วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 06:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 80, 81, 82, 83, 84, 85, 86 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันการจัดงานศพ ใช้เงินมาก เท่าที่ผมเจอ วัดที่หาดใหญ่ ต่ำๆ ประมาณเจ็ดหมื่นบาท คำถามที่จะตั้งนี่ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากจ่ายเงินนะครับ ผมเพียงมาคิดว่า ในเมื่อเราปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิ ทำบุญทำทานมาดี ชีวิตวันหน้าก็หวังไปนิพพาน ไม่ยึดติดอะไรอีกแล้ว แม้แต่ร่างกายเรา

หากผมตายแล้วสั่งคนข้างหลังว่า ถ้าผมตายให้เผาได้เลยไม่เอาพระมาสวด ประมาณว่าตายเช้าเผาเย็น

ผมจะทำเช่นนี้ได้หรือไม่ การนำพระมาสวดมีผลอะไรต่อดวงวิญญาณเราอย่างไร

หวังว่าคำถามนี้ท่าน ดร สนอง คงจะได้รับนะครับ ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
ผู้ใดปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว เมื่อจำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก ย่อมไม่ต้องการบุญที่เกิดจากการอุทิศของใครผู้ใด ทั้งนี้เป็นเพราะตัวเองสั่งสมบุญไว้มากพอแล้ว ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

อนึ่ง หากผู้ถามปัญหา ได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล แม้เพียงขั้นต้น (โสดาบัน) ได้แล้ว แม้จะนำพระมาสวดให้กับศพ ย่อมไม่มีผลต่อดวงวิญญาณของผู้มีสภาวะจิตเป็นเช่นดังที่กล่าว ฉะนั้นจงดูใจตัวเองให้ออก แล้วคำตอบจะอยู่ที่นั่น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเรียกอาจารย์ว่าคุณพ่อนะคะ เนื่องจากหนูอ่านหนังสือของคุณพ่อหลายเล่มแล้ว และรู้สึกเข้าใจง่ายและเหมาะแก่คนที่เริ่มปฎิบัติได้เป็นอย่างดี ตัวหนูเองมีความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม และ เชื่อว่าทำดีย่อมได้ดีทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามพระพุทธพจน์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่ะ ดังนั้นหนูจึงพยามยามปฎิบัติธรรมให้ได้มากที่สุด เท่าที่มีโอกาส แต่มีีคำถามหลายอย่างที่อยากจะถามจากผู้รู้ จึงขอความเมตตาคุณพ่อช่วยชี้แนะให้ลูกได้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย และได้มีโอกาสมีปัญญาเห็นธรรมด้วยนะคะ คำถามมีดังนี้ค่ะ

1. ทุกวันนี้หนูพยามสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน และหลังจากสวดมนต์เสร็จจะนั่งสมาธิต่อครั้งละ 30 นาที แต่หนูยังสับสนเรื่องการกำหนดลมหายใจค่ะ เนื่องจากหนูจะกำหนดหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ แต่พอหายใจออกทีไรมันจะมีความรู้สึกว่า ต้องกลั้นหายใจไว้ก่อนแล้วค่อยหายใจเข้าต่อไป ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่โปร่ง ควรจะแก้อย่างไรดีคะ

2. คุณพ่อบอกเสมอว่าผู้ปฎิบัติจะสำเร็จได้ต้องมีศิลบริสุทธิ์ ซึ่งหนูอยากจะทำให้ได้ดีที่สุด แต่ความจำเป็นบางอย่างทำให้หนูรู้ว่าศิลตัวเองไม่บริสุทธิ์ คือหนูมีครอบครัวแล้ว และสามีเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมากค่ะ ส่วนตัวหนูเองมีพี่น้องหลายคน และแต่ละคนมักจะนำปัญหามาให้ต้องแก้ไขเสมอ ซึ่งหลายครั้งที่หนูแก้ปัญหาโดยไม่บอกให้สามีทราบ เนื่องจากเกรงใจและไม่อยากให้สามีตำหนิพี่น้องของเรา หรือเอือมระอากับพี่น้องของเรา ทำให้หลายครั้งที่หนูต้องโกหกสามี หรือ แอบนำเงินที่สามีฝากเข้าบัญชีไว้ ให้เป็นเงินเก็บของครอบครัวโดยสมุดบัญชีเป็นชื่อของหนู ไปให้พี่น้องยืมบ่อยๆ โดยไม่ได้บอกสามีอย่างนี้ถือว่าหนูผิดศิลข้ออนินนา หรือเปล่าคะ และปัจจุบันนี้หนูถูกยืมเงินไปแล้ว ไม่ได้คืนทำให้ไม่มีเงินมาคืนในบัญชีไว้เหมือนเดิม ทุกครั้งเวลาสามีถามถึงจำนวนเงินหนูจะบ่ายเบี่ยง และตอบยอดไม่ตรงกับที่มีอยู่จริงหนูจะทำอย่างไรดีคะ หนูคิดว่าทุกวันนี้ที่หนูนั่งสมาธิไม่เกิดผล คงเนื่องมาจากศิลของหนูไม่บริสุทธิ์ แต่หนูไม่กล้าบอกความจริงกับสามี เนื่องจากสามีเป็นคนใจดี แต่เวลาโมโห ก็แรงมากหนูคิดว่าถ้าสามีรู้คงโกรธมากกกกกกกก หนูควรจะทำอย่างไรดีคะคุณพ่อ ควรจะบอกความจริงและยอมรับผิด เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่้งปิดบังโกหกต่อไปดีมั๊ยคะ แต่หนูเองไม่มั่นใจว่าถ้าสามีโกรธและโมโหรุนแรง หนูจะมีสติพอจะตั้งรับได้ดีแค่ไหน รบกวนคุณพ่อช่วยชี้แนะทางสว่างให้กับหนูด้วยค่ะ

3. หนูเคยมีโอกาสได้ไปปฎิบัติธรรม ที่วัดอัมพวันสิงห์บุรีเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งเป็น 3 วันที่หนูตั้งใจดีมาก กลับมาที่บ้านก็ตั้งใจปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสวดมนต์ก่อนนอน หลังจากนั้นจะเดิมจงกรม 30 นาที นั่งสมาธิ 30 นาที 2-3 วันแรกที่ทำหลังกลับจากวัดปฎิบัติได้นิ่งไม่มีอะไร แต่พอวันที่สี่ที่ห้า หลังจากเดิมจงกรมเสร็จ ช่วงเวลาที่นั่งสมาธิหนูรู้สึกปวดหลัง และหงุดหงิดมาก จนไม่สามารถนั่งหลับตาต่อได้ ต้องลืมตาขึ้นมา พอลืมตาก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอหลับตาจะนั่งสมาธิต่อ ก็รู้สึกเหมือนเดิมอีกและรุนแรงมากขึ้น หงุดหงิดไม่มีสาเหตุ หลังปวดไปหมด หนูพยายามกำหนดปวดหนอๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถผ่านได้ ต้องยุติการนั่งหลายครั้ง ซึ่งทำให้หนูกลายเป็นคนเสียสัจจะ อย่างนี้การปฎิบัติธรรมของหนู จะมีโอกาสสำเร็จได้หรือไม่ และควรจะทำอย่างไรดีคะ

สุดท้ายนี้ขอบคุณคุณพ่อและขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ที่คุณพ่ออุตส่าห์เสียสละเวลา เสียสละตนเอง เพื่อช่วยชี้แนะให้คนด้อยปัญญาอย่างหนูได้มีโอกาสเดินตามรอยเท้าพ่อค่ะ

คำตอบ
(๑). การบริกรรมเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องบริกรรมให้เหมาะกับจริตของแต่ละบุคคล

(๑.๑) คนที่ชอบรักสวยรักงาม (ราคจริต) เหมาะกับการบริกรรมอสุภะหรือกายคตาสติ

(๑.๒) คนที่ใจร้อนหงุดหงิด (โทสจริต) เหมาะที่จะบริกรรมวรรณกสิณหรือเจริญเมตตา

(๑.๓) คนที่เหงาซึม เชื่อคนง่าย (โมหจริต) เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ

(๑.๔) คนที่มีจิตซาบซึ้งเลื่อมใสโดยง่าย (สัทธาจริต) เหมาะแก่การบริกรรมอนุสติ หกข้อแรก

(๑.๕) คนที่มีช่างคิดพิจารณา (พุทธิจริต) ควรใช้มรณสติ จตุธาตุววัตถาน ๔ หรืออาหาเรปฏิกูลสัญญา มาบริกรรม

(๑.๖) คนที่ชอบคิดวกวน คิดฟุ้งซ่าน (วิตกจริต) ควรเจริญอานาปานสติ

ดังนั้นผู้ถามปัญหาควรลองเลือกวิธีการตามที่เสนอ วิธีใดทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว ให้เลือกใช้วิธีนั้น ก็สามารถก้าวข้ามปัญหาที่ถามไปได้

(๒). สามีประสงค์ให้เป็นเงินเก็บของครอบครัว หากเขามิได้อนุญาตให้ไปใช้อย่างอื่น ผู้ที่นำไปใช้ย่อมผิดศีลข้ออทินนาทาน หากผู้ถามยอมรับความจริง สารภาพความจริง แล้วรักษาสัจจะมิให้ประพฤติทุศีลเกิดขึ้นซ้ำ ปัญหาย่อมผ่านพ้นไปได้

(๓). นั่งปฏิบัติสมาธิแล้วปวดหลัง ควรลุกขึ้นเดินจงกรม เมื่อใดจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง จึงจะอยู่เหนือทุกขเวทนา (ปวดหลัง) ได้ ด้วยการกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆๆ ” จนกว่าอาการปวดหลังหายไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีศีล 5 เป็นปกติและพยายามพยายามรักษากรรมบท 10 ด้วย
แต่เวลานั่งสมาธิจิตยังฟุ้งอยู่รบกวน อาจารย์ แนะนำหน่อยครับ

คำตอบ
ศีล ๕ ที่เป็นพื้นฐานให้จิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ต้องเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย แล้วเอาศีลที่มีลักษณะเช่นนั้นลงคุมใจ ศีลที่มีลักษณะข้างต้น

๑. ใจไม่คิดเบียดเบียนสัตว์ ไม่คิดฆ่า ไม่คิดกักขัง ผูกล่าม ไม่คิดทำร้าย

๒. ใจไม่คิดล่วงอทินนาทาน เช่น ไม่คิดเอาของที่เจ้าของมิได้อนุญาตมาเป็นของตน ไม่ใช้เวลาของหน่วยงานมาทำประโยชน์ส่วนตน ไม่ลอกเลียนแบบ ไม่ก๊อปปี้ซีดีของคนอื่น ฯลฯ

๓. ไม่คิดละเมิดกาเมสุมิจฉาจาร เช่น ไม่คิดเสพเมถุน ไม่คิดลวนลามผู้อื่น

๔. ไม่คิดพูดเท็จ ไม่คิดพูดให้ร้าย ยุแหย่ให้สังคมแตกแยก

๕. ไม่คิดเสพของมึนเมา
ฯลฯ

หากผู้ถามปัญหาประพฤติได้ดังนี้ โอกาสพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดได้ง่าย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้กระผมเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ศึกษาต่อปริญญาโท ช่วงที่ก่อนมาประเทศอังกฤษทำงานมาสี่ปี ชีวิตออกนอกลู่นอกทางบ้างและใช้ชีวิตด้วยความประมาทมาก รับประทานเหล้าบ่อยมาก แต่ก็ยังมีความรับผิดชอบต่องาน เหตุผลที่มาศึกษาต่อเพราะต้องการก้าวหน้าทางการงานแต่ต้องทำงานที่อังกฤษ ด้วย และทางบ้านสนับสนุนค่าเรียน ผมจะรับผิดชอบค่ากินอยู่ ตั้งแต่ก่อนผมมาผมมีความสนใจด้านสมาธิมานานแล้วโดยเพิ่งเข้าศึกษาปริญญาโทปี นี้ และรู้สึกเครียดต่อการเรียนมากๆ จนไปรู้จัก อ.สนอง ในรายการทไวไลท์ ของคุณไตรภพ ครั้งนั้นท่านอาจารย์แนะนำว่าให้ฝึกความเชื่อ , ความเพียร , สติ , ศีล และปัญญา ผมก็พยายามฝึก ทุกวันครั้งละสามสิบนาทีและสามารถทำให้ผมมีสมาธิมากขึ้นช่วงนี้ผมจะพยายาม นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ พุทธ โธ แต่ก็ไม่รู้ว่าดำเนินมาถูกทางหรือไม่ กระผมจึงอยากให้อาจารย์แนะนำการฝึกด้วยครับ หรือหนังสือช่วยฝึกครับ

ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่ มันทำให้ผมสามารถคิดถึงความดีที่พ่อกับแม่กระทำให้ผมมาและเลี้ยงดูมามากยิ่ง ขึ้น และเมื่อจบการศึกษา ผมมีความตั้งใจจะบวชทดแทนคุณท่านประกอบกับที่ดูรายการกระผมก็อยากกลับไป พยายามเป็นคนดี และจะช่วยเหลือผู้อื่น อยากจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้กับสังคมบ้าง อย่างที่อาจารย์ทำบ้าง

อยากให้อาจารย์แนะนำสถานที่บวชด้วยครับ บ้านผมอยู่แถวมีนบุรี ความตั้งใจผมอยากจะศึกษาพุทธศาสนา คือในความคิดครั้งแรกผมตั้งใจบวชวัดแถวฉะเชิงเทรา ซึ่งน้องชายเคยบวช และประกอบกับสะดวกคุณพ่อ และคุณแม่ด้วยครับ แต่มาคิดดูอีกที ไหนๆเป็นการบวชเพื่อหาความรู้ด้วย จึงอยากได้ความรู้จากวัด จึงอยากได้คำแนะนำครับ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณอาจารย์มากๆครับ

นับถืออย่างสูง

คำตอบ
จากงานวิจัยต่างประเทศพบว่า ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ใช้ปัญญาไอคิวร้อยละ ๒๐ ใช้คุณธรรมร้อยละ ๘๐

ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ความสำเร็จในการเรียน ต้องประพฤติให้ได้ดังนี้
๑. มีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจ
๒. มีสัจจะ
๓. มีความเพียร
• สวดมนต์ก่อนนอน
• เจริญอานาปานสติ ๑๕ - ๓๐ นาที หลังสวดมนต์
๔. อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

และในฐานะเป็นชาวพุทธ ควรทำดวงให้ดีด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น อุทิศความดีให้คนอื่น ยินดีในความดีของคนอื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง

ส่วนเรื่องอนาคตที่จะกลับไปทำความดีตอบแทนคุณของพ่อแม่ ยังมาไม่ถึง ผู้รู้ไม่เอาจิตไปคิด เพราะคิดแล้วยังทำไม่ได้ ประโยชน์ย่อมไม่เกิด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ปฏิบัติอยุ่ตอนนี้ คือ

1. ตื่นตีห้า มาสวดมนต์-เดินจงกรม-นั่งสมาธิ ประมาณ 2 ชม. ส่วนหัวค่ำ สวดมนต์-นั่งสมาธิ ประมาณ 30- 45 นาที
2. รักษาศีล 5
3. ช่วงเวลาทำงาน ถ้าว่างจะดูกาย ดูจิตไป แต่จะทำยากเพราะมักจะหลง
4. ตักบาตร – ทำบุญ – พิมพ์หนังสือธรรมะ สม่ำเสมอ
5. อ่านหนังสือธรรมะ และเข้าร่วมฟังบรรยายธรรมะ และฟังซีดีธรรมะทุกวัน

ที่ปฏิบัติมานี้ ถูกทางแล้วยังคะ เพื่อที่จะได้ นิพพาน หรืออย่างน้อยในชาตินี้ขอบรรลุโสดาบัน อยากให้อาจารย์แนะนำด้วยค่ะ ว่าต้องทำอะไรอีกบ้าง เพราะมุ่งมั่นมากค่ะ หรือ ควรจะบวชชี เลยดีคะ (ในกรณีหมดภาระดูแลพ่อ-แม่แล้ว)

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
การดูกายดูจิต แล้วทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ต้องใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) พิจารณากายและจิตโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่ากายและจิตดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อกายและจิตเข้าสู่ความเป็นอนัตตาได้ ปัญญาเห็นแจ้งในกายและจิตย่อมเกิดขึ้น ผู้รู้ไม่จริงใช้สมองคิดว่า กายและจิตต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อย่างนี้ความหลงหรือรู้ไม่จริงแท้ย่อมเกิดขึ้น

อนึ่ง การตักบาตร ทำบุญ พิมพ์หนังสือ ฯลฯ ได้อานิสงส์เป็นเพียงสวรรค์สมบัติ แต่การฟังธรรมฟังซีดี แล้วใช้จิตโยนิโสมนสิการ ทำให้มีโอกาสเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ และการเป็นฆราวาสหากปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามธรรม ย่อมเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้โดยไม่ต้องบวชเป็นชี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางครอบครัวของหนูกลุ้มใจและร้อนใจเพราะแม่มีท่าทีไปรักและชอบคนคราว ลูก เขาเป็นลูกน้องที่ช่วยแม่ขายของคะ แม่บอกว่าจะรับเขาเป็นลูก และอยากให้เขาเข้ากับพวกเราทุกคนให้ได้ แต่ความรู้สึกเราไม่แน่ใจว่าแม่รักเขาแค่นั้น เพราะแม่ทั้งผ่อนรถให้เขา และซื้อ notebook ให้เขา ทั้ง ๆ ที่ลูก ๆ อย่างเราเราก็ไม่เคยได้แบบนั้น และเราก็ไม่ได้รวยอะไรเลย เงินที่แม่มี ก็คือ เงินเดือนของเราทุกคนที่ให้แม่ไว้ใช้จ่าย แม่ให้เหตุผลว่าเพื่อใช้ในงานของแม่ แต่กลายเป็นว่า เขาใช้อยู่คนเดียว แต่มันก็มีข้อดีอยู่ตรงที่ว่า เขาก็คอยไปรับส่งแม่เวลาขายของ เพราะเราทุกคนทำงานนอกบ้าน และแยกครอบครัวไปแล้ว แต่เวลาอื่น ๆ รถก็อยู่กับเขา

หนูก็พยายามคิดว่า อะไรที่เป็นความสุขของแม่ก็ให้เขาทำเถิด หนูเลยไม่แน่ใจว่าอะไรผิดอะไรถูก บาปไม่บาป เราควรห้ามเขาไหมคะ แต่ถ้าเราพูด คงบ้านแตกแน่ ๆ เพราะเขาคงไม่ฟังเรา

ปล พ่อหนูเสียไปนานแล้ว และเขาคนนั้นก็ไม่มีลูกเมีย

ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่ช่วยไขความกระจ่าง

คำตอบ
การตอบแทนพระคุณของแม่ นอกจากส่งเงินให้แล้ว ยังสามารถทำอย่างอื่นได้อีก เช่น นำอาหารไปเลี้ยงดูท่าน ช่วยทำงานแทนท่าน ดำรงวงศ์สกุลไม่ให้เสื่อมเสีย เจ็บป่วยนำท่านไปให้หมอรักษา ฯลฯ ฉะนั้นการส่งเงินให้เป็นหนึ่งในวิธีตอบแทนคุณ หากส่งเงินให้แล้วท่านนำไปใช้ผิดทาง ลูกไม่ส่งให้ไม่ถือว่าผิดธรรม ฉะนั้นพึงเลือกปฏิบัติตามที่เหมาะสม ปฏิบัติแล้วสบายใจนั่นแหละดีที่สุด ผู้รู้ไม่เข้าไปก้าวล่วง เช่น ไม่แนะนำ ไม่สั่งสอน ไม่สั่งให้ใครทำตามที่ต้องการ จึงถือว่าไม่ผิดธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็เป็นคนที่รักในธรรมะ และติดตามผลงานหนังสือของท่านอาจารย์อยู่สม่ำเสมอ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะมาก ถ้าคิดดูแล้วการอ่านหนังสือธรรมะ อาจเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้วก็ได้ เมื่ออ่านแล้วก็เกิดมีความสุขทางใจ และทำให้เกิดความสงบด้วย...

ผมมีข้อสงสัยเป็นอย่างมาก โดยสิ่งที่ผมไม่เข้าใจนั้นอาจดูง่ายในสายตาของผู้อื่น แต่สำหรับผมแล้ว ถ้ายิ่งสงสัย ก็ต้องถามผู้ที่รู้จริง และตอบเราได้อย่างกระจ่างชัด.
คือว่าตอนนี้ผมอายุประมาณ 20 ปี จึงกล่าวได้ว่า ความรู้ทางธรรมของผมยังน้อยมากนัก ผมมีข้อสงสัยดังนี้ครับ

1. การสูบบุหรี่ ดื่มน้ำชา กาแฟ เมื่อทำจนติดเป็นนิสัย ผลของกรรมนั้น จะทำให้ตกนรกหรือไม่ครับ(เพราะผมเป็นคนหนึ่งติดกาแฟ และบุหรี่ มาก และก็เคยเห็นพระเถระสูบบุหรี่ ฉันหมาก ฉันกาแฟอยู่บ่อยๆ )

2. การอ่านหนังสือธรรมะมาก จะขัดขวางการประพฤติธรรมหรือไม่ (ผมเคยอ่านในหนังสือ ธรรมะเล่มหนึ่ง เลยเกิดความสงสัย)

3. การปราถนา พุทธภูมิ ไม่ทราบว่า จะมีวิธีปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร จึงจะไม่ดูอาจเอื้อมเกินไป.
ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูง ที่กรุณาตอบคำถามให้

ขออนุภาพแห่งธรรม คุ้มครอง ท่านอาจารย์ และครอบครัว และทางชมรมกัลยาณธรรมทุกท่าน ให้สูงยิ่งในธรรม ขึ้นๆไป ขอบคุณครับ.

คำตอบ
(๑). คำว่า “ ติด ” หมายถึง ชอบอย่างขาดไม่ได้ อาการที่ข้องอยู่ คงอยู่ ไม่หลุด ฯลฯ

ฉะนั้นคำว่า “ ติดกาแฟ ” จึงหมายถึงชอบดื่มกาแฟอย่างขาดไม่ได้ เพราะในกาแฟมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นยาเสพติดอย่างอ่อน แต่มีฤทธิ์อย่างแรงต่อการเต้นของหัวใจ ด้วยเหตุนี้คนที่มีสติอ่อน จึงมีจิตเป็นทาสของสารคาเฟอีน จึงเลิกดื่มกาแฟไม่ได้

เช่นเดียวกันในบุหรี่มีสารเสพติดอย่างอ่อน เป็นสารพิษที่เรียกว่า นิโคติน ผู้ใดสูบบุหรี่เอาสารนี้เข้าสู่ปอด หรือคนที่อยู่ใกล้คนสูบบุหรี่หายใจสูดเอาควันบุหรี่เข้าสู่ปอด แล้วร่างกายกำจัดออกไม่หมด สารนิโคตินจะถูกสั่งสมอยู่ในปอด ทำให้เป็นมะเร็งปอดได้ ดังนั้นจิตที่ติดกาแฟหรือบุหรี่ เป็นจิตที่มีกำลังของสติอ่อน เป็นจิตหลง (โมหะ) ตายแล้วความหลงมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณไปสู่ภพเดรัจฉานได้ แต่ไม่ถึงภพนรก

(๒). อ่านหนังสือธรรมะมาก ทำให้จิตมีสัญญาในธรรมะสั่งสมไว้มาก เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมได้

(๓). ผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตดำเนินไปในแนวทางของพุทธภูมิ ให้ดูตัวอย่างและประพฤติตามปฏิปทาของ ครูบาศรีวิชัย แห่งล้านนา ครูบาบุญชุ่มแห่งถ้ำราชคฤห์ อำเภองาว จังหวัดลำปาง หลวงพ่ออนันต์แห่งวัดพระธาตุแสงแก้วมงคล อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมขอกราบเรียนถามปัญหาทางธรรมกับอาจารย์
ขออาจารย์ช่วยกระผมผู้มืดบอดด้วยกิเลสด้วยครับ

ผมเป็นเกย์ อยู่กับแฟน ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
ผมอายุ 30 แฟนอายุ 26
อยู่กันด้วยความรัก และต่างคนต่างทำงานเลี้ยงตัวเอง

ผมศรัทธาและนับถือพระพุทธศาสนาอย่างมาก
อยากมีโอกาสบรรลุพระธรรมสูงสุดของพระบรมศาสดาผู้มีมหากรุณาธิคุณ
ทุกวันนี้ไม่มีโอกาส ไปปฏิบัติตามสถานที่ฝึกอบรม
ได้แต่พยายามฝึกฝนดูจิตไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
ตั้งใจถือศีล ภาวนาศีล 5 เป็นเครื่องคุ้มกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์
มีความตั้งใจจริงที่จะหลุดพ้นจากภพชาติ จากสังขารอันเป็นทุกข์

แต่มีคนบอกว่า การที่ผมอยู่กับแฟน โดยไม่ได้ขอพ่อขอแม่ ของเค้า
ถือว่าผิดศีลข้อ 3
ทำให้ผมไม่สบายใจมาก
จึงขอเรียนถามอาจารย์ครับ ว่าควรทำอย่างไรดี
เพราะผมกับแฟนเป็นเกย์ ไม่สามารถบอกกับที่บ้านได้อยู่แล้วครับ
ผมไม่อยากผิดศีลข้อ 3 กลัวว่าจะเจริญสติไม่ได้
ขออาจารย์ช่วยให้ทางสว่างด้วยครับ

อีกข้อ คือ งานที่ทำ ต้องใช้ความคิดเยอะ คิดละเอียด คิดรอบคอบ
บางครั้งต้องคิดไปในอนาคต คิดเผื่ออนาคต วางแผนล่วงหน้า
เวลาอยู่บ้านก็ต้องคิดงานล่วงหน้า เพราะงานหนัก
ทำให้ผมรู้สึกว่าจิตไม่ค่อยนิ่ง
เพราะไม่สามารถฝึกจิตไปพร้อมกับการใช้ความคิดอย่างหนักได้
อาจารย์เป็นผู้รู้ เป็นผู้มีปัญญาทางโลกอย่างแตกฉาน
ช่วยให้คำแนะนำผมด้วยครับ

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ
ผมขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์ได้สร้างนะครับ

คำตอบ
ลูกที่พ่อแม่ยังมิได้กล่าววาจายกให้กับผู้อื่น หากผู้ถามปัญหาไปประพฤติเสพเมถุนกับลูกของเขา ถือว่าประพฤติผิดศีลข้อ ๓ ทางเลือกมีอยู่สองอย่างคือ ไปขอกับพ่อแม่ให้เขายกแฟนให้ หรือหยุดประพฤติดังที่บอกเล่าไป แล้วพัฒนาตนให้มีทาน ศีล ภาวนาคุ้มครองใจ โดยมีความเพียร มีสัจจะ และมีบุญบารมีเก่าเป็นเครื่องสนับสนุน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว โอกาสปิดอบายภูมิดังที่สิริมาโสเภณีในครั้งพุทธกาลได้ทำให้ดู หรือปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา จนพัฒนาจิตพ้นไปจากวัฏสงสาร ดังที่อัมพปาลีโสเภณีในครั้งพุทธกาลได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะหลุดพ้นจากภพชาติของผู้ถามปัญหาย่อมเกิดขึ้นได้

อนึ่ง ศีลเป็นเกราะคุ้มกันใจมิให้หวั่นไหว ผู้ใดมีศีลที่ไม่บริสุทธิ์คุมใจ จิตย่อมปรุงอารมณ์หลากหลาย และยิ่งเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับอนาคตของงาน จิตย่อมห่างไกลจากปัจจุบันขณะ ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตเกิดไม่ได้ครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามนี้อาจจะฟุ้งซ่านไปหน่อย ไม่ทราบว่าจะมีใครเหมือนไหม

1. ปกติในเวลาตื่นหนูไม่ค่อยมี sense หรือประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งเหนือธรรมชาติ เพียงแต่เป็นบางช่วงที่บางวันรู้สึกร้อนไปหมดตั้งแต่เช้า มันเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่าสงสัยจะมีเรื่องขุ่นใจเข้ามาเยือน และก็จริงตามนั้น เพราะมีคนคอยเข้ามาชวนให้หงุดหงิดซ้ำๆ พยายามข่มใจว่า "โกรธหนอ ๆ ๆ" ก็ยังไม่หาย เพราะยังได้ยินคนๆนั้นก็ยังกวนอารมณ์อยู่ ในความรู้สึกที่เกิดคือพอเอาจิตเข้าไปกระทบอารมณ์นั้น อธิบายไม่ถูกค่ะ คือ เหมือนเราก้าวขาออกไปพอตัวสัมผัสประตูเท่านั้น ปรากฎว่า ความโกรธมันโถมเข้าใส่ทันทีเหมือนระเบิด รู้ตัวว่าทำไม่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถระงับได้ แบบนี้รบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ

2. เหมือนจะสัมผัสสิ่งที่ตามองไม่เห็นเฉพาะเวลาหลับและฝันไปค่ะ บางครั้งมาเป็นปริศนาธรรมโดยรู้เองในฝัน เช่น ฝันเห็นกระแสน้ำไหลเชี่ยวมากแบบน้ำป่า แต่ยังมีคนลงไปนั่งบนห่วงยางลอยไปกับกระแสน้ำนั้นโดยหัวเราะสนุกสนานไปด้วย ในขณะที่หนูเดินบนฝั่งไปตามกระแสน้ำในฝันรู้สึกกลัวมาก ยังคิดว่าทำไมกล้าเล่นน้ำเชี่ยวอย่างนั้น สุดท้ายหนูเดินทวนกระแสน้ำและไปพบลูกแก้วกลมๆเหมือนส้มโอ ในฝันรู้สึกเองว่า สิ่งใดก็แล้วแต่คงจะเตือนให้อย่าหลงละเลิงตามกิเลส แล้วจะได้พบสิ่งดีๆ สิ่งที่หนูตีปริศนาธรรมจากความฝันนี้ถูกต้องไหมคะ

3. เวลาฝันเห็นญาติที่เสียไปแล้ว ทำไมรู้สึกว่าพวกเขาดูอายุอ่อนวัยขึ้น ผมดำ หน้าใส ซึ่งตอนที่เสียนั้นอายุมากแล้ว ผมก็หงอก ผิวก็เหี่ยวย่น บางครั้งเห็นหน้าชัดเจน บางครั้งพล่ามัว แต่รู้ได้ว่านั่นคือใคร มีเป็นบางช่วงเหมือนกันที่จะฝันเห็นวิญญาณอยู่ปะปนกับมนุษย์ รู้ได้โดยเห็นเป็นรูปร่างแบบร่างคนที่โปร่งแสง ปะปนกับร่างทึบแสงแบบมนุษย์ อย่างล่าสุดก็พึ่งฝันเห็นญาติที่เสียไปแล้วดูหนุ่มขึ้น แต่ปรากฎว่าตอนใกล้ตื่นกลับได้ยินเสียงริมหูว่า “ หนาว ” ซึ่งก็หลายครั้งที่ได้ยินเสียงติดหูตอนกำลังตื่น เช่นเสียงกุ๊งกิ๊งไพเราะซึ่งได้ยินพร้อมกับเหมือนเป็นยานอะไรสักอย่างที่ ขยับปีกก็จะมีเสียงดังไพเราะ เสียงนั้นติดหูจนตื่นก็ยังไม่ยิน แต่ไม่ใช่เสียงที่อยู่รอบตัวขณะนั้นแน่ๆค่ะ บางครั้งก็เสียงหวีด ครั้งนี้มาเป็นคำพูด สิ่งเหล่านี้ทำให้บางครั้งสับสนว่าฟุ้งไป หรือ ฝันจริง ค่ะ

4. เมื่อก่อนได้ฝึกเดินจงกลมและนั่งสมาธิบ้าง แต่ติดตรงเมื่อนั่งสมาธิจับพองยุบนิ่งอยู่กับที่ อธิบายไม่ถูกค่ะเป็นความสบายที่อึดอัด เพราะ เหมือนติดอะไรบางอย่าง ไม่ก้าวหน้า จนหนูละทิ้งวิธีนี้ และใช้แบบกำลังทำอะไรอยู่ก็ให้รู้ตัว และดูจิตบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ วิธีนี้ในหนึ่งวันบางทีรู้ตัวอาจไม่ถึง 1 นาทีค่ะ รบกวนท่านอาจาย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

ถ้าเป็นคำถามที่เลอะเทอะ ต้องกราบขออภัยทุกท่านค่ะ แต่ข้องใจจริงๆ ค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


คำตอบ
(๑). ปัญหาความโกรธแก้ได้สองวิธีคือ ต้องแก้ที่ตัวเอง ด้วยการพัฒนาจิตให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จ ให้เจริญอานาปานสติ ประมาณครึ่งชั่วโมงทุกวัน และอีกวิธีหนึ่งต้องให้อภัยเป็นทานอภัยอยู่เสมอ ให้อภัยทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น เมื่อใดจิตมีเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ปัญหาความโกรธจะไม่เกิดอีกต่อไป

(๒). ถูกตามความรู้เห็นเข้าใจของผู้ถามปัญหา ผู้ใดพัฒนาจิตจนกระทั่งตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว ผู้นั้นจะไม่มีความฝันเกิดขึ้น

(๓). ฝันจริงครับ เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังของสมาธิอ่อน

(๔). การเอาใจไปจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ เป็นการพัฒนาจิตให้มีสติได้ จิตใดมีสติกำกับ จิตนั้นมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปัญหาอยู่ที่ว่า การปฏิบัติที่ไม่สม่ำเสมอเป็นจุดอ่อนของผู้ถามปัญหา ควรแก้ไขด้วยการเร่งความเพียร ประพฤติต่อเนื่อง โดยมีสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. จะทำอย่างไรให้แม่มองเห็นความสุขที่เกิดจากการให้ได้บ้างคะ ? เพราะแกอายุมากแล้วไม่ทราบจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะแกยึดติดกับของของแกเหลือเกิน

2. ช่วงหลังๆ หนูขัดแย้งกับแม่บ่อยมาก ทำให้แม่เป็นทุกข์เพราะหนูไม่เข้าข้างแม่ เพราะหนูเห็นว่ามันเป็นแค่ของนอกกาย ถ้าคนอื่นเขาอยากได้ก็ทำทานไปเถอะ แต่แม่ไม่เห็นด้วยและทำให้แม่โกรธหนูในบางครั้ง หนุรู้สึกบาปมาก หนูควรทำอย่างไรดีคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(๑). กิเลส คือ สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ราคะ โทสะ โมหะ มีอำนาจเผาใจให้เร่าร้อน โทสะกำจัดได้ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ราคะกำจัดได้ด้วยการพิจารณาอสุภะ โมหะกำจัดได้ด้วยการปฏิบัติธรรมจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาอวิชชาตามกฎไตรลักษณ์ ฉะนั้นผู้เป็นลูกต้องทำให้แม่ศรัทธาคำสอนในพุทธศาสนาให้ได้ก่อน แล้วนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม โอกาสที่แม่จะเลิกยึดติดในวัตถุสิ่งของ จึงมีได้เป็นได้

(๒). ผู้ใดทำให้แม่ผู้มีอุปการคุณมีความโกรธเกิดขึ้น ผู้นั้นได้สร้างบาปเป็นสมบัติไว้กับตัว แต่หากผู้เป็นลูกมีสติประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดี อาทิ ท่านเลี้ยงดูเรามา เราต้องเลี้ยงท่านตอบแทน ช่วยทำงานแทนแม่ ดำรงวงศ์สกุลไม่ให้เสียชื่อเสียง ทำงานเป็นทายาทที่ดี ไม่ขัดใจ ไม่โต้แย้งโต้เถียง ฯลฯ เหล่านี้หากประพฤติได้แล้ว ความดีงามย่อมเกิดขึ้นเป็นบุญสั่งสมอยู่ในจิต นำข้ามภพชาติได้ ความประพฤติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกควรทำให้เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีหนูได้อ่านคำตอบของอาจารย์ไว้ในคำถามคำตอบค่ะว่า

ลมหายใจเข้าออกเป็นกัลยาณมิตรที่ดี เพราะอยู่กับเราตั้งแต่แรกเกิด จนบัดนี้ยังทำหน้าที่ได้อย่างซื่อตรง ฉะนั้นควรประพฤติดีต่อกัลยาณมิตร ด้วยการหายใจเข้ากำหนด “ พุท ” หายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” กำหนด “ พุท-โธ ” ทุกครั้งที่มีจิตระลึกได้ถึงเพื่อนดีคนนี้ และกำหนดทุกครั้งที่ว่างจากการทำงานภายนอก คือหมดภาระที่ต้องทำให้กับสังคมแล้ว ต้องทำงานให้กับเพื่อนดีคนนี้

อนึ่ง พระสารีบุตรกล่าวว่า การมีสติระลึกได้ในกาย (กายคตาสติ) เป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุด

ทีนี้หนูอยากทราบค่ะว่าในชีวิตการทำงานระหว่างวัน ถ้าหนูพยายามให้มีสติตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้โดยการระลึกรู้อยู่ที่คำบริกรรม พุทโธ หรือรู้ลมหายใจ หรือรู้เห็นความคิดในระหว่างวัน ถือว่ามีสติหรือยังคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ค่ะ


คำตอบ
ขณะทำงานในรอบวัน (งานภายนอก) ผู้ใดเอาใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ ผู้นั้นมีสติ ตรงกันข้าม ขณะทำงานในรอบวัน ผู้ใดเอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก (งานภายใน) ผู้นั้นขาดสติจากงานที่ทำ โอกาสผิดพลาดในงานที่กำลังทำอยู่ย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากผู้ถามปัญหารู้วาพัฒนาจิตผิดพลาด แล้วแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง เพื่อนดีของชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเป็นนักศึกษาเภสัชค่ะ ได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
หนูหมั่นไปทบทวนธรรมะที่นิโรธารามอยู่ตามที่โอกาสจะเอื้ออำนวย อยู่ที่หอพักหนูก็ฟังธรรมก่อนนอนทุกคืน
ตอนที่อยู่ในวัดหนูเข้าใจและเรื่องคำสอนของพระพุทธองค์มากค่ะ และตั้งใจว่าจะทำตาม
แต่พอออกมาอยู่กับสภาพสังคม อยู่กับเพื่อน ๆ ก็กลับไปหลงระเริงอย่างเดิมอีก
บางครั้งก็ยังส่องกระจกแล้วเห็นว่ายังมีคนที่จะงามอีก แต่หนูก็บอกตัวเองว่า จริง ๆแล้วคนไม่ได้งามหรอก
แต่บางครั้งมันก็ยังเผลอค่ะ

หนูไปอ่านหนังสือ เค้าบอกว่า การจะเข้าถึงธรรมะต้องใช้ตาปัญญาในการมอง
ไม่ได้เข้าถึงด้วยการคิด หรือการฟังธรรม

อยากเรียนถาม ท่านอ.ดร.สนอง วรอุไร ว่า
อ.มีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวให้สามารถดำเนินตามอริยมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นไปได้จริง
สำหรับนักศึกษาปัญญาน้อยอย่างหนูบ้างไหมคะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่กรุณาชี้ทางสว่างให้

คำตอบ
ผู้ใดฟังธรรมก่อนนอน ผู้นั้นมีบุญเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ผู้ใดเข้าใจคำสอนของพระพุทธะ (มีความเห็นถูกตรง) ผู้นั้นมีบุญเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ

ตรงกันข้าม ผู้มีจิตหลงระเริงอยู่กับกิเลสของสังคม ผู้นั้นมีบาป (จิตเศร้าหมอง) เกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ผู้ใดส่องกระจกแล้วเผลอใจว่าตนเองยังมีความงาม ผู้นั้นมีบาป (ขาดสติ) เกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ

ใจที่มีลักษณะดังเช่นที่กล่าวมานี้ เปรียบได้กับคนที่ยังว่ายน้ำไม่เป็นแล้วตกน้ำ จึงต้องมีกิริยาผลุบๆโผล่ๆ คือทำบ้างไม่ทำบ้าง (ไม่สม่ำเสมอ) ตายแล้วยังมีโอกาสเกิดเป็นสัตว์อยู่ในทุคติภพหรือในสุคติภพได้ ดังนั้นผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต ย่อมเร่งความเพียรฝึกจิตให้มีสติ และฝึกจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้สติปัญญาที่พัฒนาได้ สั่งสมแต่สิ่งที่เป็นบุญ เพื่อใช้นำพาชีวิตไปสู่ความสวัสดีในวันข้างหน้า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อปีใหม่ที่ผ่าน 2553 มาทางดิฉันได้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 9 รูป มาบิณฑบาตร อาหารแห้ง ที่โรงงานที่ดิฉันทำงานอยู่ และได้เตรียมอาหารคาว หวานใส่ปิ่นโตถวายให้พระท่านฉันในเวลาเพลพร้อมการถวายสังฆทาน ซึ่งในหลายครั้งที่มีการจัดงานทำบุญปกติ ทางโรงงานดิฉันจะให้พระท่านฉันเพลที่โรงงาน แต่เมื่อต้นปีใหม่ 2553 วันนั้นไม่สะดวก เรื่องเวลา จึงเป็นไปตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น ภายหลังจากจบงานทำบุญก็มีการส่งพระ

ดิฉันมีคำถามดังนี้

1 เพื่อนร่วมงานดิฉัน ซึ่งเป็นผู้หญิง ได้เข้าไปช่วยถือบาตรที่ทางโรงงาน ได้เตรียมข้าวสวยใส่ในบาตรพระขณะที่ท่านกำลังกลับเนื่องมาจาก ไม่มีผู้ชายช่วยถือเพียงพอ พระ 9 รูป เป็นการกระทำที่สมควรในทางธรรมหรือไม่คะ


2 การที่ไม่ได้ให้พระสงฆ์ท่านนั่งฉันเพลที่โรงงาน แต่ใส่อาหารในปิ่นโตแทนถือว่าผิดมั้ยคะ แล้วอานิสงค์ต่างกันกับให้พระท่านฉันที่โรงงานหรือเปล่าคะ

ปล ... พนักงานหลายคนตำหนิทางเพื่อนร่วมงานดิฉัน และเรื่องการที่ดิฉันจัดอาหารใส่ปิ่นโตถวายให้พระท่านไปฉันที่วัด

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงคะ ที่เมตตาในการตอบข้อข้องใจในครั้งนี้

ด้วยความเคารพอย่างสูงคะ

คำตอบ
(๑). หากสตรีผู้อุ้มบาตรเป็นญาติกับภิกษุ ถวายบาตรโดยภิกษุรับจากมือโดยตรง ไม่ถือเป็นบาป ตรงกันข้าม หากสตรีผู้อุ้มบาตรมิใช่ญาติอุ้มบาตรถวาย แล้วภิกษุรับบาตรด้วยมือโดยตรง ภิกษุรูปนั้นมีโทษจากการล่วงละเมิดสิกขาบท (บาป) สตรีผู้ร่วมกระทำบาปให้เกิดขึ้น ย่อมต้องรับโทษนั้นด้วย จึงไม่ควรกระทำ แต่หากภิกษุใช้ผ้ารองรับบาตรที่สตรีผู้มิใช่ญาติส่งถวาย ไม่ถือว่าเป็นบาป

(๒). การนิมนต์พระสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่โรงงาน หรือนำอาหารบรรจุลงในปิ่นโตแล้วถวายให้พระนำกลับไปฉันที่วัด สามารถทำได้ ไม่ถือว่าเป็นความผิด ส่วนบุญที่เกิดขึ้นจากการกระทำทั้งสองรูปแบบ ประพฤติแบบไหนได้บุญมากกว่าขึ้นอยู่กับ ก่อนทำบุญศรัทธา ขณะทำบุญตั้งใจ ทำบุญแล้วสบายใจ ประพฤติแบบไหนแล้วทำให้ปัจจัยทั้งสามมีกำลังมากกว่า การประพฤตินั้นได้บุญมากกว่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขออนุญาตอาจารย์นะคะ ถ้าหนูเขียนอะไรผิดไป หนูขออโหสิด้วยนะคะ
หนูได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วรู้สึกศรัทธา และได้ฝึกปฏิบัติวิปัสสนา
ของพระธรรมวิสุทธิกวี เจ้าอาวาสวัดโสมนัส และได้ฝึกปฏิบัติเอง มา ๑ ปีกว่า
ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยมาก ฝึกนั่งสมาธิทุกวันๆละประมาณ ๒ ชั่วโมง
ช่วงแรกๆ เริ่มครั้ง ๕ นาที ๑๐ นาที และค่อยๆ เพิ่มมาเรื่อยๆ ปัจจุบันนั่งติดต่อกัน
เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง
หนูมีปัญหาคือเป็นคนตื่นเต้นง่ายมาก เวลาตื่นเต้นควบคุมไม่ได้เลย
มือสั่น ใจสั่น พูดไม่ออก ไม่ทราบมีกรรมอะไร หนูพยายามฝึกสมาธิ
แต่ยังช่วยไม่ได้ไม่ทราบต้องทำอย่างไรคะ และการที่เราทำบุญโดยการนั่งสมาธิ
แล้วทำไมกรรมถึงได้ตอบสนองเราเร็วมากและเห็นทุกครั้งที่เราทำกรรม
รู้สึกเหมือนกรรมตอบสนองเราทุกครั้งและเร็วด้วย เพราะว่าตอนนี้จิตยังไม่เข้มแข็ง
พอที่จะไม่ทำกรรมทางการคิด บางครั้งเกือบจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
ที่ไม่ทราบว่าแต่ละวันทำกรรมอะไรไป และกรรมอะไรตอบสนอง เพราะสนุกไปวันๆ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
ผู้ใดขาดสติ ผู้นั้นมีอารมณ์หวั่นไหวได้ง่าย ประสงค์ให้ให้อารมณ์ของจิตลดลง ต้องพัฒนาใจให้มีศีล ๕ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วจิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย อารมณ์หวั่นไหวของจิตจะลดน้อยลง จนกระทั่งจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ได้

การปล่อยให้กิเลสเข้ามามีอำนาจเหนือใจ (สนุกไปวันๆ) เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับคนที่มีจิตขาดสติ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์มิให้ชีวิตตนเองตกต่ำ ต้องเอาศีล ๕ มาคุมใจ เจริญอานาปานสติโดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. สอบถามเรื่องอาบัติของพระครับถ้าพระติดอาบัติหนัก (สังฆาทิเสส )ต้องเข้าปริวาสถึงจะระงับได้ใช่ไหมครับ
แล้วพระรูปนั้นถ้าตั้งใจปฏบัติธรรมจะมีสิทธิได้ดวงตาเห็นธรรมรึเปล่าครับ หรือหมดสิทธิ์แล้ว

2. เวลานั่งสมาธิมีอาการเพ่งตรงหน้าผากเกิดจากอะไรหรือครับมีวิธีแก้ไขรึเปล่า หรือค่อยดูไปเรื่อยๆครับ

ขอขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยตอบคำถาม
ขอให้อาจารย์เจิรญในธรรมมะนะครับ

คำตอบ
(๑). ใช่ครับ ผู้ใดหยุดประพฤติอาบัติอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ยังมีสิทธิ์ที่จะพัฒนาจิตให้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้

(๒). การเพ่งตรงหน้าผาก เกิดจากการเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่หน้าผาก หากเพ่งแล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ถือว่าเป็นสมถภาวนาแบบหนึ่ง ผู้ใดเอาจิตไปผูกติดกับการเพ่งแบบนี้ ผู้นั้นยังมีความหลงเพราะมิได้ทำสมาธิที่เกิดขึ้น ไปพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นควรแก้ไข ด้วยการพิจารณาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ ที่เกิดขึ้นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 80, 81, 82, 83, 84, 85, 86 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร