วันเวลาปัจจุบัน 15 ส.ค. 2025, 16:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




1733437948978.jpg
1733437948978.jpg [ 150.9 KiB | เปิดดู 1008 ครั้ง ]
๙. สัมมาทิฏฐิสูตร

(๑๑๐) ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้
ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับที่พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบัณฑิกะ กรุงสาวัตถี.
ครานั้นแล ท่านพระสารีบุตร เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า คุณ,
ภิกษุเหล่านั้นรับสนองคำของท่านพระสารีบุตรแล้ว.
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า คุณ ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ ดังนี้. ด้วยแหตุกี่ประการนะ คุณ พระอริยสาวกจึงจะเป็นผู้มี
ความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรม
ไม่คลอนแคลนได้มาสู่พระสัทธรรมนี้แล้ว.

ภิกษุทั้งหลายให้กราบเรียนว่า ใต้เท้าครับ กระผมทั้งหลายมาจาก
ที่ไกลมากเพื่อจะพึงอรรถาธิบายภาษิตนี้ ในสำนักของใต้เท้า ขอได้โปรด
กรุณาเถิดขอรับ ใต้เท้าเท่านั้นแหละ เข้าใจแจ่มแจ้งเนื้อความแห่งภาษิตนี้
ภิกษุทั้งหลายฟังอรรถาธิบายของใต้เท้าแล้ว จักพากันทรงจำไว้.
ท่านพระสารีบุตรกล่ำวเตือนว่า ถ้าเช่นนั้น ขอให้คุณทั้งหลาย
จงพากันตั้งใจฟัง ผมจักกล่าวให้ฟัง, ภิกษุเหล่านั้น ตอบรับคำเตือน
ของท่านพระสารีบุตรเถระว่า พร้อมแล้ว ใต้เท้า.

(๑๑๑) ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า คุณ ด้วยเหตุที่อริยะ
สาวกรู้ชัดอกุศลทั้งรากเหง้าของอกุศล และรู้จักชัดกับทั้งรากเหง้าของ
กุศลเพียงเท่านี้แหละคุณ อริยสาวกชื่อว่ามีความเห็นถูกต้อง มีความ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน บรรลุพระ
สัทธรรมนี้ ได้มาสู่พระสัทธรรมนี้แล้ว.

อกุศลและรากเหง้าอกุศล

อกุศลคืออะไรเล่า คุณ ? อกุศล คือ ปาณาติบาท (การฆ่าสัตว์) ๑
อทินนาทาน (การลักของเขา) ๑ กามสุนิจฉาจาร (การประพฤติ
ผิดในกาม) ๑ มุสาวาท (พูดเท็จ) ๑ปิสุณาวาจา (พูดส่อเสียด)
ผรุสวาจา (พูดคำทยาบ), ๑ สัมผัปปลาปา ( (พูดเพ้อเจ้อ) ) ,
อภิชฌา (ความเพ่งเล็ง) ๑ พยาบาท (ความปองร้ายเรา) ๑ มิจฉาทิฏฐิ
(ความเห็นผิดเป็นถูก) ๑ นี้ละคุณ อกุศล.
อกุศลมูลเป็นอย่างไรเล่า คุณ ? อกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ
นี่ละคุณ เรียกว่ารากเหง้า อกุศล.

กุศลและรากเหง้ากุศล

กุศลคืออะไรเล่า คุณ ? กุศล คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจาก
ปาณาติบาต ๑ จากอทินนาทาน ๑ จากกาเมสุมิจฉาจาร๑ จากมุสาวาท ๑
จากปิสุณาวาจา ๑ จากผรุสวาจา ๑ จากสัมผัมผัปลาป ๑ อนภิชฌา
(ความไม่เพ่งเล็ง) ๑ อัพยาบาท (ความไม่ปองร้ายเขา) ๑ สัมมาทิฏฐิ
(ความเห็นถูกต้อง) ๑ นี้ละคุณ เรียกว่า กุศล.
รากเหง้ากุศลเป็นอย่างไรเล่า คุณ ? รากเหร้ากุศล อโลภะ
อโทสะ อโมหะ นี้ละคุณ เรียกว่า รากเหง้ากุศล.
คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้อกุศลกับทั้งรากเหง้าของอกุศล และ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้กุศลกับทั้งรากเหง้าของกุศลอย่างนี้แล้ว เมื่อนั้นเธอจะละกิเลสที่นอน
เนื่องอยู่ในสันดาน คือ ราคะ (ราคานุสัย) บรรเทากิเลสที่นอนเนื่อง
ในสันด้าน คือ ปฏิฆะ (ปฏิฆานุสัย) ถอนกิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน
คือ ทิฏฐิและมานะว่า เรามีอยู่ได้ (มานานุสัย) ละอวิชชาได้ทุกอย่าง
ยังวิชชาให้เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันทีเดียว
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่า มีควานเห็นถูกต้อง มีความ
เห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใส่ในธรรมไม่คลอนแคลน ได้มาสู่พระ
สัทธรรมนี้แล้ว ดังนี้.
(๑๑๒) ภิกษุเหล่านั้น ได้พากันชมเชยอนุโมทนาภาษิตของท่าน
พระสารีบุตรว่า ดีแล้ว ใต้เท้า แล้วได้กราบเรียนถามปัญหาท่านพระ
สารีบุตร สูงขึ้นไปอีกว่า ใต้เท้าขอรับ ยังมีเหตุ (ปริยาย) อย่างอื่น
อีกบ้างไหม ที่จะให้อริยสาวกมีความเห็นถูกต้อง มีความแห็นตรง ประ-
กอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

อาหารวาระ

(๑๑๓) ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ยังมี คุณ แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า
คุณ เพราะเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดอาหาร เหตุเกิดของอาหาร ความดับของ
อาหาร และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับของอาหารเพียงเท่านี้แล คุณ อริย-
สาวกก็ชื่อว่า มีความเห็นถูกต้อง มีควานเห็นตรง ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า อาหารคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งอาหาร ความดับ
แห่งอาหาร และปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งอาหาร คืออะไร ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบว่า คุณ อาหารมี ๔ อย่างเหล่านี้ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายที่เกิด
แล้ว ดำรงชีพอยู่ได้ หรือเพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายที่กำลังแสวงแสวงหา ที่เกิด
อาหาร ๔ อย่าง คืออะไร ! คือ กวฬิงการาหาร (อาหารเป็น
คำๆ) หยาบหรือละเอียด ๑ ผัสสาหาร ( อาหารคือผัสสสะ) ๑ มโนสัญ-
เจตนาหาร (อาหารคือกรรม) ๑ วิญญาณาหาร ( อาหารคือวิญญาณ)๑
เพราะตัณหาเกิด อาหารจึงเกิด เพราะตันหาดับ อาหารจึงดับ อริยมรรค
มืองค์ ๘ นี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือ:-
(๑) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง (ชอบ)
(๒) สัมมาสังกัปปะ ความดำริถูกต้อง (ชอบ)
(๑) ส้มมาก้มมันตะ การงานถูกต้อง (ชอบ)
(๔) สัมมาวาจา การเจรจาถูกต้อง (ชอบ)
(๕) สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพถูกต้อง ( ชอบ)
(๖) สัมมาวายามะ ความพยายามถูกต้อง (ชอบ)
(๗) สัมมาสติ ความระลึกถูกต้อง (ชอบ)
(๘) สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นถูกต้อง (ชอบ)
คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดอาหาร, เหตุเกิดแห่งอาหาร, ความ
ดับแห่งอาหาร และรู้ชัดปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งอาหารอย่างนี้ เมื่อนั้น
เธอจะละราคานุสัยได้ บรรเทาปฏิฆานุสัยได้ ถอนทิฏฐิมานะว่า เรามิได้
ละอวิชชาได้ โดยประการทั้งปวง ยังยังอวิชชาให้เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้กระทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ได้ในปัจจุบันทีเดียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านั้แล คุณ อริยสาวก
ชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบท้ายกวามเลื่อมใส

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ในธรรมไม่คลอนแคลน ได้มาสู่พระสัทธรรมนี้แล้ว ดังนี้.
(๑๐๔) ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่านพระ
สารีบุตร ว่าดีแล้ว ใต้เท้า ดังนี้แล้ว ได้กราบเรือนถามปัญหากะท่าน
พระสารีบุตรสูงขึ้นไปว่า ยังมีอยู่หรือไม่ ใต้เท้า ฯลฯ

สัจจวาระ

(๑๑๕) ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ยังมี คุณ แล้วได้กล่าวคำนี้
ว่า คุณ เพราะเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความกับ
แห่งทุกข์ และรู้ชัดปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งทุกข์ เพียงเท่านี้แหละ คุณ
อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วย
ความเลื่อมใส่ในธรมไม่คลอนแดลน ได้มาสู่พระสัทธรรมนี้แล้ว.
ก็อะไรเล่า คุณ เป็นทุกข์ ? ความเกิดบ้าง เป็นทุกข์ ความแก่บ้าง
เป็นทุกข์ ความตายบ้าง เป็นทุกข์ ควานเศร้าโศก คร่ำครวญ ความ
ทุกข์กาย ควนเสียใจ ความดับแค้นใจบ้าง เป็นทุกข์ การประจวบกับ
คนหรือสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ การพลักพลากจากคนหรือสิ่งที่รัก ก็
เป็นทุกข์ แม้ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สมหวัง การไม่ได้สิ่งนั้นสมหวัง ก็เป็น
ทุกข์ โดยย่อ ขันธ์เป็นที่ทั้งอุปาทาน (ความยึดมั่น) ทั้ง ๔ เป็นทุกข์
นี้เรียกว่า ทุกข์ ละ คุณ.
เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไรเล่า คุณ ? คือ ตัณหานี้ให้เกิดในภพใหม่
ไปด้วยกันกับควนกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน เพลิดเพลินยิ่งนัก
ในภพนั้น ๆ คือ กามตัณหา (ความอยากในอารมณ์ที่น่าไคร่) ๑

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ภวตันหา (ความอยากเป็นโน่นเป็นนี้) ๑ วิภวตัณหา ( ความอยากไม่
เป็นโน่นเป็นนี่) ๑ นี้เรียกว่าเหตุให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทัย) ละ คุณ.
ความดับทุกข์คืออะไรเล่า คุณ ? คือ ความดับตัณหาทั้ง ๓ นั่น
แหละ เพราะคลายกำหนัดไม่มีเหลือ ความสลัด ความสละคืน ความ
ปล่อย ความไม่มีอาลัยไยดีซึ่งตัณหาทั้ง ๓ นั้น นี้เรียกว่า ความดับทุกข์
( ทุกขนิโรธ ) ละ คุณ.
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์คืออะไรเล่า คุณ ? คือ อริยาษฎาง-
คิกมรรคนี้แหละ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เรียกว่า ข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ละ คุณ.
คุณ เมื่อใคอริยสาวกรู้ชัดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับแห่งทุกข์
และรู้ชัดปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์อย่างนี้ เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัย
บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐิและมานะว่า เรามีอยู่ออกได้ ละอวิชาได้
โดยประการทั้งปวง ยังวิชชาให้เกิดแล้ว เป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ ใน
ปัจจุบันทีเดียว ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่า มีความเห็น
ถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยควานเลื่อมใสในธรรมไม่คลอน
แคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้ ดังนี้.
(๑๐๖) ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่าน
พระสารีบุตรว่า ดีแล้ว ใต้เท้าครับ ดังนี้แล้ว ได้กราบเรียนถามปัญหา
สูงขึ้นไปกะท่านสารีบุตรว่า ใต้เท้าครับ ยังมีอีกหรือไม่ ? เหตุ (ปริยาย)
แม้อย่างอื่นที่จะให้อริยสาวกมีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ชรามรณวาระ

(๑๐๘) ท่านพระสารีบุตร ได้ตอบว่า ยังมี คุณ แล้วได้กล่าว
คำนี้ว่า คุณ เพราะเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดชราและมรณะ เหตุเกิดแห่ง
ชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และรู้ชัดข้อปฏิบัติที่จะให้ถึง
ความดับแห่งชราและมรณะ แม้เพียงท่านั้นแหละคุณ อริยสาวกชื่อว่า
มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรม
ไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า ชราและมรณะคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งชราและ
มรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และข้อปฏิบัติให้ถึงความกับแห่งชรา
และมรณะคืออะไร ?
ตอบว่า ความแก่แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ความ
คร่ำคร่า ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมสิ้นแห่งอายุ ความ
หง่อมแห่งอินทรีย์ทั้งหลายของสัตว์เหล่านั้น ๆ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ นี้เรียก
ว่า ชรา ( ความแก่).
การคลื่อนที่ การย้ายที่ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ
การแตกทำลาย การสูญหาย การม้วยมรณ การถึงแก่กรรม การแตก
แห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งซากศพ การขาดแห่งชีวิตอินทร์ย์ จาก
หมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ นี้เรียกว่า มรณะ (ความตาย).
เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด เพราะชาติดับ ชราและมรนะ
จึงดับ.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชรา
และมรณะ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดชราและมรณะ เหตุเกิดแห่งชรา
และมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และรู้ชัดข้อปฏิบัฏิปที่ไห้ถึงความดับ
แห่งชราและมรณะอย่างนี้ เมื่อนั้น เธอจะละราคานุสัย ฯลฯ แม้ตัวแหตุ
เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีควานเห็นถูกต้อง มีความ
เห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน (ได้มาสู่
พระสัทธรรม ) นี้แล้ว.

ชาติวาระ

(๑๑๘) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ? ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังมี คุณ แล้วได้กล่าวว่า เพราะเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดชาติ เหตุให้เกิด
ชาติ ความกับแห่งชาติ และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชาติเพียง
เท่านี้แหละ คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความแห็นถูกต้อง มีความเห็น
ตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระ
สัทธรรมนี้.
ถามว่า ชาติ คืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งชาติ ข้อปฏิบัติ
ให้ถึงความดับแห่งชาติ คืออะไรเล่า ?
ตอบว่า ความเกิดในหมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ความ
ก่อเกิด ความก้าวลง (สู่ครรภ์) ความเกิดขึ้น ความถือกำเนิด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ควมปรากฎแห่งขันธ์ทั้งหลาย การกลับได้อายตนะทั้งหลาย ในหมู่
นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ นี้คุณ เรียกว่า ชาติ.
เพราะภพเกิด ชาติจึงเกิด เพราะภพดับ ชาติจึงดับ อริยาษฎาง -
คิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบตให้ถึงความดับแห่งชาติ คือ สัมมา-
ทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดอย่างนี้ เหตุ
เกิดแห่งชาติ ความดับแห่งชาติ รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชาติอย่างนี้
เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง ฯลฯ ด้วยเหตุ
เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้องมีความ
เห็นตรง ประกอบด้วยควานเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระ
สัทธรรมนี้.

ภววาระ

(๑๑๙) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ?ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมี คุณ แล้วได้กล่าวว่า ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดภพ เหตุให้เกิดภพ
ความดับแห่งภพ รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ เพียงเท่านั้นแล คุณ
อริยสาวกชื่อว่าป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วย
ความเลื่อมใสในธรรมไม่ตอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า ภพคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งภพ ความดับแห่งภพ
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ คืออะไรเล่า คุณ ?
ตอบว่า คุณ ภพมี ๓ ดังนี้ คือ กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะอุปาทานเกิด ภพจึงเถิด เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ อริยาษ-
ฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ ถือ สัมมา-
ทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งภพอย่างนี้
รู้ชัดเหตุเกิดแห่งภพ ความดับแห่งภพ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ
อย่างนี้ เมื่อนั้นเธอจะละราคานสัยได้ไดยประการทั้งปวง ฯลฯ ด้วยเหตุ
เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีกวามเห็นถูกต้อง มีความเห็น
ตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่กลอนแคลน มาสู่พระ
สัทธรรมนี้.

อุปาทานวาระ

(๑๒๐) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ยังมีอยู่ คุณ
ตัวแหตุที่อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอุปาทาน เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ความดับแห่ง
อุปาทาน รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน แม้แพียงเท่านี้แล คุณ
อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบตัวย
ความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า ก็อุปาทานคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ความดับ
แห่งอุปาทาน ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน คืออะไร ?
ตอบว่า คุณ อุปาทานมี ๔ อย่าง ดังต่อไปนี้ คือ กามุปาทาน
ความยึดมั่นด้วยอำนาจกาม ๑ ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑
สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นด้วยอำนาจศีลและพรต ๑ อัตตวาทุปาทาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ความยึดมั่นด้วยอำนาจวาทะว่าตน ๑. เพราะตัณหาเกิด อุปาทานจึงเกิด
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความทับแห่งตัณหา คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ
คุณ เมื่อใดแลอริยสาวกรู้ชัดอุปาทาน เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ความดับ
แห่งอุปาทาน และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน เมื่อนั้น
เธอจะละราคานุสัยได้ โดยประการทั้งปวง ฯลฯ แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้,

ตัณหาวาระ

(๑๒๑) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวไว้ว่า คุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดตัณหา
เหตุเกิดตัณหา ความดับตัณหา และรู้ชัดข้อปฏิบัฏิบติให้ถึงความดับตัณหา
เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็น
ตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า ตัณหาคืออะไรเล่า คุณ ? เหตุให้เกิดตัณหา, ความดับตัณหา.
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับตัณหา คืออะไร ?
ตอบว่า คุณ ตัณหามี ๖ หมู่อย่างนี้คือ รูปตัณหา ความทะยาน
อยากในรูป ๑ สัททตัณหา ความทะยานอยากในเสียง ๑ คันธตัณหา
ความทะยานอยากในกลิ่น ๑ รสตันหา ความทะยานอยากในรส ๑

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


โผฏฐัพพตัณหา ความทะยานอยากในโผฏฐัพพะ ๑ ธรรมตัณหา ความ
ทะยานอยากในธรรม ๑. เพราะเวทนาเกิด ตัณหาจึงเกิด. เพราะเวทนาดับ
ตัณหาจึงดับ อริยาษฎางติกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
แห่งตัณหา คือ สัมมาทิฏฐิ ฯล ฯ สัมมาสมาธิ.

คุณ ในกาลใดแล อริยสาวกรู้ชัดตัณหาอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดตัณหา
ความดับตัณหา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทั้งตัณหาอย่างนี้ เมื่อนนั้นเธอ
จะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง ฯล ฯ แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล คุณ
อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีควานเห็นตรง ประกอบด้วย
ความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

เวทนาวาระ

(๑๒๒) ภิกษุเหล่านั้นกราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ! ฯลฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่า ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดเวทนา เหตุ
เกิดเวทนา ความดับเวทนา และรู้ชัดข้อข้อปฏิปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา
เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง
ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ถามว่า เวทนาคืออะไรเล่า คุณ ๑ เหตุเกิดเวทนา ความกับเวทนา
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา คืออะไร ?
ตอบว่า คุณ เวทนามี ๖ หมู่ ดังนี้คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทาง
ตา ๑ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู ๑ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางทางจมูก ๑

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น ๑ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย ๑ เวทนาเกิด
แต่สัมผัสทางใจ ๑. เพราะผัสสสะเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะดับ
เวทนาจึงดับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
แห่งผัสสะ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.

คุณ ในกาลใดแล อริยสาวกรู้ชัดเวทนาอย่างนี้ รู้ชัดเหตุเกิดแห่ง
เวทนา ความดับแห่งเวทนา รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งเวทนาอย่างนี้
เมื่อนั้นเธอจะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง ฯ ล ฯ เเม้ด้วยเหตุเพียง
เท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง
ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้,

ผัสสวาระ

(๑๒๓) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ฯลฯ ท่านพระสารีบุตร
ตอบว่า ยังคงมีอยู่ คุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดซึ่งผัสสะ เหตุให้เกิด
ผัสสะ ความดับแห่งผัสสะ และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งผัสสะ
เพืยงเท่านั้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง
ประกอบด้วยความเลื่อมใสในธรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

ถามว่า ผัสสะคืออะไรเล่า คุณ ๑ ผัสสะมี ๖ หมู่ อย่างนี้คือ
จักขุสัมผัส ๑ โสตสัมผัส ๑ ฆานสัมผัส ๑ ชิวหาสัมผัส ๑ กายสัมผัส ๑
มโนสัมผัส ๑. เพราะสฬายตนะเกิด ผัสสะจึงเกิด เพราะสฬายตนะดับ
ผัสสะจึงดับ อริยาษฎางคิกมรรคนี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับสฬายตนะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดผัสสะอย่างนี้ เหตุเกิดผัสสะ ความ
ดับแห่งผัสสะ และรู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งผัสสะอย่างนี้ เมื่อนั้น
เธอจะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง ฯล ฯ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล
คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วย
ความเลื่อมใสในธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

สฬายตนวาระ

(๑๒๔) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ? ฯลฯ ท่านพระสารีบุตร
ตอบว่า ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่า ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดอายตนะ
ทั้ง ๖ เหตุเกิดอายตนะทั้ง ๖ ความดับอายตนะทั้ง ๖ และรู้ชัดชัอปฏิบัติ
ให้ถึงความดับแห่งอายตนะทั้ง ๖ เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่า
เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยควานเลื่อมใสใน
ธรรมไม่คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

ถามว่า อายตนะทั้ง ๖ คืออะไรเล่าคุณ ? เหตุเกิดแห่งอายตนะทั้ง ๖
ความดับแห่งอายตนะทั้ง ๖ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งอายตนะทั้ง ๖
คืออะไร ?
ตอบว่า คุณ อายตนะทั้ง ๖ เหล่านี้ คือ อายตนะคือตา อายตนะ
คือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย อายตนะคือใจ.
เพราะนามรูปเกิด สฬายตนะจึงเกิด เพราะนามรูปดับไป สฬายตนะจึงดับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2025, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อริยาษฎางคิกมรรคนี้เท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งสฬายตนะ
คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดอายตนะทั้ง ๖ อย่างนี้ เหตุเกิด
แห่งอายตนะทั้ง ๖ ความดับแห่งอายตนะทั้ง ๖ รู้ชัดข้อปฏิบัติให้ถึงความ
ดับแห่งอายตนะทั้ง ๖ อย่างนี้ เมื่อนั้น เธอจะละราคานุสัยได้โดยประการ
ทั้งปวง ฯลฯ แม้ด้วยแหตุเพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความ
เห็นถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใส่ในธรรมไม่
คลอนแคลน มาสู่พระสัทธรรมนี้.

นามรูปวาระ

(๑๒๕) ภิกษุเหล่านั้นได้กราบเรียนถามว่า ใต้เท้าขอรับ เหตุ
(ปริยาย) อย่างอื่น ยังคงมีอยู่หรือ ฯ ล ฯ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ยังคงมีอยู่ คุณ แล้วได้กล่าวว่า คุณ ด้วยเหตุที่อริยสาวกรู้ชัดซึ่งนามรูป
เหตุเกิดแห่งนามรูป ความดับแห่งนามรูป และรู้ชัดซึ่งขัอปฏิบัติให้ถึง
ความดับแห่งนามรูป เพียงเท่านี้แล คุณ อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็น
ถูกต้อง มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใส่ในธรรมไม่คลอนแคลน
ได้มาสู่พระสัทธรรมนี้แล้ว.

ถามว่า นามรูปคืออะไรเล่าคุณ ? เหตุเกิดแห่งนามรูป ความดับ
แห่งนามรูป และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งนามรูป คืออะไร "
ตอบว่า เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ ทั้ง ๕ อย่างนี้
เรียกว่า นาม มหาภูตรูป ๔ และรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ (อุปาทายรูป)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร