วันเวลาปัจจุบัน 18 ส.ค. 2025, 00:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2025, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




1727912355855.jpg
1727912355855.jpg [ 155.08 KiB | เปิดดู 926 ครั้ง ]
อรรถกถาสัมมาทิฏฐิสูตร

(๑๐๐) สัมมาทิฏฐิสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในสัมมาทิฏฐิสูตรนั้น ดังต่อไปนี้ :-
คำถามที่พระเถระ ( สารีบุตร) กล่าวไว้อย่างนี้ว่า คุณ ที่เรียกว่า
สัมมาทิฏฐิ ด้วยเหตุประมาณเท่าไรนะคุณ ดังนี้ หรือว่าอกุศลเป็น
อย่างไรเล่าคุณ ดังนี้ทุกข้อ เป็นกเถตุกามยตาปุจฉา (ถามเพื่อตอบ
เอง ) เท่านั้นเอง.
เพราะว่าในคำถามเหล่านั้น คนทั้งหลายเข้าใจในสัมมาทิฏฐินั้นก็มี
ไม่เข้าใจก็มี เป็นคนนอกศาสนาก็มี ในศาสนาก็มี กล่าวว่า สัมมาทิฏฐ
ด้วยสามารถที่ได้ฟังตามกันมาเป็นต้นก็มี ด้วยได้ประจักษ์ด้วยตนเองมาก็มี
ฉะนั้น ท่านพระสารีบุตร จึงได้กล่าวหมายเอาคำถามของคนส่วนมากนั้น
ย้ำถึง ๒ ครั้งว่า คุณ ที่เรียกกันว่า สัมมาทิฏฐิ... อันที่จริงในเรื่องนี้
มีอธิบายดังต่อไปนี้ ถึงอาจารย์เหล่าอื่นก็เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
ท่านพระสาริบุตร นี้นั้น เมื่อกล่าวอย่างนี้ ได้กล่าวว่า ด้วยเหตุ
เท่าไรนะคุณ อริยสาวกจึงชื่อว่า มีควานเห็นถูกต้อง ดังนี้ หมายถึงความ
หมายและลักษณะ ( ของสัมมาทิฏฐิ).

แก้สัมมาทิฏฐิ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้
ประกอบด้วยความเห็นทั้งดีงามทั้งประเสริฐ.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2025, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ปปัญจสูทนี อรรถกถามชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

ก็เมื่อใด ศัพท์ว่า สัมมาทิฏฐินี้ใช้ในธรรมะเท่านั้น เมื่อนั้นพึง
ทราบเนื้อควานของศัพนั้นอย่างนี้ว่า ทิฏฐิทั้งงามทั้งประเสริฐ ซึ่งว่า
สัมมาทิฏฐิ. และสัมมาทิฏฐินื้นั้น มี ๒ อย่าง คือ โลกียสัมมาทิฏฐิ ๑
โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ ๑.
ในจำนวนสัมมาทิฏฐิ ๒ อย่างนั้น กัมมัสสกตาญาณ ( ปรีชาหยั่งรู้
ว่า สัตว์มีกรรม เป็นของตน) และสัจจานุโลมิกญาณ ( ปรีชาเป็นไป
โดยสมควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจ) ชื่อว่า โลกิยสัมมาทิฏฐิ. ส่วนปัญญา
ที่สัมปยุตด้วยอริยมรรค อริยผล ชื่อว่า โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ. แต่คนที่มี
สัมททิฏฐิ มี ๓ ประเภท คือ ปุถุชน ๑ เสกขบุคคล (ผู้ต้องศึกษา),
อเสกขบุคคล ( ผู้ไม่ต้องศึกษา) ๑.
ในจำนวน ๓ ประเภทนั้น ปุถุชนมี ๒ ประเภท คือ พาหิรกชน
(คนนอกศาสนา) ๑ ศาสนิกชน (คนในศาสนา) ในจำนวนวน ๒
ประเภทนั้น พาหิรกปุถุชนผู้เป็นกรรมวาที (เชื่อถือกรรม) ชื่อว่า เป็น
ผู้มีควานเห็นถูกต้อง (เป็นสัมมาทิฏฐิกบุคคล) โดยความเห็นว่าสัตว์มี
กรรมเป็นของคน ไม่ไช่โดยความเห็นขั้นสัจจานุโลมญาณ ส่วนศาสนิก-
ปุถุชน ชื่อว่า มีความเห็นถูกต้อง (เป็นสัมมาทิฏฐิกบุคคล) โดยความ
เห็นทั้ง ๒ อย่าง ( คือกัมมัสตกตาและอนโลมญาณ เพราะยังลูบคลำความ
เห็นเรื่องอัตตาอยู่ ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ ).
เสกขบุคคล ชื่อว่า มีความเห็นชอบ เพราะมีความเห็นชอบที่แน่
นอน. ส่วนอเสกขบุคคล ชื่อว่า มีความเห็นชอบ เพราะไม่ต้องศึกษา.
แต่ในที่นี้ประสงค์เอาผู้ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตรกุศล
ที่แน่นอน คือเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ว่า ผู้มีความเห็นชอบ.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2025, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถาสัมมาทิฏฐิสูตร ๕๔๓
เพราะเหตุนั้นเอง ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวไว้ว่า เป็นผู้ประ-
กอบด้วยความเลื่อมใสในธรรมไม่กลอนแกลน ได้มาสู่พระสัทธรรมนี
อธิบายว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตรกุศลเท่านั้น เป็นความเห็นที่
ตรง เพราะไปตามความตรงไม่ข้องแวะกับที่สุดทั้ง ๒ อย่าง หรือตักขาด
ความดงยทุกอย่าง มีความดตงยทางกายเป็นต้นต้นแล้วไปตรง และมั
ประกอบด้วยทิฏฐินั้นเอง ชื่อว่าเป็นระกอบด้วยความเลื่อมใสไม่คลอน-
แดลน คือด้วยควานเลื่อมไสไม่หวั่นไหวโนโลกตตรรรมทั้ง ๘ ประการ.
อริยสาวกเมื่อคลายความยึดมั่นด้วยทิฏฐิทุกอย่าง ละกิเลสทั้งสิ้นได้ ออก
ไปจากสงสารคือชาติ เสร็จสิ้นการปฏิบัติ ท่านเรียกว่า ผู้ได้มาสู่พระ
สัทธรรม กล่าวก่อพระนิทพาน ที่หยั่งถังช่อมตธรรม ที่พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วด้วยอริยมรรค.
(๑๐๐) คำว่า ยโต โข นี้เป็นคำกำหาหนดกาลเวลา มีอธิบายว่า
ในกาลใด.
ข้อว่า อกุสลมูลญจ ปชานาติ ความว่า รู้ชัดอกศล กล่าวคือ
อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือ เมื่อแทงตลอดว่า สิ่งนี้เป็นทุกข์ ด้วย
สามารถแห่งกิจญาณ ชื่อว่ารู้ชัดอกุศล เพราะกวามรู้จัดที่มีนิโรธเป็น
อารมณ์.
ข้อว่า อกุสลญจ ปชานาติ ความว่า รู้ชัดรากเหง้าของอุกุศลที่
เป็นรากเหง้า เป็นปัจจขันธ์แห่งอกุศลนั้น คือ เมื่อแทงทอดว่า นี้เป็นเหตุ
ให้กิดทุกข์โดยประการนั้นนั้นเอง (ชื่อว่ารู้ชัดรากเหง่าของอกุศล).
ถึงแม้ในคำนี้ว่า กุุศล และรากเหง้าของกุศล ก็มีนัยนี้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2025, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ในทุกวาระต่อจากวาระนี้ไป ก็เหมือนกับในวาระนี้ ควรทราบ
การรู้ชัดวัตถุ ด้วยสามารถแห่งกิจจญาณนั่นเอง.
บทว่า เอตฺตาวตาปิ ความว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ คือแม้ด้วยการ
รู้ชัดอกุศลเบ็นต้นนี้.
บทว่า สมฺมาทิฏฐิ โหติ ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยโลกุตตร.
สัมมาทิฏฺฐิ มีประการดั่งกล่าวมาแล้ว.
ด้วยคำเพียงเท่านี้ว่า อริยสาวกนั้นมีความเห็นตรง ฯลฯ ได้มาสู่
พระสัทธรรมนี้แล้ว เป็นอันท่านพระสารีบุตร จบการแสคงโดยย่นย่อ
ลงแล้ว. การแสดง (ของท่าน) นี้ ถึงจะย่นย่อ แต่ก็ควรทราบถึงการ
แทงตลอดด้วยมนธิการโดยชอบ ด้วยสามารถแห่งความพิสดารอยู่นั้นเอง
สำหรับภิกษุเหล่านั้น. ส่วนในทุติยวารถึงการแสดง ( จะย่นย่อ) ก็ควร
ทราบถึงการแทงตลอด ด้วยมนสิการโดยชอบอย่างพิสดารว่า ได้เป็นไป
แล้วโดยพิสดารอยู่นั่นเอง.
ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวกันว่า บรรดาการแสดงทั้ง ๒ อย่างนั้น ด้วย
การแสดงอย่างย่อ ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวถึงมรรคเบื้องต่ำไว้ทั้ง ๒
อย่าง ด้วยการแสดงอย่างพิสดาร ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวถึงมรรค
เบื้องสูงไว้ ๒ อย่าง.
ในที่สุดแห่งการแสดงอย่างพิสดาร ภิกษุทั้งหลายเล็งเห็นคำ มีอาทิ
ว่า เพราะละราคานุสัยได้โดยประการทั้งปวง. แต่พระเถระกล่าวว่า
มรรคทั้ง ๔ ได้กล่าวไว้แล้ว โดยเป็นหมวดด้วยการแสดงอย่างย่อก็มีด้วย
การแสดงอย่างพิสคารก็มี.
อนึ่ง การแสดงทั้งโดยย่อทั้งโดยพิสดารนี้โดย เป็นการแสดงที่ข้าพเจ้า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2025, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้กระทำการวิจารณ์ไว้โดยละเอียดแจ่มแจ้งแล้ว ในที่นี้การแสดงนั้น พึง
ทราบตามนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในที่นี้ทุก ๆ วาระเทอญ. เพราะว่าต่อแต่นี้
ไป ข้าพเจ้าจักทำเพียงการขยายความเฉพาะบทที่ยาก ที่ยังไม่ได้ ( อธิบาย)
เท่านั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในการแสดงโดยพิสดาร ซึ่งปฐมวารในจำนวน
วาระเหล่านั้นก่อน.
ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ปาณาติบาตนั้นแหละคุณ เป็นอกุศล. อกุศล
พึงทราบได้จากความเป็นไปโดยความไม่ฉลาด. อกุศลนั้นพึงทราบโดย
(เป็นธรรม) ตรงกันข้ามกับกุศลที่จะต้องกล่าวข้างหน้า หรือโดยลักษณะ
พึงทราบ (ว่าเป็น) สิ่งที่มีโทษและมีวิบากเป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่เหมอง.
นี้เป็นการขยายบททั่วไปในอกุศลวาระนี้ก่อน.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร