วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 05:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
(หน้าที่ 262)



สตตสญญํ คเหตวาน สสสตุจเฉททสสิโน

ทวาสฏฐิทิฏฐี คณหนติ อญญมญญํ วิโรธิตา.


แปลความว่า

แม้ในอนาคตกาล ความไม่เป็นไปในสังสารวัฏก็ไม่

ปรากฏ พวกเดียรถีย์ทั้งหลายไม่รู้ความข้อนี้ ทั้งตนเองก็ไม่มี

ความเชี่ยวชาญจึงยึดถือสัตตสัญญา (ความสำคัญหมายว่ามี

สัตว์บุคคล) แล้วมีความเห็นว่าเที่ยง ว่าขาดสูญ ยึดถือทิฏฐิ

๖๒ ประการ ต่างโต้แย้งกันและกันอยู่


ทิฏฐิพนธนพนธา เต ตณหาโสเตน วุยหเร

ตณหาโสเตน วุยหนตา น เต ทุกขา ปมุจจเร.


แปลความว่า

พวกเดียรถีย์เหล่านั้นซึ่งมีเครื่องผูกพันธ์คือทิฏฐิผูกพัน

ไว้ จึงถูกกระแสแห่งตัณหาพัดพาไป เมื่อถูกกระแสตัณหา

พัดพาอยู่ พวกเขาก็ไม่พ้นจากทุกข์








อ้างคำพูด:
เอวเมตํ อภิญญาย ภิกขุ พุทธสส สาวโก

คมภีรํ นิปุณํ สุญญํ ปจจยํ ปฏิวิชฌติ.


แปลความว่า

พระภิกษุผู้เป็นสาวกของพระสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ความนี้ด้วย

ปัญญารู้ยิ่งดังกล่าวมานี้ จึงเห็นชัดซึ่งปัจจัย (ของนามและ

รูป) อันลึกซึ้ง ละเอียด ว่างเปล่า


กมมํ นตถิ วิปากมหิ ปาโก กมเม น วิชชติ

อญญมญญํ อุโภ สุญญา น จ กมมํ วินา ผลํ.



(หน้าที่ 263)



แปลความว่า

กรรมไม่มีอยู่ในวิบาก วิบากก็ไม่มีอยู่ในกรรม กรรม

และวิบากทั้งสอง ต่างว่างเปล่าซึ่งกันและกัน แต่ปราศจาก

กรรมเสียแล้ว ผลก็หามีไม่


ยถา น สูริเย อคคิ น มณิมหิ น โคมเย

น เตสํ พหิ โส อตถิ สมภาเรหิ จ ชายติ.

ตถา น อนโต กมมสส วิปาโก อุปลพภต

พหิทธาปิ น กมมสส น กมมํ ตตถ วิชชติ.


แปลความว่า

ไฟไม่มีในดวงอาทิตย์ ไม่มีในแก้วมณี (ที่ใช้ส่อง) ไม่

มีในมูลโค ไฟนั้นมิได้มีอยู่ภายนอกสิ่วทั้ง ๓ เหล่านั้น แต่

มันเกิดขึ้นด้วยการประกอบกัน (ของสิ่งทั้ง ๓)
ฉันใด

วิบาก

ก็ฉันนั้น หาไม่ได้ภายในกรรม แม้ภายนอกกรรมก็ไม่ได้

(เพราะ) กรรมมิได้มีอยู่ในวิบากนั้น


ผเลน สุญญํ ตํ กมมํ ผลํ กมเม น วิชชติ

กมมญจ โข อุปาทาย ตโต นิพพตตี ผลํ


แปลความว่า

กรรมนั้นว่างเปล่าจากผล ผลก็มิไดมีอยู่ในกรรม แต่

เพราะอาศัยกรรมแล ผลจึงเกิดขึ้นจากกรรมนั้น


น เหตถ เทโว พรหมมา วา สํสารสสตถิ การโก

สุทธธมมา ปวตตนติ เหตุสมภารปจจยา.


แปลความว่า

ความจริง ในโลกนี้ ไม่มีเทพเจ้า หรือพระพรหม

ผู้สร้างสังสารวัฏฏ์ ธรรมแท้ ๆ เป็นไปเอง เพราะการ

ประกอบกันของเหตุเป็นปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
(หน้าที่ 264)



เมื่อพระภิกษุนั้นทำการกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูปทางกัมมวัฏฏ์และวิปาก วัฏฏ์แล้วละความสงสัยใน ๓ กาลได้ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็เป็นอันได้รู้ธรรมทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน สิ้นทั้งปวงแล้ว โดยทางจุติและปฏิสนธิ ความรู้เช่นนั้นของพระภิกษุนั้นเป็น ญาตปริญญา คือ การกำหนดรู้สิ่งที่ปรากฏอยู่แล้ว


พระภิกษุนั้นรู้แจ้งชัดอย่างนี้ว่า “ขันธ์ทั้งหลายเหล่าใดเกิดแล้วในอดีต เพราะกรรม (ในอดีต) เป็นปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ดับไปแล้วในอดีตนั้นนั่นเอง ส่วนขันธ์ทั้งหลายที่เกิดในภพนี้ เพราะกรรมในอดีตเป็นปัจจัย ก็เป็นอีกพวกหนึ่ง หามีธรรมแม้แต่สิ่งเดียวจากภพในอดีตมาสู่ภพนี้ไม่ ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วแม้ในภพนี้ เพราะกรรมเป็นปัจจัยก็จักดับ ขันธ์ทั้งหลายจักเกิดขึ้นในภพหน้า ก็เป็นพวกอื่น หามีธรรมแม้สิ่งเดียวจากภพนี้จักไปยังภพหน้ามิได้


อีกประการหนึ่งแล เปรียบเหมือนการสาธยาย (การท่องบ่น) จากปากของอาจารย์ หาเข้าไปสู่ปากของอันเตวาสิกไม่
แต่การสาธายายในปากของอันเตวาสิกนั้น จะไม่มีดำเนินไปเพราะการสาธยายของอาจารย์นั้นเป็นปัจจัย ก็หามิได้ (อุปมา ๑)

เปรียบเหมือนน้ำมนต์ที่ตัวแทนดื่มมิได้เข้าท้องของคนเป็นโรค แต่โรคของคนเป็นโรคนั้นจะไม่สงบลงเพราะการดื่มน้ำมนต์ของตัวแทนเป็นปัจจัย นั้น หามิได้ (อุปมา ๒)


วิธีประดับตกแต่งใบหน้า ไม่ไปถึงเงาหน้าในแผ่นกระจกเงาเป็นต้น แต่วิธีประดับตกแต่งจะไม่ปรากฏในแผ่นกระจกเงาเป็นต้นนั้น เพราะวิธีประดับตกแต่งนั้นเป็นปัจจัย หามิได้ (อุปมา ๓)

เปลวประทีปของไส้ (ตะเกียง) ไส้หนึ่ง จะไม่ลามไปยังอีกไส้หนึ่ง แต่เปลวประทีปในไส้ (ตะเกียงอีกอันหนึ่ง) นั้นจะไม่เกิดขึ้น เพราะไส้ (ตะเกียงอันก่อน) นั้นเป็นปัจจัยหามิได้ (อุปมา ๔)

ฉันใด ธรรมอะไร ๆ จากภพในอดีต มิได้ก้าวมาสู่ภพนี้ หรือจากภพนี้มิได้ก้าวไปสู่ภพหน้า เหมือนกันฉันนั้นนั่นแล

แต่ขันธ์ อายตนะและธาตุทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นในภพนี้ เพราะมีขันธ์ อายตนะและธาตุทั้งหลายในภพอดีตเป็นปัจจัยหามิได้ หรือว่าขันธ์ อาตนะและธาตุทั้งหลายในภพหน้าจะไม่เกิดขึ้นเพราะมีขันธ์ อายตนะและธาตุทั้งหลายในภพนี้เป็นปัจจัยหามิได้ ฉะนี้แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ยเถว จกขุวิญญาณํ มโนธาตุอนนตรํ

น เจว อาคตํ นาปิ น นิพพตตํ อนนตํ.



(หน้าที่ 265)



ตเถว ปฏิสนธิมหิ วตตเต จิตตสนตติ

ปุริมํ ภิชชตี จิตตํ ปจฉิมํ ชายตี ตโต.

เตสํ อนตริกา นตถิ วีจิ เตสํ น วิชชติ

น จิโต คจฉติ กิญจิ ปฏิสนธิ จ ชายติ.


แปลความว่า

จักขุวิญญาณมาในลำดับของมโนธาตุ และมิได้มาอีก

ทั้งมิได้เกิดในลำดับ (แห่งมโนธาตุ) หามิได้ ฉันใด ความสืบ

เนื่องของจิตเป็นไปใน (ลำดับของ) ปฏิสนธิ ฉันนั้นเช่นกัน

จิตดวงก่อนแตกดับไป จิตดวงหลังก็เกิด (ต่อ) จากนั้น ไม่มี

ระหว่างคั่นของจิต ๒ ดวงนั้น จิต ๒ ดวงนั้นมีช่องว่างหา

มิได้ ทั้งจิตไร ๆ ก็มิได้ (จุติ) ไปจากจิตดวงนี้ และปฏิสนธิ

(จิต) ก็เกิดขึ้น ดังนี้


(ปัจจยปริคคหญาณ ในชื่ออื่น)

ปัจจยปริคคหญาณ (ญาณกำหนดรู้ปัจจัย) ของนามรูป ของพระภิกษุผู้รู้แล้วซึ่งธรรมทุกอย่างโดยทางจุติและปฏิสนธิด้วยประการดัง กล่าวมานี้ เป็นญาณถึงการมีกำลังโดยอาการทั้งปวง

พระภิกษุนั้นก็ละความสงสัย 16 อย่างได้ดียิ่ง และมิใช่ละได้แต่ความสงสัย 16 อย่างเท่านั้น
ถึงความสงสัย ๘ อย่างซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า “สงสัยในพระบรมศาสดา” ดังนี้ เธอก็ละได้ด้วยเหมือนกัน ทิฏฐิ ๖๒ ประการก็ระงับไปด้วย



ญาณข้ามพ้นความสงสัยในกาลทั้ง ๓ (อดีต อนาคต ปัจจุบัน) ด้วยการกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูปโดยนัยต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้
พึงทราบว่าเป็น
“กังขาวิตรณวิสุทธิ”
คำว่า “ธัมมฐิติญาณ - ญาณกำหนดรู้การตั้งอยู่ด้วยธรรมเป็นปัจจัย” ก็ดี
คำว่า ยถาภูตญาณ

(หน้าที่ 266)

ญาณกำหนดรู้ตามเป็นจริง” ก็ดี
คำว่า สัมมาทัสสนะ- ความเห็นโดยชอบ” ก็ดี เป็นไวพจน์ของคำว่า
กังขาวิตรณวิสุทธิ” นี้นั่นเอง

วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา ปริเฉทที่ ๑๙ กังขาวิตรณวิสุทธินิเทศ หน้าที่ ๒๖๑ - ๒๖๗


{comment ผู้โพสต์: ตรงนี้ คือ ตัด สังโยชน์ วิจิกิจฉา ขาด หรือไม่ ..ลองไป คิด ต่อดู}


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 ต.ค. 2010, 22:50, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผล อะไร จะได้ จาก การ พิจารณา นาม รูป?
อ้างคำพูด:
อนึ่ง ท่านผู้เจริญวิปัสสนา(วิปัสสก) ซึ่งประกอบด้วยญาณ (ดังกล่าวมา) นี้ เป็นผู้ได้ความเบาใจแล้ว ได้ที่พึ่งในพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นผู้มีคติ (ภูมิที่ดำเนินไปภายหน้า) แน่นอนมีนามว่า พระจูฬโสดาบัน


ตสมา ภิกขุ สทา สโต นามรูปสส สพพโส

ปจจเย ปริคคณเหยย กงขาวิตรณตถิโก.


เพราะฉะนั้น พระภิกษุผู้มีความประสงค์จะข้ามพ้น

ความสงสัย พึงเป็นผู้มีสติ กำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูป

โดยประการทั้งปวงทุกเมื่อแล


จบ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร