วันเวลาปัจจุบัน 16 ส.ค. 2025, 06:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


นี้เรียกว่า รูป. รวมทั้งนามทั้รูปนี้ละคุณ เรียกว่านามรูป. เพราะ
วิญญาณเกิด นามรูปจึงเกิด เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ อริยาษ-
ฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งนามรูป คือ
สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.

คุณ ในกาลใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งนามรูปอย่างนี้ เหตุเกิดแห่ง
นามรูป ความดับแห่งนามรูป รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งนามรูป
อย่างนี้ เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง ๆ แม้
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความ
เห็นตรง ประกอบด้วยควานเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน
พระสัทธรรมนี้.

วิญญาณวาระ

(๑๒๖) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่าคุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดวิญญาณ เหตุเกิด
แห่งวิญญาณ ความดับไปแห่งวิญญาณ และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
ไปแห่งวิญญาณ เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูก
ต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่คลอนแคลน มาสู่
พระสัทธรรมนี้.

ถามว่า วิญญาณคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งวิญญาณ ความ
ดับแห่งวิญญาณ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งวิญญาณ คืออะไร ?

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบว่า คุณ วิญญาณ มี ๖ หมู่เหล่านี้ คือ วิญญาณทางตา ๑
วิญญาณทางหู ๑ วิญญาณทางจมูก ๑ วิญญาณทางลิ้น ๑ วิญญาณ
กาย ๑ วิญญาณทางใจ ๑. เพราะสังขารเกิด วิญญาณจึงเกิด เพราะ
สังขารดับไป วิญญาณเจึงดับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติ
ให้ถึงความดับไปแห่งวิญญาณ คือ สัมมาทิฏฐิ ๆ ล ฯ สัมมาสมาสมาธิ

คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งวิญญาณอย่างนี้ เหตุเกิดแห่ง
วิญญาณ ความกับไปแห่งวิญญาณ รู้ชัดข้อปฏิปฏิบัติให้ถึงความกับแห่ง
วิญญาณอย่างนี้ เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง ฯ ลฯ
แม้ด้วยแหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มี
ควนเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่
พระสัทธรรมนี้.

สังขารวาระ

(๑๒๕) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ฯ ล ฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่า คุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดสังขาร รู้ชัด
เหตุกิดแห่งสังธาร และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งสังขาร เพืยง
เท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง
ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า สังขารคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งสังขาร ความดับ
แห่งสังชาร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งสังขาร คืออะไร ?

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบว่า คุณ สังขารมี ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร ๑ วจี-
สังชาร ๑ จิตสังขาร ๑. เพราะอวิชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชาดับ
สังขารจึงดับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
ไปแห่งสังขาร คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
เมื่อใดแล .คุณ อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ เหตุเกิดแห่งสังขาร
ความดับแห่งสังขาร รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งสังขารอย่างนี้
เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัยได้ บรรเทาปฏิมานุสัย ถอนทิฏฐิมานุสัยว่า
เรามีออก ละอวิชชาได้โดยประการทั้งปวง ยังวิชชาไห้เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้
ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันที่เดียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริย-
สาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

อวิชชาวาระ

(๑๒๘) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ? ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่า คุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดอวิชชา เหตุ
เกิดอวิชชา ความดับแห่งอวิชชา และรู้ชัดข้อปฏิบัติถึงความดับไป
แห่งอวิชชา เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกดัง
มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มา
สู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า อวิชชาคืออะไรเล่าคุณ ? เหตุเกิดอวิชชา ความดับไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


แห่งอวิชชา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอวิชชา คืออะไร ?
ตอบว่า คุณ ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความ
ไม่รู้ในความดับไปแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่ง
ทุกข์ นี้แลคุณ เรียกว่าอวิชชา.

เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกิด เพราะอาสวะดับ อวิชชาจึงดับ
อริยกษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอวิชชา
คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.

เมื่อใดแล คุณ อริยสาวก รู้ชัดอวิชชาอย่างนี้ เหตุเกิดอวิชชา
ความดับไปแห่งอวิชชา รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอวิชชาอย่างนี้
เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐิมานะว่า เรามี
ออก ละธวิชชาได้โดยประการทั้งปวง ยังวิชชาให้เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันที่เดียว ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริย-
สาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

(๑๒๙) ภิกษุเหล่านั้นได้พากันชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่าน
พระสารีบุตรว่า ดีแล้ว ใต้เท้า แล้วได้กราบเรียนถามปัญหาสูงขึ้นไปกะ
ท่านพระสารีบุตรว่า ใต้เท้า ขอรับ เหตุ (ปริยาย) อย่างอื่นยังคงมีอีก
บ้างไหม ที่จะให้อริยสาวกเป็นผู้มีควานถูกต้อง มีความเห็นเห็นตรง
ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน ได้มาสู่พระสัทธรม
นี้แล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อาสววาระ

(๑๓๐) ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ยังกงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่า
คุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดอาสวะ เหตุเกิดอาสวะ ความดีบแห่งอาสาวะ
และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอาสวะ เพียงเท่านี้แล คุณ อริย-
สาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

ถามว่า อาสวะคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความดับ
แห่งอาสวะ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอาสวะคืออะไร ?
ตอบว่า คุณ อาสวะมี ๓ อย่าง เหล่านี้คือ กามาสวะ เครื่อง
ดองสันดานคือถาม ๑ ภวาสวะ เครื่องดองสันดานคือภพ ๑ อวิชชา-
สวะ เครื่องดองสันดานคืออวิชชา ๑. เพราะอวิชชาเกิด อาสวะจึงเกิด
เพราะอวิชชาดับ อาสวะจึงกับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความกับไปแห่งอวิชชา คือ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปะ ๑
สัมมาวาจา ๑ สัมมาก้มมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑
สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑.

เมื่อใดแล คุณ อริยสาวกรู้ชัดอาสวะอย่างนี้ เหตุเกิดอาสวะ ความ
ดับไปแห่งอาสวะ รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอาสวะอย่างนี้ เมื่อ
นั้นเธอจะละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนอนุสัยคือทิฏฐินานะว่า
เรามีออก ละอวิชชาได้โดยประการทั้งปวง ยังวิชชาให้เกิดขึ้นแล้ว
เป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันที่เดียว -ด้วยแหตุเพียงเท่านี้แล คุณ
อริยสาวกชื่อว่า มีความเห็นถูกต้อง มีความแห็นตรง ประกอบตัวยความ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน ได้มาสู่พระสัทธรรมนี้แล้ว.
ท่านพระสารบุตรใต้กล่าวคำนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นพอใจ พากัน
ชื่นชมภาษิตของท่านพระสารีบุตร.
จบ สัมมาทิฏฐิสูตร
สูตรที่ ๙ จบ


สรุป


ทุกข์ ๑ ชรามรณะ ๑ อุปาทาน ๑ สพายตนะ ๑ นามรูป ๑
วิญญาณ ๑ รวนเป็น ๖ บท ซึ่งท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า เป็นอย่าง
ไรเล่า คุณ !
ชาติ ๑ ตัณหา ๑ เวทนา ๑ อวิชชา ๔ อย่าง ๑ รวมเป็น ๔
บท ซึ่งท่านพระสารีบุตรเถระกล่าวว่า เป็นอย่างไรเล่า คุณ ?
อาหาร ๑ ภพ ๑ ผัสสะ ๑ สังขาร ที่ ๕ คือ อาสวะ ๑
รวมเป็น ๕ ซึ่งพระสริบุตรเถระกล่าวว่า เป็นอย่างไรเล่า คุณ ?
๖ อย่าง คืออะไร ได้กล่าวไว้แล้ว ๔ อย่างคืออะไร ได้กล่าวไว้
แล้ว ๕ อย่างคืออะไร ก็ได้กล่าวไว้แล้ว จึงรวมเป็น ๑๕ บท ส่าหรับ
สังขารทั้งมวลดังนี้แล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร