วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 02:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 78, 79, 80, 81, 82, 83, 84 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ผมได้ฝึกนั้งสมาธิด้วยตนเองทุกวัน ตั้งใจว่าจะทำทุกวัน(เว้นวันที่ไม่สะดวก)ตลอดชีวิต การไม่มีครูอาจารย์ช่วย จะมีโอกาศมีดวงตาเห็นธรรมหรือเปล่าครับ เพราะงานที่ทำอยู่ไม่มีโอกาศเข้าฝึกอบรมปฏิบัติธรรมเลยครับ

2 สมาธิระดับ ขณิกสมาธิ อุปปจารสมาธิ อัปนาสมาธิ มีอาการอย่างไรที่บอกได้ว่านั้นคือสมาธิระดับนั้นครับ และ การเอาชีวิตเข้าแลกกับความปวดเมื่อย แต่เคยได้ยินบางคนทำแล้วขาชา อาจารย์ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

3 จะสร้างเหตุอะไร ให้ได้เกิดในศาสนาพุทธอีกครับ

สุดท้ายนี้ขออำนาจ คุณ พระศรีรัตนไตร จนปกปักรักษา อ.สนอง และทีมงามกัลยาณธรรม ให้ปราศจากสิ่งขัดขวางต่อการสร้างบามี ขอบคุณด้วยใจครับ

คำตอบ
(๑). ข้อความที่เขียนไว้ในวงเล็บ เขียนโดยคนที่ไม่มีสัจจะ เพราะตั้งใจว่าจะทำทุกวันแล้วไม่ทำตามที่ตั้งใจ อย่างนี้สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ฉะนั้นพึงกำหนดความตั้งใจ (อธิษฐาน) เสียใหม่ว่า จะทำให้ได้มากเท่าที่โอกาสเปิดให้ทำอย่างนี้ ไม่เสียสัจจะ แล้วการปฏิบัติธรรมย่อมเข้าถึงมรรคผลได้ง่าย

อนึ่ง งานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน หากไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม และมีสติอยู่กับงานที่ทำ มีปัญญาเห็นถูกตรงอยู่กับงานที่ทำ การเข้าถึงดวงตาเห็นธรรม จึงจะมีโอกาสเกิดได้

(๒). ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วทำให้จิตสงบเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว เรียกว่า ขณิกสมาธิ ปฏิบัติสมถภาวนาแล้วทำให้จิตสงบเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ เรียกว่า อุปจารสมาธิ และปฏิบัติสมถภาวนาแล้วทำให้จิตเข้าถึงสมาธิแน่วแน่ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ สมาธิทั้งสามระดับนั้น จะรู้เห็น เข้าใจได้อย่างถ่องแท้กับผู้ปฏิบัติธรรม และมีสภาวะของจิตเป็นเช่นดังที่กล่าว

อนึ่ง จะพัฒนาจิตให้อยู่เหนือความปวดเมื่อยได้ ต้องมีสภาวะของจิตเป็นอย่างน้อยอุปจารสมาธิ แล้วความจริงในสัจจธรรมดังกล่าว จึงจะเกิดขึ้นได้

(๓). ผู้ใดปรารถนาเกิดมาเป็นชาวพุทธ ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงสามอย่างคือ สร้างมหาทาน อธิษฐานเกิดอีกเป็นชาวพุทธ และทำเหตุให้ถูกตรงคือ ประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจ เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาย่อมเกิดเป็นจริงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูอยากทราบว่าการรักษาจิตใจโดยใช้การสะกดจิต เพื่อเป็นการแก้ไขจิตใต้สำนึกของเราในเรื่องที่ฝังใจ เช่นบิล บัณลือฤทธิ์ กลัวเข็มมากก็รักษาให้หายกลัวได้

อยากเรียนถามคุณพ่อว่ารักษาได้จริงไหม เพราะหนูไปลงทะเบียนรักษามา 1 ครั้ง แล้วครั้งต่อไปก็จะนัดอีก ก็เลยอยากรู้ว่าเป็นวิธีรักษาที่ถูกต้องและตรงจุดหรือไม่ (รักษาแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย) แต่ที่สำคัญเค๊าบอกให้เลิกสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อนในช่วงที่รักษา แต่หนูก็ใช้ธรรมมะรักษาใจตัวเอง มา 2 ปี กว่าแล้ว ไม่อยากเลิกปฏิบัติธรรรมซักวันค่ะ เพราะรู้สึกชีวิตอยู่ได้ด้วยธรรมมะ ถึงแม้ว่าทุกข์จะยังมีอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ

ปีหน้าหนูจะเรียนต่อปริญญาโทเกี่ยว่กับธรรมะและปฏิบัติธรรมคู่ไปด้วย เพราะหนูวางแผนชีวิตว่าอยากรับใช้พระพุทธศาสนาค่ะ ( จำเป็นหรือไม่ค่ะ) อยากให้ทุกคนมีธรรมมะในหัวใจจะได้พ้นทุกข์ร่วมกัน

ทุกวันนี้หมั่นทำบุญให้มากขึ้น สวดมนต์ เจริญสติ ใส่บาตร ทำสังฆทาน ฟังธรรมเนื่องๆ และที่ภูมิใจที่สุดได้จัดงานฟังบรรยายธรรมขึ้นร่วมกับสามีเร็ว ๆ นี้ค่ะ โดยเรียนเชิญคุณพ่อเป็นหนึ่งในองค์บรรยายนั้นด้วย วันที่ 24 มกราคม 2553 ที่อาคารวงศ์ชาญศิลป์ (บางลำพู)

อนาคตคิดอยากจะเปิดสถานปฏิบัติธรรมเป็นศูนย์รวมให้คนมาปฏิบัติ ฟังธรรม ขอบารมีคุณพ่อช่วยส่งให้หนูและสามีได้มีโอกาสรับใช้พระพุทธศาสนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยนะคะ

คำตอบ

วิธีรักษาโรคด้วยการสะกดจิต เป็นวิธีการที่ถูกของผู้ที่นำมาใช้ แต่ไม่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธโคดม ที่สอนให้ปฏิบัติสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา จนมีสติมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้น แล้วความกลัวในสิ่งใดๆย่อมไม่มี

ผู้ใดประสงค์ให้เกิดผลจากการปฏิบัติธรรมก้าวหน้ารวดเร็ว ควรนำตัวเข้าปฏิบัติกรรมฐาน โดยไม่จำเป็นต้องสร้างสัญญาที่เป็นอวิชชาให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นกับใจ หากประพฤติได้เช่นนี้แล้ว การเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติธรรม ย่อมเกิดได้ง่าย

สาธุ ที่ผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกด้วยหมั่นทำบุญอยู่เสมอ เพราะบุญเป็นที่พึ่งดีทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า รวมทั้งยังเป็นสะพานส่งถึงพระนิพพานได้ และความคิดที่จะสร้างสถานปฏิบัติธรรมเป็นดำริของผู้มีความเห็นถูก
.... สาธุ จงสำเร็จ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขออนุญาตเรียนถามคำถามท่าน ดังต่อไปนี้ครับ
ผมทำงานบริษัท และได้รับโอกาสให้ไปเรียนงานจากหน่วยงานอื่นโดยมีสัญญาผูกมัดว่า เมื่อเรียนงานเสร็จแล้ว จะต้องกลับมาทำงานที่ต้นสังกัดเป็นเวลาเท่าที่เรียน ขณะนี้เรียนงานเสร็จแล้วและทำงานให้หน่วยงานเก่า
แต่ว่าก็มีหัวหน้างานฝ่ายใหม่เสนอจะดึงตัวไปทำงานให้เขา โดยให้งานมอบหมายที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามการจะย้ายไปต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าของบริษัท ซึ่งท่านเจ้าของก็เห็นควรว่าเป็นโอกาสที่ดีกว่าสำหรับผม
( แต่ผมก็ทราบดีว่าหัวหน้าคนที่ส่งตัวผมไปเรียนคงจะเสียใจและผิดหวังในการ ตัดสินในของผม)

1. หากเจ้าของบริษัทอนุญาตแล้ว อย่างนี้ ผมจะเข้าข่ายอกตัญญูหรือไม่ครับ ?แม้ผมเรียนงานมาแล้ว แต่ไม่ได้ทำงานแผนกเดิมแต่ก็ยังทำงานให้บริษัทเดียวกันอยู่

2. ท่านโปรดช่วยแนะแนวทางดำเนินชีวิตให้ผมด้วยครับในใจผมอยากที่จะไปทำงานใหม่ แต่ลึกๆในใจก็มีข้อแย้งว่าทำไมเราถึงเป็นคนอกตัญญู และควรทำงานชดใช้เขาซะในชาตินี้ดีกว่าไปใช้ชาติต่อๆไป ผมคิดอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ?

ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
(๑). คำว่า “ ต้นสังกัด ” หมายถึง สังกัดเดิม ในที่นี้คือบริษัทเดิม การย้ายไปทำงานอยู่ในแผนกอื่น จึงไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญู

(๒). การรับเงื่อนไขและปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รับได้ ถือว่าเป็นการประพฤติตรงและจริงใจ (ซื่อสัตย์) เมื่อใดที่ปฏิบัติได้ครบถ้วนถูกตรงตามเงื่อนไขแล้ว จะย้ายไปทำงานในที่แห่งใหม่ที่ไม่ใช่บริษัทเดิม ไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญู แต่ควรจะบอกกล่าวหน่วยงานเดิมล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมตัวรับคนใหม่เข้ามาทำงานแทน และงานก็จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูสงสัย ใจมีอยู่รึป่าวคะ หรือเป็นสิ่งสมมติ



คำตอบ
ใจมีอยู่จริง เป็นสมมุติบัญญัติ เป็นพลังงานที่มีความถี่คลื่นเล็กที่สุด ที่ระบบประสาท หรือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดได้ ผู้ใดประสงค์จะพิสูจน์ว่าใจมีอยู่จริง ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด ที่เรียกว่าเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วถอยจิตออกจากฌาน ทิพพจักขุย่อมสัมผัสได้กับการมีอยู่จริงของใจ

ปัญหามีอยู่ว่า ได้ชี้ทางให้แล้ว ผู้ถามปัญหาจะพิสูจน์สัจจธรรมนี้ไหม ?

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์เคยเล่าถึงร่างทรงที่ดูดวงแม่น แต่ไม่สามารถทำนายดวงชะตาของอาจารย์ได้ถูก แต่ปุถุชนธรรมดาอย่างดิฉันที่กำลังเริ่มเดินทางโดยยังไปไม่ถึงไหน จะต้องเป็นไปตามคำทำนายหรือไม่คะ ตอนนี้ใจดิฉันสับสนมาก เพราะแฟนบอกว่าพ่อปู่ (ร่างทรง)ที่เชียงใหม่ ทายแม่นมาก (เค้าทำนายแม่นเหมือนตาเห็นจริงๆ) ที่ดิฉันร้อนใจเพราะ พ่อปู่ทำนายว่าดิฉันกับแฟนไม่ใช่เนื้อคู่กัน เป็นเพียงกัลยาณมิตรแฟนจะได้เจอเนื้อคู่ตัวจริงเมื่อเค้าอายุครบ 47 ( เดือน มกราคม 2553) ซึ่งลักษณะและอายุไม่ใช่ดิฉันแน่ๆ

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ทำไมพ่อปู่ถึงทำนายได้เหมือนตาเห็นล่ะค่ะ เค้ามีอมนุษย์มาใช้ร่างจริงๆหรือคะ ถึงได้รู้เรื่องที่เป็นความลับของดิฉันได้ ทั้งที่แฟนก็ไม่รู้

2. พ่อปู่บอกว่าแฟนจะต้องแต่งงานกับเนื้อคู่ที่จะเจออีกไม่กี่เดือนนี้อย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเป็นจริงหรือไม่คะ แล้วดิฉันควรจะทำยังไง ต้องออกมาจากชีวิตเค้าก่อนจะเสียใจไปมากกว่านี้หรือเปล่าคะ

3. เนื้อคู่มีจริงๆหรือคะ (หมายถึงเนื้อคู่ที่มีกรรมผูกพันกันมา และจะได้ร่วมชีวิตกันในชาติปัจจุบันนี้แน่ๆ) ดิฉันนึกว่าเกิดจากเหตุปัจจัยที่ร่วมกันทำในปัจจุบันเสียอีก

ขอบพระคุณที่อาจารย์เมตตาสงสารดิฉันและเพื่อนมนุษย์ทุกคน เสมอมา

ป.ล.ดิฉันอาจจะคิดมากวิตกจริตไปก่อน แต่ถ้าเค้าไม่ทายเรื่องอื่นแม่น ดิฉันคงไม่ร้อนใจขนาดนี้ค่ะ

ด้วยความนับถืออาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
(๑). ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้ เมื่อถอยจิตออกจากความทรงฌาน ผู้นั้นสามารถรู้ความเป็นไปของชีวิตบุคคลผู้เป็นปุถุชนได้ หรือผู้ใดยินยอมให้จิตวิญญาณอื่น มาใช้ร่างกายของตนกระทำกรรม (เข้าทรง) จิตวิญญาณที่มาอาศัยร่างทรง ย่อมรู้ความเป็นไปของชีวิตบุคคลผู้เป็นปุถุชนได้ โดยใช้ร่างนั้นสื่อให้รู้ด้วยการแสดงออกทางวาจาได้

(๒). มีโอกาสเป็นจริงได้ หากคนที่ถูกเรียกว่าแฟน ยังปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามยถากรรม และมีโอกาสไม่เป็นจริง หากคนที่ถูกเรียกว่าแฟนได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงอริยธรรม เช่นเดียวกับคนไม่ฉลาด ย่อมแสวงหาที่พึ่งอันเป็นกำพร้า คือไม่มีอยู่จริงในวันข้างหน้า ผู้รู้จริงแสวงหาสิ่งที่ไม่กำพร้ามาเป็นเพื่อน มาเป็นที่พึ่ง คือธรรมะในพุทธศาสนา ใครผู้ใดมีธรรมะเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งแล้ว ชีวิตย่อมพบแต่ความสวัสดีทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า ... แน่นอน

อนึ่ง พระพุทธะตรัส ว่า “ บุคคลมีมนุษย์ สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ” ผู้ถามปัญหาจะผูกมัดตัวเองให้หมดอิสรภาพแบบไหน เลือกผูกเอาตามที่ชอบ

(๓). เป็นจริง สำหรับผู้ปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามยถากรรม แต่ ไม่เป็นจริง สำหรับ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่สามารถทวนกระแสของกรรมได้

ร้อยปากที่คนอื่นพูด ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับการกระทำของตนเอง จริงไหมครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีพี่ที่รู้จักชวนไปงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทางจิตงานหนึ่ง (ซึ่งอ.ดร.บรรจบได้ไปบรรยายที่งานด้วย) และชวนผมพบพระรูปหนึ่ง ที่เชื่อว่าท่านดูวิบากกรมได้ ผมไม่เคยไปพบพระลักษณะนี้มาก่อน แต่ด้วยความเกรงใจจึงไม่กล้าขัด เมื่อพบแล้วท่านทักเกี่ยวกับวิบากกรรมของผมในอดีตชาติ และแนะนำว่าต้องทำสังฆทานตามที่จำนวนที่ท่านแนะนำ ด้วยจำนวนเงินเกือบสองหมื่นบาท และต้องสร้างพระประจำวันเกิด ด้วยจำนวนเงินสามหมื่นกว่าบาท ที่สำนักสงฆ์ของท่าน และต้องบวชอย่างน้อยหนึ่งพรรษา เพื่อแก้ไขวิบากกรรมที่เจ้ากรรมนายเวรตามมา พระท่านบอกว่าผมโดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานแบบเบาๆมาประมาณสามสี่ปีแล้ว และจะกำลังหนักขึ้นเรื่อยๆ

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการแก้กรรม แต่เชื่อว่าธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม และเชื่อมั่นในการทำความดี แต่เมื่อโดนทักเข้าตรงๆ ตามประสาผู้ที่เป็นปุถุชนและยังไม่เห็นธรรม จิตใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ และพี่ที่แนะนำไปก็บอกว่าท่านแนะนำอะไรให้ทำไปก่อน แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นนั้นหรือไม่ จึงกราบเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ ดร.สนองด้วยครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ

พระรูปนั้นที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าให้ฟัง เป็นสมมุติสงฆ์ที่ยังประพฤติละเมิดวินัยของพระพุทธะ ยังประพฤติดิรัจฉานวิชา คือใช้ความรู้ที่ขวางต่อทางพระนิพพาน มาทำนายทายทักชีวิตของบุคคลอื่น ซึ่งพระสุปฏิปันโนหรือพระอริยสงฆ์ไม่ประพฤติกัน ดังนั้นผู้ถามปัญหาจะศรัทธาเลื่อมในในภิกษุประเภทนี้หรือไม่ เป็นสิทธิ์ของผู้ถามปัญหา แต่ผู้รู้เชื่อใน “ กฎแห่งกรรม ” และเชื่อว่า “ ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม ” นั้นเป็นจริงแท้แน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกดีใจเหลือเกินที่มีโอกาสได้ ดู อ่าน ฟังธรรมจากคุณพ่อซึ่งมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามธรรม
และสอนได้อย่างเข้าถึง ถูกตรง และกินใจ ลูกมักจะปลื้มปิติเกือบทุกครั้งที่ได้มีโอกาสฟังธรรมของคุณพ่อ
บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความปิติ ลูกมีความสุขมากครับที่ได้ฟังธรรม

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือลูกพยายามปฎิบัติตามธรรมที่คุณพ่อสั่งสอน ถึงแม้ลูกจะออกนอกลู่นอกทางบ้าง
แต่ลูกก็ยังคงมีคำสอนของคุณพ่อและครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านคอยเตือนสติ

ต้องขออภัยคุณพ่อที่อธิบายมายืดยาว...
คำถาม ตัวลูกเองนั้นเป็นเกย์.. นี่คงจะเป็นผลจากการกระทำของลูกในอดีต แต่ลูกเองก็ยินดีและยอมรับในผลกรรมนั้น
ลูกเคยเสียใจผิดหวังมาบ้างแต่ลูกก็มองชีวิตในแง่บวกเสมอ และไม่ได้มองว่าชีวิตตัวเองติดลบ เพราะยังมีสิ่งดีดีที่ลูกเลือกทำได้อีกมากมาย และตัวลูกเองนั้นก็พยายามตั้งอยู่ในศีล 5 ถึงแม้อาจจะเคยพิดพลาดไปบ้าง

ในเวลาอีกไม่นาน... ลูกนี้ก็จะต้องบวชซึ่งคุณพ่อของลูกเคยขอให้บวชมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลูกเรียนจบ แต่ลูกก็ผลัดผ่อนมาเรื่อยด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งแน่นอนลูกพอทราบว่าในการบวชนั้นต้องมีการขานนาค และในพระธรรมวินัยนั้นมีกฎระเบียบอย่างไร
แต่ทีนี้ถึงอย่างไรลูกก็คงต้องบวช เพราะถ้าลูกต้องบอกคุณพ่อของลูกว่าลูกเป็นเกย์ลูกก็กลัวว่าท่านจะเสียใจและ รับไม่ได้
ยิ่งถ้าอ้างเหตุผลและกฎระเบียบในการบวชด้วยแล้ว ก็กลัวว่าจะยิ่งไปกันใหญ่ ลูกควรจะทำอย่างไรดีครับ...

อีกอย่างนึงคุณพ่อ คุณย่า ท่านอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูก เปรียบเสมือนลูกได้ทดแทนพระคุณท่าน และมารดา

ถ้าสมมุติลูกบวชเข้าไปแล้ว... จะมีผลอย่างไรบ้าง... ลูกควรทำอย่างไร.. เพราะลูกก็ไม่อยากสร้างวิบากที่ไม่ดีให้กับตัวเองและผู้อื่น ...

และอีกอย่างนึง คนที่เป็นแบบลูกจะมีโอกาสได้ปัญญาเห็นแจ้งเหมือนคุณพ่อมั้ยครับ...
ความเป็นโสดาบันหรืออริยบุคคลจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นเกย์บ้างมั้ยครับ...
ลูกรบกวนคุณพ่อช่วยตอบคำถามด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณ คุณพ่อ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูงครับ

สุดท้ายขออวยพรให้ธรรมะคุ้มครองคุณพ่อและครอบครับ.. รวมถึงผู้สนทนาธรรม ผู้ฟังธรรมของคุณพ่อทุกท่าน
จงมีแต่ความสุขความเจริญตลอดจนเข้าสู่พระนิพพานเทอญ...สาธุ

คำตอบ
ในภาษาไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มิได้บัญญัติคำว่า “ ปิติ ” ขึ้นมาใช้สื่อความหมาย แต่พุทธศาสนาเรียกสภาวะของจิตที่เป็นความปลาบปลื้มใจ อิ่มใจ ว่า “ ปิติ ”

อนึ่ง ผู้ใดเชื่อว่า กฎแห่งกรรมมีจริง และยอมรับความจริงในเหตุผลที่ตนทำได้ เรียกผู้มีศรัทธาเช่นนี้ว่า เป็นผู้ที่เจริญได้ในวันข้างหน้า จิตของสัตว์บุคคลที่มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในชาติปัจจุบัน ไม่มีใครสักคนที่ไม่เคยประพฤติผิดพลาด แต่ผู้มีสติปัญญาเห็นถูก ใช้ความผิดพลาดมาเป็นครูสอนใจ และไม่ประพฤติให้ผิดซ้ำอีกต่อไป จึงใช้ความผิดพลาดเป็นบันไดก้าวสู่ความเป็นอริยบุคคลได้

เรื่องที่ผู้ถามปัญหาเขียนปรึกษาไป ผู้รู้แก้ปัญหานี้ ด้วยการใช้สถานะของการเป็นฆราวาส ปฏิบัติธรรมจนสามารถพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง จนทำให้จิตเป็นอิสระจากพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว จึงจะเปลี่ยนจากเพศฆราวาสไปอยู่ในเพศของภิกษุ ซึ่งดีกว่าการเริ่มต้นที่ไม่บริสุทธิ์ แล้วมาปฏิบัติธรรมภายหลัง ย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อคุณพ่อ คุณย่า อยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูกของหลาน จงรับปากกับท่านว่า จะบวชให้ แต่ขอเลือกเวลาที่เหมาะสมด้วยตนเอง

อดีตโสเภณีแห่งแคว้นวัชชีที่ชื่อว่า อัมพปาลี เลิกประกอบอาชีพทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วมาบวชเป็นภิกษุณีปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุอรหัตตผลได้ สิริมาโสเภณี แห่งแคว้นมคธ เลิกประกอบอาชีพทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาปฏิบัติธรรม จนจิตบรรลุโสดาปัตติผลได้ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ สตรีเพศทั้งสองยังทำให้ดูเป็นตัวอย่างดีได้ ประสาอะไรกับผู้ถามปัญหาผู้บุรุษเพศจะทำไม่ได้ล่ะ ขอเพียงให้มีศรัทธามั่นคงอยู่กับพระรัตนตรัย และมีศีล ๕ ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุณธรรมดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ผู้ประพฤติมีศีล มีสัจจะ มีความเพียร เป็นแรงสนับสนุน จึงสามารถพัฒนาจิตให้เป็นอริยบุคคลได้ จริงแท้แน่นอน ... สู้ ... สู้ ... สู้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันสวดมนต์เที่ยงคืน ทำวัตรเย็นแล้วก็สวดมนต์หนังสือหลวงพ่อจรัสต่อ แล้วต่อด้วยชินบัญชร อีก 10 จบ ต่อมาก็ฝึกจิตนั่งสมาธิสักระยะหนึ่งมันมีภาพบ้านเก่าๆหลายหลังแล้ว เห็นภาพชายแก่มีฐานะ สักพักมีแสงผ่านเข้าตาวาวจ้ามาก ขณะนั้นดิฉันตกใจมาก แล้วกำหนดจิตให้นิ่ง แล้วก็แผ่เมตตาตอนแผ่เมตตาดิฉันรู้สึกตัวลอยขึ้นแล้วขนลุกทั้งตัวแล้วตัวชา หายใจไม่ค่อยออก แล้วก็พยายามแผ่เมตตามันเหนื่อยมากปากมันไม่ขยับ แล้วดิฉันก็พยายามแผ่เมตาจนจบแล้วค่อยลืมตาขึ้นมา ดิฉันลืมตาไม่ได้ แล้วก็ตั้งจิตแล้วค่อยลืมตาขึ้นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยมากๆๆ ลุกไม่ขึ้นแล้วหายใจแทบไม่ทันอาการเหมือนคนที่ออกกำลังกายมากๆๆแล้วหายใจไม่ ทันเกือบจะเป็นลม ทำไมถึงเป็นแบบนี้คะ แล้วเราจะกำหนดจิตอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าตัวลอยขึ้นจากที่เรานั่งอยู่

ท่านอาจารย์ดร.เจ้าค่ะ ช่วยให้หนูได้เห็นทางออกด้วยเถอะเจ้าค่ะ

กราบนมัสขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าคะ

คำตอบ
การเปลี่ยนสภาวะจิตที่สงบ มาเป็นจิตที่ปรุงอารมณ์แบบทันทีทันใด ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในปริมาณที่มากในห้วงเวลาอันสั้น ย่อมทำให้ร่างกายสร้างพลังงานปริมาณมากขึ้นมาไม่ทัน อาการเหนื่อยคล้ายจะเป็นลมจึงได้เกิดขึ้น ฉะนั้นการเปลี่ยนสภาวะของจิตที่สงบ มาเป็นจิตที่ปรุงอารมณ์ ต้องให้เวลาแก่ร่างกายได้ปรับตัวชั่วระยะหนึ่ง แล้วปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น

เมื่อใดรู้สึกว่าตัวลอย ผลนั้นเนื่องจากกำลังของสมาธิเป็นเหตุ เป็นการใช้สมาธิผิดธรรม จึงต้องกำหนดว่า “ ลอยหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการรู้สึกตัวลอยดับไป แล้วใช้จิตที่มีกำลังสมาธิไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงจะเรียกว่าเป็นการใช้สมาธิถูกธรรม (สัมมาสมาธิ)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. สภาวะจิตสุดท้ายซึ่งมีส่วนกำหนดให้ดวงจิตไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นหรือต่ำลง นั้น สำหรับผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย (ตายโหง) นั้น สภาวะจิตสุดท้ายคือเมื่อใด ระหว่างเมื่อดวงจิตทิ้งร่าง หรือว่าขณะเป็นสัมพเวสีแล้วถึงเวลาหมดอายุขัยแล้วจริง ๆ และสัมพเวสี สามารถปฏิบัติธรรมต่อไปอีกก่อนที่จะหมดอายุขัยจริงได้หรือไม่

2. เพราะเหตุใด เมื่อท่านอาจารย์ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านเจ้าคุณโชดกจึงต้องกำชับว่าต้อง "รักษา" สิ่งที่ได้มาไว้อย่างดี แล้วเหตุใดท่านอาจารย์จึงต้องใช้พละ ๕ ในการรักษาสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติเอาไว้ ในเมื่อผู้เข้าถึงกระแสแห่งนิพพานจะไม่หลุดออกจากกระแสนั้น ถึงแม้จะดับขันธ์ไปจุติใหม่แล้วก็ตาม

3. เมื่อครั้งยังเด็ก สมัยผมเรียนอยู่ชั้น ป. ๒ อยู่ดี ๆ ครูที่โรงเรียนก็เอาพระเครื่องเก่า ๆ องค์หนึ่งมาให้ผม เป็นพระปางลีลา สีดำ เป็นลักษณะภาพนูนต่ำ ดูเป็นของเก่า ๆ โบราณ น่าจะทำโดยใช้ดินหรืออะไรมิทราบมาปั้น (ดูแล้วน่าจะมีจำนวนจำกัด) แล้วบอกว่าที่ให้ผมเพราะบริจาคเงินผ้าป่าที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นมากที่สุดใน ชั้น ผมก็รับเอาไว้แล้วเอามาคุยกับเพื่อน แต่เพื่อนบอกว่าเขาบริจาค ๒๐ บาทเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้พระดังกล่าว

เมื่อโตขึ้นมานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ก็สงสัยว่าเหตุที่อาจารย์เอาพระองค์นี้มาให้ ช่างแปลกประหลาด น่าสงสัยยิ่งนัก ตอนนี้ผมก็มีสมมติฐานเป็นสองทาง ว่าพระองค์นี้อาจจะมีมนต์ดำหรืออะไรบางอย่าง ที่ทำให้ครูท่านนั้นไม่อยากเก็บไว้แล้วเอามาให้ผม หรือมีอะไรดลใจให้ท่านเอามาให้ผม ท่านอาจารย์สนองคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ?

4. ผมเคยมีประสบการณ์แปลก ๆ ทางจิตอยู่บ้าง ผ่านทางความฝัน (เพราะจากที่เคยบอกไว้ในฉบับแรกว่าการปฏิบัติกรรมฐานของผมยังอยู่ในระดับ เริ่มต้น) โดยเคยฝันเห็นข้อความที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต ๑ ครั้ง ในขณะฝันไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็มีการคิดโต้ตอบความฝันนั้น จึงทำให้กลับมาระลึกถึงได้ เมื่อได้ประสบกับข้อความนั้นในความเป็นจริงในเวลาต่อมา แล้วอีกครั้งหนึ่งฝันเหมือนมีเสียงมาบรรยายสัจธรรมของโลก ที่สอดคล้องกับหลักธรรมเรื่องความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แล้วผมก็ได้พิจารณาตามแล้วรู้สึกว่าจิตใจเมื่อได้พิจารณาตามสารจากเสียงนั้น แล้ว เป็นจิตใจที่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เรียกได้ว่าอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ อยากถามอาจารย์ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว มีสาเหตุจากอะไร ? สามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการทางจิตของผมได้หรือไม่ ?

5. ข้อแตกต่างของการให้ปัญญาแก่บุพการีกับความอกตัญญูนั้นอยู่ที่ใด ? เพราะจากประสบการณ์ชีวิต ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า บุพการี ก็เป็นสามัญชนเช่นเดียวกับเรา ไม่สามารถยึดเป็นนิยามของความถูกต้องได้ ในบางครั้ง ความคิดและการกระทำของท่านเป็นไปในทางมิจฉาทิษฐิหรือไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด โดยบางครั้งก็เป็นในส่วนของความคิด บางครั้งก็เป็นในส่วนของวิธีการ ผมเห็นว่า การโอนอ่อนผ่อนตาม หรือการเชื่อฟังสิ่งที่มาจากการเห็นผิดของท่านไม่ว่าจะโดยความคิดหรือวิธี การนั้น ก็รังแต่จะทำให้กิเลสของท่านเติบโต เป็นการสนองตัณหาแล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น จึงลองแสดงความคิดเห็นของตนออกไปบ้าง ซึ่งบางครั้งผมก็ผิดบางครั้งก็ถูก แต่ในบางกรณี ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยึดติดในอัตตาสูง เมื่อฝ่ายท่านเข้าตาจน ก็จะงัดไม้ตายออกมาใช้โดยต่อว่าเราว่าเป็นคนเถียงพ่อเถียงแม่ ฯลฯ ซึ่งหลงประเด็นออกไป ทั้ง ๆ ที่ในบางครั้งก็เห็นได้ชัดว่าท่านไม่สามารถหาเหตุผลมาลบล้างสิ่งที่ผมเสนอ ได้ เหมือนกับว่าท่านพยายามรักษาฟอร์มของคนเป็นพ่อเป็นแม่อะไรทำนองนั้น

สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้มากด้วยกิเลสที่ยัง วนเวียนในวัฏฏะสงสาร และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถาม คลายข้อสงสัยของกระผม หมดเมลฉบับนี้ก็คงอีกนาน เพราะที่ได้ถามไปนั้นเป็นข้อสงสัยที่สั่งสมมานานนับปี แล้วถ้าผมมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จะเมลมาสอบถามใหม่ครับ

คำตอบ
(๑). คำว่า สภาวะจิตสุดท้าย หมายถึง จิตที่หลุดออกจากร่างปัจจุบัน เหตุด้วยมีอุปฆาตกรรมมาตัดรอน จิตจึงต้องทิ้งร่างก่อนที่จะถึงอายุขัย แล้วเปลี่ยนไปอยู่ในรูปนามที่เป็นทิพย์ ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ จึงเรียกรูปนามที่เป็นทิพย์นี้ว่า สัมภเวสี มีอายุเท่ากับอายุขัยที่เหลืออยู่ของร่างเดิม แล้วจึงจะไปปฏิสนธิหรือโอปปาติกะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัตว์อยู่ในภพใดภพหนึ่งของวัฏสงสาร อนึ่งขณะเป็นสัมภเวสี ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ด้วยเหตุต้องเสวยอกุศลวิบากจนกว่าจะหมดสิ้น

(๒). คำว่า “ ปัญญาเห็นแจ้ง ” หมายถึง เห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิต ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ส่วนคำว่า “ ดวงตาเห็นธรรม ” หมายถึง เห็นสิ่งกระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสที่เรียกว่า สังโยชน์ อย่างน้อยสามตัว คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

ในห้วงเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ผู้ตอบปัญหาได้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งที่ยังเป็นส่วนของอริยมรรค หลังจากสึกออกมาแล้ว จึงได้เจริญพละ ๕ เพื่อใช้เป็นกำลังให้จิตได้พัฒนาเข้าสู่อริยผล

(๓). ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรม แล้วจะไม่สงสัยในสิ่งที่บอกเล่าไป การให้วัตถุเป็นทาน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ผู้ทำเหตุได้ก่อน ย่อมได้วัตถุกลับคืนมา ผู้รู้ไม่เอาจิตเข้าเป็นทาสของวัตถุ เพราะวัตถุไม่ใช่เหตุแท้จริง ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

(๔). เรื่องที่บอกเล่าไป มีเหตุเกิดจากจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เหตุที่เป็นนิมิตถูกตรง เพราะสัจจะมีพลังผลักดันให้เกิดความถูกตรง ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงสภาวะของจิตของผู้ถามปัญหา ว่าดำเนินมาถูกทาง ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า

(๕). การรินน้ำใส่ภาชนะที่หงาย ภาชนะย่อมรองรับน้ำไว้ได้ ตรงกันข้าม หากภาชนะยังคว่ำอยู่ แม้จะรินน้ำเติมให้กี่ครั้งกี่หน ภาชนะที่คว่ำย่อมรองรับน้ำไว้ไม่ได้ ซ้ำยังทำให้ภาชนะเปียกน้ำอีกด้วย ฉันใดก็ตาม บุพการีที่ยังไม่เกิดศรัทธาในตัวลูก ไม่ต่างไปจากภาชนะที่คว่ำ นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้ว หากลูกไปชี้แนะหรือสั่งสอน ย่อมเกิดเป็นโทษได้ การประพฤติเช่นนี้เรียกว่า อกตัญญู

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเริ่มต้นปฏิบัตธรรมอย่างจริงจังตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2551 นั่งสมาธิเป็นประจำบริกรรม พองหนอ-ยุบหนอ ประกอบกับดูกายและใจตลอด จนกระทั่งประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 วันนึ่งขณะอาบน้ำ มองเห็นว่าแขนที่ทำลังถูสบู่นั้นไม่ใช่ตัวเราแขนที่ถูเป็นส่วนหนึ่ง แขนที่ถูกถูก็เป็นส่วนหนึ่ง ตาที่มองเห็นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง และได้เคยสอบถามพระอาจารย์ท่านเรื่องสภาวะธรรมนี้ท่านว่าเป็นวิปัสสนาญาณ
หลังจากครั้งนั้นกระผมก็ไม่ได้สนใจอะไรปฏิบัติไปเรื่อย ๆ และไม่ได้สอบอารมณ์อีกเลย เนื่องจากผมปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านจะไปปฏิบัติที่ วัดปีละ 2 ครั้งครั้งละ 3-7 วัน จึงไม่มีโอกาสได้ส่งอารมณ์กับพระอาจารย์ครับ

จนกระทั่ง ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 เริ่มมีอาการมองเห็นแมวที่เลี้ยงไว้ มองเห็นหัวกับตัว คนละส่วนกันคือเวลาแมว เลียขนที่ขาผมจะเห็นหัวแมวดูเป็นมีชีวิตส่วนขาที่แมวกำลังเลียอยู่ดูเป็นไม่ มีชีวิต แรก ๆก็คิดว่าคงคิดไปเองหรือสายตาไม่ดีครับ หลังจากนั้นไม่นานขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องน้ำกำลังจะอาบน้ำ อยู่ๆ สายตาผมก็เหมือนเลือน ๆ แล้วก็มืดลง ขณะนั้นสัมผัสต่าง ๆ ไม่มี ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยินเสียง ร่างกายไม่มี เหมือนมีแต่จิต ขณะนั้นได้เห็นสภาวะเกิดดับ เห็นร่างกายมันหายไปเกิดความรู้ว่าร่างกายเราไม่มี พอสภาวะนี้หายไปร่างกายก็ปกติ ตามองเห็น หูได้ยินเสียง แต่ไม่เหมือนเดิมครับ คือตาที่มองเห็นเหมือนเราดูโทรทัศน์ ความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนดูอย่าในร่างกายเราอีกที เวลามองเห็นแขน-ขา มันก็จะรู้สึกแต่ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ตลอดเวลาครับ เวลาทานอาหารก็รู้สึกว่าปากที่เคี้ยวอยู่ไม่ใช่เรา จนคนในครอบครัวมองว่าผมเพี้ยนไปแล้ว
นอกจากมองเห็นตัวเองไม่มีเราแล้วผมยังมองเห็นคนอื่นไม่ใช่คน สัตว์ไม่ใช่สัตว์ เราและสัตว์อื่นเหมือนกัน คือผมจะมองเห็นร่างกายเขาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนศีรษะจะเป็นอีกส่วนนึ่ง แยกขาดจากกัน ( ความรู้สึกผมเลยรู้สึกว่า คนและสัตว์จึงไม่มีความแตกต่างกันครับ)

ผมเคยลองมองไปเรื่อย ๆ เห็นว่าร่างกายกับศีรษะที่แยกออกจากกันนั้น ร่างกายก็แยกออกเป็นส่วน ๆลงไปอีก แขน 2 ข้าง-ตัว-ขา 2 ข้าง ก็เหมือนเอามาประกอบกับเข้าไว้เฉย ๆ พอลองมองศีรษะก็เห็น ตา-จมูก-ปาก แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือแม้กระั่ทั่งเห็นคนพูดหรือยิ้ม เมื่อมองไปที่ฟันความรู้สึกมันบอกว่าเป็นกระดูกไม่ใช่ฟัน ตั้งแต่สภาวะนี้เกิดขึ้นผมมองอะไรเมื่อแยกออกเป็นส่วน ๆ แล้วไม่มีความสวยงามเลย มองเห็นบ้านสวยหลังใหญ่กลับเห็นเป็นอิฐ หิน ปูน ทรายครับ

ปัญหาของกระผมเกิดขึ้นตรงที่
1. ผมมองไม่เห็นเหมือนคนอื่น ๆ ในครอบครัว ผมกลายเป็นคนเพี้ยนเสียสติของคนในครอบครัว
2. ผมเคยสอบถามพระอาจารย์ท่านว่า สิ่งที่เกิดกับผมนั้น คือดวงตาเห็นธรรมหรือไม่ ท่านไม่สามารถตอบไ้ด้ ท่านว่าต้องมาปฏิบัติ เก็บอารมณ์แล้วดูสภาวะ ดูลำดับญาณ จึงจะสามารถบอกได้ (ด้วยภาระทางบ้านผมจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติแบบเก็บอารมณ์ได้)
3. หากผมมาผิดทางแล้วควรแก้ไขอย่างไรครับ
4. หากกระผมเดินมาถูกทางแล้วควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ
5. สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับผมนั้นคือ ได้ดวงตาเห็นธรรม หรือป่าวครับ

รบกวนเรียนถาม อ.ดร.สนอง เพียงเท่านี้ครับ ใจจริงกระผมเองอยากมีโอกาสที่จะได้พูดคุยกับ อ. เรื่องการปฏิบัติด้วยเพราะส่วนตัวกระผมปฏิบัติอยู่บ้าน ฟังธรรมะเรื่องการปฏิบัติจาก CD เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

หากกระผมผิดพลาดล่วงเกิน อ. ด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง กระผมขออโหสิกรรม อ. มา ณ ที่นี้ครับ

ขอแสดงความนับถือ อ. อย่างสูงครับ


คำตอบ
(๑). ผู้ถามปัญหาเพี้ยนดี จงเพี้ยนต่อไปให้ถึงที่สุด คนในครอบครัวมองว่าเป็นคนเสียสติ เป็นการมองถูกของคนที่เห็นผิดไปจากธรรม คนที่เห็นถูกตามธรรมเห็นว่า สภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้ถามปัญหา กำลังดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์

(๒). เรียกว่ามีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แต่ยังเข้าไม่ถึงดวงตาเห็นธรรม ผู้ใดเห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้เป็นอย่างน้อย จึงจะเรียกผู้นั้นได้ว่า มีดวงตาเห็นธรรม

(๓). พัฒนาจิตมาถูกทางแล้ว จงพัฒนาต่อไป

(๔). ควรใช้สติระลึกในกาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่า สิ่งที่ถูกระลึกนั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วมีจิตเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ ที่เรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ ได้เมื่อใด .... สาธุ

(๕). ได้ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เห็นถูกตามธรรม ส่วนจะเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ ให้ดูข้อ (๒)

อนึ่ง จากการสนทนาธรรมกับหลวงพ่อธีร์ ท่านได้พูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ ผู้ใดเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตา ได้แล้ว โทษย่อมไม่มีกับผู้นั้น ” และพระสารีบุตรพูดกับพระฉันนะ ผู้ถูกพระพุทธะลงพรหมทัณฑ์ว่า “ ท่านฉันนะ ท่านได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงอรหัตตผลแล้ว พรหมทัณฑ์ย่อมถูกยกเลิกโดยปริยาย ”

หมายเหตุ : พรหมทัณฑ์ หมายถึง โทษที่หมู่สงฆ์พร้อมใจกัน ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุผู้ถูกลงโทษ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 การที่เรามีสามีที่โกหกและปิดบังเรื่องเงิน ไม่บอกแก่ดิฉันแล้วดิฉันต้องทำอย่างไรดีคะ ถ้าคนใกล้ชิดเราชอบพูดโกหกเราจะทำอย่างไร เพื่อที่เราจะไม่เป็นเหมือนเขาผูกเวรจองกรรมในภพต่อไปอีก

2 ดิฉันปิดบังเขาเรื่องเงินบ้างผิดไหมคะ ถ้าบอกเขาต้องเอาไปใช้จนหมดเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเอาไปใช้อะไรบ้าง ดิฉันจะเก็บและใช้อย่างประหยัดแต่เขาชอบใช้แบบฟุมเฟื่อยไม่รู้จักคิด บางครั้งเงินมีจริงเท่านี้แต่ดิฉันก็จะบอกน้อยกว่าที่มีเพราะกันเอาใว้ใช้ จ่ายที่จำเป็นเพื่อให้ ลูกตอนโตเป็นค่าเล่าเรียน ถ้าให้สามีรู้เขาต้องเอาไปใช้หมด ก็เลยต้องปิดบังสามีเขาทำให้ดิฉันผิดศีล 5 ไหมคะ และเมื่อผิดแล้วศีลหรือผิดสัจจะแก่ใครแล้ว ต้อง ทำ อย่าง ไร เพื่อไม่ติดเป็นกรรมเวรแก่เราได้อีกคะ

3 ดิฉันชอบธรรมะมาตั้งแต่เด็ก และอยากหลุดพ้นไปนิพพาน ไม่ค่อยชอบเรื่องทางโลกเช่นแต่งตัว ดูหนัง และเที่ยวไปสถานที่ต่างๆ ดิฉันอ่านหนังสือธรรมเข้าใจแต่ปฏิบัติไม่ได้เพราะอะไรคะ ตอนเป็นเด็กก็คิดแต่การทำดีอยากเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ดิฉันชอบการช่วยเหลือ และการแบ่งปันมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ เคยบวชชีพราหมณ์ ได้ 7 วันยิ่งบวชยิ่งชอบชีวิตแบบนี้ แต่เพราะเป็นผู้หญิงพ่ออยากเรียนรู้ชีวิต โดยการมีครอบครัว ดิฉันก็เลยทำให้พ่อสบายใจโดยการแต่งงาน แต่ชิวิตคู่ดูเหมือนเป็นคู่กรรมกันมากกว่า ตอนเป็นเด็กแม่ดิฉันจะไม่เคยแสดงความรักต่อดิฉันเลย นอกจากอารมภ์โมโหเมื่อดิฉันทำงานไม่ได้ดั่งใจ ดิฉันเป็นลูกสาวคนโตมีน้อง 3 คน ต้องทำงานบ้านตั้งอายุ 7 ขวบ ช่วยแม่ขายของเมื่อทำงานช้าไม่ได้ดั่งใจแม่จะโมโหมาก ดิฉันทำงานให้แม่ไม่เหลวไหล ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีเท่าที่ตนจะคิดได้ พยายามทำทุกอย่างให้พ่อแม่สบายใจ และเมื่อได้เลี้ยงลูกก็รู้สึกว่าอาการโมโห เมื่อลูกไม่เชื่อฟังหรือไม่ได้ดั่งใจจะโหโมใส่ลูก ทั้งที่ควรเป็นคนที่เราต้องเมตตาต่อเขา ใจจริง อยากสอนเขามากกกว่าการใช้อารมณ์ แต่หักห้ามใจตนเองไม่ให้โมโหไม่ได้ ทำให้อยากสลัดทุกอย่างออกจากตัวเอง ตอนนี้เท่าที่ทำได้คือ พยายามถือศีล 5 สวดมนต์อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15 นาที และบุญกิริยา 10 อย่าง แต่บางครั้งเครียดเรื่องสามีและเรื่องคนรอบ ตัวก็จะแก้ด้วยการฟังเพลง พูดคุยกับเพื่อนเพื่อระบาย หรือระบายกับลูก ซึ่งดิฉันรู้ดีว่าผิดแต่พยายามแก้ไข อยากนั่งสมาธิแต่นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดมาก ที่ทำได้คือเวลาเครียดจะหาอะไรทำเพื่อไม่ให้เครียดทำงานด้านช่วยเหลือ และดูความรู้สึกตัวเองว่าเป็นอย่างไร ดิฉันรบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะข้อธรรมะ การดำเนินชีวิตแก่ดิฉันด้วยคะ ว่าดิฉันต้องปฏิบัติตนอย่างให้ตนเองไปในหนทางแห่งการหลุดพ้น

ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง ที่กรุณาชี้แนะแนวทางการดำเนินชิวิตแก่ดิฉันและผู้คนมากมาย

คำตอบ
(๑). จงเอาสามีและคนใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น มาเป็นครูสอนใจของเรา ว่าจะไม่ประพฤติอย่างเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา

(๒). ผู้มีคุณธรรมไม่เอาจิตเข้าไปก้าวล่วงในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และการพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือว่าผิดศีลข้อมุสาวาท เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเวรกรรมต่อกัน ต้องประพฤติตนให้มีเบญจศีลและมีเบญจธรรม คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น

(๓). ชอบธรรมะ ชอบอ่านหนังสือ แต่ปฏิบัติให้มีธรรมะคุ้มครองใจไม่ได้ เหตุเป็นเพราะมีศีลไม่ครบ มีศีลไม่บริสุทธิ์คุ้มครองใจ ผู้ใดอภัยได้ทุกเรื่องในสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ เมตตาอันเป็นคุณธรรมที่ทำให้ใจสงบเย็นย่อมเกิดขึ้น และเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณเป็นเมตตาบารมี ทำให้ความโมโห (โทสะ) ไม่เกิดขึ้น

พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรม ดับเหตุของปัญหา เมื่อเหตุดับ ปัญหาย่อมดับตามไปด้วย อนึ่งการแก้ปัญหาด้วยการฟังเพลง คุยกับเพื่อนหรือระบายอารมณ์ออกทางลูก ถือว่าเป็นการหนีปัญหา โดยเอาเสียงเพลง เสียงเพื่อนคุย หรือส่งอารมณ์ให้ลูก ทำให้อารมณ์เปลี่ยนไปชั่วคราว แต่ปัญหาเดิมยังมีค้างอยู่ในจิต ทั้งนี้เพราะเหตุของปัญหายังมิได้ดับ ฉะนั้นควรพัฒนาตัวเองให้มีเมตตา ด้วยการให้อภัยในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ และดีที่สุดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีสติ และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาสิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบเข้าสู่ความเป็นอนัตตา สิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจจึงไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขา ผู้รู้หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงด้วยวิธีการเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอรบกวนถามสิ่งที่ยังสงสัยอยู่นะคะ...ทำไมดิฉันถึงรู้สึก ซาบซึ้งจนบางครั้งน้ำตาไหล ตื้นตันใจมากเช่น เมื่อได้ฟังคนได้พูดถึงสิ่งที่ดี ๆหรือสอน แล้วรู้สึกซาบซึ้ง กับสิ่งดี ๆ ที่ท่านทำ หรือสอน เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งดี ๆ ที่ท่านทำนั้นแท้จริงแล้วดิฉันก็อยากทำแต่ยังทำมันไม่ได้ หรือยังไม่ได้ทำ เลยรู้สึกตื้นตันใจแทนท่านผู้นั้นที่ได้ทำมัน
จริง ๆ แล้วเป็นการขาดสติใช่หรือไม่ กำลังพยายามอยู่ จะไม่ให้เป็นแบบนี้ แต่ก็เผลอดีใจทุกทีที่ได้ยินได้ฟัง ควรทำอย่างไร นอกจากขาดสติแล้วยังเป็นคนจิตรอ่อนด้วยใช่หรือไม่

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับความกรุณาเสียสละ เวลาอันมีค่าของท่านอาจารย์

คำตอบ
การได้ยินได้ฟังสิ่งดีงาม แล้วซาบซึ้งจนถึงกับน้ำตาไหล เป็นสภาวะของจิตที่เรียกว่า ปีติ เกิดได้เพราะจิตมีสติไม่กล้าแข็ง จึงรับสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ จะเรียกว่า “ ขาดสติ ” ย่อมเรียกได้ วิธีแก้ไข ต้องทำใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น เร่งความเพียร ฝึกจิต (สมถภาวนา) โดยมีสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยอ่านเจอว่า ไม่ให้นอนหันเท้าไปทางพระพุทธรูป ที่บ้านวางพระพุทธรูปไว้หน้าห้องนอน เพราะไม่มีที่เนื่องจากเป็นบ้านพักราชการ และเวลานอน หันเท้าไปทางประตู ซึ่งตรงกับพระพุทธรูปที่วางไว้นอกห้อง อย่างนี้สมควรหรือไม่คะ

ขอคำแนะนำค่ะ

คำตอบ
การนอนโดยมีปลายเท้าชี้ไปทางห้องที่วางพระพุทธรูป เทวดาผู้รักษาพระพุทธรูป เห็นว่าเป็นการไม่เคารพวัตถุ อันเป็นตัวแทนของผู้ทรงคุณธรรม จึงไม่ควรประพฤติ แนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิธีการนอน โดยให้ศีรษะหันไปทางพระพุทธรูป ในครั้งพุทธกาลพระอัครสาวกสารีบุตร เมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ทิศใด จะประพฤติเป็นปกตินอนหันศีรษะไปทางทิศที่พระศาสดาประทับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่ประเทศฮอแลนด์ สามีเป็นคนไม่มีศาสนาแต่เข้าใจและให้การสนับสนุนในเรื่อง
ของการสวดมนต์ การปฎิบัติธรรม ทำสมาธิ หนูกำลังคิดที่จะลาออกจากการทำงานในเร็วๆๆนี้
เพราะอยากหางานทำที่ตัวเองชอบ ที่มีความถนัดเหมาะสมในความสามารถของตัวเองค่ะ.

หนูมีความปราถนาตั้งใจใว้ว่าหากมีโอกาสอยากจะกลับไปปฎิ บัติธรรมประมาณสัก 39 วันที่เมืองไทย เพราะหนูมีความเลื่อมใสศรัทธาในธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก เชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ชีวิตนี้หนูไม่ใด้ต้องการอะไรมากมาย แต่ชีวิตนี้หนูโชคดีที่ใด้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นมูลค่าอันมากมายมหาสารของชีวิต ในการเกิดเป็นมนุษย์ของหนู.

หนูกราบขอความกรุณาคุณพ่อดร. สนอง ใด้ช่วยแนะนำสถานที่ปฎิบัติธรรมกรรมฐานให้หนูด้วยค่ะ
พื้นเพหนูเป็นคนทางภาคเหนือ แต่หนูไม่มีปัญหาในเรื่องของการเดินทางค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนจังหวัดไหน เพราะหนูมีความปราถนาและตั้งใจจริงที่จะไปปฎิบัติธรรมโดยตรงค่ะ.

หนูกราบขอบพระคุณ คุณพ่อดร. สนองเป็นอย่างสูงค่ะที่เมตตา และหนูขอให้คุณพ่อดร.สนองมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแร็งตลอดไปค่ะ.

คำตอบ
สถานปฏิบัติธรรมที่แนะนำคือ สำนักปฏิบัติธรรมตาณังเลณัง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ,สำนักปฏิบัติธรรมสุทธจิต อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ,วัดมเหยงค์ อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอน นี้ผมติดการเที่ยวหญิงขายบริการ (อาบ อบ นวด) ผมเคยตั้งใจที่จะเลิกหลายครั้งแล้ว แต่เลิกไม่ได้สักที ตอนนี้ทุกครั้งหลังจากที่ไปเที่ยวกลับมาแล้วตั้งจิตตั้งใจว่าครั้งนี้จะเป็น ครั้งสุดท้าย จะไม่ไปอีก แต่พอผ่านไปสักเดือนกิเลสใฝ่ต่ำก็เข้ามาครอบงำอีก สุดท้ายก็ไปอีกจนได้ เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเดือนละประมาณ 1 ครั้ง ไม่รู้กี่รอบแล้ว บางครั้งเมื่อมีความอยากไปก็สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ความอยากไปก็หายไปแต่พอผ่านไปได้สักวันก็อยากไปขึ้นมาอีก ผมอยากเลิกจริงๆ แต่ก็ต้องมาเสียสัจจะที่ให้ไว้กับตัวเองทุกครั้ง ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางด้วยครับ

ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
วิธีแก้ปัญหาที่ถามไป ต้องนำตัวเองเข้าสัมผัสกับหญิงสาวที่ตายไปแล้ว อาทิให้ได้เห็นซากศพที่กำลังขึ้นอืด มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย เห็นซากศพมีน้ำเหลืองไหลออกทางปากทางจมูก ให้ได้สูดกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ ฯลฯ หรือนำตัวเองไปดูซากศพที่ห้อยไว้ใน Life Museum ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ดูบ่อยๆแล้วโอกาสหมดไปของปัญหาที่ถาม จึงจะมีได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 78, 79, 80, 81, 82, 83, 84 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร