์ก็เห็นว่าศาสนาพุทธเสื่อม เห็นพระทำ บาปทำอะไรก็มีข่าวเรื่อยๆ พระไม่ดีเป็นข่าว พระดีๆ ก็ไม่ได้เป็น ถ้าอยากจะ ทำภาพยนตร์หลายคนจะไปดู ก็ทำเรื่องพระที่ไม่ดีก็ได้ ถ้าทำภาพยนตร์เรื่องพระ ที่รักษาวินัย ปฏิบัติดี ประชาชนคงจะไม่อยากดูนะ เบื่อ


ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ยังดีตลอดไป ไม่ได้เปลี่ยน แปลง เรื่องอริยสัจ ๔ นี่เรื่องสิ่งเหล่านี้เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนอย่าง อื่น บางทีเปลือกภายนอกสมมุติ ศาสนาพุทธมีลัทธิมีอะไรเกิดขึ้นที่จะสร้าง ความวุ่นวายได้ นี่ก็เป็นเรื่องความยึดมั่นถือมั่น และนี่ก็บุคคลที่ไม่มุ่ง ต่อพระนิพพาน พระเป็นบางรูปมุ่งอยากจะมีอำนาจทางโลก ใช้ศาสนาพุทธอย่างที่ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ และถ้าหากว่าเราคิดว่าพุทธศาสนาเสื่อม อย่าไปคิด อย่างนั้นก็ไม่เสื่อม บุคคล พระบางรูปก็เสื่อมได้ ศาสนาพุทธเสื่อมไม่ได้


ผู้ถาม : ผู้หญิงตะวันตกไม่ยอมรับว่าชาติสุดท้ายต้องผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ อธิบายให้เขาฟังอย่างไร


หลวงพ่อ : ถ้าเรายกพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชาย นี่เป็นสมมุติ เป็นสัญลักษณ์ เป็น วัฒนธรรม พระพุทธรูป ทำไมพระพุทธเจ้าไม่มีพระพุทธรูป แต่ในตะวันตกผู้หญิง ฝรั่งเป็นบางคนก็น้อยใจเรื่องสิ่งเหล่านี้มาก ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็น ผู้หญิง อยากจะสงสัยอย่างนี้ก็คงจะปฏิบัติไม่ได้ เป็นอุปสรรค


อันนี้ก็ไม่สำคัญ เรื่องเพศพระพุทธเจ้า เราคิดว่า เวลาทำรูปพระพุทธรูปเป็น สิ่งที่เคยทำมานานแล้ว แล้วก็มีลักษณะ ผู้ชาย แต่ความจริงเราดูพระพุทธรูป หลายอย่างก็มันประสานผู้หญิงกับผู้ชายได้ ถ้าเป็นชายแท้ก็เห็นว่าไม่ได้เป็น พระพุทธเจ้านะ ถ้าสร้างเป็นมีกล้ามเนื้อใหญ่ มีลักษณะแบบ นักกีฬา เราไม่เคย สร้างพระพุทธรูปอย่างนั้น ส่วนมากมีลักษณะไม่ได้เน้นถึงผู้หญิงผู้ชาย แต่ เรื่องสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสมมุติด้วย เรื่องพระพุทธเจ้าและพุทโธนี่เป็น เรื่องของจิตใจ ไม่มี เพศ เราไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเป็นหญิงเป็นชาย อะไร เป็นผู้รู้ ให้ อยู่กับรู้ เรื่องการเป็นมนุษย์ก็มี ๒ อย่าง ผู้หญิงก็ มีผู้ชายก็มี แล้วก็อาศัยซึ่งกันและกัน นี่ก็เป็นเรื่องกฎธรรมชาติ กฎแห่ง กรรมด้วย ที่แย้งกันเรื่องจะเปลี่ยนพระพุทธรูปให้มีลักษณะเป็นผู้หญิงก็คงจะ ยังไม่เข้าใจประโยชน์ในการสร้างพระพุทธรูป


เราสร้างพระพุทธ รูปก็เป็นสัญลักษณ์ เป็นสิ่งที่จะมองดู พิจารณา เพื่อจะถึงใจของตนเอง ถ้า เรามองดูพระพุทธรูป เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็มีความคิด พระพุทธรูปมีพลังมี อำนาจนี่ก็เป็นสีลพตปรามาสไปอีก เป็นนิวรณ์ เป็นสังโยชน์ เราไม่มีความ สามารถจะเห็นทางพ้นทุกข์ได้ ถ้าเราถืออย่างนี้


ถ้าเราเห็นพุทโธ ผู้รู้ เป็นเรื่องจิตที่นี่ เป็นสติปัญญาที่เราจะอาศัยกันในปัจจุบันได้


ผู้ถาม : ถามว่าโรงเรียนประถมที่สอนพุทธศาสนาที่อังกฤษก้าวหน้าอย่างไรบ้างคะ


หลวงพ่อ : ก็ดี เดี๋ยวนี้กำลังจะเจริญ มีครูใหญ่ที่ดีมาก เรารู้จักคนนี้ หลายๆ ปี แล้วก็เป็นครูที่มีความสามารถจะสอนเด็ก รู้จักเด็กอย่างดี แล้วก็ มีศรัทธาในพุทธศาสน์ด้วย สนใจแบบเถรวาทด้วย คนนี้ก็เคยเป็นคนอังกฤษ เมื่อ หลายปีท่านไปอยู่แคนาดาและอเมริกาด้วย สอนในโรงเรียนที่มีความ พิเศษ โรงเรียนไม่ทำตามระเบียบของรัฐบาล แล้วก็มีความมุ่งหมายจะสอนเด็ก เพื่อเป็นเด็กที่ดี และมีการสอนเรื่องศีลธรรมด้วย ไม่ใช่เฉพาะอ่านหนังสือ และทำตามระเบียบของรัฐบาล โรงเรียนของรัฐบาล
แต่เดี๋ยวนี้ท่านย้ายกลับมาอังกฤษ และก็เป็นครูใหญ่ที่นั่น ก็ดี


ผู้ถาม : ถามว่าสมาธิดิฉันสั้นมาก ถ้าเดินจงกรมจะสมาธิดี เมื่ออาจารย์สอน โยคะ กำหนดสติกับลมหายใจขณะทำโยคะไปด้วย ตาก็เพ่งที่จุดใดจุดเดียว สมาธิและ สติจะดีมาก อาจารย์สอนว่าทำโยคะ ฝึกมากศึกษามากก็จะเป็นวิปัสสนาเช่นกัน จะ ใช้ทำโยคะแทนการนั่งสมาธิได้ไหมคะ


หลวงพ่อ : เราครั้งแรก ก่อนที่นั่งสมาธิ ก่อนที่บวชเป็นพระฝึกกรรมฐาน เราเคยทำโยคะ เมื่อ ๔๕ ปีมา แล้วที่อเมริกา และก็ดีก็ได้ผลบ้าง และก็ยังทำอยู่ และร่างกายก็อายุมากแล้ว ยังไม่มีความเจ็บปวดอะไร แต่ทำโยคะ ๒ ปี ก็มี ความรู้เกิดขึ้น ต้องฝึกทาง จิตใจมากขึ้น ครั้งแรกเราทำโยคะแบบออกกำลังกาย แต่ทำแล้วก็เห็นว่าจิตใจยัง ไม่ฝึก ยังไม่เคยคิดจะทำสมาธิ และหลังจากนั้นก็มีความมุ่งหมายในการทำ สมาธิ วิปัสสนากรรมฐานมาก อันนี้เป็นวิธีที่จะพ้นทุกข์ ได้พิจารณา


เรื่อง อิริยาบถ ๔ รู้การเคลื่อนไหว ให้มีสติในปัจจุบัน ร่างกายของเรามันเป็นอย่าง ไร นั่ง ยืน เดิน นอน หรือก็มีสติ เวลาฝึกโยคะด้วยนะ ในบางทีถ้าเราใช้โยคะ มากมันก็ทำสิ่งที่พิเศษมากเกินไป เพราะมันที่สุดโต่ง ทำแบบไหนก็ดีมี ประโยชน์ ถ้ามันจะทำได้ แต่เราก็แนะนำให้รู้มัชฌิมาปฏิปทา สิ่งธรรมดาเป็น อย่างนี้ ให้มีสติกับลมหายใจเข้าลมหายใจออก นั่ง ยืน เดิน นอน กับเสียงสงัด อย่างนี้


ถ้าฝึกอย่างนี้ บางทีเราก็ไม่ชอบนั่งสมาธิ เพราะมี นิวรณ์เกิดขึ้น ทำให้มีความทุกข์ และนี่ก็เป็นโอกาสที่จะแก้ปัญหาอย่างนั้น ได้ ครั้งแรกเราก็นั่งไม่ค่อยนานเท่าไหร่ จิตฟุ้งซ่าน ไม่ค่อยอยาก นั่ง สัก ๕ นาทีก็มากเกินไปแล้ว เวลาทำก็ให้นั่งสัก ๓๐ นาที ก็โอ้ นี่ไปคิด เรื่อง ๓๐ นาที ต้องนั่งไม่เคลื่อนไหว ๓๐ นาที เราก็คิด โอ้ ไม่ไหวนะ แต่ ความจริง ก็ทำได้


เดี๋ยวนี้ก็ชอบนั่งมาก และก็เคยทำหลายปี ด้วย ความสงบกับการนั่งนิ่งๆ อย่างนี้ก็ง่ายมาก มันยุ่งยากทางโลก ใน วัด สังคม ก็มีปัญหามีอะไรเกิดขึ้นก็วุ่นวาย คนอยากอย่างนี้ คนไม่ชอบอย่าง นั้น กลับกุฏิก็นั่ง สมาธิมันมาเอง มันง่ายๆ เพราะเราเคยฝึกอย่างนี้เป็น หลายปี นี่ก็เป็นวิธีที่จะอบรม ตัวเองด้วย


การเดินจงกรม ก็ดีเหมือนกัน หลวงพ่อชาก็สรรเสริญคนที่เดินจงกรมมากๆ บางทีคนนั่งมากๆ ก็ ติดแต่ความสงบมาก แต่เดินจงกรมก็พิจารณา เวลาเดินจงกรมก็พิจารณานี้เป็น อิริยาบถเดิน กำหนดเท้าเหยียบพื้นอย่างนี้ครั้งแรก แต่เราก็จะสังเกตดู มี สติสัมปชัญญะที่จะสังเกตดูลมหายใจได้ อารมณ์จิตก็ได้ ร่างกายก็ได้ เสียง สงัดก็ได้ ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้กำลังเป็นอยู่อย่างนี้


ถ้าเราอยู่ที่กำหนดเพียงแต่เท้าเท่านั้น นี่ก็เรื่องทำสมาธิ แต่เราไม่ได้ พิจารณา เรากำหนดเพื่อจะเข้าสมาธิ โดยไม่มีความสามารถที่สติสัมปชัญญะจะอบรม ได้


แต่ถ้าเรามีสมาธิพอสมควร ที่ฟุ้งซ่านมันน้อยลงไป ระงับ ไปบ้าง ให้เราพิจารณามีอารมณ์อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้น ความคิด ความจำเป็น ยังไง ให้เรารับรู้ และก็รู้ด้วยสติปัญญา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง และก็แก้ ปัญหาด้วย


ถ้าเราอดทนต่อความไม่สบายกายความไม่สบายใจที่มี อยู่ เวลากำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ ถ้าเราอดทนและก็ยอมรับสิ่งเหล่า นี้ สิ่งที่มันทำให้เรากระดุกกระดิก หรือทำให้มีอารมณ์แบบไม่สบายใจ เราก็จะ เห็นอารมณ์นี้ อารมณ์นี้ก็จะดับไปเอง ทำให้ความอดทนมากขึ้น และอยู่กับความ สงบได้ จนกระทั่งนั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี โยคะก็ดี สติก็ไม่ ขาด เราก็เป็นผู้มีสติ ไม่ได้เป็นคนที่ตามกิเลสตามความคิดความเห็นตนเองได้


ผู้ถาม : หนูพยายามพิจารณาอารมณ์ตามที่หลวงพ่อ สอน แต่ทำไม่ได้ค่ะ เพราะรู้สึก ตามอารมณ์ไปทุกที หนูนึกภาพ ไม่ออกว่า จะเริ่มแยกอารมณ์กับจิตตรงไหน


หลวงพ่อ : เวลาเราพูดถึงดูอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ บางทีถ้าเราดู อารมณ์ ไม่ต้องคิดว่าอารมณ์นี้ดีไม่ดี หรือจะทำอะไรให้กับอารมณ์ที่มีใน ปัจจุบัน แต่จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้นะ แล้วก็มองดูเป็นความสงสารตัวเอง เป็น ว้าเหว่เป็นอะไรอย่างนี้ อารมณ์บางทีมันละเอียดด้วยไม่ใช่หยาบ บางทีก็ นอน แล้วก็สังเกตเมื่อไรที่มาแล้วก็สังเกต มีอารมณ์แบบว้าเหว่


แล้วนี่เป็นอารมณ์ที่เราไม่เคยสังเกต เราไม่รู้ว่าเราเป็นคนว้าเหว่อย่างนี้ ก็ เราเพิ่งเคย เราไม่สังเกตเป็นอะไร แต่อารมณ์ว้าเหว่ มันทำให้มีปฏิกิริยาที่ บางทีเข้าใจยาก ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ เราไม่เข้าใจจิตใจของตนเองด้วย แล้วบาง ทีพระเณร แม่ชีที่อยู่รวมกันเห็นแล้ว บางทีงงเลย ทำไมพระสุเมโธเป็นอย่างนี้


เราก็ไม่รู้เหมือนกัน และดูอารมณ์อย่างนี้แล้ว ก็รับรู้มันเป็นอารมณ์ ไม่ได้ เป็นตัวตน ปล่อยได้ ต้องอดทน ต้องยอมมีว้าเหว่เป็นอารมณ์ด้วย ที่จะเปลี่ยน ไม่ให้มีก็ไม่ดีเหมือนกัน ต้องยอมรับอารมณ์ว้าเหว่เป็นอย่างนี้ ปล่อยให้ เป็นอย่างนี้ แล้วก็ทนต่ออารมณ์นั้น เป็นวิธีที่จะทำให้การเป็นคนว้าเหว่มัน จะสิ้นไปได้


เดี๋ยวนี้ก็ไม่ว้าเหว่ เราก็พิจารณาสิ่งเหล่า นี้ด้วย สติสัมปชัญญะ สติปัญญาและบางทีเราอยากจะวิจารณ์ด้วย ทำไมเป็นคน ว้าเหว่ และสนใจทำไม เราเป็นคนอย่างนี้ แล้วก็นึกถึงเวลาเป็นเด็กอยู่กับพ่อ แม่อยู่ที่บ้าน แล้วก็มีนิสัย สิ่งเหล่านี้ได้ประสบการณ์อะไรหลายอย่างแล้ว ก็วิจารณ์อย่างนี้ บางทีเราจะสนใจมาก เรามีอารมณ์อย่างนี้ เพราะมีเหตุใน อดีตกาลจะทำให้เราเป็นอย่างนี้ได้


ฝึกอย่างนี้บางทีก็เข้าใจ ดีขึ้น แต่ทนอารมณ์ไม่ได้ เราก็เข้าใจตามสมมุติ ที่จะเข้าใจอารมณ์อย่าง นี้ เรามีอารมณ์อย่างนี้ เพราะในเวลาเป็นเด็ก ก็มีอะไรอย่างนี้ที่จะทำให้ นิสัยเป็นอย่างนี้ได้ วิจารณ์อย่างนี้แล้วก็ทนไม่ได้ ยังเป็นอยู่ แต่ทนได้ ด้วยสติสัมปชัญญะ ถ้าเรารับรู้ด้วยปัญญาที่จะเห็นอารมณ์ว้าเหว่เป็น อนิจจัง เป็นอนัตตา


ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ในการวางแผนการทำงานล่วงหน้า เราจะทำอย่างไร ให้หรือไม่ให้วางแผน ขอบคุณค่ะ


หลวงพ่อ : วางแผนก็ดี อาตมาต้องวางแผน เพราะเราอยู่ในสังคมด้วย ถ้าอยู่แบบฤาษี คงไม่ต้องวางแผน และอยู่ในสังคมอยู่ในพระสงฆ์ เราก็ต้องรู้ วันวิสาขบูชา เป็นวันไหน วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา งานกฐิน เราก็รับรู้สิ่งเหล่านี้ตาม สมมุติก็ได้


คนนิมนต์เราไปฉันอาหารที่บ้าน เราก็ต้องจดใน ปฏิทินเพื่อที่จะไม่ลืมวันอะไร ถ้าเราไม่ได้จดไว้ไม่มีแผนการ ก็คงจะเป็น ปัญหาอีก ทำให้โยมจะผิดหวังมาก เตรียมมาแล้ว เราก็ลืมว่าวันไหน เรามีเลขา ด้วย ท่านอาจารย์ เป็นเลขาที่ดีมาก ช่วยให้ชีวิตของอาตมาดีขึ้น การวางแผนก็ ช่วยให้เราทำได้ตามสมควร


แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นหลงอารมณ์ เรา ต้องรู้กาลเวลา ถึงเวลาจะวางแผนเราก็ทำได้ เราก็รู้วันนี้เราต้องทำอย่าง นี้ ทำอย่างนั้น เพื่อจะตามสัญญา
(เทปเงียบไปครู่หนึ่ง)


... ที่ไม่รู้เรื่อง นี่ก็เป็นแบบอวิชชาปัจจยาสังขาร เราก็หลงไม่มีสติ สัมปชัญญะ แล้วอยู่ที่นี่เราไม่เคยอยู่ที่ยุวพุทธิกสมาคม ความจริงจิตก็ลอย ไปอยู่กับบ้าน ไปกรุงเทพฯ หรือไปที่ไหนก็ได้ เราก็วางแผนเรื่อยๆ อยู่ที่ นี่ ความคิดก็ลอยไปที่อื่น


เวลาเราปฏิบัติ เราก็ตั้งใจ เวลา อยู่ที่นี่ก็ให้เป็นโอกาสที่จะไม่ให้ฟุ้งซ่าน เพื่อฝึกจิตเพื่อจะมีสติ ปัญญา เพื่อจะตั้งสติกับสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้ในปัจจุบันนี้ และก็ระลึก ถึงอดีตกาลก็ได้ด้วย เวลามันสมควร เวลามีประโยชน์ และหากว่าเราอยู่ใน อดีตกาล บางทีคนแก่ๆ ก็อยู่ในอดีตกาล


ในอังกฤษสมัยก่อนมี ผู้หญิงอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็อยู่ใกล้วัดอมราวดี บางทีก็นิมนต์ไป บิณฑบาตที่บ้าน เราก็บิณฑบาตที่บ้าน ผู้หญิงคนนี้ก็นิมนต์เข้าบ้าน แล้วก็ ถวายน้ำชา แล้วผู้หญิงก็พูดเรื่องเวลาเราเป็นเด็ก เป็นสาว เป็นนักศึกษาที่ เคมบริดจ์ ก็พูดถึงสิ่งที่เคยทำเวลาเป็นเด็ก เป็นสาว เป็นนักศึกษา เวลาแต่ง งานใหม่ แล้วก็ไปอยู่นิวซีแลนด์ ไปอยู่นิวซีแลนด์หลายปี พูดถึงอย่างนี้ทุก วัน วันไหนเราไปก็พูดถึงสิ่งเหล่านี้ตลอด เราเบื่อฟังแล้ว ครั้งแรกก็สนใจ อยู่นะ น่าสนใจแต่ได้ฟังหลายครั้งก็เบื่อ


ก็พิจารณาคนแก่คน ที่ไม่มีสติ ไม่ได้ฝึกจิตทางที่เป็นประโยชน์ ก็จะเป็นอย่างนี้ เวลาเราเป็น เด็ก ไม่เคยคิดอย่างนี้ เพราะอนาคตมันสำคัญ เวลาเราเป็นวัยรุ่น อนาคตข้าง หน้าเราอยากจะไปที่นี่ อยากจะทำอะไร อยากจะประสบการณ์อย่างนี้อย่างนั้น ก็ คิดเรื่องอนาคตตลอด
(หลวงพ่อทำเสียงยานแบบคนแก่ที่เล่าถึงอดีต)


ถึงอายุอย่างนี้ ๗๐ “เวลาเราตั้งวัดป่านานาชาติ เมื่อหลายปีมาแล้ว เราเคยได้ อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อชาด้วย” อดีตกาลก็เห็นว่าเป็นองค์ที่ยังหลงแต่อดีตเป็น สัญญานะ


แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ฝึกจิตด้วยสติปัญญา เรา ก็ ยังจำได้ สิ่งที่เคยทำในชีวิตหลายอย่าง แต่เราไม่หลงนะ ไม่สนใจ มาก ถ้าคนสนใจก็พูดถึงสมัยที่เราอยู่วัดป่าพงก็ได้ ความจริงเราไม่เคยคิดมาก เรื่องอดีต เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราตั้งใจมั่น และสนใจเรื่องปัจจุบัน เท่านั้น


ผู้ถาม : ขอนิมนต์หลวงพ่อให้โอวาทก่อนปิดการอบรมการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ครับ


โยม : กราบ อาราธนาหลวงพ่อ ได้โปรดเมตตาให้โอวาทแก่ผู้ปฏิบัติก่อนกลับบ้าน เพื่อที่จะ ได้นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ :
นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
อะปารุตา เตสัง อะมะตัสสะ ทวารา เย โสตะวันตา ปมุญจันตุ สัทธัง


วันนี้เป็นวันสุดท้ายงานปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธิกสมาคมครบอาทิตย์หนึ่ง ทุกสิ่ง ทุกอย่างเรา เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะบ่นกัน ก็ขออนุโมทนา เราชอบสอนที่นี่ เพราะดำเนินการดี เราไม่ต้องคิดมากในเรื่องสถานที่ ปล่อยให้เป็นภาระของคุณ ผาณิต และยุพา เป็นภาระ เราไม่ได้เป็นภาระแล้ว แล้วก็โยมที่สนใจมารวมที่นี่ อาทิตย์หนึ่ง อาตมาก็อธิบายตามความสามารถ บางทีก็ภาษาไทยคิดไม่ออก เราไม่ ค่อยได้ใช้มากในประเทศอังกฤษ และก็ดี บังคับให้คิดเป็นภาษาไทย ต้องเทศน์ เป็นภาษาไทยให้ชำนาญต่อไป เราก็ชอบภาษาไทยด้วย ชอบอ่านหนังสือไทย ฟังเทศน์ ฟังธรรม พูดภาษาไทย ก็ดี


ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ความมุ่งหมาย ความประสงค์ของอาตมาที่มารับนิมนต์สอนในที่นี้ ก็จะให้กำลังใจของโยมที่มี ความสนใจในการปฏิบัติ เรื่องการปฏิบัติก็มีความเห็นหลายอย่าง คนก็คิดต่าง กัน มีบางทีก็เข้าใจอีกหลายอย่าง ทำให้เราไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร


แต่เราต้องรู้นิสัยของตนเองด้วย เราก็เห็นความสามารถของอาตมาเป็นอย่าง นี้ ครั้งแรกเวลาเราทำอย่างนี้ได้ เราก็คิดว่าลูกศิษย์ทุกคนจะทำเหมือน กัน เหมือนที่อาตมาทำ บางทีทำไมพระองค์นี้พระองค์นั้นทำไม่ได้ แล้วทำไม เป็น อย่างนี้ เราทำได้นะ และพิจารณาอีก เอาปัญญามาอบรม ก็บอกว่าเรื่อง นี้เราก็ต้องอบรมเพื่อจะให้มีสติ แล้วก็รู้นิสัยสันดานความสามารถของตัวเอง ได้ ถ้าเราบังคับโยมให้ปฏิบัติเหมือนที่อาตมาปฏิบัติ โยมบางคนทำได้ บางคนก็ ทำไม่ได้ มันจะไม่มีประโยชน์ ทำให้โยมรังเกียจการปฏิบัติ ต่อไปได้


แต่จุดสำคัญในการปฏิบัติ ให้มีสติ เวลาทำยุบหนอพองหนอ หรือพุทโธ หรือมีวิธีฝึก จิตอย่างไร สิ่งสำคัญไม่ใช่วิธีทำ เป็นความประสงค์ความมุ่งหมายของเราคือให้ เจริญสติเพื่อจะเห็นทางพ้นทุกข์ เพื่อจะพิสูจน์อริยสัจ ๔ เพื่อจะรู้เอง


ถ้าหากว่า โยมสงสัยอะไรมาก ว่าทำเหมือนพระสุเมโธไม่ได้ ก็เห็นว่าถ้าเราเป็นคน ไม่เก่ง อาจารย์ไม่ได้ใช้ปัญญาในการสอน ก็จะบอกว่า โอ้ โยมก็ปฏิบัติไม่ ได้ ถ้าทำเหมือนเราทำ บารมีคงไม่ถึง ถ้าพูดอย่างนี้ก็เห็นว่ามันก็เป็นความ โง่ของอาตมาด้วย


เราต้องรู้บางคนนิสัย สันดาน บางคนก็เข้าใจ อย่างนี้ บางคนสูง บางคนเตี้ย มีผู้หญิง ผู้ชาย มีอะไรหลายอย่าง ที่มันต่าง กัน ทางสังขาร ความสามารถทางโลก แต่เรื่องสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรายกย่องสิ่งใด สิ่งหนึ่งเป็นดี เราควรจะเป็นอย่างนี้ที่จะปฏิบัติได้ นี่ก็เห็นว่ามันจะไม่ ช่วยให้โยมมีศรัทธา บางทีโยมก็จะท้อใจ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราปฏิบัติ ไม่ได้


เวลาเราเน้นไปถึงสติสัมปชัญญะ เป็นความสามารถทุก คนก็เสมอกัน และนี่ก็ไม่ได้เป็นกรรมของเรา เป็นความสามารถของสัตว์มนุษย์ที่ จะพ้นทุกข์ได้ นี่พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ผู้ตื่น ผู้เบิก บาน ผู้รู้ สิ่งเหล่านี้หมายความว่าเป็นความสามารถของเราที่จะเพ่งดู ปัจจุบัน


ถ้าเราพูดถึงพระพุทธเจ้า ที่ปรินิพพานนานแล้ว ๒, ๕๐๐ กว่าปีที่ประเทศอินเดีย เราจะแสดงความเคารพ เราก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้า ที่จะช่วยเราได้ พระพุทธเจ้าจริงๆ คือสติสัมปชัญญะ สติปัญญา แต่เราทุก คน สัตว์มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ เราก็เพ่งดูมนุษย์ทุกวันนี้ เราก็จะเพ่งดู ทุกคน ก็มีความสามารถจะเห็นทางพ้นทุกข์ได้


เราเห็นมนุษย์ เป็นสัตว์ บางทีเราก็เห็นมนุษย์เป็นคนมีกิเลสมาก ทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วก็ สงครามกันทะเลาะกัน ทำให้โลกที่เราอยู่เสื่อมไป มีมลภาวะมีอะไรที่ไม่ ดี แล้วมนุษย์เห็นแก่ตัว ถ้าเราพูดแบบ Cynical (เชื่อว่าการกระทำของมนุษย์ ทั้งหลาย มีความเห็นแก่ตัวเป็นแรงผลักดัน) ก็พูดว่า สัตว์มนุษย์เห็นแก่ ตัว ใช้ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แล้วก็เพื่อจะได้อะไรส่วนตัว


คิดอย่างนี้บางทีทำให้รังเกียจสัตว์มนุษย์ได้นะ บางทีก็เห็นว่ามนุษย์เราเป็น สัตว์อยู่ในโลกนี้ ที่จะทำลายสิ่งแวดล้อม และจะทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมเสีย ไปก็ได้ มีคนหลายคนคิดอย่างนี้


ถ้าหากว่าเราเป็นชาวพุทธ เราก็จะเหมือนกับพระพุทธเจ้าแนะนำให้ต้องตื่น เบิกบาน เห็นธรรมในปัจจุบัน พระ พุทธเจ้ารู้มนุษย์พวกเรามีความสามารถจะทำอย่างนี้ได้ แต่วิธีที่จะทำที่จะ อบรม ญาติโยมที่จะมีศรัทธาและมีความมุ่งหมายที่จะทำได้


นี่ก็อุบายที่จะสอนเพื่อจะมีศรัทธาและมีความตั้งใจ และมีอุบายหลายอย่าง เหมือน เวลาที่พระพุทธเจ้าสอนในปฐมเทศนา ที่สารนาถ ท่านก็ยกอริยสัจ ๔ มา ครั้งแรก ก่อนที่ท่านไปยังไม่ถึงสารนาถ พระพุทธเจ้าครั้งแรกเวลาตรัสรู้แล้ว ท่านก็มี ความคิด สิ่งที่ได้รับรู้ ความตรัสรู้ของเราในปัจจุบันสอนไม่ได้ ไม่มีใครจะ เข้าใจ แล้วก็คงจะไม่มีประโยชน์ที่จะสอนใคร ในประวัติก็พระพรหมมา แล้วขอให้ พระพุทธเจ้าออกไปสอน เพราะมีมนุษย์บางคนจะเข้าใจได้
(เทปเงียบไปครู่หนึ่ง)


... แล้วก็รับรู้ ลูกศิษย์และเพื่อน มิตรที่เคยอยู่ร่วมกันปฏิบัติร่วมกัน พระ ปัญจวัคคีย์ก็อยู่สารนาถ ท่านก็เดินจากพุทธคยาไปสู่สารนาถ และก็ได้พบสมณะ องค์หนึ่ง สมณะองค์นั้นมองดูและชมลักษณะของพระพุทธเจ้าว่า โอ้ ท่านมีรังสี มีลักษณะสวยงามมาก ท่านได้เห็นอย่างไรรู้อย่างไร


พระ พุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นพระพุทธเจ้า สมณะองค์นั้นสงสัย ที่พูดว่าเราเป็นพระ พุทธเจ้า เราตรัสรู้ เห็นธรรม พูดอย่างนี้ก็จริงอยู่ ท่านไม่โกหก สมณะที่ ได้ฟังคำสอนเข้าใจไม่ได้นะ เพราะยังมีทิฏฐิ ทิฏฐิยังอยู่กับท่าน แล้ว ก็ คิดว่าเป็นตัวตน ถ้าเราบอกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าเราเป็นผู้รู้ รู้ทุก สิ่งทุกอย่าง อย่างนี้โยมก็คงจะคิดว่าสุเมโธมีทิฏฐิเยอะ เป็นบ้านะ


พระพุทธเจ้าก็พิจารณาในผลของการสอนอย่างนั้น ท่านก็เปลี่ยน เวลาไปถึงสารนาถ ท่านก็ไม่ได้สอนอย่างนั้น สอนทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่ก็ทำให้เรากลับ ไปดูจิตของตนเองได้ ถ้าเราพูดว่าเราเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว โยมส่วนมากก็จะ เห็น มองดูตัวนี้ ไม่มองดูจิตของตนเอง และบางคนคงจะเชื่อ ก็จริง อยู่ เราก็เชื่อ บางคนก็สงสัยนะ บางคนก็รังเกียจ ยังไม่เห็นอารมณ์ที่เกิด ขึ้น


พระพุทธเจ้าเวลาสอนที่สารนาถ ก็สอนสิ่งที่เราพิสูจน์ใน ใจของเรา ไม่ได้ชี้ไปถึงตัวนี้นะ เพื่อจะให้พระปัญจวัคคีย์ มองดูรูปร่างของ พระพุทธเจ้า อริยสัจ ๔ มีทุกข์ แล้วก็กลับดูทุกข์มันเป็นอย่างไรที่นี่ นะ นี้ก็เป็นสัตว์มนุษย์ มีความสามารถจะระลึกได้ จะพิจารณาสิ่งที่เป็นอยู่ อย่างนี้ในปัจจุบัน นี่เป็นทางพ้นทุกข์ เพื่อจะพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


พระพุทธเจ้าก็ตั้งคำสั่งสอนที่จะเป็นเครื่องช่วยแบบอริยสัจ ๔ แบบขันธ์ ๕ แบบ เห็นสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำสอนอย่างนี้ก็เหมือน ที่เราเคยกล่าวไปครั้งแรกไม่ใช่เป็นคำสอนบังคับ เป็นคำสอนที่พิจารณา จริง หรือไม่จริง ให้เราดูสังขารเที่ยงมั้ยต้องพิสูจน์


พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เที่ยงก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคงจะไม่สอนอย่าง นั้น ถ้ามีสังขารเที่ยง ก็ขอบอก อาตมาด้วย อยากจะเห็นด้วย และมันทำให้เรา พิจารณาความไม่เที่ยง อวิชชามันทำให้เราจะเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็น สิ่ง ที่เที่ยงอยู่ ตัวตน ถือตัวตนว่าเที่ยงอยู่ เราไม่เคยพิจารณาตัวตนมันเกิด ขึ้นดับไปเรื่อยๆ


แต่ถ้าเราพิจารณาตัวตน พระพุทธเจ้าไม่สั่ง ให้เราทำลายตัวตน เราจะรื้อออกจะทำลายไม่ให้มีตัวตน ท่านจะแนะนำให้พิจารณา ตัวตนเป็นอย่างไร คือจะรู้สิ่งที่เราถือเป็นตัวตนก็เป็นสังขาร มันอาศัยเหตุ ปัจจัยที่เกิดขึ้น ที่จะเห็นเป็นพระสุเมโธก็ต้องมีเหตุปัจจัย ที่จะมีความ คิดอย่างนี้ เป็นผู้ชายก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยที่สัญญาอย่างนี้มันเกิด ขึ้น แต่ความจริงเราไม่เคยคิดมาก เราเป็นผู้ชาย เราเป็นพระสุเมโธ นี่ก็เป็น สมมุติก็ใช้ได้ แต่ถ้าเราเห็นเป็นตัวตนก็จะสร้างอารมณ์ที่จะมีปัญหาต่อ สังคม ต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


ถ้าหากว่าเราแก้ปัญหาด้วย ปัญญา ก็เห็นว่าเราก็อยู่ง่ายๆ นะ อยู่ด้วยความสงบ อยู่กับธรรมชาติ แล้วก็ ในการเป็นมนุษย์ ชีวิตมนุษย์เราก็เห็นว่าสมบูรณ์แล้ว เราไม่ต้องเกิด อีก เพราะเหตุได้ญาณแล้วพอที่จะพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นได้


นี่เป็นสิ่งที่สำคัญในการเป็นสัตว์มนุษย์นะ มนุษย์เราก็ทำได้ สัตว์เดรัจฉาน พิจารณาอารมณ์ไม่ได้ อาตมาก็บอกหมาที่เห่าทุกวันว่าพิจารณาอารมณ์ที่ทำให้ เราอยากเห่าอย่างนี้ ก็ไม่เข้าใจเลย สัตว์เดรัจฉานก็ดี แต่เรื่องรักษาจิต รู้ตัว ไม่มีความสามารถ มันกรรมเก่าเวลาถ้าต้องเกิดเป็นหมาก็ต้องเป็นหมา จริงๆ


ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ เราจะพิจารณา มนุษย์เป็นอย่าง ไร คือถ้าเราถือว่าเราเป็นสัตว์มนุษย์ ก็ทำตามที่เราเห็นว่าเป็นมนุษย์ บาง ทีเราไม่พิจารณาในความมุ่งหมายของเรา ยังไม่ตื่น ยังเป็นคนที่กรรมสังขาร เป็นความจริง


แต่ถ้าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิก บาน เห็นธรรมในปัจจุบัน เราก็จะใช้การเป็นมนุษย์ เพื่อจะพ้นจากความยึดมั่น ถือมั่น เพราะความจริงเราไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนกัน มนุษย์เป็นแต่ สมมุติ แต่รูปร่าง ลักษณะรูปร่างก็เป็นมนุษย์ และก็เป็นคำศัพท์ที่จะชี้ไป ถึง เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายอย่างนี้


แต่สิ่งที่ดีที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ คือมีความสามารถ จะเห็นทางพ้นทุกข์ได้


นี่ ก็เป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเวลาท่านสอน ที่สารนาถครั้งแรก ครั้งแรก ท่านก็มนุษย์คงจะเข้าใจไม่ได้สิ่งที่ได้รู้ หยั่งรู้ ญาณที่เกิดขึ้น ที่จะ สอนเป็นภาษาอะไรคงจะไม่ได้ ท่านก็สงสัยอย่างนี้ ก็เป็นสิ่งที่จะเห็นเอง ที่ จะเห็นว่าเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น เป็นสีเขียว สีแดง อะไรไม่ได้ เราใช้ ภาษาอย่างที่อธิบายสิ่งภายนอก มันสูง หรือต่ำ อ้วนหรือผอมอย่างไร ธรรมะที่ จะอธิบายมีลักษณะไม่ได้ จะสอนอย่างไร ก็พระพรหมก็มีกรุณามาก บอกว่ามนุษย์ เป็นบางคนเข้าใจได้ ท่านก็ออกไปเพื่อจะแสวงหาคนที่จะเข้าใจคำสอน


โยมที่มารวมที่นี่ในงานปฏิบัติธรรม ถ้ามีศรัทธาในพุทธศาสนา และมีความ ตั้งใจ ความมุ่งหมายมาปฏิบัติอย่างนี้ ทำความเพียรเหมือนที่โยมทำในงาน ปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา ก็เห็นว่าเรื่องบารมีไม่ต้องสงสัยเรื่องสิ่งเหล่า นี้ และก็ไม่ต้องสร้างความสงสัยความสามารถของตนเองนะ ถ้าสงสัยความสามารถของ ตนเองที่จะเห็นธรรม พิจารณาอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ ความสงสัย เราเป็นคนมีกิเลส มากปฏิบัติไม่ได้


ความคิดอย่างนี้เป็นอะไร เราเป็นผู้สร้าง ความคิด พิจารณาอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ อย่าไปเชื่ออารมณ์ที่พูดอย่างนั้น ว่า เรายืนยันว่าคนที่มีศรัทธาที่จะมาปฏิบัติ มีความสามารถจะเข้าใจ และต้อง ตั้งใจปฏิบัติต่อด้วย จะพ้นจากความหลงทุกอย่าง เพื่อจะเห็นทางพ้นทุกข์ จะ ชักชวนทุกคนพิจารณาชีวิตของตัวเอง


แล้วก็ในชีวิตประจำวันก็ได้ปัญญาหยั่งรู้มากพิจารณาในชีวิตประจำวัน ส่วนมากก็เป็นพระ เราต้อง ประชุมกัน เรามีอะไรก็อยู่กับพระหลายองค์ แม่ชี โยมที่มาวัดด้วย แล้วก็มี ภาระทางโลกด้วยที่จะทำได้ และเราพิจารณาชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร เพื่อจะ ไม่ให้หลงภาระ ไม่ให้หลงหน้าที่ทางโลก ไม่ให้หลงความคิดความเห็น มีนิสัย สันดานของตัวเองได้ เพื่อจะพ้นจากสิ่งเหล่านี้


แต่เราก็ทำ อย่างนี้หลายปี เห็นว่ามีศรัทธามากขึ้นในการปฏิบัติ ไม่ใช่น้อยลง อยู่เมือง อังกฤษก็ดีด้วยนะ บางคนก็สงสัยไปอยู่เมืองอังกฤษจะเป็นอุปสรรคในการ ปฏิบัติ ความจริงไม่ได้เป็น ปัญญาก็ไปด้วย ต้องใช้สติปัญญา ที่ไหนก็ได้


นี่ก็เป็นการพิจารณาในชีวิตประจำวัน เพื่อจะรับรู้มีอารมณ์อย่างนี้ ในที่ อังกฤษบางคน ประวัติในการอยู่ที่นั่น บางคนก็สงสัยความสามารถของอาตมา ด้วย หรือมีคนไม่เห็นด้วย หรือรังเกียจ เกิดอารมณ์รังเกียจหรืออิจฉาก็ ได้ บางคนก็อยากจะขู่อาตมาให้กลัว แล้วก็สงสัยความสามารถของตนเองได้ บาง องค์ก็พูดแบบนั้น เพื่อจะทำให้เราสงสัยได้


ความจริงเรื่อง สิ่งเหล่านี้เราก็ใช้เป็นทางปฏิบัติได้ ความสงสัยนี่ เรื่องตัวตนก็สงสัยได้ นะ ตัวตนสักกายทิฏฐิ สิ่งที่เป็นตัวตนมันก็เป็นเรื่องสงสัย เป็นเรื่อง ความหลง เป็นเรื่องมีตัวมีตนเป็นจริง ถ้าหากว่าเราอาศัยความเห็นของตัวตน ก็ สงสัยความสามารถสงสัยตัวเองก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเราเห็นในพุทโธ เรารู้ อยู่ กับพุทโธคือจะเห็นตัวตน คนจะพูดอย่างไรนินทาอย่างไรขู่อย่างไร เราก็จะรับ รู้ได้ เวลาอารมณ์เกิดขึ้น เพื่อจะรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นของไม่เที่ยง


ถ้าตั้งใจอย่างนี้ ใช้ชีวิตประจำวันในสิ่งที่จะอยู่กับครอบครัว สิ่งที่เกิด ขึ้น คนที่รักแยกกัน พ่อแม่ตาย มีโรคมะเร็งหรืออะไร ที่เป็นวิกฤตการณ์ หรือ ทำให้มีความทุกข์ และความเสียใจมาก ก็เป็นโอกาสที่จะปฏิบัติด้วย เพื่อจะดู จิตดูใจ รู้อารมณ์ที่มันเป็นอยู่อย่างนี้เวลาแม่ตายเมื่อ ๑๔ ปีมาแล้ว แม่ อาตมา เวลาไปงานศพก็พิจารณาอารมณ์ เพราะแม่เป็นคนสำคัญในชีวิตด้วย แล้วตอน นั้นมีงานศพเป็นคริสต์ โรมันคาทอลิกด้วย ต้องไปร่วมกับพี่สาว ญาติและเพื่อน ของพ่อแม่ในคาทอลิก Church ทางโน้นก็พูด เดี๋ยวนี้คนนี้เป็นชาวคริสต์ ดีๆ เดี๋ยวนี้คงจะอยู่สวรรค์กับพระเจ้า เราก็เห็นว่ามันทำให้คนชื่นใจ แม่ก็ ถ้าพระเจ้าบังคับสั่งให้แม่ไปนรกไม่ได้นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไปอยู่กับพระ เจ้าเดี๋ยวนี้ ก็ไม่สงสัย


แต่ความจริงเราไม่รู้ เป็นความ จริงหรือไม่ เรารู้มีอารมณ์อย่างนี้ เวลาเราได้ยินบาทหลวงพูดอย่างนั้น เรา ก็มีอารมณ์แบบรังเกียจเกิดขึ้น ไม่ค่อยชอบ และก็มีอารมณ์ มีปฏิกิริยาอย่าง นั้น ก็รับรู้ ทำให้เราจะหลงความคิดของตนเอง ในเวลานั้น เวลาระลึกถึงโยม แม่ แล้วก็ไปฝังศพด้วย เราไปที่ ฝังศพในซาน ดิเอโก ก็วางหีบ ไม่ได้ลง มี เครื่องข้างบนที่จะวางหีบในที่นั้น บาทหลวงก็มาแล้วรดน้ำมนต์ สวดนิด หน่อย แล้วบอกเดี๋ยวเสร็จแล้ว ออกไปนะ


แต่ความจริงเราไม่ อยากออกไป เราอยากมองดูเวลาลงศพ หีบลงไปในหลุมจะเป็นอย่างไร อยากจะช่วยคน ที่ทำงานที่นั่น อยากจะช่วยเทดิน เพราะเป็นแม่ เราอยากจะถึงที่สุด อยากจะ ร่วมมือช่วย พี่สาวพี่เขยทุกคนก็ออกไปแล้ว เราก็ยืนอยู่มองดู คนทำงานบอกว่า ต้องไป เราจะทำงาน ถ้ายังมีคนอยู่ในที่นี้ เราจะทำให้ลงไม่ได้ เป็น ระเบียบ เพราะบางคนก็ทนไม่ไหว เห็นหีบลงไปในหลุมคงจะมีอารมณ์ที่สู้ไม่ ไหว เราคิดอย่างนี้นะ เราบอกว่าอยากจะช่วยเทดิน เขาบอกไม่ได้ ไม่ได้ ห้าม เลย เราก็ไม่อยากแย้งกันเราก็ออกไป และเราก็คิดว่าคนนี้ก็ไม่รู้วิธีที่จะ พิจารณาอาการอย่างนั้น


เหมือนกับบาทหลวงก็พูดที่นี่ แม่ก็ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าก็ เอ๊ะ ก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นความจริง พูดแบบ ทำให้ใจสบายขึ้น ไม่ได้พูดถึงความตายเป็นอย่างไร หรือความรู้สึกของเราเป็น อย่างไรในปัจจุบัน


ในงานศพที่เคยเห็นที่วัดป่าพง หลวงพ่อชา ก็เก่งมากเรื่องงานศพ ท่านก็ทำให้เป็นกรรมฐานได้ เป็นประโยชน์มาก ให้เราใช้ สถานที่และประสบการณ์ที่มีอยู่ ใช้เพื่อจะพิจารณาอารมณ์ของเราได้ เพื่อจะ พ้นจากความสงสัย หรือความกลัว ความไม่อยากเห็น เราก็จะดูจิตของเรา


พระพุทธเจ้าก็แนะนำให้ลูกศิษย์หรือพระไปดูศพ ดูสิ่งเหล่านี้ ซากศพใน ป่าช้า เพื่อจะพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อจะไม่ให้กลัว ไม่ให้สร้างความ กลัวอะไรต่อไป ที่จะพ้นจากอาการอย่างนี้ได้


เดี๋ยวนี้ก็แสดง ธรรมพอสมควรกับเวลา ขอให้โยมทุกคนมีศรัทธามากขึ้น ตั้งใจปฏิบัติต่อไปเพื่อ จะพ้นทุกข์ และขอให้โยมทุกๆ คนจะพ้นทุกข์ ก่อนที่เสีย และยืนยันในทางนี้ เป็นทางที่ทำได้ และต้องตั้งใจเพื่อจะเห็นเอง แล้วก็พระที่มารวมกัน ก็ขอให้ สิ่งที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่จะพิจารณาเป็นประโยชน์ในการเป็นพระเป็นสามเณร เห็นประโยชน์ในการเป็นสมณะ เพื่อจะพ้นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติพระสุเมธาจารย์

พระราชสุเมธาจารย์เป็นชาวอเมริกัน ท่านเกิดที่เมืองซีแอตเติล รัฐ วอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ใน ปี ค.ศ. ๑๙๓๔ (พ.ศ. ๒๔๗๗) ท่านออกจากประเทศ สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. ๑๙๖๔ (พ.ศ. ๒๕๐๗) เพื่อมาบวชเป็นพระภิกษุที่จังหวัด หนองคาย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มีโอกาส ไปอยู่กับพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) พระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในการ สอนกรรมฐาน ณ วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ระเบียบการปฏิบัติธรรมของ หลวงพ่อชาในวัดหนองป่าพงนี้เป็นที่รู้กันว่าเข้้มงวดและเคร่งครัด โดยเน้น ที่ความเรียบง่ายและเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย พระอาจารย์สุเมโธได้ฝึก ปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อชาเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี จึงได้รับเชิญจากมูลนิธิสงฆ์ แห่งประเทศอังกฤษ (The English Sangha Trust) ให้เดินทางไปอยู่ที่ ลอนดอน ร่วมกับคณะศิษย์ของหลวงพ่อชา อีก ๓ รูป


มูลนิธิสงฆ์แห่งประเทศอังกฤษมีจุดมุ่งหมายจะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฝึก พระภิกษุในประเทศตะวันตก โดยมีสำนักสงฆ์บ้านแฮมสเต ด (The Hampstead Buddhist Vihara) ณ เมืองลอนดอนเป็นจุดเริ่มต้น สำนักสงฆ์ แห่งนี้มีความเหมาะสมพอสมควร แต่คณะสงฆ์ก็เห็นข้อดีของการมีสิ่งแวดล้อมที่ สงบกว่า เช่น บรรยากาศในชนบท จึงพยายามตั้งวัดป่าขึ้นในประเทศอังกฤษ และ สร้างเสร็จในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ (พ.ศ. ๒๕๒๒) โดยดัดแปลงบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ในเวสต์ ซัสเซกซ์ (West Sussex) ในเวลาต่อมาสถานที่นี้จึงเป็นที่รู้จักกัน ในนามว่า Chithurst Buddhist Monastery หรือวัดป่าจิตต วิเวก (Cittaviveka) นั่นเอง


เมื่อมีวัดที่เหมาะสมขึ้นแล้ว คณะสงฆ์จึงเริ่มเติบโต มีจำนวนพระภิกษุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเริ่ม มีการฝึกคณะชี (Siladhara) มีทั้งผู้ที่ต้องการจะมาฝึกมาปฏิบัติในวัด และ ผู้ที่ต้องการจะถวายปัจจัยสนับสนุนวัด ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้ ต้องก่อตั้งวัดสาขาเพิ่มอีกหลายแห่ง ทั้งในอังกฤษ และประเทศอื่นๆ ขณะเดียว กันก็มีการจัดตั้งศูนย์กลางการสอน ปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ขึ้น ณ วัด อมราวดี (Amaravati Buddhist Monastery) ในปี ค.ศ. ๑๙๘๔ (พ.ศ. ๒๕๒๗) วัด แห่งนี้ต่อมาเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์ สุเมโธพำนักอยู่เป็นส่วนใหญ่


วัดอมราวดีตั้งอยู่ติดกับหมู่ บ้าน Great Gaddesden ใกล้ๆ เมือง Hemel Hempstead ใน Hertfordshire ในวัด มีศูนย์ปฏิบัติกรรมฐานสำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้มา เยี่ยมเยียนวัดสามารถขออนุญาตพักอยู่ที่ศูนย์ฯ ในฐานะแขกของวัดได้ ถ้าพร้อม ที่จะใช้ชีวิตในชุมชนที่มุ่งฝึกพัฒนาคุณธรรม เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิก บาน และให้บริการช่วยเหลือผู้อื่น


นอกจากนี้ วัดอมราวดียัง ได้ผลิตหนังสืออีกหลายเล่มจากคำสอนของพระอาจารย์สุเมโธ รวมทั้งเผยแพร่ หนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อชา และครูอาจารย์อื่นๆ ทางพุทธศาสนา ท่านสามารถขอ รายชื่อหนังสือเหล่านั้นได้ โดยส่งจดหมายระบุชื่อและที่อยู่ของท่านไปที่

Amaravati Publications
Amaravati Buddhist Monastery
Great Gaddesden
Hemel Hempstead
Hertfordshire
HPI 3BZ
England


ตอนนั้นอาตมาตั้งใจจะศึกษาและพิจารณาความโกรธจนไม่ได้เป็นปัญหา เพื่อจะได้เห็น ความโกรธโมโห ความรังเกียจอะไรอย่างนี้ จะสอนเรา เราจะเห็นด้วยปัญญา และเมื่อมีเกิดขึ้น พิจารณาแล้วก็พิจารณาด้วยจิตว่างด้วย ให้รับรู้เวลามีอารมณ์โกรธก็รับอารมณ์นั้น แล้วแสดงความยินดีต้อนรับด้วย และมี อารมณ์โกรธก็กลัวมาก แล้วก็กดดัน ทันที เราเปลี่ยนให้ยอมรับ เวลาสิ่งที่แวด ล้อมเหตุปัจจัยในปัจจุบันทำให้อารมณ์โกรธเกิดขึ้นและรับรู้ แต่เราก็ยอมรับ ด้วยความยินดี บอกว่า Welcome ยินดีต้อนรับ

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron