วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 20:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2024, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1731373467998.jpg
FB_IMG_1731373467998.jpg [ 91.35 KiB | เปิดดู 1549 ครั้ง ]
องค์ที่ ๒ สังขาร

สังขาร เป็นปัจจัยแก่ วิญญาณ คือ วิญญาณ จะปรากฏเกิดขึ้นได้ก็
สังขารเป็นปัจจัย ลักขณาทิจตุกะของสังขารมีดังนี้
อภิสงฺขรณลกฺขณา > มีการปรุงแต่ง เป็นลักษณะ
อายูหนรสา > มีการพยายามให้ปฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้น หรือพยายามให้ผล
คือ รูปขันธ์นามขันธ์เกิดขึ้น เป็นกิจ
เจตนา ปจฺจุปฏฺฐานา > จงใจทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นผล
อวิชฺชา ปทฎฺฐานา > มี อวิชชา เป็นเหตุใกลั
สังขารที่กล่าวแล้วในบทอวิชชานั้น เป็นสังขารที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของอวิชชา
ซึ่งได้แก่ เจตนา ๒๙ หรือ กรรม ๒๙

ส่วนสังขารที่กล่าวถึงในบทนี้ เป็นสังขารที่เป็นปัจจัยธธรรม อุปการะช่วยเหลือให้
เกิดวิญญาณนั้น ก็ได้แก่เจตนา ๒๙ หรือ กรรม ๒๙ เหมือนกัน
วิญญาณ ที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขารนี้ มีแสดงเป็น ๒ นัย คือ อภิธัมม-
ภาชนิยนัย ตามนัยแห่งพระอภิธรรม ๑ และ ชุดสุตตันตภาชนิยนัย ตามนัยแห่งพระสูตร ๑
ตามนัยแห่งพระอภิธรรมนั้น วิญญาณที่เป็นปัจยุบบันนธรรมของสังขาร ได้แก่
จิตทั้งหมด (และเจตสิกที่ประกอบกับจิตนั้น ๆ ด้วย) เพราะจิตจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยมี
สังขารเป็นปัจจัย คือต้องมีสิ่งปรุงแต่ง

ตามนัยแห่งพระสูตรนั้น วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันธรรมของสังขารก็ได้แก่ โลกีย
วิปากวิญญาณ ๓๒ คือ อกุสลวิบากจิต ๗ อเหตุกกุลวิบากจิต ๘, มหาวิบากจิต ๘.
และ มหัคควิบากจิต ๙ เท่านั้น
โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ อันเป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขารนี้ ยังจำแนกได้เป็น
๒ จำพวก คือ
วิญญาณที่เกิดในปฏิสนธิกาล มีชื่อว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ได้แก่ปฏิสนธิจิต ๑๙
ดวงนั้นพวกหนึ่ง ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ ดวงนี้ก็อยู่ในจำนวนโลกียวิบากวิญญาณ ๓๓ นั้นเอง
วิญญาณที่เกิดในปวัตติกาล มีชื่อว่า ปวัตติวิญญาณ ได้แก่โลกียวิบากจิต ๓๒ อีกพวกหนึ่ง
ซึ่งไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ แต่ทำภวังคกิจ และกิจอื่จอื่น ๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2024, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


อบุญญาภิสังขาร

๑. อปุญญาภิสังขาร เฉพาะเจตนาในอกุศลจิต ๑๑ ดวง (เว้นอุทธัจจเจตนา) เป็น
ปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อุเบกขา
สันตีรณอกุศลวิบาก ๑ ดวง ให้ปฏิสนธิในอบายภูมิทั้ง ๔ เป็นพวกทุคติอเหตุกบุคคล ซึ่ง
มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ทุคติบุคคล
๒. อบุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในอกุสลจิตทั้ง ๑๒ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิด
ปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ อกุสลวิบากจิต ๗ ดวง ให้ได้เห็น
(จักขุวิญญาณ)ให้ได้ฟัง(โสตวิญญาณ)ให้ได้กลิ่น (ฆานวิญญญาณ)ได้รับรส(ชิวหา
วิญญาณ), ให้ได้การสัมผัสถูกต้อง (กายวิญญาณ), ให้มีการรับอารมณ์ (สัมปฏิจฉันนะ),
ให้มีการไต่สวนอารมณ์ (สันตีรณะ) และการรับอารมณ์ต่อจากชวนะ (ตทาลัมพนะ) ล้วน
แต่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ตลอดจนการรักษาภพรักษาชาตินั้น (ภวังคจิต) ด้วย
บุญญาภิสังขาร

๑. บุญญาภิสังชาร ได้มาเจตนาในมหากุสลชนิดที่เป็นทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ และ
ทวิเหตุกโอมโกมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิ
กาล คือ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และเทวดาชั้นต่ำ มี
ความพิกลพิการ บ้า ใบ้ หนวก บอด เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นพวก สุคติอเหตุกบุคคล
๒. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุศลที่เป็นตืเหตุกโอมกุกกัฏฐะ ติเหตุก-
โอมโกมกะ, ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ และ ทวิเหตุกอุกกัฏโฐมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิด
ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิกาลคือ มหาวิบากญาณวิปปยุตต ๔ ดวง
ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์และเทวดาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าเป็นพวก
ทวิเหตุกบุคคล
๓. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุสลชนิดที่เป็นที่เหตุกกัฏอุกกัฏฐะ และ
ติเหตุกอุกกัฏโฐมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมใน
ปฏิสนธิกาล คือ มหาวิบากญาณเส้นปยุตต ๔ ควง ให้ปฏิสนธินมนุษย์และเทวดาที่
ประกอบด้วยปัญญามาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าเป็นพวก ติเหตุกบุคคล
๔. บุญญาภิสังขาร ทั้ง ๓ ข้อนี้ที่แก่เจตนาในมหากุศลทั้ง ๔ เป็นปัจจัยธรรม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2024, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจยุบบันนธรรรมในปวัตติกาล คือ
ก. อเหตุกกุสลวิบาก ๘ ดวง ให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัฏถูกต้อง
การรับอารมณ์ การไต่ส่วนเอารมณ์ และการรับอารมณ์ค่อจากซวนะ เหล่านี้ล้วนแต่ที่ดีทั้งนั้น
ข. มหาวิบาก ๘ ดวง ทำหน้าที่รักษาภพรักษาชาตินั้น ๆ (ภวังคจิต) ด้วย
เจตนาในมหากุลมจิต ๘ ดวง ที่จำแนกเป็น ติเหตุกอุกกัฎฐุกกัฏฐะ ติเหตุกอุกกัฐ-
โฐมกะ ติเหตุกโอมกุกกัฏฐะ ติเหตุกโอมโกมกะ ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ ทวิเหตุกอุกกัฏโฐมกะ
ทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ และทวิเหตุกโอมโกมกะ รวม ๘ ดังนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในปริเฉทที่ ๕
หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะตอนที่ตั้งแห่งวิบากจิต(ปากฐาน) นั้นแล้ว จึงไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก
๕.บุญญาภิสังขาร ได้มาเจตนาในรูปาวจรกุสลจิต ๕ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้
เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบันธรรมในปฏิสนธิกาล คือ รูปร่างหน้าตา ๕ ดวง
ให้ปฏิสนธิเป็นรูปพรหมในรูปภูมิ ซึ่งรียกว่าเป็นพวกที่เหตุกบุคคล เหมือนกัน

๖. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในรูปาวจรกุศลดวง ๕ ดวง เป็นปัจจัยรรวม ให้
เกิดในปวัตติกาล(จักขุวิญญาณ)ให้ได้ยิน(โสตวิญญาณ) มีการรับอารมณ์(สัมปฎิจฉันนะ)
และการไต่สวนอารมณ์ (สันตีรณะ) ล้วนแต่ที่ดีทั้งนั้น พร้อมทั้งการรักษาภพรักษาชาติ
นั้น ๆ (ภวังคจิต) ด้วย

อเนญชาภิสังขาร

๑. อาเนญชาภิสังขาร ให้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุสลใด ๔ ดวง เป็นปัจจัยธรรม
ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ เป็นปัจจุบันธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อรูปาวจรวิบากจิต ๔
ให้ปฏิสนธิเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิ ซึ่งเรียกว่าเป็นจำพวก ติเหตุกบุคคล
๒. อาเนญชาภิสังธาร ได้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุสลจิต ๔ ดวง เป็นปัจจัยธรรม
ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ทำ
หน้าที่ภวังคกิจ รักษาภพรักษาชาตินั้น ๆ
ในบทสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณนี้ มีข้อที่ควรสังเกอยู่ว่า
สังขาร ๓ ที่เป็นหตุให้เกิดวิญญาณ จำแนกได้เป็น ๒ ประเภท คือ สังขาร ๓
ที่เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณนั้น ได้แก่เจตนา ๒๘ โดยต้องเว้นอุทธัจจเจตนาเสีย
๑.เพราะ อุทธัจจเจตนาไม่สามารถส่งผลให้เป็นปฏิสนธิได้ ส่วนสังขาร ๓ ที่เป็นปัจจัยให้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2024, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดปวัตติวิญญาณนั้น ได้แก่เจตนาทั้ง ๒๙ ดวง
เหตุที่อุทธัจจเจตนาไม่สามารถให้เป็นปฏิสนธิได้นั้น ได้กล่าวไว้ไนปริเฉจที่ ๕
หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ตอนที่ตั้งแห่งวิบากจิต (ปากฐาน) นั้นแล้ว จึงไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก
วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขาร ก็จำแนกได้ป็น ๒ จำพวกคือ ปฏิสนธิ
วิญญาณได้แก่ปฏิสนธิจิต ๑๙ และปวัตติวิญญาณ ได้แก่โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒
โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ นั้น เกิดได้ในปวัตติกาลอย่างเดียวมี ๑๓ ดวง คือ ทวิ
ปัญจวิญญาณ ๑๐, สัมปฏิจฉันนจิต ๒ และโสมนัสสันดีรณจิต ๑ ส่วนปฏิสนธิวิญญา ๑๙
นั้น นอกจากทำปฏิสนธิกิจในปฏิสนธิกาลโดยตรงแล้วในปวัตติกาลก็ยังเกิดจิต ๑๙ ดวงนี้ได้
แต่ว่าเกิดขึ้นมาทำกิจอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิกิจ

ปัจจัย ๒๔ ที่เกี่ยวแก่สังขาร

ในบทสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้วก็เป็นไปได้
ด้วยอำนาจแห่งปัจจัยเพียง ๒ ปัจจัย คือ
๑. ปกตูปนิสสยปัจจัย และ ๒. นานักขณิกกัมมปัจจัย
ความหมายแห่ง ปกตูปนิสสยปัจจัย นั้นได้กล่าวแล้วในบทก่อน ในบทนี้ก็มีนัยเป็น
ทำนองเดียวกันนั้นเอง จึงไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก
ส่วน นานักขณิกกัมมปัจจัย หมายถึงกรรม หรือ สังขาร คือเจตนาที่เกิดต่างขณะกัน
(คือเจตนาที่ดับไปแล้วนั้น) เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามและรูปที่เกิดจากกรรมนั้น ๆ ดังนั้น
ในที่นี้จึงได้แก่ สังขาร (เจตนา) เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย วิญญาณ (วิบากวิญญาณ ๓๒)
เป็นนานักขณิกกัมมปัจจยุบบัน

แสดงปฏิสนธิวิญญาณโดยนัยต่าง ๆ

ปฏิสนธิวิญญาณ คือปฏิสนธิจิต ซึ่งมีจำนวน ๑๙ ดวงนี้ มีการแสดงโดยนัยต่างๆ
ดังต่อไปนี้
กล่าวโดย นัยแห่ง มิสสกะ และ สุทธะ แล้วก็มี ๒ คือ
๑. รูปมิสสกวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณที่มีรูปเกิดพร้อมด้วยนั้น มี ๑๕ ดวง ได้แก่
อุเบกขาสันตีรณะ ๒, มหาวิบาก ๘ และรูปาวจรวิบาก ๕

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2024, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


๒. รูปอามิสสกวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณที่ไม่มีรูปเกิดพร้อมด้วยนั้นมี ๔ ดวง ได้แก่
อรูปาวจรวิบาก ๔ เพราะไม่มีรูปเกิดมาปะปนด้วย จึงใต้ชื่อว่า สุทธะ
กล่าวโดย นัยแห่งภูมิ ก็มี ๓ คือ
๑. กามวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในกามภูมิ มีจำนวน ๑๐ ดวง ได้แก่
อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และมหาวิบาก ๘
๒. รูปวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในรูปภูมิ มีจำนวน ๕ ดวง ได้แก่
รูปาวจรวิบาก ๕
๓. อรูปวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอรูปภูมิ มีจำนวน ๔ ควง ได้แก่
อรูปาวจรวิบาก ๔
กล่าวโดย นัยแห่งกำเนิด ก็มี ๔ คือ
๑. อัณฑชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณไม่ไข่ มีจำนวน ๑๐ ดวงได้แก่ อุเบกขา
สันตีรณะ ๒ และมหาวิบาก ๘
๒. ชลาพุชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา มีจำนวน ๑๐ ดวง ได้แก่
อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และ มหาวิบาก ๘
๓. สังเสทชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในที่เปียกขึ้น มีจำนวน ๑๐ ดวง ได้แก่
อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และ มหาวิบาก ๘
๔. โอปปาติกวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณที่ไม่ได้อาศัยที่เกิดเหมือน ๓ อย่าง
ข้างต้นนั้น แต่เกิดโดยอาการที่ผุดหรือโผล่ขึ้นมาเต็มที่เลยทีเดียวมีจำนวน ๑๙ ดวง คือ
ปฏิสนธิวิญญาณทั้ง ๑๙ อันได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒, มหาวิบาก ๘ และ มหัคคตวิบาก
๔ นั่นเอง
กล่าวโดย นัยแห่งคติ ก็มี ๕ คือ
๑. เทวคติวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในเทวภูมิ ๖, ในรูปรูมิ ๑๕ และ
อรูปภูมิ ๔ นั้น มีจำนวน ๑๘ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑, มหาวิบาก ๘
และมหัคคตวิบาก ๙

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2024, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


๒. มนุสสคติวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในมนุสสภูมิ มีจำนวน ๙ ดวงได้แก่
อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และ มหาวิบาก ๘
๓. ติรัจฉานคติวิญญาณ
๔.เปตคติวิญญาณ
๕. นิรยคติวิญญาณ

ทั้ง ๓ นี้มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง ได้แก่
อุเบกขาสันตีรณอกุสลวิบากดวงเดียวเท่านั้น
กล่าวโดย นัย แห่งวิญญาณฐีติ คือ ภูมิอันปืนที่ตั้งแห่งวิญญาณนั้นนั้นก็มี ๗ ได้แก่
๑. นานัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่างกันและ
ปฏิสนธิจิตก็ต่างกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ ๗ นั้น มีปฏิสนธิวิญญาณ ๙ ดวง คือ
อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และมหาวิบาก ๘
คำว่า นานัตตะ นี้บางทีก็ใช้อย่าง ทีฆะ ว่า นานาตตะ
๒. นานัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่างกัน
แต่มีปฏิสนธิวิญญาณอย่างเดียวกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ และในปฐมฌานภูมิ ๓
รวม ๗ ภูมิด้วยกัน
ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อุเบกขาสันดีรณอกุลล
วิบากㆍ
ปฏิสนธิในปฐมฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรปฐมฌาน
วิบาก ๑
๓. เอกัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือนกัน
แต่มีปฏิสนธิวิญญาณต่างกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในทุติยาฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง
คือ รูปาวจรทุติยฌานวิบาก ๑ และ รูปาวจรตติยฌานวิบาก ๑
๔. เอกัตตกายเอกัตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือนกัน
และมีปฏิสนธิวิญญาณก็อย่างเดียวกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ㆍ
และสุทธาวาสภูมิ ๕ รวม ๙ ภูมิ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง คือ
ปฏิสนธิใน ตติยฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรจตุตถฌาน
วิบาก ๑
ปฏิสนธิในเวหัปผลาภูมิ ๑ และ สุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง
คือ รูปาวจรปัญจมฌานวิบาก ๑

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2024, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


๕.อากาสานัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธในอากาวานัญจายตนภูมิมีปฏิธปฏิสนธิวิญญาณ
๑ ดวง คือ อากาสานัญจายตนวิบาก ๑
๖.วิญญาณัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในวิญญาญณัญจายตนภูมิมีปฏิสนธิวิญญาณ
๑ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนวิบาก ๑
๗.อากิญจัญญายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในอากิญจัญญายตนภูมิมีปฏิสนธิวิญญาณ
๑ ดวง คือ อากิญจัญญายตนวิบาก ㆍ
ตามนัยแห่งวิญญาณฐีตินี้ ไม่ได้กล่าวถึง อสัญญสัตตภูมิ และ เนวสัญญนา
ญายตนภูมิเลย เพราะว่า อสัญญสัตตภูมิเป็นภูมิของสัตว์ที่ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ ส่วน
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ แม้จะเป็นภููมิของสัตว์ที่มีปฏิสนธิวิญญาณก็จริง แต่ว่า วิญญาณ
นั้นไม่ปรากฏชัด จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะไม่มีก็ไม่เชิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จัดเข้า วิญญาณฐีติ ๗.

กล่าวโดยนัยแห่ง สัตตาวาสภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อาศัยอยู่ของทั้งหลาย ซึ่ง
จําแนกไว้ป็น ๙ ภูมิด้วยกัน ในจำนวน ๙ ภูมินี้มีอยู่ภูมิ ๑ ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของสัญญสัตต
ผู้ไม่มีวิญญาณ จึงไม่ต้องกล่าวในที่นี้ด้วย คงจะกล่าวแต่เพียง ๘ ภูมิซึ่งเป็นภูมิที่อาศัยอยู่
ของสัตว์ที่มีวิญญาณ ดังต่อไปนี้
๑. นานัตตกายภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน มี ๑๔ ภูมิ
คือ กามภูมิ ๑๑ และ ปฐมฌานภูมิ ๓
๒. เอกัตตกายภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือน ๆ กันมั้ย ๑๒ ภูมิ
คือ ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และ สุทธาวาสภูมิ ๕
๓. นานัตตสัญญีภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิสนธิจิตต่างกัน มี ๑๐
ภูมิ คือ กามสุคติภูมิ ๗ และ ทุติยฌานภูมิ ๓
๔.เอกัตตสัญญีภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิปฏิสนธิจิตอย่างเดียวกัน
มี ๖ ภูมิ คือ อบายภูมิ ๔, ปฐมฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และ
สุทธาวาสภูมิ ๕
๕.อากาสานัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากาสานัญจายตายภูมิ ๑ ภูมิ
๖. วิญญานัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิตนธืวิญญาณในวิญญาณัญจายตนภูมิ ๑ ภูมิ
๗.อกิญญายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากิญจัญญายตนภูมิ ๑ ภูมิ
๘. เนวสัญญานาสัญญาณตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในเนวสัญญานาสัญญตนภูมิ ๑ ภูมิ
กล่าวโดย นัยแห่งภพ ก็มี ๙ ภพ ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร