วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 05:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2024, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




buddhist-monk-meditation-mountaintop-beautiful-sunset-sunrise_778980-2851.jpg
buddhist-monk-meditation-mountaintop-beautiful-sunset-sunrise_778980-2851.jpg [ 47.79 KiB | เปิดดู 1406 ครั้ง ]
แสดงเหตุผลในการเข้านิโรธสมาบัติ
ได้เฉพาะพระอรหันต์และพระอนาคามี

[๘๗๐] อนึ่ง ในพระบาลีนี้ นิทเทสข้อว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖ นี้ เป็นนิทเทสอย่าง
สูงสุด วสีภาวตาปัญญญา ความรู้ทันความเป็นผู้ชำนาญย่อมมีด้วยญาณจริยา ๑๔ แก่พระ
อนาคามีได้.
ท้วงว่า ถ้าอย่างนั้น วสีภาวตาปัญญา ความรู้ทั่วตัวด้วยญาณจริยา ๑๒ ก็จะมิมีหรือ
แก่พระสทกาคามี และวสีภาวตาปัญญา ความรู้ทั่วด้วยญาณจริยา ๑๐ ก็จะมีมีแก่พระ
โสดาบัน.
แก้ว่า ไม่มี (แก่พระเสขะชั้นต่ำ ๒ พวกนั้น)
เพรา่ะท่านยังละไม่ได้ซึ่งราคะอันเป็นในปัญจกามคุณ ซึ่งเป็นอันตรายต่อมสมาธิ
ก็เพราะราคะนั้นท่านยังละไม่ได้ เพราะเหตุนั้น สมถพละจึงเป็นอันไม่บริบูรณ์ เมื่อสมถะ
พละนั้นไม่บริบูรณ์ ท่านเหล่านั้นจึงไม่อาจเข้านิโรธสมาบัติที่จะพึงเข้าด้วยพละทั้ง ๒ เพราะ
มีกำลังบกพร่อง แต่พระอนาคามีละราคะนั้นได้แล้ว เพราะหตุนั้น พระอนาคามีนี้จึงเป็น
ผู้มีพละบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้มีพละบริบูรณ์จึงสามารถ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึง
ตรัสไว้ว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลเป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัยแก่ผลสมาบัติ" ดังนี้
ก็พระบาลีนี้พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในคัมภีร์มหาปัฏฐานปกรณ์ ทรงหมายถึงการออกจาก
นิโรธของพระอนาคามีเท่านั้นแล.

แสดงเหตุผลในการเข้านิโรธสมาบัติ
ได้เฉพาะพระอรหันต์และพระอนาคามี

(๘๗๐] คำว่า เป็นนิทเทสอย่างสูงสุด คือ เป็นนิทเทสที่ไม่มีส่วนเหลือ. เชื่อว่า
ย่อมมีด้วยญาณจริยา ๑๔ เพราะพระอนาคานียังมิได้บรรรลึมรรคผลอันลิศ. คำว่า ถ้า
อย่างนั้น อธิบายว่า ถ้าท่านกล่าวว่า ด้วญาณจริยา ๑๖ ดังนี้ ด้วยอำนาจเป็นนิทเทสอย่าง
สูงสุด. ก็จำปรารถนาแม้เกี่ยวกับนิทเทสอย่างต่ำกว่านั้น เมื่ออย่างนั้นการนั้นการเข้านิโรธก็จะ
มีมีหรือ. กานคุณ ๕ อันเป็นวัตถุมีอยู่แก่ราคะนี้ เหตุนั้น กามราคะนี้ชื่อว่า ปญฺกาม-
คุณิโก (มีเบญจกามคุณ) เพราะท่านยังละไม่ได้ คือ เพราะท่านยังตัดไม่ได้เด็ดขาด. เพราะ
เพียงแต่การละด้วยการข่มกามราคะ ย่อมไม่สามารถเพื่อจะเป็นการยั้งนิโรธได้ คำว่า
เพราะหตุนั้น คือ เพราะละกามราคะอันป็นข้าศึกต่อสมาธิได้ดีแล้ว. ด้วยคำนี้ท่านอาจารย์
ย่อมแสดงว่า ญาณจริยาในมรรคและผล ย่อมไม่ประกอบโดยรูปของตนในการเข้านิโรธ
เพราะยังไม่เป็นไปในเวลานั้น เหมือนกับสมาธิจริยาในโลกิยญาณโดยแท้ ถึงอย่างนั้น
นั้น การยั้งนิโรธสมาบัติก็ย่อมมีได้ เพราะพละและจริยาเป็นปัจจัยพิเศษ ด้วยการตัดธรรม
อันเป็นข้าศึกนั้นได้เด็ดขาด.

บทว่า เอส โยค อนาคามี. ก็คำว่า ของผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ เป็นต้นนี้ ตรัส
หมายถึงการออกจากนิโรธของพระอนาคามีอย่างเดียว เพราะพระบาลีว่า เนวสัญญานา-
สัญญายตนกุศล เมื่อถือเอาความอย่างอื่นก็ควรตรัสว่า เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร