วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 18:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 77, 78, 79, 80, 81, 82, 83 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีข้อสงสัย และมีความทุกข์ใจมาก เรื่องที่จิตของกระผมไม่นิ่งชอบหลงด่าผู้อื่นในใจบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นพระหรือบุคคลทั่วไปที่กระผมพูดคุยด้วย ผมต้องระวังอย่างมาก ต้องบังคับจิตไม่ให้หลงด่าผู้ที่ผมกำลังพูดคุยด้วย ผมอยากทราบว่ามีสาเหตุจากอะไร จะแก้ไขอย่างไร และจะเป็นบาปกรรมหรือไม่ เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น แต่จิตมันแว๊ปไปด่าเอง ทุกวันนี้ผมพยายามทำความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา พยายามรู้กายรู้ใจตลอด บางครั้งก็มโนภาพพระพุทธรูปไว้กลางอกบ้าง เพื่อประคองจิตไว้ ไม่ทราบว่าผมแก้ไขได้ตรงจุดหรือไม่ ขอความเมตตาท่านอาจารย์ชี้ทางสว่างให้ด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาเป็นอย่างสูง

คำตอบ
เหตุเกิดจากประพฤติ ผรุสายวาจา (พูดคำหยาบ) และประพฤติ ปิสุณายวาจา (พูดคำส่อเสียด) มาก่อน หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไขปัญหาให้ถูกตรงที่สุด ต้องอมน้ำอยู่ในปาก และเอาจิตระลึกอยู่กับน้ำที่อมไว้ เมื่อใดจำเป็นต้องพูดให้บ้วนน้ำออกจากปากได้ หลังจากพูดแล้วเสร็จ ต้องอมน้ำเข้าไปใหม่ หากมีสัจจะปฏิบัติได้เช่นนี้ทุกขณะตื่น ปัญหาที่มีอยู่ย่อมหมดไปในที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากจะสนทนาธรรมกับท่านที่มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกับดิฉัน ดิฉันหมายถึงมีดวงตาเห็น
ธรรมจริงๆ จากตาในนะค่ะ ทุกวันนี้ยังไม่เจอใครที่จะสนทนาธรรมกับดิฉันได้เลยเพื่อนๆเขาก็ยังไม่
มีดวงตาเห็นธรรม จึงคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ดิฉันอยากถามท่านอาจาร์ยว่าดิฉันจะหาเพื่อนที่มีดวง
ตาเห็นธรรมได้ที่ไหน ดิฉันอยากรู้จักมากค่ะ และ อยากติดต่อสนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรจริงๆค่ะ

ขอรบกวนท่านอาจาร์ยดร.สนอง วรอุไร แค่นี้นะค่ะ หวังว่าคงได้คำตอบเร็วๆนี้นะค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดมีจิตปลอดจากกิเลสอย่างน้อยสามตัวแรกในสังโยชน์ ๑๐ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้แล้ว ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่ามีดวงตาเห็นธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้นั่งเจริญสติครั้นสิ่งใดมากระทบก็กำหนดตาม จากแรกเริ่มที่จับจังหวะท้องพองยุบไม่ได้ก็เริ่มได้ ซึ่งได้ปฎิบัติเช่นนี้มาได้สักระยะโดยเริ่มจาก 5 นาที บ้างแล้วค่อยๆเพิ่ม จนปัจจุบันโดยประมาณอยู่ที่ครึ่งชั่วโมง แต่ครั้งล่าสุดอยู่ที่หนึ่งชั่วโมง และขณะนั่งก็เกิดสิ่งมากระทบต่างๆกันไป เช่นมีอาการตัวสั่นบ้าง กลืนน้ำลายบ้าง อยากไอบ้าง ตัวเอนบ้าง จนช่วงหลังอาการที่เด่นชัดคือ ปวดเมื่อยซึ่งจะเกิดที่ขาขวาเท่านั้น ซึ่งครั้งหลังๆ จะเกิดมากบางทีก็เกิดขึ้นช่วงแรก บ้างก็นั่งไปได้สักพัก โดยครั้งล่าสุดนี้กระผมได้นั่งไปโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง (ตั้งนาฬิกาปลุกไว้) ระหว่างนั้นปวดมากน้อยเป็นจังหวะ บางทีมันก็หายไปซะงั้น แต่ขณะที่ปวดมีเสียงดัง (เสียงรอบข้าง) กระผมจึงต้องกำหนดได้ยินหนอไป จึงจะมากำหนดปวดหนอต่อ ระหว่างนั้นก็มีแสงแวบๆ ไม่ก็วูบไปมา แต่กระผมก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็กำหนดตามให้รู้ถึงทุกอย่างที่มากระทบเท่าที่จะทำได้ แต่ใจมันคำนึงถึงแต่อาการปวดประกอบกับคิดว่าเมื่อไหร่มันจะครบกำหนดเสียที ซึ่งกระผมคิดตลอดว่าถ้ามันหายปวดแล้วมันจะสุขจริงแบบที่ท่านอาจารย์บอกไหม แต่ระหว่างนั้นมันปวดมากจนคิดแต่จะให้คนอื่นช่วย แต่สักพักก็ไม่ดีขึ้น จนผมคิดได้ว่าสุดท้ายเราคงต้องพึ่งตัวเอง และก็คิดว่าถ้าจะตายก็ตายไปเลย สุดท้ายก็ไม่ตายครับอาจารย์ แต่มีอาการหงุดหงิด เหมือนเมื่อครั้งแรกเริ่มปฎิบัติที่เวลามีเสียงดังขึ้นหลายๆเสียงพร้อมกัน ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะหงุดหงิดทำไม สักระยะอาการปวดก็ทุเลาเบาบางลง ใกล้ๆกับระยะเวลาที่จะครบกำหนด ความรู้สึกที่จับได้คือมันเหมือนมีลมวิ่งจากปลายเท้ามาที่หัวเข่าข้างขวาที่ปวดในขณะที่นั่งอยู่ครับ ซึ่งก็ครบระยะเวลาที่กำหนดไว้พอดี กระผมจึงลองกำหนดยืนดูพบว่า อาการปวดก็มีเพียงเล็กน้อย แต่ในใจผมรู้สึกว่าเหมือนไม่เคยปวดขาเลยครับ ซึ่งกระผมเองไม่รู้สึกว่าทุกข์หรือสุข รู้สึกเพียงอย่างเดียวครับว่าแล้วจะยังไงต่อไป จากนั้นผมก็แผ่เมตตา แล้วก็ออกจากการเจริญสติ

กระผมจึงเกิดคำถามที่อยากจะขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ดังนี้

1. ทำไมกระผมไม่เห็นมีนิมิตแบบคนอื่นบ้างครับ จะเห็นบ้างก็แสงแวบๆกับอาการเวทนาต่างๆ ภายหลังออกจากสมาธิ ก็มีอาการรู้สึกเฉยๆไม่ยินดียินร้ายที่ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะเจริญสติ

2. บางครั้งกระผมไม่กล้าปล่อยจิตตามสมาธิที่บางครั้งสงบและเหมือนดิ่งลึก ซึ่งจะมีมโนภาพเหมือนดิ่งลงทะเลลึกซึ่งก็เกิดไม่บ่อยนัก กระผมควรจะปล่อยจิตตามไปหรือไม่ ซึ่งขณะนั้นใจกระผมไม่สนใจจุดนี้เพราะใจต้องการเอาชนะเวทนาที่เกิดขึ้นมากกว่า

3. สิ่งที่กระผมปฎิบัติอยู่นี้ทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้า และอย่างไรถึงเรียกว่าก้าวหน้าครับ และหากกระผมมาผิดเส้นทางขอท่านอาจารย์ช่วยชี้เส้นทางที่ถูกด้วย ขณะนี้กระผมได้พยายามเอาศีลห้าคลุมใจให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ทั้งหมด หากจะบอกว่าคลุมทั้งหมดก็จะเป็นการโกหกท่านอาจารย์ แต่จะพยายามให้มากขึ้นจนคลุมหมด
สุดท้ายกระผมจึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ ในการไขปัญหาเพื่อเป็นแนวทางในการปฎิบัติต่อไปครับ ซึ่งสิ่งที่ได้จากการปฎิบัติขณะนี้อาจจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้กระผมรู้ว่าทุกอย่างในโลกสุดท้ายแล้ว จะสำเร็จได้ก็ต้องลงมือทำ มิได้สำเร็จได้ด้วยคำพูด ความคิดหรือการรอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และเวลาก็ผ่านไปเร็วมากด้วย เว้นแต่ขณะตอนเจริญสติรู้สึกเวลาผ่านไปช้ามาก ในสภาวะเช่นนั้น แต่พอตอนออกจากสภาวะดังกล่าวก็เสียดายรู้สึก ยังเจริญสติไม่พอรู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมาก

ขอขอบพระคุณในความกรุณาที่ท่านอาจารย์ เสียสละเวลาในการตอบปัญหา และชี้แนะแนวทางแก่กระผม

คำตอบ
(๑). เหตุที่ไม่เห็นนิมิต เป็นเพราะจิตยังเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ในระดับที่จะทำให้เกิดเป็นนิมิตได้

(๒). ไม่ควรปล่อยจิตให้เป็นไปตามอารมณ์ปรุงแต่ง แต่ควรระลึกรู้อารมณ์ ด้วยการกำหนดว่า “ รู้หนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอารมณ์ดิ่งลึกหมดไป ส่วนการจะเอาชนะเวทนาที่เกิดขึ้น นั้นคือตัณหาซึ่งเป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง เช่นเดียวกันการไม่สนใจต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นกิเลสที่เรียกว่า โมหะ ที่กำจัดได้ยากที่สุด

(๓). ประสงค์ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องทำตัวเป็นคนโง่ แล้วทำตามคำชี้แนะของครูผู้ผ่านประสบการณ์ฝึกจิตมาก่อน เช่นเดียวกัน เมื่อศีล ๕ ยังพร่องอยู่ การพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นตามที่ผู้รู้กล่าวว่า
“ จิตเป็นรากฐานของสิ่งทั้งหลาย จิตประเสริฐกว่าสิ่งทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายสำเร็จด้วยจิต ” จึงเป็นเรื่องจริงที่ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ผู้ใดตระหนักชัด แล้วพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมได้อย่างถูกตรง ชีวิตย่อมมีคุณค่า กาลเวลาที่ผ่านไปจะไม่สูญเปล่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพ่อครับเขาบอกว่าภายใน 7 วันวิญญาณของคนตายจะมาหาญาติพี่น้องใช่ไหมครับ อาม่าผมก็มาครับแต่มาเป็นความฝัน และเข้าฝันพี่ชายของผม ซึ่งผมเองดูแลท่านมาตลอด ยามช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน แต่นะ อาม่าดันไปเข้าฝันพี่ชายผมซะนี่ ออมตัดพ้ออยู่นิดๆ
พี่ชายผมตื่นตอนแปดโมงเช้าของคืนงานศพวันสุดท้ายคือวัน ที่ 7 พี่ชายเข้ามาห้องนอนผมด้วยท่าทางตื่นเต้น ดวงตาแดงกร่ำเหมือนคนร้องไห้ แล้วเรียกผมว่า ออมตื่นๆ เมื่อคืนกูฝันเห็นม่า ม่ามาหากู
แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า ทุกอย่างเหมือนคืนวันแรกที่ศพมาที่บ้านตอน ห้าโมงเย็นทุกคนมาไหว้ศพม่าเป็นครั้งสุดท้าย ม่าถูกแต่งกายด้วยชุดถือศีล แกสั่งก่อนตาย แล้วพี่ชายผมก็นั่งเอามือไปโอบคอม่าไว้ เพราะม่าอ้าปากค้าง มันนั่งร้องไห้ข้างๆม่า จากนั้นมันก็บอกว่าม่าลืมตา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกาย สว่างมากแล้วม่าก็หลับ เสียงม่าแหบแห้ง แล้วบอกกับพี่ชายผมว่า เทิง(ชื่อพี่ชายผมครับ)ม่าดีใจนะ ม่าดีใจมาก เสียงของม่าสั่นพร่า พีมันบอกนะครับ แล้วม่าก็บอกว่าอย่าเอา ผ้า หรือพ่ออะไรเนี่ยละครับออกจากตัวม่าสักอย่างครับ พี่ชายผมบอกว่าไม่ได้ยินถนัด จากนั้นมันก็ตื่นเต้นถามผมว่า รู้ไหมคนที่ม่าถามถึงสุดท้ายคือใคร มึงไง ม่าถามถึงมึงด้วยว่า ออมละ ออมอยูไหน บอกออมนะว่าทำบุญให้มากๆ

เท่านั้นละครับคุณพ่อ ผมร้องไห้ ร้องออกมาไม่อายใครเลย ผมพูดกับพี่ชายว่า เห็นไหมกูว่าแล้วม่าต้องไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้าแล้ว ม่าไม่ลืมผม ม่าไม่เคยลืมผมเลย ทุกวันที่ผมอยู่กับม่าตั้งแต่วันสงกรานต์ที่ม่ามาอยู่ที่บ้าน จนกรทั่งวันสุดท้ายที่ม่าเข้าโรงพยาบาล ผมดูแลม่าตลอด ไม่เคยบ่น อาบน้ำ เปลี่ยนผ้า เช็ดปัสสาวะและอุจจาระ ไม่เคยนึกรังเกียจเพราะม่าดูแลผมมาตั้งแต่เด็กๆหลังจากพ่อกับแม่เลิกกัน

คุณพ่อครับ อาม่าผมไปเป็นนางฟ้านางสวรรค์จิงๆใช่ไหมครับ นับจากวันนั้มาคือวันที่ 23 กันยายา ผมก็นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะได้

ม่าไปแล้ว ผมเคยพูดเล่นๆกับม่าว่า ให้ม่าไปก่อนแล้วเด๋วผมจตามไปเที่ยวทีหลัง วันนี้ไม่มีอาม่าแล้ว แต่ผมไม่เคยลืมความดีและคำสอนของม่าเลย อีกทั้งดีใจครับที่ผมได้สืบทอดธรรมะทายาทจากม่าผม ลูกหลานม่ามีผมคนเดียวนี่ละครับ ที่ชอบธรรมะธรรมโม และผมจะสร้างความดีอย่างนี้ตลอดไป จนกว่าผมจะทิ้งกายนีไปสู่อีกภพหนึ่ง

ด้วยรักและเคารพ


คำตอบ
ชาวฟ้า ชาวสวรรค์ มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ง่ายกว่าสัตว์ในอบายภูมิ ดังนั้นสิ่งที่อาม่ามาบอก ผู้ใดทำตามที่อาม่าสั่งได้ นั่นแหละเป็นสิ่งดี ผู้รู้เชื่อแล้วทำตาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า อาชีพผู้พิพากษาเป็นอาชีพผิดธรรม อยากทราบว่าผิดธรรมอย่างไรครับ และการตัดสินคดีเป็นการเข้าไปอยู่ความขัดแย้งของสองฝ่าย ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจองเวณแล้วจะเป็นกรรมไม่ดีนั้น ผมอยากถามว่าถ้าเหลีกเลี่ยงพยามไม่ตัดสินคดีอาญา แต่ไปตัดสินคดีแพ่งแทน กล่าวคือคดีที่ตัดสินเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง และตัดสินให้ฝ่ายหนี่งฝ่ายใดชนะ แ ล้วอีกฝ่ายไม่พอใจจะเป็นผูกเวร หรือไม่จะเป็นกรรมที่ไม่ดีหรือไม่ ถ้าเราแก้ไขโดยตัดสินคดีโดยปราศจากอคติ ๔ แล้วจะช่วยไม่ให้กรรมไม่ดีเข้าตัวหรือไม่ครับ เพราะผมกำลังสอบผู้พิพากษาซึ่งผมกลับตัวไปทำอาชีพอย่างอื่นไม่ได้แล้ว

คำตอบ
บุคคลสองคนหรือกลุ่มบุคคลสองฝ่ายผูกเวรกันได้ แล้วใครผู้ใดเข้าร่วมในกระบวนกรรมของเขา บุญย่อมเกิดขึ้นผู้ที่ถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายถูก และบาปย่อมเกิดขึ้นจากการถูกจองเวร ของผู้ที่ถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายผิด ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง ต้องได้รับอานิสงค์นี้เหมือนกัน จะต่างกันที่เป็นคุณหรือเป็นโทษทางอาญาหรือทางแพ่งเท่านั้น

อนึ่ง ผู้ใดตัดสินคดีได้ถูกตรงตามเหตุที่เป็นจริง และผิดกฎหมายของสังคม โทษย่อมไม่เกิดขึ้นกับผู้ตัดสิน ตรงกันข้าม หากตัดสินคดีถูกตรงตามหลักฐานที่เป็นเท็จ โทษย่อมเกิดขึ้นกับผู้ตัดสิน แม้จะตัดสินด้วยการเว้นจากอคติแล้วก็ตาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ในการปฏิบัติสมถกรรมฐาน เคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่าอย่าไปกำหนด แต่ให้มีจิตจดจ่ออยู่กับองค์ภาวนานั้น (ปกติใช้ ยุบหนอ-พองหนอ) ซึ่งผมก็ทำตามโดยพยายามมีสมาธิรับความรู้สึกขณะที่หน้าท้อขยับ ยุบ-พอง ในขณะที่ทำได้ ก็รู้สึกว่าคุณภาพของสติจะดีกว่าการบริกรรมในใจไปด้วย แต่จะคงสติตั้งมั่นไว้ได้ไม่นาน (จิตจะฟุ้งเพ่นพ่านไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว) ต่างจากการบริกรรมไปด้วย ที่คุณภาพของสติอาจไม่มากเท่า แต่สามารถคุมจิตไว้ได้นานกว่า ท่านอาจารย์คิดว่าสิ่งนี้เกิดขั้นเนื่องจากสาเหตุใด แล้วผมควรจะปฏิบัติกรรมฐานแบบไหนมากกว่ากัน (ผมยังอยู่ในระดับเริ่มต้น แต่ก็รู้พื้นฐานอยู่บ้างเนื่องจากเคยเข้าอบรมกรรมฐานในสมัยเรียน) ?

2. กรรมฐานแบบใดที่เป็นอันตราย (อาจทำให้ผุ้ปฏิบัติผิดวิธีวิกลจริตได้) จากความเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ ของผม คิดว่าน่าจะเป็นเฉพาะ วิปัสนากรรมฐานเท่านั้น แต่สมถกรรมฐานที่ปฏิบัติกันเพื่อให้มีจิตตั้งมั่นนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ซับซ้อนพอที่จะทำให้คนวิกลจริตได้ นี่เป็นความเข้าใจที่ถูกหรือไม่ครับ ?

3. ผมได้ศึกษาแนวคิดการบรรลุแบบเฉียบพลันของท่านเว่ยหลาง รู้สึกว่าสอดคล้องกับการบรรลุธรรมโดยโยนิโสมนัสิการในสมัยพุทธกาล ท่านอาจารย์เห็นว่าคนในยุคปัจจุบันสามารถนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการเข้าถึงธรรม (เมื่อมีพลังสติแกร่งกล้าพอ) ได้หรือไม่ ?

4. สิ่งที่เกิดขึ้นกับ คน ๆ หนึ่งทางพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นวิบากกรรม ที่เกิดมาจากสิ่งที่จิตของบุคคลนั้นเคยก่อมาแต่อดีตกาล แล้วจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งที่คนผู้หนึ่งได้รับผลกระทบ อาจไม่ใช่วิบากจากกรรมเก่าที่เขาได้เคยก่อเอาไว้ แต่เป็นกรรมใหม่ เอี่ยม ที่เข้ามากระทบในลักษณะ ธรรมจากภายนอก จากโจทก์หรือจำเลยใหม่ที่นำมาสู่เราทางใดทางหนึ่ง ในเมื่อสรรพสิ่งล้วนมีจุดเริ่มต้น กรรมใหม่ ๆ ก็น่าจะเกิดขึ้นมาได้ตลอดเวลาเช่นกัน

5. การทำดีกับคนไม่ขึ้น เป็นวิบากจากกรรมที่เคยก่อขึ้นมาในรูปแบบใด ? ควรแก้ไข (ในระดับจิต) อย่างไร ?

สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ได้ข่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้มากด้วยกิเลสที่ยังวนเวียนในวัฏฏะสงสาร และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถาม คลายข้อสงสัยของกระผมมา ณ ที่นี้ด้วย

คำตอบ
(๑). คำว่า “ กำหนด ” หรือ “ มีจิตจดจ่อ ” เขียนไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน คือเอาจิตไประลึกรู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันขณะ เช่นระลึกรู้อยู่กับผนังหน้าท้องที่กำลังพอง-ยุบ โดยจิตไม่เคลื่อนออกไปรับสิ่งกระทบอื่นเข้าปรุงอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า มีจิตจ่อ มีจิตกำหนด มีจิตระลึกรู้ ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน

อนึ่งนั่งแล้ว เอาจิตจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบของผนังหน้าท้อง ที่พองยุบเล็กน้อย ผู้ฝึกใหม่มักจะกำหนดได้ยาก จึงควรเปลี่ยนไปเดินจงกรม ซึ่งเป็นอิริยาบถที่ใหญ่กว่า ทำให้จิตจดจ่อได้ง่ายกว่า ดังนั้นควรนั่งภาวนาและเดินจงกรมสลับกัน แล้วจะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้มากขึ้น ในฐานที่ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์การฝึกจิตมาก่อน ท่านเจ้าคุณโชดกสอนให้ฝึกจิตในทุกอิริยาบถที่จิตยังทำงานได้ คือ อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ดู ฟัง ฯลฯ ผลแห่งการปฏิบัติธรรมจึงเข้าถึงสมาธิสูงสุดได้ง่าย

(๒). กรรมฐานที่นิยมนำมาใช้พัฒนาจิต (กรรมฐาน ๔๐) ไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในระดับต้นแล้ว จิตไปรับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดีเข้าปรุงอารมณ์ แล้วไม่สามารถกำจัดอารมณ์ที่ไม่ดีให้หมดไปได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นอันตรายกับจิต ท่านเจ้าคุณโชดกได้สอนว่า หากจิตเห็นอะไรที่น่ากลัว ให้ลืมตาดูให้ชัด นี่คือวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นมิให้จิตเกิดวิกลจริต อันเนื่องมาจากปฏิบัติธรรมผิดวิธี

(๓). ใครผู้ใดมีจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) สามารถใช้จิตพิจารณาธรรม (โยนิโสมนสิการ) แล้วสามารถเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมตามแบบของท่านเว่ยหล่างได้

(๔). ผู้ใดเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว คำว่า “ อาจจะ ” “ บังเอิญ ” “ ความน่าจะเป็น ” จะไม่เกิดขึ้นกับจิตของผู้นั้น จะเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุผล เหตุไม่ดีนำสู่การเกิดเป็นผลไม่ดี และเหตุดีนำสู่การเกิดผลดีแน่นอน ดังนั้น คำว่า “ อดีต ” หมายถึง สัตว์บุคคลได้ทำเหตุให้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อชาติที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อชั่วโมงที่แล้ว เมื่อวินาทีที่แล้ว ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่าเป็นกรรมเก่าทั้งสิ้น ส่วนกรรมใหม่หมายถึง กรรมที่กำลังกระทำอยู่เป็นปัจจุบันขณะ ฉะนั้นทุกขณะตื่น สัตว์บุคคลย่อมทำกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นได้ในทุกขณะจิต

(๕). ทำความดีไม่ขึ้น เป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากผู้มีความเห็นผิด อกุศลวิบาก (บาป) จึงเป็นผลให้ผู้เห็นผิดต้องรับ ผู้ใดทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คิดอยู่เสมอว่า ทำความดีเพื่อความดี ความคิดเช่นนี้เป็นบุญ เป็นทัศนคติที่เกิดขึ้นจากผู้มีความเห็นถูก ดังนั้นผู้ใดหวังความเจริญในวันข้างหน้า ต้องปรับความเห็นผิดให้กลับมาเป็นความเห็นถูก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันทราบว่า การประกอบอาชีพควรเลือกอาชีพที่เป็นสัมมาทิฐิ แล้วหากดิฉันมีบ้านเช่าดิฉันต้องเลือกให้คนที่จะมาเช่าทำธุรกิจที่มีสัมมาทิฐิด้วยหรือไม่ หรือการประกอบอาชีพของเค้าไม่เกี่ยวกับเราคะ เพราะมีคนมาติดต่อขอทำร้านเกมส์บ้าง คลีนิครักษาสัตว์บ้าง โดยสวนตัวดิฉันเกรงว่าเราซึ่งเป็นเจ้าของบ้านจะได้รับผลกรรมนั้นไปด้วย จึงขอกราบเรียนถามและขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์เพื่อให้การดำเนินชีวิตไม่ผิดศีลผิดธรรมค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ความเห็น (ทิฏฐิ) ของผู้ให้เช่าบ้านกับผู้เช่าบ้าน หากตรงกัน ย่อมเข้ากันได้ แต่จะเข้ากันได้ด้วยบุญ หรือเข้ากันได้ด้วยบาปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้ร่วมกระบวนกรรมด้วยกัน หากประสงค์ร่วมกระบวนกรรมที่เป็นบุญ ผู้ใดเลือกผู้มาเช่าบ้าน ทำกิจกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม บุญเท่านั้นย่อมเกิดขึ้นกับผู้ให้เช่าบ้าน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสั้น ๆ ก่อนครับ ตอนนี้ผมอายุ 40 ปี จบป.ตรี ที่ ม.เกษตรฯ เช่นเดียวกับท่านอาจารย์ครับ ผมมีเรื่องที่อยากเรียนท่านอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำครับ

1. ตัวผมตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ชอบสวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นประจำ ตอนที่เป็นเด็กช่วงเรียนประถม 2-3 เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ จากภายในครอบครัว ( เพราะว่าคุณพ่อ คุณแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน) ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ผมก็จะเดินไปที่วัด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมจะเดินไปดูวัด แต่ไม่ได้เข้าไปหรอกนะครับ อยู่แคตรงหน้าวัดเท่านั้น ได้แต่ ยืนมองอยู่ที่หน้าวัด พอให้รู้สึกสบายใจแล้วก็จะเดินกลับมาบ้าน ซึ่งเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เมื่อโตขึ้นมานิดนึงประมาณมัธยมต้น ก็จะฝึกนั่งสมาธิ จะฝึกตามที่อ่านจากในหนังสือบ้าง และฝึกตามแนวของวัดพระธรรมกายด้วย ( สมัยเด็กนะครับ) ทำให้จิตมันสงบ และรู้สึกทุกข์จากปัญหาครอบครัวน้อยลง ผมมีความทุกข์มาก จนคิดอยากตายหลายครั้ง อยากจะไป ทำเรื่องที่ไม่ดี เช่น ไปติดยาเสพติด หรือคิดอยากจะไม่เรียนหนังสือ แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบครับ เวลาที่จะคิดทำเอง เหล่านั้น ในใจมันก็จะคิดขึ้นมาได้ทุกทีว่าอย่าทำเลย มันไม่ดี เหมือนกับจะมีอะไรบางอย่างมาดลใจว่าอย่าไปทำอย่างนั้น ชีวิตมันจะเสียหาย ผมก็เลยไม่คิดสั้น และทำอะไรที่ทำลายอนาคตตัวเองตรับ ผมอดทนตั้งใจเรียนมาจนจบ แลสอบเข้า เรียนต่อได้ แต่ปัญหาครอบครัวที่ผมเล่าให้อาจารย์ฟังตอนต้นก็ยังไม่จบครับ มันแย่มากมาตลอด ส่วนนึงอาจเป็นเพราะ ครอบครัวเรายากจน ที่บ้านมีลูกหลายคน ลืมบอกอาจารย์ว่าผมเป็นคนโตด้วยครับ จึงทำให้รับแรงกดดันมาก เพราะรู้สึก ว่าตัวเองเป็นที่ระบายอารมณ์ของผู้ใหญ่ เหตุการณ์ที่ผมเล่าให้ท่านอาจารย์ฟังนี้ เป็นกรรมเก่าของผมใช่ไหมครับ

2. คือว่าตอนนี้แม้ว่าคุณพ่อ คุณแม่ท่านจะมีอายุมากแล้ว 60-70 กว่าแล้ว แต่ท่านทั้งสองก็ยังมีปากเสียงกัน อยู่ ถึงตอนนี้อาจจะไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็สงสารท่านไม่อยากให้ท่านเป็นแบบนั้น จะมีวิธีไหนช่วยท่านได้บ้างครับ

3. จากปัญหาภายในครอบครัวทำให้ น้องชายต้องป่วยมีอาการทางจิต มาเป็นเวลา 20 ปีกว่าแล้ว เข้าออกโรงพยาบาล อยู่ตลอด ก็ไม่หาย ผมพยายามที่จะบอกให้น้องชายสวดมนต์ ทำสมาธิ เผื่อบุญกุศลจะได้ช่วยเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทางบ้านหนักใจมาก คุณพ่อผมท่านก็อายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะดูแลน้องชายได้อีกนานแค่ไหน คือตัวน้องชาย เขาก็ดูเหมือนจะไม่พยายามที่จะเข้าใจตัวเอง และช่วยตัวเองให้ดีขึ้นเลย ทางบ้านทุกคนก็หนักใจ เพราะไปรักษาตัวพอจะดีขึ้น เขาก็ไม่ทานยา บังคับเขาก้ไม่ได้ เขาก็จะใช้กำลังทำร้าย และด่าว่าหยาบคาย ผมยอมรับว่าผมก็เหลืออด หลายครั้ง แต่ก็สงสารเขา เวลานั่งสมาธิก็จะอุทิศบุญกุศลให้ไปช่วยเขา อยากให้เขาหายจากโรคนี้ ผมจะช่วยน้องชายผมได้อย่างไรครับ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลจะช่วยเขาได้ไหมครับ

4. ปัญหาต่อนี้เป็นปัญหาของผมครับ ช่วงปีนี้ชีวิตผมแย่ครับ จริง ๆ แล้วมันเป็นมาประมาณได้ 2 ปีแล้วครับ คือผมเปลี่ยนงาน 3 ครั้งแล้วครับในปีนี้ ครั้งล่าสุดผมต้องออกจากงานเพราะความไม่ยุติธรรมของหัวหน้างาน และเจ้าของบริษัท ผมเพิ่งย้ายเข้าไป ทำงานได้หนึ่งเดือนในตำแหน่งผู้ช่วย ผู้จัดการ ผมเข้าไปทำงานในช่วงแรก ๆ ก็มองเห็นว่าที่บริษัทแห่งนี้มีปัญหาความขัดแย้งกัน ภายในค่อนข้างรุนแรง รวมถึงปัญหากับลูกค้าด้วย และผมก็มองออกว่าทั้งนี้เพราะการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพของหัวหน้า ผมเอง ซึ่งตรงนี้เองทำให้ผมเข้าใจว่า ผมจะต้องเข้ามาช่วยหัวหน้าคนนี้ ทำให้ผมทุ่มเททำงานอย่างหนักให้กับองค์กร ไปทำงาน ตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้า กลับบ้านสามทุ่มบ้าง สี่ทุ่มบ้าง จนลูกค้าและผู้บริหารพอใจในการทำงานของผม ต่อมาหัวหน้าผมกลับไม่พอใจ และไปแจ้งเจ้าของบริษัทให้ปรับผังองค์กรใหม่ โดยการผลักภาระปัญหางานที่มีอยู่มาที่ผมทั้งหมด ซึ่งผมมองว่ามันไม่ยุติธรรม แม้ว่าจะพยายามเจรจากับเขาแล้ว แต่หัวหน้ากับเจ้าของบริษัท พวกเขาก็ไม่มีใครเห็นใจผมเลย ทำให้ผมไม่สามารถทนทำงาน ต่อไปได้ จึงลาออกจากบริษัทมาได้สองเดือนแล้วครับ เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมอย่างนี้มันเป็นเพราะอะไรครับอาจารย์ แล้วผมควรจะ ทำใจอย่างไร ตอนนี้ผมพยายามคิดให้อภัยพวกเขาที่มาทำร้ายชีวิตการทำงานของผมแบบนี้ ผมอยู่ที่บ้านก็จะไหว้พระสวดมนต์ ตามแนวพระอาจารย์จรัญ (เอาหนังสือมาสวดตามครับ) ทำไมชีวิตผมถึงมีกรรมเยอะจังเลยครับ มันจะดีขึ้นใช่ไหมครับท่านอาจารย์ คือผมเป็นห่วงครอบครัว และลูกสาวซึ่งตอนนี้อายุได้ขวบกับอีกสามเดือนแล้วครับ ท่านอาจารย์แนะนำผมด้วยนะครับ

5. คำถามสุดท้ายแล้วครับ ผมมีนิสัยชอบทำบุญ ให้ทาน มาโดยตลอด เมื่อก่อนเวลาทำบุญก็จะขอให้มีความสุข การงานเจริญ รุ่งเรือง ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่มาทราบว่าการทำบุญ เราควรจะทำดดยไม่หวังผลตอบแทนจึงจะมีอานิสงค์มากกว่า ถ้าเช่นนั้น
ต่อไปเวลาผมจะทำบุญ ผมจะไม่อธิษฐานขออะไรอีก อย่างนี้จะถูกต้องใช่ไหมครับ

สุดท้ายนี้หวังว่าท่านอาจารย์จะได้เมตตาชี้แนะแนวทางและตอบคำถามให้ผมด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณมากครับ

ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง


คำตอบ
(๑). เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ผู้ถามปัญหา เอาใจของตนเองไปเห็นดีด้วย ที่บุคคลทั้งสองกำลังโต้แย้งโต้เถียงกันในอดีต

(๒). จะช่วยท่านได้ ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองเกิดความศรัทธาในตัวลูก และยินดีรับฟังคำแนะนำแล้วปฏิบัติตาม คือ การให้อภัยเป็นทานต่อทุกอย่างที่เป็นเหตุขัดใจได้แล้ว ความมีเมตตาย่อมเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในดวงจิตของผู้ให้อภัย เมตตาเป็นคุณธรรมที่ให้ผลเป็นความสงบเย็นของจิต เป็นคุณสมบัติประจำใจของสัตว์ในพรหมโลก ตรงกันข้าม การทะเลาะเบาะแว้ง เป็นผลของโทสะบันดาลให้เกิดขึ้น เมื่อใดที่ถึงวาระที่จิตทิ้งร่างไปเกิดใหม่ โอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิจึงเกิดขึ้นได้

(๓). อานิสงค์ของบาป แสดงออกเป็นความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจเป็นธรรมดา ขณะที่บาปยังให้ผลอยู่ ผู้ทำเหตุไม่ดีไว้ก่อน ต้องชดใช้หนี้บาปจนกว่าจะหมดสิ้น ฉะนั้นการไปแนะนำสิ่งดีใดๆให้เขาประพฤติ ในห้วงที่ยังต้องเสวยอกุศลวิบากอยู่ ย่อมไม่เกิดผลสัมฤทธิ์

ผู้ถามปัญหามีจิตเป็นกุศลคิดช่วยเหลือน้องชาย ซึ่งจะช่วยได้ต้องทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย หากเขายังรับบุญที่อุทิศแล้วยกเลิกการจองเวร อาการเจ็บป่วยของน้องชายจึงจะมีโอกาสหายได้

(๔). ปัญหาที่ต้องลาออกจากงาน เหตุเป็นเพราะผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด หากปรับความเห็นให้เป็นตรงข้าม แล้วลองพิจารณาสาระคำพูดที่ยกมาแสดงเหล่านี้ว่า เป็นความจริงหรือไม่

๑. อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด

๒. ทัศนคติในการทำงานที่ถูกต้อง คือ
- ทำงานเพื่อเรียนรู้คน เพื่อเรียนรู้วิธีทำงาน
- ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคม
- ทำงานเพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้กับชีวิต
- ทำงานเพื่องาน
ฯลฯ

๓. ความอดทน (ขันติ) เป็นคุณธรรมที่ผู้ใดประพฤติได้แล้ว ย่อมทำให้เกิดเป็นบารมี ผู้ที่บรรลุสิ่งดีงามสูงสุด ล้วนเป็นผู้มีความอดทนสนับสนุน
- ทนต่อความยากลำบากในงานที่ทำ
- ทนต่อความตรากตรำที่ต้องทำงานยาวนาน (๗โมงเช้า ถึง ๓,๔ ทุ่ม)
- ทนต่อความเจ็บใจ

๔. แบกภาระงานทั้งหมด
- ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะตัวเองมีศักยภาพในการทำงานสูงกว่าคนอื่น
- ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า ตราบใดที่ลมหายใจยังเข้า-ยังออกอยู่ โอกาสให้ชีวิตได้เรียนรู้งาน ได้เรียนรู้คน ยังเปิดให้ทำได้
- ผู้มีความเห็นถูก จะไม่หนีปัญหา จะไม่ชิงลาออกจากงาน แบบที่คนเห็นแก่ตัวเขาทำกัน

(๕.) นิสัยชอบทำบุญเป็นเรื่องดี และจะดียิ่งขึ้น หากผู้ถามปัญหาทำบุญใหญ่ด้วยการปฏิบัติธรรม (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) เมื่อใดเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะไม่ปฏิเสธคุณธรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบารมีที่เรียกว่า “ อธิษฐาน ” บุคคลผู้หวังความสำเร็จได้อย่างถูกตรง อาทิ สุมิตตา (ยโสธรา) ลูกสาวอำมาตย์แห่งเมืองหงสวดี (ปชาบดี) ,อุปติสสะ (พระสารีบุตร) ,ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ฯลฯ ล้วนต่างอธิษฐานมาแล้วทุกคน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานั่งเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจนเราไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจ แล้วเราจะพิจารณาตอนไหนคะ เพราะพอคลายจากสมาธิแล้ว เราเหมือนรู้สึกว่าพอแล้ว ไม่อยากนั่งต่อแล้ว

รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ


คำตอบ
ผู้เห็นถูก จะยกเอาความรู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ ขึ้นมาพิจารณาด้วยจิตสงบ จนเห็นว่าความรู้สึกไม่มีลมหายใจดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดความรู้สึกไม่มีลมหายใจ เข้าสู่ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแท้จริงได้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งในความรู้สึกไม่มีลมหายใจย่อมเกิดขึ้น ตรงกันข้ามผู้มีความเห็นผิด ย่อมพอใจในการมีจิตสงบ (สมาธิ) ที่ตนเข้าถึง นี่แหละครับที่เรียกว่า คนหลงลึก ได้แก่พรหมที่เป็นปุถุชนได้แสดงเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็น เพียงลูก ชาวไร่ ชาวนา การศึกษาน้อย มีโอกาสได้ มาแสวงโชคในเมืองหลวง
ตั้งแต่อายุ ๑๕ ดำรงชีพ ด้วยการเป็นช่าง ในบริษัท ต่างๆ จนประสบความสำเร็จ ในอาชีพ
ด้วยการที่มี บริษัท ของตัว เอง แต่ในขณะที่กิจการ กำลังจะไปด้วยดี ก็ต้องถูกเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกับหักหลัง ตอนนั้นผมเอง ก็มีความรู้สึก เครียด แค้น แต่ยังโชคดี ที่ในตอนนั้น ผมเองได้มีโอกาส ได้ไปจัด รายการวิทยุ ชุมชนแห่งหนึ่ง ถึงจะไม่ได้ เงินเดือนอะไร แต่ได้รู้สึกว่า งานที่ทำในขณะนั้น มีส่วน ทำให้ได้ สร้างบุญ เพราะทางสถานี มีโครงการ จัดทัวร์ธรรมะ ทำให้ผมได้เข้าใจ สัจจะธรรม บางอย่าง ว่าการที่ได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม มันมีความสุข อย่างบอกไม่ถูก และในขณะปัจจุบันนี้ ผมอายุได้ ๓๗ ยังคงแสวงหา ครูบาอาจารย์ที่จะสอนสั่ง ในเรื่องการฝึกจิต ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะในเวลานี้ ผมไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอะไร ไม่ปราถนาการสรรเสริญใดๆ หวังแต่เพียงว่า ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ จะสามารถตอบแทน คุณแผ่นดิน คุณบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ ได้อย่างไร

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูง

คำตอบ
ผู้ถามปัญหาจะพบอาจารย์สั่งสอนในเรื่องการฝึกจิต ทำไมไม่ลองอธิษฐานขอพบอาจารย์แล้วฝากตัวเป็นศิษย์ หรือไม่ก็ลองไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หากสู้ไม่ถอย เอาชีวิตเข้าแลกธรรมของพระพุทธะ ได้ธรรมะแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ดิฉัน อยากเรียน ถามขอความรู้อ.ค่ะ คือ ดิฉันเป็นพนักงานในระดับบริหารขององค์กรแห่งหนึ่ง ส-อ จะเป็น อ.พิเศษ สอน นศ.มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง แต่เทอมที่ผ่านมา ปรากฎว่า มี นศ.กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 5-6 คน มาร้องเรียน หัวหน้าภาคฯ เรื่องเกรด นศ แจ้งว่า ดิฉันไม่มีความเป็นธรรม ให้เกรด เขา D เลยทำให้เขาพลาด เกีรตินิยม 1 และเมื่อไปเรียนวิชาอื่น ที่เกียวข้อง ก็มักจะพูดพาดพิง ไปในทางที่ไม่ดี ว่าไม่ได้สอน สอนไม่รู้เรื่อง

เมื่อได้ยินครั้งแรกดิฉัน รู้สึก เสียใจ ที่ เป็นเพราะ เราหรือไม่ที่ทำให้เขาไม่สมความปราถนา , โกรธ ที่ ทุกครั้งที่เราสอน ก็พยามทำเต็มที่เสมอ และ พยายามหาสิ่งใหม่ๆ มาประกอบ และเพิ่มเติมภาคปฎิบัติด้วย แต่กลับได้รับการตำหนิในเรื่องที่ไม่จริงเลย และท้อแท้ ค่ะ เพราะที่ไปสอน ส่วนหนึ่งตั้งใจว่าจะ นำความรู้ที่เรียนมาสอนและทำประโยชน์

ปัจจุบัน ดิฉันมีความคิดที่อยากจะเลิกสอน เพราะรู้สึกเบื่อกับวัฒนธรรมการศึกษาบ้านเราที่มุ่งเน้น แต่ให้เด็กแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันจะลืมประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆ จากการศึกษา วิชาการสอนก็มุ่งเน้นแต่เอาใจตลาด เนื้อหาการสอน มีการพูดถึงคุณธรรมและจริยธรรมบ้างแต่ก็น้อย ยิ่งมหาวิทยาลัยออกนอกระบบด้วยทุกอย่างมุ่งแต่หารายได้

ดิฉันอยากได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์จริงๆค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
ใครจะพูดอย่างไรเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ความเป็นจริงอยู่ที่การกระทำของเรา ในครั้งพุทธกาล จิณจมานวิกา แสร้งทำเป็นท้องโต มากล่าวตู่พระพุทธเจ้าต่อหน้าหมู่ภิกษุ ว่าเป็นพ่อของเด็กในท้อง พระพุทธะมิได้หวั่นไหว เพียงแต่ตรัสกับนางจิณจมานวิกา ในทำนองที่ว่า “ น้องหญิง เรื่องนี้เรารู้กันเพียงสองคน คนอื่นเขาไม่รู้ด้วย ” ในที่สุดเดือดร้อนถึงเทวดาต้องลงมาช่วยทำให้เชือกที่ผูกกับไม้ที่รัดหน้าท้องขาดออก แล้วหล่นลงมา ความจริงจึงปรากฏ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาได้ตระหนักชัดว่า งานสอนตนเอง ได้ทำดีที่สุดแล้ว และมีจิตไม่เป็นอคติแล้ว ไม่ควรเอาคำกล่าวตู่มารบกวนใจให้ขุ่นมัว เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของโลกว่า คนที่มีไอคิวสูง ย่อมมีความเห็นแก่ตัว (ego) สูงตามไปด้วย

อนึ่ง พระพุทธะเป็นผู้รู้จริง มิได้สอนพุทธบริษัทให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมมาแก้ปัญหา ปัญหาจึงจะหมดไปได้จริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนผมชอบทำบุญ ในลักษณะถวายสังฆทานเกือบทุกเดือน และบริจาคโรงศพ ทุกปี อย่างน้อยปีละครั้ง มาในช่วง 2-3 ปีนี้ รายได้ไม่มี ต้องจำกัดเงินในการใช้จ่าย จึงลดการถวายสังฆทานและบริจาคโรงศพ แต่ยังสวดมนต์และนั่งสมาธิอยู่ทุกวัน ในใจก็คิดอยู่บ้างว่า ได้ทำบุญมามาก แต่ทุกวันนี้ทำไมยังพบกับความลำบากอยู่ (แต่จากการศึกษาจาก แว็บของอาจารย์ ก็รู้ตัว และปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนจากการทำบุญ) มาเมื่อไม่นานมานี้ ได้อ่านจากแว็บแห่งหนึ่ง ว่า บางครั้ง เจ้ากรรมนายเวรของเรา ที่อาฆาต ไม่ยอมอโหสิกรรมให้ ก็จะตามเบียดเบียนอยู่ ซึ่งการที่เราอุทิศบุญให้เขา ทำให้เขามีบารมีเพิ่มมากขึ้น ตามเบียดเบียนเราหนักขึ้น แต่เทวดาผู้รักษากลับไม่ได้รับส่วนบุญ เพราะเราไม่ได้อุทิศให้ท่าน

ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นเช่นไรครับ



คำตอบ

ผู้ใดประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้แล้ว ความประพฤติทั้งสิบรูปแบบนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งบุญ และบุญที่มีอานิสงส์สูงสุด ได้แก่บุญที่เกิดจากประพฤติจิตตภาวนา (ปฏิบัติธรรม) ซึ่งผู้ใดทำบุญโดยไม่หวังผลตอบกลับคืนมา ผู้นั้นได้บุญเต็มร้อย เมื่อผู้มีบุญได้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับผู้มีอุปการคุณ รวมถึงเทวดาที่คุ้มรักษา และเขาเหล่านั้นมาอนุโมทนาบุญได้ ผลแห่งการอุทิศบุญย่อมเกิดขึ้น

อนึ่ง การถวายสังฆทาน การบริจาคโลงศพ เป็นบุญที่ให้อานิสงส์น้อยกว่าการปฏิบัติธรรม หากมีหนี้เวรกรรมมาก การอุทิศบุญที่มีอานิสงส์น้อยเช่นนี้ ทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้ยาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การทำบุญเพื่ออุทิศให้กับผู้ที่เราต้องการให้นั้น เช่นบิดา มารดา เป็นต้น
มักอุทิศเผื่อไปให้กับผู้อื่น เช่น สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น ด้วยเสมอ
เป็นการสมควรหรือไม่คะ หรือเมื่อถงวาระที่จะทำบุญแบบเจาะจงก็ต้องเจาะจง จึงจะเป็นการสมควร

2. หากท่านอ.มีข้อตักเตือนใด ก็ขอให้เมตตาตักเตือนชี้แนะดิฉันด้วยนะคะ

ขอขอบพระคุณในความกรุณาที่ท่านอาจารย์ เสียสละเวลาในการตอบปัญหา และชี้แนะแนวทางแก่ดิฉันเป็นอย่างสูงนะคะ
และขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ได้สร้างสมไว้ดีแล้วคะ

ปุถุชนคนหนึ่ง

คำตอบ

(๑). เมื่อผู้ถามปัญหาต้องการให้ ต้องถามว่าผู้รับต้องการไหม หากผู้รับ อาทิ บิดามารดา อยู่ในวิสัยที่มารับบุญได้และเขามาอนุโมทนาบุญ ความสำเร็จในการอุทิศบุญย่อมเกิดขึ้น จะอุทิศบุญแบบเจาะจงหรืออุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ ย่อมทำได้ตามใจปรารถนาของผู้อุทิศ

(๒). การทำบุญมีให้เลือกทำได้สิบอย่าง ได้แก่ บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีของผู้อื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม ทำความเห็นให้ถูกตรง

อนึ่ง การเจริญจิตตภาวนา (ปฏิบัติธรรม) เป็นบุญใหญ่สุด เพราะสมถภาวนามีอานิสงส์ให้เข้าถึงเป็นสหายกับหมู่พรหมได้ และวิปัสสนาภาวนามีอานิสงส์ให้เข้าถึงนิพพานได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีทุกข์ที่จะขอความสว่างทางปัญญาอีกแล้วค่ะ

หัวหน้างานมักจะไม่มอบหมายงานให้เป็นกิจลักษณะ และระเบียบการขึ้นเงินเดือนใหม่ของข้าราชการ ต้องให้บันทึกการทำงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อเป็นหลักฐานการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ทำให้หนูไม่มีงานที่ได้รับมอบหมายทำและบันทึกที่เป็นกิจลักษณะ ได้แต่บันทึกสิ่งที่ทำ หนูรู้สึกร้อนใจเกิดความขุ่นเคืองบ่อย ๆ แล้วก็อึดอัด เวลาทำงานจะรู้สึกว่างมาก ๆ

หนูควรทำอย่างไรดีคะ ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ



คำตอบ
ผู้ใดรอคำสั่งจากหัวหน้างาน แล้วจึงปฏิบัติงานได้ ผู้นั้นด้อยศักยภาพ ตรงกันข้าม ผู้ใดปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยไม่ต้องรอรับคำสั่งจากหัวหน้างาน ผู้นั้นมีศักยภาพ เช่นเดียวกันในการปฏิบัติธรรม ครูสอนกรรมฐานที่ดี ย่อมไม่สอนกรรมฐานแก่ศิษย์ หากศิษย์มีปัญหาแล้วนำตัวเข้าหาพร้อมกับไต่ถามถึงข้อติดขัด ครูจะแนะนำให้ ศิษย์เช่นนี้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ผู้ด้อยศักยภาพมีเวลาว่างมาก แต่ผู้มีศักยภาพหาเวลาว่างได้ยาก ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องย้อนกลับมาดูตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกต้อง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเรื่องจะรบกวนอาจารย์นิดหน่อยค่ะ คืออยากจะถามว่าถ้าเราทำงานไม่มีความสุขเพราะในที่ทำงานเราต้องพบกับคนที่เราคิดว่าเอาเปรียบเรา ไม่จริงใจ ไม่มีน้ำใจ เป็นต้น เราควรจะปรับความคิดของเราอย่างไรดีค่ะ เราจึงจะทำงานอย่างมีความสุขและสนุกสนาน ทั้ง ๆ ที่อ่านหนังสือของท่านอาจารย์มาคิดว่าเข้าใจดีแล้วแต่พอถึงเวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำใจยากค่ะ เพราะต้องยอมรับว่าตัวเองยังมีกิเลสอยู่

สุดท้ายนี้ขออวยพรให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปเพื่อที่จะได้ทำภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้ตั้งใจไว้ค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดประสงค์อยู่กับโลก หรืออยู่กับการทำงานให้กับสังคมอย่างมีความสุข ต้องพัฒนาตัวเองให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะเห็นว่า การทำงานเป็นการเรียนรู้ตน เรียนรู้วิธีการทำงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับชีวิต ผู้มีปัญญาเห็นถูกเห็นว่า ใครประพฤติเบียดเบียนเรา เป็นเรื่องดี เพราะเรามีสิ่งดีให้เขาเบียดเบียน ตรงกันข้ามหากเราไปเบียดเบียนใคร แสดงว่าเราเป็นคนพร่อง เป็นคนขาดแคลน เป็นคนไม่มีน้ำใจ จึงต้องประพฤติเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนสังคม เบียดเบียนประเทศชาติ ฯลฯ เมื่ออายุขัยจบสิ้นลง พลังแห่งการประพฤติเบียดเบียน (บาป) ย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่ภพภูมิต่ำ ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น แต่ตาใน (ทิพพจักขุ) สัมผัสได้

ฉะนั้น บุคคลผู้หวังความเจริญของชีวิต พึงหมั่นฝึกจิตให้มีกำลังสติ และปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นได้เมื่อใดแล้ว จึงจะอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุข อยู่กับการทำงานอย่างมีความสุข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 77, 78, 79, 80, 81, 82, 83 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร