วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 23:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2024, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240917-152512_TikTok.jpg
Screenshot_20240917-152512_TikTok.jpg [ 148.2 KiB | เปิดดู 1454 ครั้ง ]
อธิบาย เหตุผลเมื่อมีอวิขขาจึงมีสังขาร
[๕๙๓] ในข้อที่มือวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารนั้น พึงมีผู้สงสัยถามขึ้นมาว่า ก็ข้อนี้
จะพึงรู้ได้อย่างไรว่า "สังขารเหล่านี้มี เพราะมีอวิชขาเป็นปัจจัย ?

ข้อนี้ตอบได้อย่างไรว่า รู้ได้ เพราะเมื่ออวิชชามี มันจึงมี จริงอยู่ ความไม่รู้ในทุกข์เป็นต้น
ทีเรียกว่า อวิชชา เป็นเรื่องที่บุคคลใดยังละไม่ได้ เบื้องต้น บุคคลนั้นถือเอาสังสารทุกข์
ด้วยความไม่รู้ในทุกข์ และในฐานะทั้งหลายมีเงื่อนต้นเป็นต้น ถือเอาโดยสำคัญว่าเป็นสุข
ย่อมก่อสังขารทั้ง ๓ อย่าง อันเป็นเหตุแห่งสารทุกข์นั้นเอง ด้วยความไม่รู้สมุทยนั้นเอง
สำคัญเห็นปรารภสังขารทั้งหลาย ถูกตัณหาจัดแจง แม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ ว่าเป็นเหตุแห่งสุข
ไป อนึ่ง ด้วยความในรู้ในนิโรธและมรรค จึงเป็นผู้มีความสำคัญในคติวิเศษแม้มีเป็นที่
ดับทุกข์ว่าเป็นที่ดับทุกข์ไป และเป็นผู้มีความสำคัญในยัญและอมรตบะเป็นต้น แม้มิใช่
เป็นทางแห่งนิโรธว่าเป็นทางแห่งนิโรธ ก็ก่อสังขารทั้ง ๓ อย่าง ด้วยมุ่งยัญและอมรตบะ เป็นต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2024, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240916_050052_TikTok.jpg
Screenshot_20240916_050052_TikTok.jpg [ 177.7 KiB | เปิดดู 1352 ครั้ง ]
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลนั้น เพราะเหตุที่ยังละอวิชชาในสัจจะทั้ง ๔ ไม่ได้นั้น โดย
พิเศษ เมื่อไม่รู้จักทุกข์ กล่าวคือผลของบุญซี่งแม้เกลือกกลั้วไปด้วยโทษเป็นอเนก มีชาติ
ชรา โรค และมรณะ เป็นต้น ว่าเป็นทุกข์ ย่อมก่อปุญญาภิสังขาร ซึ่งจำแนกเป็นกายสังขาร
วจีสังขาร และจิตตสังขาร เพื่อบรรลุผลของบุญนั้น เหมือนดังคนผู้ต้องการเทพอัปสร
เริ่มกระโจนมรุปปาตะคือเหวชันฉะนั้น อนึ่ง แม้เมื่อไม่เห็นความเป็นวิปริณามทุกข์ และ
ความเป็นคุณที่น่ายินดีน้อย ซึ่งทำให้เกิดเร่าร้อนใหญ่ในที่สุดแห่งผลบุญนั้น ซึ่งแม้สมมติว่า
เป็นสุขย่อมก่อปุญญาภิสังขารมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแหละ อันเป็นปัจจัยแห่งผลของ
สุคตินั้น เหมือนกับแมลงเม่าตกไปสู่เปลวประทีป ฉะนั้น และเหมือนดังสัตว์ที่ติตใจหยาด
น้ำผึ้ง เลียคมศัสตราอันฉาบด้วยน้ำผึ้ง ฉะนั้น และเมื่อไม่เห็นโทษในโลกียวิสัย มีการเสพ
กามเป็นต้น ซึ่งมีวิบาก ย่อมก่ออปุญญาภิสังขาร แม้เป็นไปทางทวาร ๓ เพราะสำคัญว่า
เป็นสุข และเพราะความที่ถูกกิเลสครอบงำ เหมือนตัวเด็กอ่อนชอบเล่นคูถ และเหมือน
คนอยากตายกินยาพิษ ฉะนั้น อนึ่ง เมื่อไม่หยั่งรู้ความเป็นวิปริณามทุกข์ของสังขาร แม้
ในอรูปวิบากก็ย่อมก่ออาเนญชาภิสังขารอันเป็นจิตตสังขาร ด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็น
ทีเที่ยงเป็นต้น เหมือนคนหลงทิศเดินทางมุ่งหน้าไปนครปิศาจ ฉะนั้น.

ด้วยประการอย่างนี้ เพราะมีอวิชชานั่นเองสังขารจึงมี หาใช่เพราะไม่มีไม่ ฉะนั้น
พึงรู้ข้อนิ้ว่า "สังขารเหล่านี้มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย" ข้อนี้ สมจริงคำที่พระผู้มีพระผู้มีพระ
ภาคตรัสไว้ดังนี้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ฉลาดตกอยู่ในอวิชชา ย่อมปรุงแต่ง
ปุญญาภิสังขารบ้าง อปุญญาภิสังขารข้าง อาเนญชาภิสังขารบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อใด ภิกษุจะอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดแล้ว ภิกษุนั้นเพราะคลายอวิชชา เพราะวิชชา
เกิดขึ้น ย่อมไม่ปรุงแต่งปุญญาภิสังขารเลย" ดังนี้.

[๕๙๓] คำว่า เพราะเมื่ออวิชชามี มันจึงมี ความว่า เมื่อความที่อวิชชามีอยู่
สังขารจึงมี. ด้วยว่าเมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจะมีในกาลไหน ๆ ก็หามิได้ บัดนี้ ท่านอาจารย์
เมื่อจะแสดงความมีอยู่ของอวิชชานั้น จึงกล่าวว่า อวิชชา เป็นเรื่องที่บุคคลใดยังละไม่ได้
ด้วยคำนั้นท่านย่อมแสดงว่า ความไม่ดับด้วยมรรคเป็นความมีอยู่ของอวิชชาในที่นี้ มิไป
เป็นความทรงอยู่เท่านั้น. ความข้อนี้นั้นข้าพเจ้าได้อธิบายไว้แล้วในหลังทีเดียว. ก็ด้วย
คำว่า อวิชชาสงฺขาตํ แปลว่า ที่เรียกว่า อวิชชา นี้ ท่านห้ามความไม่มีแห่งญาณเป็นต้น
ก็ อ อักษรนี้ ย่อมปรากฏในความหมายว่า ห้ามการประกอบด้วยสิ่งนั้น เช่นอย่างในคำ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2024, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1727939806623.jpg
FB_IMG_1727939806623.jpg [ 117.83 KiB | เปิดดู 1065 ครั้ง ]
เป็นต้นว่า อเหตุกา ธมฺมา แปลว่าธรรมชาติที่ไม่มีเหตุ อภิกฺขุโก อาวุโส แปลว่า วัลที่มี
อยู่ ความไม่มีท่านก็แสดงไว้ในข้อนี้ ย่อมปรากฏในความหมายว่า ห้ามการเกี่ยวข้อง
กับธรรมนั้น เหมือนอย่างคำว่า อนุปริญญา ธมฺมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายอันหาปัจจัยมิได้
จริงอยู่ กรรมชาติที่เกิดแต่ปัจจัย ก็มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัย เพรฉะนั้น จึงมี เพราะ
ป็นธรรมที่เกิดแต่ธรรมที่หาปัจจัยมิได้ เหตุนั้น ความเป็นธรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัย
นั้น ทำนจึงกระทำให้แจ่มแจ้งในที่นี้. ย่อมปรากฏในความหมายว่า ห้ามสภาวะเช่นนั้น ว่า
อนิทสฺสนา ธมฺมา แปลว่า ธรรมมีการเห็นไม่ได้. ก็ความเห็นได้ ได้แก่ ภาพที่จะพึงเห็น
ย่อมปรากฏในความหมายว่า ห้ามภาวะที่จะพึงยึดถือเอานั้น เช่นในคำว่า อถ จกฺขุวิญฺญาณํ
นิทสฺสนํ น ปสฺสติ แปลว่า ถ้าจักษุวิญญาณจะไม่เห็นภาพที่จะพึงเห็น

อนึ่ง ย่อมปรากฏในความหมายว่า ห้ามกิจนั้น เช่นในคำว่า อนาสวา ธมฺมา แปลว่า
ธรรมทั้งหลายอันหาอาสวะมิได้ เช่นในคำว่า อปฺปฏิฆา ธมฺมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่
กระทบไม่ได้. อนารมฺมณา ธมฺมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่ไม่รับอารมณ์ ย่อมปรากฎใน
ความหมายว่า ห้ามภาวะนั้น เช่นในคำว่า อรูปิใน ธมฺมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่ไม่มีรูป.
อเจตสิกา ธมฺมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่ไม่มีเจตสิก.

ก็เมื่อถือเอาเนื้อความอื่นโดยประการจากนั้น ท่านก็ได้ประกาศเนื้อความไว้ในที่นี้
แล ย่อมปรากฏในความหมายว่า ห้ามสักว่ากระเช่นนั้น เช่นในคำว่า อมนุสฺโส แปลว่า
ผู้นี้มิใช่มนุษษย์. ก็ในคำว่า อมนุสฺโส นี้ ท่านระบุถึงความเหมือนกันไว้ว่า ไม่มีแต่เพียงความ
เป็นมนุษย์ แต่อย่างอื่นเหมือนกัน ย่อมปรากฏในความหมายว่า คุณที่ควรยกย่องอย่าง
นั้น เช่นในคำว่า อสฺสมโณ สมณปฏิญฺโญ แปลว่า เขามิได้เป็นสมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็น
สมณะ. อปุตฺโต เขามิใช่เป็นบุตร. ก็กิริยาที่ติเตียน ย่อมหมายรู้กันได้ในที่นี้. ย่อมปรากฏ
ในความหมายว่า ห้ามถึงภาวะที่ไม่น้อยนั้น เช่นในคำว่า กจฺจิ โภโต อนามยํ แปลว่า ท่าน
ไม่มีโรคหรือ, อนุทรา กญฺญา แปลว่า สาวน้อยมีเอวบาง ย่อมปรากฏในความหมายว่า
ห้ามถึงภาวะที่เหมือนกันอย่างนั้น เช่นในคำว่า อนุปฺปนฺนา ธมฺมา แปลว่า ธรรมที่ไม่เกิดขึ้น.
ก็เพราะธรรมที่ล่วงไปแล้วเป็นธรรมที่เคยเกิดขึ้น เพราะธรรมที่จะเกิดขึ้น ก็เริ่มเป็นธรรม
ที่จะเกิดขึ้น ด้วยความบังเกิดบางส่วนของปัจจัย และเพราะธรรมที่พ้นจากกาล ก็เป็นธรรม
ที่มีอยู่ จึงมีความเป็นธรรมที่อนุกูลแก่ธรรมที่เกิดแล้ว สำหรับธรรมที่เป็นปัจจุบันไม่มีข้อที่
จะต้องพูดถึง เพราะฉะนั้น ในข้อนี้จึงทำให้รู้ภาวะที่ผิดไปจากธรรมที่เป็นปัจจุบันนั้น ย่อม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2024, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




46021113_IMG_captureImage.png
46021113_IMG_captureImage.png [ 1.05 MiB | เปิดดู 710 ครั้ง ]
เป็นไปในความหมายว่า ห้ามธรรมที่มีธรรมนั้นไม่เป็นที่สุด เช่นในคำว่า อเสกฺขา ธมฺมา
แปลว่า ธรรมที่เจริญกว่าเสขธรรม. ก็ข้อตกลงนั้นย่อมปรากฏในอธิการนี้ ก็เพราะเนื้อ-
ความเหล่านี้ไม่มีอยู่ ว่าโดยปาริเสสนัยจึงควรทราบว่า ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อญาณ ชื่อว่า
อัญญาณ เพราะอธิบายว่า ธรรมทั้งหลายก็เป็นเป็นปฏิปักษ์ต่อกุศล ซื่อว่า อกุศล ฉันใด ธรรม
ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิชชา ก็ชื่อว่า อวิชชา เหมือนฉันนั้น.

คำว่า ถือเอาโดยสำคัญว่าเป็นสุข ความว่า ยึดมั่นสังสารทุกข์ที่ชนขั้นผู้รู้ทั้งหลาย
พึงถือเอาว่าเป็นทุกข์นั่นเอง เพราะความที่เป็นทุกขทุกข์ ทุกข์แสนทุกข์ เป็นวิปริณามทุกข์
ป็นทุกข์เพราะความแปรปรวน และเป็นสังขารทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร โดยสำคัญว่าเป็น
สุข. ด้วยคำนี้ ท่านอาจารย์ย่อมแสดงถึงความเป็นไปแห่งตัณหาในทุกข์นั้น. คำว่า ก่อ คือ
ทำให้บังเกิด. บทว่า ตณุหาปริกขาเร แปลว่า ถูกตัณหาจัดแจง คือปรับปรุงตกแต่งขึ้น
อธิบายว่า ประดับประดา โดยนัยว่าเป็นสุข ว่างดงาม เป็นต้น. แท้จริง ตัณหาเป็นเหตุแห่ง
ทุกข์ เพราะฉะนั้น คนพาลเมื่อไม่รู้อยู่ ดิ้นรนไป โดยนัยว่า โอหนอ เราเมื่อร่างกายแตกดับ
ไป ก็จะพึงเข้าถึงความเป็นสหายของขัตติยมหาศาลทั้งหลาย ดังนี้ ชื่อว่า ปรุงแต่งกาย-
สังขารขึ้น อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตณุหาปริกุยาเร แปลว่า เป็นบริวารของตัณหา. จริงอยู่
สังขารทั้งหลายเมื่อปรุงแต่ง จักขุเป็นต้นและรูปเป็นต้นอันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาให้แก่บุคคล
ผู้พร้อมเพรียงด้วยตัณหานั้น เมื่อนำเข้าไปหาตัณหา ก็ย่อมเป็นเหมือนบริวารของตัณหา
นั่นเอง.

ในคติวิเศษ ได้แก่ ในพรหมโลกเป็นต้น ยัญ มียัญชื่อว่า วาชเปยยะ เป็นต้น ที่
ทำให้สัตว์เลี้ยงหลายร้อยตัวประหวั่นพรั่นพรั่ง ชื่อว่า ยัญ. ทุกรกิริยาที่เชื่อถือกันว่าทำให้
ไม่ตายเป็นประโยชน์ ชื่อว่า อมรตบะ. การประพฤติพรตที่บำเพ็ญด้วยคิดว่า เราพึงเป็น
อมระ คือผู้ไม่ตาย หรือเป็นเทพ หรือเป็นเทวะตนใดตนหนึ่ง ก็ชื่อว่า อมรตบะ. อีกอย่าง
หนึ่ง ตบะที่ทำให้ตาย คือเป็นผู้ฆ่า เพราะความเป็นทุกข์ ชื่อว่า อมรตบะ. พึงเห็น อมร
ศัพท์ ในมระคือตาย เหมือน อทิฏฐ ศัพท์ ใช้ในทิฏฐะคือเห็นก็ได้ ท่านกล่าวความที่ปุญญา-
ภิสังขารเป็นเหมือนกับมรุปปาตะ คือเหวขัน เพราะทำให้เกิตทุกข์ คือเหว มีชาติเป็นต้น.

(๑๒๗) ด้วยคำว่า ทำให้เกิดเร่าร้อนใหญ่ นี้ ท่านอาจารย์ย่อมแสดงความที่ผล
แห่งบุญเป็นหมือมกับคบเพลิงหญ้า โดยความหมายว่า ตานเผาผลาญอยู่. ตัวย จ ศัพท์
ว่า อปฺปสฺสาทตญฺจ ซึ่งแปลว่า มีความเป็นคุณ มีความน่ายินดีน้อย. ท่านอาจารย์ย่อม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2024, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240929_114851_TikTok.jpg
Screenshot_20240929_114851_TikTok.jpg [ 173.44 KiB | เปิดดู 1135 ครั้ง ]
สงเคราะห์วิธีมิการโขกลับ ทิ่มแทง และทำลายอวัยวะน้อยใหญ่เป็นต้น. บทว่า ตปฺปจฺจยํ
แปลว่า อันเป็นปัจจัยแห่งผลของสุคตินั้น คือมีทุกข์เพราะความแปรปรวนเป็นพิภาพ. ผล.
บุญที่ถือเอาด้วยความเป็นสิ่งที่น่ายินดี และด้วยความเป็นคุณที่น่าพึงพอใจ ก็เป็นเหมือน
อย่างเปลวประทืปและคมศัสตราที่ฉาบไว้ด้วยน้ำผึ้ง. ก็ปุญญาภิสังขารอันมีผลบุญนั้นเป็น
ประโยชน์ ท่านกล่าวว่า เหมือนกับการตกลงไปสู่เปลวประทีปนั้น และการเลียคมศัสตรา
อันฉาบด้วยน้ำผึ้งนั้น.

ชื่อว่า ก่ออปุญญาภิสังขาร ซึ่งเป็นที่น่าเกลียดและเป็นทุกข์ ทั้งในขณะที่กระทำ
โนปัจจุบัน และในขณะที่ให้ผลในอนาคต เหมือนตัวเด็กอ่อนขอบเล่นคูถ เพราะการบริโภค
กามบางส่วน โดยกำหนดไม่ได้ซึ่งความเป็นของไม่งาม โดยสำคัญว่าเป็นสุข โดยนัยมีอาทิ
ว่า การสัมผัสที่แขนมีขนอันอ่อนละมุลของนางบริพาชิกานี้เป็นสุข และเหมือนดังคนที่ถูก
ความโกรธและความไม่ยินดีครอบงำ หมดอำนาจ อยากตาย ดื่มยาพิษ เพราะความเป็นผู้
ถูกกิเลสครอบง่าแล้ว.

อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบความที่จิตตุปบาทอันสหรคตด้วยโลภะ เป็นเหมือนดัง
การเล่นคูถ พึงประกอบความที่จิตตุปบาทอันสหรคตด้วยโทสะ เป็นเหมือนดังการดื่มยา
พิษ ความที่อรูปาวจรวิบากทั้งหลายซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงอันถือเอาไม่ได้ เพราะความ
เป็นวิบากที่เป็นนิรันตร์กาล เพราะความที่มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปอันเข้าไปกำหนด
ไม่ได้ เป็นสิ่งที่มีความสืบต่อยาวนานแม้เป็นทุกข์อยู่ เพราะความแปรปรวนแห่งสังขาร
จัดเป็นเหตุแห่งวิปลาส คือความเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงเป็นต้น เปรียบเหมือนดังนคร
บิศาจ แม้ประกอบไปด้วยภัย ก็เป็นเหตุแห่งความวิปลาสว่าเป็นสุข เพราะเพียบพร้อมไป
ด้วยกามคุณ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงประกอบความที่อรูปาวจรวิบากเหล่านั้นเป็นเหมือน
ดังนครปิศาจ และพึงประกอบความที่อเนญชาภิสังขาร เป็นเหมือนดังการมุ่งหน้าไปนคร
ปีศาจ พราะมีอวิชชานั่นเอง สังขารจึงมี หาใช่เพราะไม่มีไม่ เพราะเหตุนั้น ท่าน
อาจารย์จึงนำเอาบทพระสูตรมา ด้วยคำว่า ข้อนี้ ผมจริงตัวหัวค่ำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้
เป็นต้น เพื่อจะยังเนื้อความที่ท่านได้กล่าวไว้ โดยคล้อยตามกันและไดยพิเศษอย่างย่นย่อ
ในข้อที่สังขารมือวิชชาเป็นปัจจัย ให้สำเร็จโดยพระสูตร.

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ผู้ไม่ฉลาด คือ ผู้ไม่รู้จริง คำว่า ตกอยู่ในอวิชชา คือ
ระกอบด้วยอวิชชา อธิบายว่า ยังละอวิชชาไม่ได้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2025, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
อธิบาย เหตุผลเมื่อมีอวิขขาจึงมีสังขาร
[๕๙๓] ในข้อที่มือวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารนั้น พึงมีผู้สงสัยถามขึ้นมาว่า ก็ข้อนี้
จะพึงรู้ได้อย่างไรว่า "สังขารเหล่านี้มี เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ?

ข้อนี้ตอบได้อย่างไรว่า รู้ได้ เพราะเมื่ออวิชชามี มันจึงมี จริงอยู่ ความไม่รู้ในทุกข์เป็นต้น
ทีเรียกว่า อวิชชา เป็นเรื่องที่บุคคลใดยังละไม่ได้ เบื้องต้น บุคคลนั้นถือเอาสังสารทุกข์
ด้วยความไม่รู้ในทุกข์ และในฐานะทั้งหลายมีเงื่อนต้นเป็นต้น ถือเอาโดยสำคัญว่าเป็นสุข
ย่อมก่อสังขารทั้ง ๓ อย่าง อันเป็นเหตุแห่งสารทุกข์นั้นเอง ด้วยความไม่รู้สมุทยนั้นเอง
สำคัญเห็นปรารภสังขารทั้งหลาย ถูกตัณหาจัดแจง แม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ ว่าเป็นเหตุแห่งสุข
ไป อนึ่ง ด้วยความในรู้ในนิโรธและมรรค จึงเป็นผู้มีความสำคัญในคติวิเศษแม้มีเป็นที่
ดับทุกข์ว่าเป็นที่ดับทุกข์ไป และเป็นผู้มีความสำคัญในยัญและอมรตบะเป็นต้น แม้มิใช่
เป็นทางแห่งนิโรธว่าเป็นทางแห่งนิโรธ ก็ก่อสังขารทั้ง ๓ อย่าง ด้วยมุ่งยัญและอมรตบะ เป็นต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร