วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 20:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2024, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




1733437948978.jpg
1733437948978.jpg [ 150.9 KiB | เปิดดู 1357 ครั้ง ]
องค์ที่ ๔ นามรูป

นาม รูป เป็นปัจจัยแก่ สพายตนะ คือ อายตนะภายใน ๖ จะปรากฏขึ้นได้ก็
เพราะมีนาม รูป เป็นปัจจัย
นามในบทนี้ก็คือ เจตสิก มีลักขณาทิจตุกะดังนี้
นมนลกฺขณํ > มีการน้อมไปสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
สมฺปโยครสํ > มีการประกอบกับวิญญาณ และประกอบกันเอง
โดยอาการที่เกิดพร้อมกัน เป็นต้น เป็นกิจ
อวินิพฺโภคปจฺจุปฎฺฐานํ. > มีการไม่แยกกันกับจิต เป็นผล
วิญฺญาณปทฎฺธานํ. > มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้

รูปในที่นี่ คือ กัมมชรูป (โดยตรง) จิตตชรูป (โดยอ้อม) ลักขณาทิจตุกะของ
รูปดังนี้

รุปฺปนลกฺขณํ มีการสลาย แตกดับ เป็นลักษณะ
วิกิรณรสํ มีการแยกออกจากกัน (กับจิต) ได้ เป็นกิจ
อพฺยากตาปจฺจุปฏฺฐานํ มีความเป็นอพฺยากตธรรม (ในที่นี้หมายถึงความไม่
รู้อารมณ์) เป็นผล
วิญฺญาณปทฎฺธานํ มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้

นาม คือ เจตสิก ที่เป็นปัจจัยแก่อายตนะนั้น ได้แก่ เจตสึก ๓๕ ที่ประกอบกับ
โลกียวิปากจิต ๓๒ เท่านั้น
รูป ที่เป็นปัจจัยแก่อายตนะนั้น ก็ได้แก่ กัมมชรูป เท่านั้น

อายตนะที่เป็นปัจยุบบันนธรรมของนานรูปนั้น ได้แก่ สฬายตนะ คือ อายตนะ
ภายใน ๖ ที่มีชื่อว่า อัชณัตติกายตนะ มี จักขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหาย
กายายตนะ และ มนายตนะ

อายตนะ มีความหมายว่า เป็นเครื่องต่อเป็นบ่อเกิดแห่งจิตและเจตสิก เป็นเป็นเครื่องต่อ
เป็นบ่อเกิดแห่งวิถีจิต

นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะดังนี้

๑. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป คือ จักขุปสาท จึงปรากฏ จักขวายตนะ
โสตปสาท จึงปรากฏ โสตายตนะ
ฆานปสาท จึงปรากฏ ฆานายตนะ
ชิวหาปสาท จึงปรากฏ ชิวหยตนะ
กายปสาทจึ งปรากฏ กายายตนะ
เจตสิก ๓๕ (ที่ประกอบกับโลกียวิปากวิญญาณ ๓๒)
จึงปรากฏมนายตนะ
โดยเฉพาะ มนายตนะนี้ มีวาทะเป็น ๓ นัย คือ
ก. อรรถกถาจารย์ และ ฎีกาจารย์บางท่าน กล่าวว่า มนายตนะนี้ได้แก่ โลกียะ
ปากจิต ๓๒
ข. ภาสาฎีกาจารย์บางท่านกล่าวว่า มนายตนะนี้ได้แก่ ภวังคจิต ๑๙ เท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2024, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


โดยอ้างว่า ภวังคจิต เป็นตัวมโนทวาร ช่วยอุปการะให้ ผัสสะ และเวทนาเกิดขึ้น ซึ่งตรง
กับพุทธภาษิตที่ว่า มนญฺจ ปฏิจฺจ ธมฺเม จ อุปฺปชฺชติ มโนวิญฺญาณํ ติณฺณํ สงฺคติ ผสฺโส
ผร
ผสฺสปจฺจยา เวทมา ฯลฯ ซึ่งแปลความว่า มโนวิญญาณ ย่อมปรากฏขึ้นได้เพรา
โนพวาร กับ ธัมมถรมณ์ เมื่อรรมทั้ง ๓ ๓ นี้ ประชุมกันกันเร็วเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ
เป็นปัจจัยแก่เวทนา ฯลฯ ซึ่งแปลความว่า มโมวิญญาณ ย่อมเยา
มโนทวาร กับ ธัมมารมณ์ เมื่อธรรมทั้ง ๓ นี้ เมื่อประชุมพร้อมกันเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ
เป็นปัจจัยแก่เวทนา ฯลฯ

อนึ่ง มีข้อสังเกตอยู่ว่า ในบทก่อนกล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป คือ
โลกียวิปากวิญญาณทำให้เกิดเจตสิก และ กัมมชรูป
ในบทนี้กล่าวว่า นามรูปเป็นปัจจัยแก่ สฬายตนะ คือ นามอันได้แก่เจตสิกทำให้
เกิดมนายตนะ อันได้แกโลกียวิปากวิญญาณ ๓๒, และกัมมชรูป ทำให้เกิดปัญจายตนะ
(อายตนะ ๕) นี่ก็คือ ปสาทรูป ๕ นั่นเอง
รวมกล่าวอย่างสั้น ๆ ก็ได้ความว่า บทก่อนกล่าวว่า จิตทำให้เกิดเจตสิก แต่บทนี้
กลับกล่าวว่า เจตสิกทำให้เกิดจิต จึงทำให้เป็นที่น่าสงสัยอยู่
ข้อนี้มีอธิบายว่า การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเช่นนี้ ก็ด้วยอำนาจแห่ง สหชาตปัจจัย
คือ ความเกิดพร้อมกัน เกิดร่วมกันของธรรมเหล่านั้นประการหนึ่ง และด้วยอาศัยอำนาจแห่ง
อัญญมัญญูปัจจัย คือ ความอาศัยซึ่งกันและกันของธรรมเหล่านั้นอีกประการหนึ่ง

กล่าวคือ นาม คือเจตสิก กับ มนายตนะ คือ โลกียวิปากวิญญาณนั้นเกิดพร้อมกัน
เกิดร่วมกัน ดังนั้นจะว่า เจตสิกเกิดพร้อมกับจิตเกิดร่วมกับจิตหรือจะว่า จิตเกิดพร้อมกับ
เจตสิกเกิดร่วมกับเจตสิก ก็ได้ทั้ง ๒ อยาง นี่กล่าวโดยอำนาจแห่ง สหชาตปัจจัย
กล่าวโดยอำนาจแห่งอัญญมัญญปัจจัย จิตกับกับเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน เกิดร่วมนั้น
ต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน อุปการะหรืออุดหนุนซึ่งกันและกัน ดังนั้นจะว่า เจตสิกอุดหนุน
อุปการะจิต หรือว่า จิตอุปการะอุดหนุนเจตสิก ก็ได้ทั้ง ๒ อย่างอีกเหมือนกัน

ส่วนรูปนั้น ปสาทรูป ๕ และปัญจายตนะ คือ อายตนะทั้ง ๔ ก็เป็นรูปอันดียว
กันนั่นเอง แต่เมื่อกล่าวโดยสมุฏฐาน ก็เรียกว่า กัมมชรูป และเมื่อกล่าวโดยความเป็นเครื่อง
ต่ออันเป็นบ่อเกิดแห่งวิถีจิต ก็เรียกว่า อายตนะ เมื่อมีปสาทรูปจึงจะเป็นเครื่องต่อก่อให้เกิดจิต
เจตสิก และ วิถีจิตได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2024, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจัย ๒๔ เกี่ยวกับนามรูป

ในบท นามรูป เป็นปัจจัยแก่ สพายตนะนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้วก็มี
รายละเอียดที่จะกล่าวได้เป็นหลายรายการด้วยกัน จึงบอกกล่าวรวบยอดเป็นส่วนทั้งหมดว่า
นานรูปที่อุปการะช่วเหลือแก่ สฬายตนะนั้นด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๑๖ ปัจจัย คือ
๑.เหตุปัจจัย ๒. สหชาตปัจจัย ๓.อัญญมัญญปัจจัย
๔. นิสสยปัจจัย ๕.ปุเรชาตปัจจัย ๖.ปัจฉาชาตปัจจัย
๗. กัมมปัจจัย ๘.วิปากปัจจัย ๙. อาหารปัจจัย
๑๐. อินทริยปัจจัย ๑๑. ฌานปัจจัย ๑๒.มัคคปัจจัย
๑๓. สัมปยุตตปัจจัย ๑๔. วิปปยุตตปัจจัย ๑๕. อัตถิปัจจัย
๑๖. อวิคตปัจจัย

ไม่จำานวน ๑๖ ปัจจัยนี้ ปัจจัยใดที่ได้เคยแสดงความหมายแล้วไมบทก่อน ก็จะ
กล่าวซ้ำไมที่นี่อีก จะกล่าวถึงความหมายเฉพาะปัจจัยที่ไม่ซ้ำกับบทก่อน คือ

๑. ปุเรชาตปัจจัย กล่าวถึงรูปธรรมที่เกิดก่อน อุปการะช่วยเหลือให้เกิดนามธรรม
อันมีความหมายว่า วัตถุ ๖ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่วิญญาณธาตุ ๗ ในปวัตติกาล
(วัตถุปุเรชาตปัจจัย) นั้นอย่างหนึ่ง
อารมณ์ ๕ เป็นปัจจับช่วมอุปการะ แก่ ปัญจวิญญาณวิถี (อารัมมณปุเรชาตปัจจัย)
อีกหนึ่ง
ทั้ง ๒ อย่างนี้ด้วยอำนาจแห่ง ปุเรชาตปัจจัย
๒. ปัจฉาชาตปัจจัย กล่าวถึง นามธรรม คือ จิตเจตสิกที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัยช่วย
อุปการะแก่รูปธรรมที่เกิดก่อน
ตัวอย่างในบทนี้ช่น จักขุวิญญาณ และ เจตสิก ๗ ดวง อันเป็นนามที่เกิดภาย
หลังนี่เเหละ เป็นปัจจัยช่วยอุปการแก่ จักขุปสาทรูป (จักขวายตนะ) ที่เกิดก่อน ให้จังหว
ได้ด้วยดีตลอดไป
๓. กัมมปัจจัย กล่าวถึง เจตนาที่เกิดร่วมพร้อมกัน เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นาม
รูปที่เกิดพร้อมกับเจตนานั้น ซึ่งเรียกว่า สหชาตกัมปัจจัยอย่างหนึ่ง
เจตนาที่เกิดต่างขณะกัน (คือดับไปแล้วนั้น) เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามรูป ที่
เกิดขึ้นโดยอาศัยกรรม (คือเจตนาที่ดับไปแล้ว) นั้น ซึ่งรียกว่า นานักขณิกกัมปัจจัย อีก
อย่างหนึ่ง
ทั้ง ๒ อย่างนี้ด้วยอำนาจแห่งกัมมปัจจัย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2024, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


๔. ฌานปัจจัย กล่าวถึง องค์ฌาน ๕ (คือเจตสิก ๕ ดวง อันได้แก่ วิตก วิจาร ปิติ
สุข เอกัคตา) เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามและรูปที่เกิดพร้อมกับตน
ตัวย่างในบทนี้ก็หมายถึง องค์ฌาน ๕ ที่ในปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยช่วย อุปการะแก่
ปฏิสนธิจิต เจตสิก และ กัมมชรูป นี่กล่าวถึงในปฏิสนธิกาล ส่วนในปวัตติกาลก็หมายถึง
องค์ฌาน ๕ ที่ในวิบากจิต เป็นปัจจัยช่วยอุปการะ แก่ วิบากจิต เจตสิก และจิตตรูป
๕.มัคคปัจจัย กล่าวถึง องค์มัคค ๙ (คือเจตสิก ๙ ดวง อันได้แก่ ปัญญา วิตก
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ วิริยะ สติ เอกัคคตา และ ทิฏฐิ ) เป็นปัจจัย
ช่วยอุปการะแก่นามและรูปที่เกิดพร้อมกับตน
ตัวอย่างในบทนี้ก็หมายถึงองค์มัคคที่ในสเหตุกปฏิสนธิจิต ๑๙ ที่ในปฏิสนธิกาล
เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่ สเหตุกปฏิสนธิจิต ๑๗ เจตสิกที่ประกอบ และ กัมมชรูป
ส่วนในปวัตติกาล องค์มัคคที่ในสเหตุกวิบากจิต ๑๗ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่
สเหตุกวิบากจิต ๑๗ เจตสิกที่ประกอบ และจิตตรูป.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร