วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 01:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 81, 82, 83, 84, 85, 86, 87 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาทั้งหมด คือเกิดมาเสวยกรรมดีและกรรมไม่ดี ผมมีความสงสัยว่า

สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนต้องมาจากจุดเริ่มต้น หรือมาจากศูนย์ทั้งนั้น มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาชาติแรกล้วนยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย เหตุใดถึงต้องมาเกิดครับ

2. ผู้คุมสมัยก่อนที่ลงโทษนักโทษโดยการทรมานนักโทษต่างนานาตามหน้าที่ (เป็นนักโทษที่ทำผิดจริง) เป็นบาปไหมครับ (ถ้าบาป)ยมบาลที่อยู่ในนรกลงโทษผู้ที่เคยทำกระทำความผิดบนโลกมนุษย์ สิ่งที่ยมบาลทำแล้วไม่มีความผิดเพราะเป็นนหน้าที่ กรรมมีข้อยกเว้นใช้ไหมครับ

3. ยมบาลที่อยู่ในนรก ที่คอยลงโทษ ผู้ที่เคยทำผิดบนโลกมนษย์ คนที่ถูกลงโทษนี้จะอาฆาตแค้นยมบาลได้ไหมครับ

4. สวรรค์และนรกเป็นสากลไหมครับ ถ้าผมนับถืออิสลามอยู่ประเทศอื่น ต้องเจอสวรรค์หรือนรก ตามความเชื่อ แบบศาสนาพุทธหรือปล่าวที่ยมบาลใส่กางเกงเเดง เป็นแบบนี้ทั้งโลกหรือปล่าว หรือว่าสวรรค์นรกขึ้นอยู่ของแต่ละศาสนาไม่เกี่ยวกัน เวลาคนตายก้ไปตามศาสนาใครศาสนามัน

คำตอบ
(๑). เพราะความไม่รู้จริง (อวิชชา) ที่มีอยู่ในจิต เป็นพลังผลักดันให้ต้องมาเกิด

(๒). เป็นบาปกับนักโทษผู้มีจิตจองเวรกับผู้ที่ทำให้เขาต้องทุกข์จากการถูกทรมาน ไม่ถือว่ายมบาลประพฤติผิด เพราะทำหน้าที่ถูกตรงตามกฎแห่งกรรม

(๓). คนที่เป็นเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกแล้ว ไม่มีโอกาสอาฆาตแค้นยมบาลได้ เพราะต้องเสวยความทุกข์ล้วนจากการถูกทรมาน

(๔). มีความเป็นสากลในเรื่องของสภาวะ คือ เทวดาเสวยกามสุขที่เป็นทิพย์เหมือนกัน แต่มีสมมุติ เช่น เครื่องแต่งกายไม่เหมือนกัน และเช่นเดียวกัน สัตว์นรกมีสภาวะที่เหมือนกัน คือ เสวยกามทุกข์ล้วนๆจากการถูกทรมาน แต่มีสมมุติ เช่น แต่งกายไม่เหมือนกัน

ผู้ใดประสงค์พิสูจน์สัจจธรรมในเรื่องเช่นนี้ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนบรรลุความทรงฌานให้ได้ก่อน แล้วใช้ทิพพจักขุไปสัมผัส สัตว์ เทวดาและสัตว์นรก ที่มาจากศาสนิกของแต่ละศาสนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากจะถามเรื่องการปฏิบัติธรรมและสุขภาพอยากถามว่าวิปัสนา กรรมฐานแก้กรรมได้ไหมคะ

อยากทราบว่าตอนนี้ได้ปฏิบัติมาหลายเดือนแล้ว อยากทราบว่ามีปัญหาเรื่องเนื้องอกในมดลูก จะได้ผ่าตัดหรือไม่ได้ผ่าตัด

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
วิปัสสนากรรมฐานแก้ (ทำให้หาย , ทำให้หมดไป) กรรมไม่ได้ หนี้กรรมจะหมดไปได้ด้วยการชดใช้ ผู้ใดดับรูปดับนามเข้านิพพานได้ หนี้ธรรมที่เหลือค้างอยู่ในจิต ยกถูกยกเลิกให้ผล (อโหสิ)

ผู้ใดปฏิบัติธรรมมานานหลายเดือน มิได้หมายความว่า ผู้นั้นเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ ตรงกันข้าม ผู้เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติเป็นผู้มีบุญใหญ่ เมื่ออุทิศบุญใหญ่ให้เจ้ากรรมนายเวร เนื้องอกในมดลูกมีโอกาสหายไปได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอเรียนถามอาจารย์เรื่องกรรมกับความรักค่ะ ปกติแล้วหนูเป็นคนนิ่งๆเฉย แต่หากเมื่อใดมีความรักแล้วรู้สึกเหมือนไฟเผา ใจจะร้อนรุ่มกระวนกระวายระแวงไปหมด
ทำให้หนูต้องเจ็บกับความรักหลายครั้งหลายคราด้วยความที่จิตไม่ปกติของหนู จนหนูรู้สึกความรักปนความพยาบาท ไม่พอใจก็ทำอะไรขาดสติ

หนูจะแก้ปัญหาโดยวิธีใดคะ และเรียนอาจารย์ว่าจิตหนูขณะนี้ไม่สงบเลย
เวลาทำบุญ ปฏิบัติธรรม หนุก็ขอให้พบรักที่ดี แต่ไม่เจอเลยค่ะ มีปัญหาตลอด
จึงขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ต้องแก้ปัญหาด้วยการให้อภัยได้ในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ แล้วเมตตาย่อมเกิดขึ้น ผู้ใดรักผู้อื่นด้วยมีเมตตาเป็นพื้นฐานของใจ เช่น พ่อแม่รักลูก ความรักเช่นนี้ย่อมมีความสุข ตรงกันข้าม ความรักที่มีตัณหาเป็นพื้นฐานของใจ ความรักเช่นนี้ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะตัณหาทำให้ใจมีความทะยานอยาก เช่น อยากได้อารมณ์อันน่าใคร่ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอรบกวนสอบถามอาจารย์เรื่องเดียวที่สงสัยคือ ทุกอย่างนั้น ย่อมต้องมีเหตุมาก่อนจึงเกิดผลในปัจจุบันหรือในอนาคตแน่นอน แต่การที่มนุษย์ได้กระทำสิ่งที่เป็นกุศล เช่น บุญกิริยาวัตถุ 10 สามารถทำให้ตนเองอยู่เหนือดวงได้ มีความสัมพันธ์กันอย่างไรครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (เหตุ) อยู่เสมอ เมื่อบุญให้ผลแล้ว ผู้นั้นมีโอกาสพัฒนาชีวิตให้อยู่เหนือดวง (ผล) ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหาว่าเมื่อนั่งสมาธิแล้วมีอาการเมือนสมองเบาๆ เย็นที่ลูกตา และรู้สึกเหมือนชาๆที่ลิ้น และตามผิวเนื้อตัวเย็นๆและเบาๆ และคล้ายๆจะถึงจุดสุขมากๆ แต่ไปไม่ถึง ไม่ทราบต้องใช้จิต ณ ขณะนั้นดูที่อาการที่เกิด ขึ้นกับกายหรือต้องทำอย่างไรคะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่เมตตาตอบคำถาม

คำตอบ
ขณะนั่งสมาธิ ทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น รู้สึกสมองเบา เย็นที่ลูกนัยน์ตา ชาที่ลิ้น ฯลฯ ต้องกำหนดจิตให้รู้ทันอาการที่เกิดขึ้นว่า “ เบาหนอๆๆๆ ” “ เย็นหนอๆๆๆ ” “ ชาหนอๆๆๆ ” ตามลำดับจนกว่าอาการดังกล่าวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ที่ใช้เป็นฐานกำหนดฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราหายใจแบบเอาสติตามไปดูพองหนอ-ยุบหนอ-พองหนอ-ยุบหนอ แบบนี้เป็นการหายใจเข้าทางช่องท้อง เช่นนี้ทำให้ได้สุขภาพ ด้วยใช่ ไหมครับ เพราะเคยอ่านหนังสือสุขภาพเขาบอกว่าถ้าเราหายใจเข้าช่องท้องช้าๆ ลึกๆ เช่นนี้จะทำให้สุขภาพดี

... ปัญหาของกระผมที่อยากเรียนถามอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราฝึกสติตามดู โดยตามลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก แบบนี้อากาศมันจะไปกักอยู่ที่ปอด ไม่ลงไปในช่องท้องเต็มที่ แบบนี้สุขภาพจะไม่ดีเท่ากับหายใจเข้าช่องท้อง (เหมือนเด็กทารกตอนเกิดมาใหม่ๆ จะหายใจเข้าช่องท้อง) ดังนี้.....ถ้าเราอยากฝึกสติเราควรฝึกดูลมหายใจเข้าออก พองหนอ-ยุบหนอ , หรือดูที่ลมที่กระทบปลายจมูกดีครับ ??? บ่อยครั้งที่สลุบไปสลับมา .. .
( เพราะเข้าใจว่าถ้าเลือกอันใดอันหนึ่งไปเลยน่าจะดีกว่า )

*** กราบขอบพระคุณท่านอ.ดร.สนอง วรอุไรเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพดี ช่วยเหลือผู้คนไปนานๆ ยิ่งๆขึ้นไป ขอบคุณครับ

*** และขอบคุณพี่ๆทีมงานชมรมกัลยาณธรรมเป็นอย่างสูงเช่นกัน ขอบคุณครับ .

คำตอบ
เป็นการหายใจเอาอากาศเข้าทางจมูกอย่างมาก แล้วไปมีผลทำให้หน้าท้องพองขึ้น เซลล์ที่บุผนังหน้าท้องได้รับออกซิเจน ทำให้มีสุขภาพดีได้ ตรงกันข้าม หากหายใจเอาอากาศเข้าทางจมูกเพียงปริมาณน้อย เซลล์ที่บุผนังหน้าท้องอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ สุขภาพจึงไม่ดีได้ ฉะนั้นการหายใจเข้าลึกๆและปล่อยลมออกจากร่างกายยาวๆ จึงทำให้การฝึกจิตทั้งสองแบบ มีสุขภาพดีได้ จึงควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะกับจริตมาใช้ฝึกจิต ก็สามารถทำให้จิตมีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิและมีสุขภาพจิตดีได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ตามประเพณีของคนพื้นเมืองเหนือ เมื่อจัดงานศพ เจ้าภาพจะจัดหาปราสาทสวยๆเพื่อนำโลงศพมาประดับและอุทิศให้ผู้ตาย และได้สมบัติเป็นปราสาทใช้บนสวรรค์ไม่ทราบว่าเป็นจริงไหมคะ

2 ถ้าไม่เป็นจริงเมื่อจัดงานศพ ควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงและขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ



คำตอบ
(๑). มนุษย์ผู้ประพฤติปาณาติบาต ตายแล้วมีโอกาสลงไปเกิดอยู่ในภพนรก ไม่มีสัตว์นรกตนใดมีปราสาทอยู่อาศัย ตรงกันข้าม นันทิยะมาณพ สร้างศาลาจตุรมุขถวายพระพุทธโคดมไว้ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปรากฏว่ามีวิมานร้างเจ้าของ รออยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทั้งนี้เพราะนันทิยะมาณพยังไม่ตายจากภพมนุษย์ ฉะนั้นประสงค์พิสูจน์สัจจธรรมในเรื่องนี้ ผู้ถามปัญหาต้องเข้าฌานให้ได้ แล้วอธิษฐานขอเห็นด้วยทิพพจักขุ

(๒). ผู้ใดประสงค์มีวิมานเป็นของตัวเองอยู่อาศัย ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรง ด้วยการบำเพ็ญทานและรักษาศีลตลอดชีวิต หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ตลอดชีวิต หรือพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วตายลงในขณะจิตทรงอยู่ในฌาน ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม ทั้งเทวดาและพรหมมีวิมานอยู่อาศัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากเรียนถามว่าถ้าดิฉันตายไปแล้ว และติดต่อให้ทางโรงพยาบาลมารับศพไปเป็นอาจารย์ใหญ่เลยโดยไม่ต้องจัดพิธีสวด ศพเลย ดวงจิตที่ออกจากร่างของดิฉันแล้ว จะสามารถไปในภพภูมิที่จิตดวงสุดท้ายกำหนดได้หรือไม่ จะผิดหลักการตามศาสนาพุทธหรือไม่ เพราะดิฉันคิดว่าการที่คนตายไปแล้วไม่อยากให้วุ่นวาย และจะบอกกับลูกว่าถ้าต้องการจะจัดงานศพให้จริง ๆ ก็ไปถือศีลปฏิบัติธรรมให้แม่สัก 7 วันก็พอแล้ว เพราะเป็นการไม่รบกวนคนอื่นด้วยและดิฉันคิดว่าผู้ตายน่าจะได้ผลบุญมากกว่า ใช่หรือไม่ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาที่ให้ความกระจ่างล่วงหน้านะค่ะ และขออนุโมทนาในผลบุญที่อาจารย์ได้เผยแผ่ให้ความรู้เป็นธรรมทานแก่คนทั่วไป ค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดปรารถนามีชีวิตในวันข้างหน้าเป็นเช่นไร ต้องทำเหตุให้ถูกตรง อาทิ

• ประพฤติศีล ๕ อยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดเป็นมนุษย์

• ประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ หรือให้ทาน + รักษาศีล เป็นเหตุให้เกิดเป็นเทวดา

• เข้าฌานแล้วตายในฌาน เป็นเหตุให้เกิดเป็นพรหม

อนึ่ง ผู้ใดพัฒนาจิตจนบรรลุอย่างน้อยโสดาปัตติผล ตายแล้วไปเกิดอยู่ในสุคคติภพ และไม่ต้องการบุญที่เกิดจากมีผู้อุทิศให้ ฉะนั้นการให้ลูกไปถือศีลปฏิบัติธรรมจึงเป็นความเห็นที่ถูก และผู้ใดยินดี (อนุโมทนา) ในการทำความดี (ปฏิบัติธรรม) ของผู้อื่น ผู้อนุโมทนาได้บุญด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์
แต่ตอนนี้หนูอยากบวชในศาสนาพุทธ

พ่อคิดว่าหนูทำไม่เหมาะ เพราะ เป็นการไม่ไว้หน้าญาติๆ และพ่อรู้สึกไม่ดีที่ลูกไม่ได้บวชในพระเป็นเจ้า ส่วนกับแม่นี่ หนูยังไม่กล้าคุย

หนู ควรหรือไม่ควร บวช หรือ โน้มน้าวพ่อแม่ ต่อไปคะ
ตอนนี้หนูก็ชักเริ่มจะรู้สึกว่า เราอยากบวชเพราะโลภ คือคิดว่าบวชแล้วจะต้องสุขอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่กับโลกต่อไป เป็นบ้า เป็นทุกข์หาสุขไม่เจอแน่

ตอนแรก แค่คุยกับแม่ชีท่านนึง แล้วท่านบอกให้มาอยู่ที่วัด แค่นี้หนูก็ดีใจแล้ว
แต่หนูไม่ได้บอกท่านว่า ครอบครัวหนูเป็นคริสต์..

หนูเลยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น เป็นกิเลส หรือ กุศลกันแน่
แล้วเราควรใช้ชีวิตอย่างไรต่อจากนี้

ขอบพระคุณอาจารย์คะ

คำตอบ
บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้จริงไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น ดังนั้นที่พ่อไม่เห็นด้วยกับการเลือกทางชีวิตของลูก จึงเป็นความเห็นผิดของผู้เป็นพ่อ คือยังรู้ไม่จริงแท้และยังมีความเห็นแก่ตัว จึงอยากให้ลูกเป็นอย่างที่พ่อคาดหวังได้

บุคคลในโลกส่วนใหญ่แสวงหากามสุข คือความสุขที่เกิดจากประสาทสัมผัส เป็นความสุขที่หยาบ มีความทุกข์เป็นของคู่ มาเร็วไปเร็วและซื้อหาได้ด้วยราคาแพง แต่ความสุขที่ทำจิตให้สงบจากอารมณ์ เป็นความสุขที่ละเอียด ประณีต ยืนยาวกว่ากามสุข และลงทุนเพียงน้อยนิด ก็สามารถหาความสงบสุขได้ และยิ่งได้เข้าถึงความสุขที่จิตเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุได้แล้ว ก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตปัจจุบันที่เข้าถึงความสุขเช่นนี้ได้ ดังนั้นพึงเลือกเอาตามที่ใจปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูกำลังศึกษา ปริญญาเอก ที่ University of Nebraska , Lincoln, USA สาขา Entomology. หนูมีปัญหาที่เป็นทุกข์ อยากกราบเรียนถามวิธีแก้ไขปัญหาจากอาจารย์ค่ะ

หนูมาเรียนที่นี่ช่วงแรกด้วยทุนส่วนตัว(ทุนของสามี) อยู่ไปได้ช่วงหนึ่งก็ได้รับทุนสนับสนุนการเรียน ( graduate assistanceship ) จาก อาจารย์ที่ปรึกษาที่เป็น Americans ที่นีี่ ทำให้ไม่ต้องเสียค่าเรียน หนูกำลังทำ dissertation และ ต้องทำการวิจัยซึ่งเป็นการทดลอง ที่จำเป็นต้องฆ่าแมลง พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะฆ่าให้น้อยที่สุดเท่าทีีจะน้อยได้ เพราะทราบดีว่า ผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมิฉะนั้นก็จะไม่สำเร็จการศึกษา เพราะต้องการกลับไปสมัครทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ อเมริกานี้ ก็ได้ download ธรรมะบรรยาย ของอาจารย์ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม เมื่อปิดเทอม ช่วง Christmas ที่ผ่านมาก็กลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย และได้ไปบวชชีพรามณ์ 3 วัน และ ปฏิบัติ กรรมฐาน เพื่ออุทิศให้แมลงที่ได้ฆ่าไป ช่วงที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น เวลาเดินจงกรมในโบสถ์ ก็ จะมีผึ้ง ผีเสื้อ มด แมลงวัน และ แมลง ต่าง มาบินตามตลอด แต่พวกเขาก็ไม่ได้มากัด อะไร ก็ได้อุทิศบุญให้พวกเขาตลอด พอกลับมาที่ อเมริกาเพื่อศึกษาต่อ ช่วงเปิดเทอม ก็ต้องฆ่าแมลงวันที่ทำการทดลองเพื่อ ทำ dissertation

เกือบทุกเดือน หนูจะส่ง Check ให้วัดที่ California ซึ่งเป็นวัดสาขาของหลวงปู่ชา ทุกคืนหนูจะ สวดมนต์ แผ่เมตตา นั่่งสมาธิ ขออโหสิกรรม ต่อแมลงวันได้ฆ่าไป แทบทุกคืน เพื่อเพิ่มกุศลกรรมให้มากขึ้นเพื่อหนีวิบากกรรมนี้ แต่รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องชดใช้ เนื่องจากผิดศีลข้อหนึ่ง ทำจิตให้นิ่งค่อนข้างลำบาก จิตจะคิดถึงแมลงที่ฆ่าตลอด สงสารพวกเขา แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
กราบเรียนถามอาจารย์ว่าพอจะมีวิธีใดที่จะทำให้จิตนิ่งได้มากกว่านี้ได้ บ้างหรือไม่คะ

หนูควรจะต้องปฏิบัติธรรมหมวดใดให้มากขึ้น ตอนบวชชีพรามณ์นั้นจะนิ่งมากกว่านี้มาก หนูจะทำอย่างไรให้เข้าถึงธรรมให้ได้มากกว่านี้คะ

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


คำตอบ
มนุษย์เป็นสังคม เกิดมามีงานให้ทำอยู่สองงาน คือ งานที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม เพื่อให้ได้ปัจจัยมาเลี้ยงชีวิต กับงานภายในที่ทำให้กับตัวเอง เพื่อเตรียมบุญเป็นปัจจัยเดินทางสู่โลกหน้า

การศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาสูงขึ้น และนำมาใช้ทำงานให้กับสังคมได้มากขึ้นเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ความรู้เช่นนั้นนำเอาบาปติดมาด้วย จึงต้องชดใช้ด้วยการอุทิศบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ ตราบใดที่การประพฤติทุศีลข้อปาณาติบาตยังจำเป็นต้องกระทำอยู่

ผู้ใดยังมีศีลที่ขาด ทะลุ ด่าง พร้อย ไม่สามารถพัฒนาจิต ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับที่จะใช้พัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นได้ แต่หากเมื่อใดหยุดประพฤติทุศีลได้แล้ว เมื่อการพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ หมวดธรรมที่สำคัญคือ ศีล เป็นพื้นฐานนำจิตสู่สมาธิ สมาธิเป็นฐานนำสู่การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ตามหลักของไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) นั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ฉบับนี้ผมมีข้อสงสัยต่าง ๆ มาสอบถามอาจารย์ดังต่อไปนี้

1. ปกติเป็นคนที่มีภวตัณหาน้อยกว่าคนทั่วไป แต่มีวิภวตัณหาแรง โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นพื้นฐานที่ดีให้ได้มาสนใจธรรมะ เพราะอย่างน้อย วิภวตัณหาไม่ทำให้เราเพลิดเพลินกับโลกธรรม และมองโลกแบบถอนตัวเองออกมาเพื่อให้รับรู้ได้อย่างเป็นกลางได้ง่ายกว่าคนมี ภวตัณหา แต่ก็อยากลดตรงส่วนนี้ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังให้กลายเป็นคนคิดบวก มองโลกเป็นสีชมพู แต่ขอให้ไปสู่ความไม่ยินดียินร้าย ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะแนะนำให้ต้องปฏิบัติภาวนาในรูปแบบใด อย่างไรเป็นพิเศษ ? เพื่อแก้ไขตรงส่วนนี้โดยเฉพาะ

2. การฝึกสมถกรรมฐานของผมเป็นการดูหน้าท้องยุบพองเสียส่วนมาก แต่สถานปฏิบัติธรรมที่ใกล้ที่สุดจะฝึกแบบดูลมหายใจ ไม่ทราบว่าควรจะปฏิบัติควบคู่กันไป หรือเจาะจงเลือกเฉพาะที่ตัวเองฝึกแล้วรู้สึกว่าได้สติเจริญดีกว่า ? ( ถึงจะฝึกดูหน้าท้องเป็นหลัก แต่ผมกลับรู้สึกว่าการดูลมทำให้จิตผมตั้งมั่นได้ง่ายกว่าครับ สันนิษฐานว่าจุดที่เราเพ่งจิตไปมันอยู่ใกล้ศีรษะมากกว่า) แล้วหากเลือกจะเข้าร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดแล้ว ควรไปปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์บ่อยเพียงไร ?

3. ได้อ่านหนังสือของศาสนาอื่นเล่มหนึ่ง ที่มุ่งหมายชวนเชิญชาวพุทธให้มาเข้าศาสนา เนื้อหาโดยหลักจะเกี่ยวข้องกับพระศรีอารยเมตตรัย ว่าเป็นคนคนเดียวกันกับศาสดาของพวกเขา ซึ่งจะกลับมาโปรดชาวโลกอีกในอนาคต มีการกล่าวอ้าง พระธรรมมูลปัญหาคัมภีร์ขอม โดยคัดมาจากพระธรรมไตรปิฎกวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ และได้มีการรับรองความถูกต้อง ต่าง ๆ นา ๆ แต่สะกิดใจข้อความตอนหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นพุทธวัจนะ ที่มีเนื้อหาในทำนองที่ว่า ในยุคพระศรีอารย์ ทางปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์เดิมของพระศากยโคดมจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป ซึ่งขัดกับความเข้าใจเดิมที่ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ซึ่งได้ศึกษาพระไตรปิฎกมามากกว่าว่า ข้อความนี้น่าเชื่อถือมากเพียงไร ? หรือเกิดจากการบิดเบือนเนื้อหา และตีความผิด ? มุมมองส่วนตัวของผม คิดว่าในเมื่อมีน้ำบ่อนี้อยู่ แล้วได้สัมผัสถึงความเย็นฉ่ำมาพอสมควร ก็มุ่งมั่นขุดบ่อนี้ต่อไป อย่าไปคาดหวังอะไรกับน้ำบ่อหน้า

4. ในอนาคตผมวางแผนไว้ว่าจะไม่สร้างครอบครัว แล้วบวชในพุทธศาสนา เพื่อแสวงหาปัญญาเห็นแจ้งตามทางของอาจารย์สนอง แต่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งของความคิดนี้เกิดจากวิภวตัณหาของตัวเองที่มีต่อทาง โลก และความหวังในการหาความสุขที่ประณีตกว่าทางโลก บวกกับแรงบรรดาลใจจากเรื่องที่เคยเล่าเอาไว้ในคำถามที่ 1342 ที่ได้เคยลิ้มลองความสุขที่เป็นอิสระจากโลกธรรม ( ?- ไม่แน่ใจว่าอิสระจริงหรือไม่ แต่มั่นใจว่าประณีตกว่าความสุขทางโลก) มาแล้วเป็นเวลาสั้น ๆ เลยอยากสอบถามว่าความหวังในความสุขอันประณีตนี่ใช่โลภะหรือไม่ ? แล้วการมีครอบครัวในความเห็นของผู้เห็นถูกตามธรรม เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติและเข้าถึงธรรมหรือไม่ ?

ฉบับนี้รบกวนอาจารย์เพียงเท่านี้ก่อนครับ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ

คำตอบ
(๑). ตัณหา หมายถึง ความทะยานอยาก แม้จะเป็นวิภวตัณหาก็ยังเป็นกิเลสอยู่ดี การทำใจให้พ้นจากกิเลสตัวนี้ได้ชั่วคราว ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ ตัณหาย่อมไม่รบกวนใจให้หวั่นไว ตราบใดที่จิตยังทรงอยู่ในสภาวะเช่นนี้ วิธีที่สอง คือ พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาวิภวตัณหาว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดวิภวตัณหาดำเนินสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (วิภวตัณหา) แล้วว่างเป็นอิสระจากตัณหาได้ตลอดไป

(๒). ผู้ไม่รู้เอาจิตไปผูกติดอยู่กับสถานที่ฝึกกรรมฐาน ผู้รู้เอาปัจจุบันขณะที่ต้องพอง-ต้องยุบ มาเป็นตัวกำหนดจิตให้จดจ่ออยู่กับอาการดังกล่าว มาเป็นองค์บริกรรม ทำที่บ้านก็ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปฝึกยังสถานที่อื่นใด

อนึ่ง บทกรรมฐานใดนำมาเป็นองค์ภาวนา แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว ให้เลือกใช้องค์ภาวนานั้นเพียงอย่างเดียว โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอื่น ทั้งนี้เป็นเพราะผลที่เกิดจากการฝึกเป็นอย่างเดียวกัน คือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรฝึกจิตภาวนาทุกขณะตื่น หรือฝึกจิตภาวนาทุกครั้งที่นึกได้ และฝึกจิตภาวนาทุกครั้งว่างจากการทำงานภายนอก

(๓). พระพุทธโคดมสอนภาวนา กาลามะแห่งเกสปุตนิคม ชนบทแห่งแคว้นโกศลว่า อย่างปลงใจเชื่อด้วยเหตุสิบอย่าง (กาลามสูตร) ผู้ใดประสงค์พิสูจน์คำกล่าวอ้างที่ยกขึ้นมาปุจฉา ว่าเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องหรือไม่ ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จะเห็นว่ามรรคมีองค์แปด เป็นทางดำเนินสู่ความพ้นทุกข์ โดยไม่มีกาลเวลามาเป็นปัจจัย ทำให้มรรคมีองค์แปดแปรเปลี่ยนไปเป็นความไม่จริงได้

(๔). ปัญญาเห็นแจ้งเป็นปัญญาสูงสุด มีอยู่สองระดับ คือ เห็นแจ้งระดับที่เป็นมรรค (ญาณกำหนดแยกรูปนาม – ญาณหยั่งรู้อริยสัจจ์) กับปัญญาเห็นแจ้งระดับที่เป็นผล (ญาณข้ามพ้นภาวะปุถุชน – ญาณทบทวนกิเลสที่ละได้กับกิเลสที่ยังเหลืออยู่) ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธโคดมค้นพบ (ไม่ใช่ของอาจารย์สนอง) แล้วทำเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รู้จัก

อนึ่ง ความสุขอันประณีตได้แก่ ความสุขที่มีจิตสงบจากอารมณ์ปรุงแต่ง อันเนื่องมาจากสิ่งกระทบภายนอก ได้แก่ ความสุขที่จิตเข้าถึงฌานสมาบัติ และยังไม่ใช่ความสุขสูงสุด (วิมุตติสุข) ที่มนุษย์สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆในมุมมองของคนอื่นทั่วไปนะคะ แต่สำหรับดิฉันมันรบกวนจิตใจมานานแล้วค่ะขอรบกวนขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่า หากต้องการรักษาศีลข้อสองให้บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยจะทำอย่างไรคะ ที่จะไม่เป็นการเอาเวลาทำงานของบริษัทมาใช้ทำเรื่องส่วนตัว เพราะที่ทำงาน มีเวลาว่างค่อนข้างมาก
(ไม่ใช่งาน routine ) อ่านหนังสือที่เป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับงานหรือศึกษางานเพิ่มเติม ก็ซ้ำๆเพื่อนร่วมงานคนอื่นดูหนัง ฟังเพลง เล่น net ( หัวหน้างานก็ไม่ว่า เนื่องจากเค้าก็ทำ เพราะมันค่อนข้างว่างจากงานจริงๆค่ะ)โดยนำ Notebook ส่วนตัวมาใช้ไฟของบริษัท (เพราะเครื่องคอมฯที่ฝ่ายมีน้อยค่ะ)

ทุกวันนี้ดิฉันซื้อชม. internet เอง ใช้ Notebook ส่วนตัวเหมือนกัน แต่ charge battery จนเต็มมาจากบ้าน และใช้งาน Notebook ในเรื่องส่วนตัวแค่แบตหมดค่ะ (ไม่ได้ใช้ไฟขององค์กร) และเข้า net ก็ในส่วนของการอ่านธรรมหรือบางที ดิฉันก็นำหนังสือธรรมมาอ่านที่ทำงานตอนว่างน่ะค่ะแต่ลึกๆแล้ว ก็คิดว่ามันยังเป็นการละเมิดศีลข้อสองอยู่อาจารย์ช่วยแนะนำทางออกด้วยนะคะ (ทุกวันนี้เพื่อนร่วมงานมองว่าดิฉันเคร่งครัดเรื่องศีลเกินไป) ไม่อยากสั่งสมสิ่งไม่ดีในจิตค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ


คำตอบ
ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติและปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ทุกขณะตื่นย่อมมีงานให้จิตได้ทำ ดังนั้นปัญหาที่ถามไปต้องแก้ด้วยสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จ ต้องเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน เมื่อใดจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจะเห็นว่า จิตมีงานให้ทำอยู่ทุกขณะตื่น

คำพูดติเตียนที่ได้ยิน ต้องนำมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดคำพูดติเตียนหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะปล่อยวางคำพูดนั้น แล้วจะเห็นว่า คนพูดติเตียนเป็นครูสอนใจให้เราได้พัฒนาจิตได้อีกทางหนึ่งด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องหน้าที่ของบุตร ข้าพเจ้ามีความสงสัยในข้อที่มีความว่า บุตรควรสืบทอดกิจการของบิดามารดา

หากบุตรมีความต้องการที่จะทำธุรกิจส่วนตัวของตนเอง และไม่สืบทอดกิจการของบิดามารดา อันซึ่งบิดามารดาต้องการให้สืบทอดต่อ ถือว่าอกตัญญู และเป็นอกุศลกรรมหรือไม่

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบจากท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
หน้าที่ของบุตรตามหลักจริยธรรมของลูกหนึ่งเรื่องคือ ช่วยพ่อแม่ทำงาน ซึ่งมิได้หมายความว่าให้สืบทอดกิจการ ผู้รู้ไม่ประพฤติก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น ชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องบริหารจัดการด้วยตัวของเจ้าของชีวิตเอง การไม่ประพฤติตามความต้องการของผู้ก้าวล่วง ไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญู และไม่บาปด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันหนูประกอบอาชีพเป็นลูกเรือสายการบิน ซึ่งมีการบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ให้แก่ผู้โดยสารบนเครื่องด้วยใจหนู ปรารถนาที่จะรักษาศีลห้าให้ได้ในใจทุกข้อ และไม่ได้มีใจยินดีในการที่จะเสริฟเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ให้ผู้โดยสารเลยถ้า เป็นไปได้ก็จะคอยเลี่ยง และบอกตัวเองในใจว่ามิได้ยินดีหรือเห็นดีในการเสพเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เหล่า นั้น

ที่หนูประกอบอาชีพดังกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพสุจริต และช่วยให้หนูมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถเก็บเงินให้คืนพ่อแม่ได้เร็วขึ้นขณะเดียวกันหนูก็รู้ว่าใจหนูใฝ่ธรรมะ ต้องการความเจริญในธรรม และข้ามให้พ้นไปจากกองทุกข์และอบายภูมิทั้งหลาย

จึงอยากกราบเรียนถามอจ. ขอความเมตตาจากท่านอจ.กรุณาชี้ทางให้ด้วยว่า ในกรณีนี้หนูควรทำอย่างไร หรือ จะมีทางที่จะลดวิบากได้อย่างไร จากการที่หนูไปข้องเกี่ยวในการผิดศีลห้า เช่นบริการสุรา และการดื่มสุราของผู้โดยสาร โดยที่ใจหนูมิได้มีความยินดีในการผิดศีลห้าดังกล่าวแม้แต่น้อย

ขอกราบพระคุณท่านอจ.เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
การให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนเครื่องบิน เป็นอาชีพที่ประพฤติชอบ (สุจริต) ในทางโลก ของผู้เป็นลูกเรือของสายการบิน แต่เป็นการประพฤติชั่ว (ทุจริต) ที่เป็นต้นเหตุ ทำให้ผู้ใช้บริการของสายการบินขาดสติ เมื่อใดที่กรรมให้ผลเป็นบาป ผู้ร่วมในอกุศลกรรมต้องรับผลแห่งบาปนั้นด้วย

วิธีแก้ปัญหา คือ ทำหน้าที่ (งานภายนอก) ให้ดีที่สุด และพัฒนาตัวเอง (งานภายใน) ให้เป็นผู้มีบุญคุ้มรักษาอยู่ทุกขณะที่ปฏิบัติงาน ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่นในทางชอบธรรม แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีของผู้อื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง) อยู่เสมอ โดยเฉพาะประพฤติบุญใหญ่ (ภาวนา) ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ผู้ใดพัฒนาตนเองให้มีบุญคุ้มใจจนบาปตามให้ผลไม่ทัน การดำเนินชีวิตของผู้นั้น จะยังคงความสะดวก ความราบรื่น และปลอดภัยได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้ปลูกต้นไม้พญาสัตบัน ไว้ตั้งแต่ปี 2536 อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยจากระยะเวลาที่ปลูก และความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ (แทงค์น้ำเก็บของบ้าน) ทำให้ต้นไม้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้บ้านของข้าพเจ้าทรุด รวมทั้งพื้นผิวของบ้านเกิดความเสียหาย เนื่องจากรากของต้นไม้ที่เติบโต

ทำให้ในเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา คุณแม่ของข้าพเจ้าได้ตัดต้นไม้ออก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้มีการไหว้ใด ๆ ซึ่งหลังจากที่บ้านของข้าพเจ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่นี้ ก็มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับคนในบ้านทุกคน รวมถึงสุนัขที่เลี้ยงไว้ก็ถึงแก่กรรมในช่วงระยะเวลาเพียง 1 เดือนหลังจากตัดต้นไม้ใหญ่

จึงอยากกราบเรียนถามอจ. ดร.สนอง ถึงวิธีการที่สมควรที่ข้าพเจ้าควรกระทำ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวนะคะ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่อุบัติขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของผิวโลกใบนี้ หากมนุษย์ประพฤติตนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งที่อยู่แวดล้อม ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างสงบและมีความเป็นปกติสุข ตรงกันข้ามหากประพฤติเบียดเบียน ย่อมทำให้เกิดการผูกจองเวรกับสัตว์ (รูปนาม) ที่มีกายหยาบและมีกายเป็นทิพย์ เมื่อใดผลของการผูกเวรเกิดขึ้น ผู้ประพฤติเบียดเบียนย่อมได้รับผลของกรรมนั้น เป็นความไม่สบายกายไม่สบายใจ ผู้รู้ยอมรับความจริงในกฎแห่งกรรม และยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น และหากประพฤติบุญใหญ่ (จิตตภาวนา) ให้เกิดขึ้น แล้วเอาบุญใหญ่ใช้หนี้ ผลแห่งการผูกจองเวรย่อมหมดสิ้นได้เร็ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 81, 82, 83, 84, 85, 86, 87 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร