วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 03:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ย. 2024, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1727482727085.jpg
FB_IMG_1727482727085.jpg [ 140.24 KiB | เปิดดู 1030 ครั้ง ]
[
เพราะอวิขชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร

[๕๙๑] ก็นัยโดยพิสดารดังต่อไปนี้.
แก้บทว่า อวิชชา

คำว่า อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้ในฐานะ ๔ มีทุกข์เป็นต้น โดยปริยายแห่งพระสูตร
ความไม่รู้ในฐานะทั้ง ๘ กับฐานะมีบุพพันตะเงื่อนต้นเป็นต้น โดยบริยายแห่งะอภิธรรม
ข่อนี้ สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า "ในบรรดาธรรมเหล่านั้น อวิชชาเป็นไฉน? ได้แก่
ความไม่รู้ในทุกข์ ฯลฯ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความไม่รู้ในปุพพันตะเงื่อนต้น
ความไม่รู้ในอปรันตะเงื่อนปลาย ความไม่รู้ในปุพพันตะเงื่อนต้นและอปรันตะเงื่อนปลาย
ความไม่รู้ในอิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปปัปันธรรมทั้งหลาย
" ดังนี้

ในฐานะเหล่านั้น เว้นสัจจะทั้ง ๒ ที่เป็นโลกุตตระ อวิชชาย่อมเกิดในฐานะที่เหลือ
ม้ด้วยอำนาจทำให้เป็นอารมณ์แม้ไดยแท้ แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ในพระบาลีนี้ท่านประสงค์
เอาอวิชชาโดยเป็นเครื่องปกปิดเท่านั้นเอง จริงอยู่ อวิชขานั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมปกปิด
ทุกขสัจตั้งอยู่ ย่อมไม่ให้เพื่อจะแทงตลอดลักษณะคือรสของตนตามความเป็นจริงได้ อนึ่ง
ย่อมปกปิดสมุทัย นิโรธ มรรค ขันธปัญจกะส่วนอดีต คือปุพพันตะเงื่อนต้น ขันธปัญจกะ
ส่วนอนาคต คืออปรันตะเงื่อนปลาย ชันธปัญจกะทั้งสองนั้น คือปุฟพันตะเงื่อนต้นและ
อปรันตะเงื่อนปลาย อิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปปันนธรรมทั้งหลาย คืออิทัปปัจจยตา
และปฏิจจสมุปปันนธรรมตั้งอยู่ ย่อมไม่ให้เพื่อแทงตลอดลักษณะคือรสของตนตามความ
เป็นจริงในทุกข์เป็นต้นนี้อย่างนี้ว่า "นี้อวิขชา นี้สังขาร" เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ความ
รู้ในทุกข์ ฯลฯ ความไม่รู้ในอิทับปัจจยตาและปฏิจจสมุปปันธรรมทั้งหลาย.

พรรณนากถาว่าด้วยบทว่า
เพราะอวิขชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร

[๕๙๑] บทว่า อยํ ปน ได้แก่ เรื่องที่จะกล่าวต่อไป ณ บัดนี้. ท่านอาจารย์กล่าว
ว่า โดยปริยายแห่งพระสูตร ดังนี้ เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสอวิชชาอันเป็นไปในฐานะ
ทั้ง ๔ ในพระสูตรทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อวิชชาเป็นไฉน ได้แก่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ย. 2024, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1727499531164-removebg-preview.png
ei_1727499531164-removebg-preview.png [ 160.72 KiB | เปิดดู 1018 ครั้ง ]
ความไม่รู้ในทุกข์. ส่วนในนิกเขปกัณฑ์ พระผู้มีพระภาคตรัสอวิขชา ซึ่งพระองค์ได้ตรัส
ไว้ในฐานะทั้ง ๔ ในพระสูตรนั่นเอง โดยขนิดแห่งกิจในฐานะทั้ง ๔ ฉะนั้น ท่านอาจารย์
ประสงค์จะกระทำการอธิบายเกี่ยวกับการพรรณนาความของอวิชชานั้น จึงเริ่มว่า โดย
ปริยายแห่งพระอภิธรรม แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า ข้อนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสไว้
ดังนี้. บัณฑิตพึงจำแนกเรื่องราวอย่าให้ขาดตกบกพร่อง. ก็การจำแนกเป็นปริยายแห่ง
พระภิธรรม พึงนำเอาคำว่า ความไม่รู้ในฐานะทั้ง ๔ มาเชื่อมเข้ากับคำนั้นด้วย คำว่า
ในฐานะที่เหลือ คือ ในทุกข์และสมุทัย และในฐานะทั้งหลายมีปุฟพันตะเงื่อนต้นเป็นต้น.
บทว่า อารมฺมณวเสน แปลว่า แม้ด้วยอำนาจทำให้เป็นอารมณ์. บทว่า อิธ ความเท่ากับ
อิมสมิํ โยค ทุกฺเข อญฺญาณนฺติอาทิเก ปาเฐ แปลว่า ในปาฐะนี้ คือมีคำเป็นต้นว่า ทุกเย
อญญาณ์ บทว่า สา โยค อวิชชา แปลว่า อวิขยานั้น คำว่า ที่เกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ยังไม่ได้
รื้อถอนเกิดขึ้น. จะป่วยกล่าวไปไยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเล่า ท่านอาจารย์กล่าวว่า
ย่อมไม่ให้เพื่อจะแทงตลอดลักษณะ คือรสของตนตามความเป็นจริงได้ เพื่อจะแสดง
อาการคืความปกปิด ที่ท่านกล่าวไว้ในคำว่า ปกปิด. สภาวะที่พึงยินดี คือพึงแทงตลอด
ชื่อว่ารส. รสของตน ชื่อว่า สรโส แปลว่า รสของตน รสของตนตามความเป็นจริง คือ
มีอยู่จริง ชื่อว่า ยาถาวสรโส แปลว่า รสของตนตามความเป็นจริง ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ด้วย
คำว่า ปีฬนฏฺโฐ มีสภาวะว่า บีบคั้น เป็นต้น และธรรมทั้งหลายมี เงื่อนต้น เป็นต้น ซึ่งเป็น
ประเภทแห่งทุกข์สัจนั่นเอง ก็รสนั้นนั่นแหละ ชื่อว่า ลักษณะคือรสของตนตามความเป็น
จริง เพราะเป็นเรื่องที่จะพึงกำหนด อวิชชา ย่อมไม่ให้เพื่อจะแทงตลอด ลักษณะคือรส
ของตนตามเป็นจริงนั้น คือเพื่อจะรู้โตยประจักษ์

คำว่า ขันธปัญจกะทั้งสอง ได้แก่ ขันธปัญจกะเงื่อนต้น คือที่เป็นส่วนอดีต และ
เงื่อนปลาย ที่เป็นส่วนอนาคต. อีกนัยหนึ่ง เงื่อนกลางที่เป็นปัจจุบันอัทธา ชื่อว่า เงื่อนต้น
และเงื่อนปลาย เพราะมีส่วนเชื่อมโยงเงื่อนต้นและเงื่อนปลาย. คำว่า นี้อวิชชา นี้สังขาร
เป็นคำแสดงอาการคือรู้โดยประจักษ์ในอิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปปันนธรรม.

บทว่า เอตฺถ ความเท่ากับ เอเตสุ โยค ทุกฺขาทีสุ แปลว่า ในทุกข์เป็นต้นนี้. พึง
ทราบว่า อวิชขาย่อมเป็นไปแม้เกี่ยวกับการกระทำให้เป็นอารมณ์ ในธรรมมีทุกข์เป็นต้น
แม้ก็จริง ถึงกระนั้น อวิชชาก็ไม่สามารถจะกระทำนิโรธและมรรคให้เป็นอารมณ์ได้ เมื่อ
ในใบเกียวกับการปกปิดนีโรธและมาหนั้น แก่บุคคนผู้ใครจะรู้นี้โรธและมรรคเหล่านั้น

และด้วยภาวะที่เป็นเหตุยึดถือในธรรมที่มีใช่นิโรธและมรรค ว่าเป็นนิโรธและมรรค ย่อม
ไม่ให้เพื่อแทงตลอดตามความเป็นจริง ซึ่งนิโรธและมรรคเป็นต้นเหล่านั้น ฉันใด แม้ใน
สัจจะมีทุกข์เป็นต้น ก็ฉันนั้น จริงอย่างนั้น ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ในพระบาลีนี้ท่าน
ก็ประสงค์เอาอวิชชา โดยเป็นเครื่องปกปิดเท่านั้นเอง อาการคือความไม่เห็น ซึ่งกระทำ
ความมืดบอดอันมีสัจจะมีทุกข์เป็นต้น เป็นวิสัยและเป็นปัจจัยแก่ธรรมอันกระทำความมืด
บอดมีโลภะเป็นต้น ชื่อว่า อญฺณาณํ แปลว่า ความไม่รู้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร