วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 05:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 82, 83, 84, 85, 86, 87, 88 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีเรื่องไม่สบายใจ จากการประกอบอาชีพ ขายเครื่องดื่มม กาแฟ และไอศกรีมค่ะ ทั้งนี้เพราะมีพระท่านมาซื้อ เครื่องดื่มกาแฟ และไอศกรีม ซึ่งมีนม เป็นส่วนประกอบ พระท่านจะมาซื้อทุกวัน และจำนวนมากๆ และให้แบ่งบรรจุแยกน้ำแข็งเพื่อนำกลับไปฝากที่วัดด้วย ทั้งในช่วงบ่ายและค่ำ ทั้งนี้ดิฉันก็ต้องขาย เพราะไม่ทราบว่าจะปฎิเสธท่านอย่างไร ขายไปก็กลุ้มใจไป

ไม่ทราบว่าการขายเครื่องดื่มและไอศกรีมเช่นนี้ เป็นบาปหรือไม่คะ ถ้าบาปแล้วดิฉัันควรทำเช่นไรดีคะ ที่ผ่านมาดิฉัน พยายามถือศิลห้า อะไรไม่ถูกไม่ควร จะไม่ทำเด็ดขาด มาเจอเหตุการณ์ แบบนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจคะ รบกวนขอคำแนะนำจาก อาจารย์ด้วยค่ะ

กราบขอบคุณคะ

คำตอบ
ผู้ใดมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ตายแล้วคุณธรรมที่เกิดจากการเว้นทำลายชีวิต เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการเสพของมึนเมา ย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุบุญมีพลังผลักดันไปสู่สุคติภพ ดังนั้นอาชีพของผู้ถามปัญหา จึงมิได้เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นกับชีวิต แต่จะมีบาปตรงที่ว่า ตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมให้ภิกษุประพฤติละเมิดวินัย ดังนั้นหากยังมีความจำเป็นต้องทำอาชีพนี้อยู่ ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) คุ้มรักษาอยู่เสมอ แล้วบาปจะตามให้ผลไม่ทัน และจะยิ่งเป็นการดีหากประพฤติบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วสามารถปิดอบายภูมิได้ จะทำให้ชีวิตมีความปลอดภัย ไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพที่ปราศจากความเจริญ (อบายภูมิ) อีกต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันปฏิบัติธรรมมาประมาณ ๕ ปีแล้วค่ะ ติดตามผลงานอาจารย์ และปฏิบัติตามคำแนะนำดี ๆ ของอาจารย์ให้ได้มากที่สุดค่ะ ครั้งแรกที่เห็นอาจารย์ในงานชมรมฯ ที่บพิตรพิมุข ดิฉันน้ำตาไหลโดยไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ ตอนเลิกงาน ก็รอส่งอาจารย์ที่บันได อาจารย์ยังแตะหัว และบอกว่า โชคดีนะลูก ปิติใจมาก ๆ ค่ะ ต่อไปเป็นคำถามค่ะ

๑) ๕ ปีที่ผ่านมาดิฉันชอบนั่งสมาธิ เดินจงกรมน้อยมาก การนิ่งในสมาธินาน ๆ เวลามาเจอปัญหาในชีวิตประจำวัน ดิฉันก็ร้อนเลยนะคะ ทำให้ที่บ้านปรามาสบ่อย ๆ ได้แต่คิดว่าเป็นวาสนา อาจารย์มีอะไรจะแนะนำตรงนี้บ้างคะ

๒) ทำบุญ นั่งสมาธิ เห็นคนทำ แล้วบอกว่ารวยขึ้น แต่ธุรกิจของดิฉันก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เลย แต่นั่นไม่ใช่

จุดมุ่งหมายที่ดิฉันปฏิบัติธรรมนะคะ เท่าที่มีอยู่ ก็คิดว่ากินไม่ไหวใช้ไม่หมดแล้ว และบั้นปลายชีวิตอยากไปอยู่วัดเงียบ ๆ ต่างจังหวัดเลยค่ะ เคยแต่งงานและสามีทิ้งไป เจ็บไม่น้อยเลยคะ เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ธรรมรักษาค่ะ ไม่อยากโดดตึกตายอีกห้าร้อยชาติ จึงเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส อยู่ตัวคนเดียวก็มีโอกาสปฏิบัตธรรมมากขึ้น ไม่มีห่วง บ้านที่ดิฉันอยู่ตอนนี้ก็เงินสองคนช่วยกันซื้อก่อนแต่ง เขาว่าจะฟ้อง แต่ไม่เห็นทำซะที และเขาไม่เคยกลับมาเลย ไม่ติดต่อมาเลย (ถึงวันนี้ก็สองปีกว่าแล้วค่ะ) แล้วดิฉันจะคืนได้ยังไงคะ นั่งภาวนาเสร็จทุกครั้งก็จะอุทิศบุญกุศลไปให้เขา ขออโหสิกรรม และอโหสิกรรมให้เขา ให้เจอกันชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายเท่าที่เจอกันมา อย่าเจอกันอีกเลยทั้งภพนี้และภพไหน ไม่อาฆาตเลย ความรู้สึกทุกอย่างจบไปแล้ว ดิฉันต้องทำอะไรอีกมั้ยคะ

๓) สุดท้าย ขอถามเรื่องคำอธิษฐานค่ะ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิเสร็จ จะอธิษฐานจิตว่า ขอให้บุญกุศลนี้จงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าปิดอบายได้ในชาตินี้ ขอให้ถึงพระโสดาบันในชาตินี้ ขอให้บรรลุพระนิพพานในอนาคตกาลโดยเร็วเทอญ อยากทราบว่าอธิษฐานเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าปฏิบัติไม่ถึงโสดาบัน อธิษฐานเช่นนี้ก็จะเป็นโมฆะไปทั้งหมดหรือป่าวคะ หรือถ้าปฏิบัติได้มากกว่าโสดาบัน แต่อธิษฐานชาตินี้ขอแค่นี้ ทำให้เราติดอยู่แค่โสดาบันหรือป่าวคะ เคยได้ยินมาว่า อธิษฐานถึงพระนิพพานไปเลย ขอใหญ่ ๆ ไว้ก่อน แต่ดิฉันเกรงว่าจะไม่ถึงค่ะ ดิฉันรับฟังและจำแม่นจากอาจารย์ว่าโสดาบันต้องละสามข้ออะไรได้บ้าง ดิฉันพากเพียรปฏิบัติอย่างยิ่งเลยค่ะ

ขออนุโมทนาสาธุในบุญกุศลที่อาจารย์ได้ปฏิบัติแล้ว ทุกภพทุกชาติ ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนแห่งบุญนั้นทั้งสิ้นด้วยเทอญ

ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงตลอดไปค่ะ เพื่ออยู่เป็นกำลังใจ เป็นแสงสว่างให้กัลยาณชนทั้งหลายไปนาน ๆ เลยค่ะ

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑). ผู้ใดฝึกจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมระลึกทันสิ่งกระทบ (คำปรามาส) แล้วไม่ทำให้เกิดอารมณ์หวั่นไหว (ร้อนเลยค่ะ) หากผู้ถามปัญหาปรารถนามีอารมณ์สงบเย็น สามารถทำได้สองทางคือ ให้อภัยเป็นทานกับคำปรามาสที่ได้ยิน ด้วยการภาวนาว่า “ ช่าง มันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอารมณ์หวั่นไหวจะสงบลง แล้วความเมตตาก็จะเกิดขึ้นในจิตใจ ส่วนวิธีที่สอง ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วใช้จิตพิจารณาคำปรามาสว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดคำปรามาสหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน) จิตย่อมไม่รับเอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ จิตจะปล่อยวางคำปรามาส แล้วว่างเป็นอุเบกขาด้วยตัวของจิตเอง วิธีนี้เป็นการบริหารจัดการกับสิ่งที่เข้ากระทบจิตที่ดีที่สุด

(๒). ผู้ถามปัญหามีโชคดีที่ห่วงผูกมือ (สามี) หลุดไปได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามกระทำด้วยตัวเอง แต่ยังมีห่วงผูกขา (บ้าน) ที่เขายังไม่มาปลดให้เรา และยังมีทรัพย์ของตัวเอง ที่ตายแล้วต้องทิ้งเป็นทรัพย์กำพร้าไว้กับโลก ดังนั้นสิ่งที่น่ากระทำที่สุดในขณะปัจจุบันคือ พัฒนาจิต (ปฏิบัติธรรม) ให้เป็นอิสระจากโลกธรรม วัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้เมื่อใดแล้ว ชีวิตข้างหน้าดีแน่นอน

(๓). ที่บอกเล่าไปเป็นการอธิษฐานที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมสนับสนุน .... สาธุ แต่เมื่ออธิษฐานแล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรงกับคำอธิษฐานคือ พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดอย่างน้อยสังโยชน์สามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด ความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นย่อมเกิดขึ้นได้ และหากใครผู้ใดเร่งความเพียร โดยมีศีลและสัจจะเป็นแรงสนับสนุนด้วยแล้ว การกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจ (นิพพาน) ย่อมเกิดขึ้นได้

อนึ่ง ผู้ใดประพฤติเหตุถูกตรง แต่ยังเข้าไม่ถึงผลที่ตนปรารถนา คำอธิษฐานยังคงมีอยู่ครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. CD เพลง , VCD ภาพยนตร์/ Concert ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งบันเทิง หรือหนังสือที่สอนในสิ่งที่ไม่ดี เช่น สอนทำไวน์ ซึ่งเราไม่อยากเก็บรักษาแล้ว เราควรจะทำอย่างไรดีกับมันจึงจะสมควรที่สุดคะ ยกตัวอย่าง
ข้อ 1 บริจาคแก่ห้องสมุด เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิชาการทางด้านนั้นๆ
ข้อ 2 นำไปขายต่อ/ให้คนที่สนใจ เพื่อส่งต่อให้แก่คนที่อยากได้จริงๆ
ข้อ 3 นำไปทิ้ง เพื่อให้คนเก็บขยะได้ประโยชน์ เช่น ขายต่อหรือเอาไป Re-cycle ( เขาจะเก็บไปทำอะไรต่อ ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ไม่เกี่ยวกับเรา)
ข้อ 4 ทำลายทิ้ง เนื่องจากเป็นสิ่งที่มอบเมาผู้คน
หรือ หากไม่ใช่ตามด้านบน ควรจะทำอย่างไรดีคะ

2. ระยะหลังมานี้ ดิฉันได้ฟังธรรมบ่อยมากขึ้น และพยายามเจริญสติอย่างต่อเนื่องตลอดเวลามากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด สถานการณ์ใด รู้สึกกิเลสคือตัวทุกข์เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะได้สมอยากหรือไม่สมอยาก รู้สึกถึงใจที่ดิ้นไปมา หาความสงบไม่ได้ และวันนี้ อยู่ๆ ก็เกิดปัญญารู้ความจริงอย่างหนึ่งเมื่อชีวิตผ่านพ้นมาหลายสิบปีแล้วว่า ว่าดิฉันเป็นผู้ที่มีนิสัยอิจฉาริษยาเป็นอย่างมากนอกเหนือจากเป็นคนอ่อนไหว มากกับท่าทีของคนอื่น (ชอบเป็นกระสอบทรายตลอดเวลา) เมื่อได้รู้เห็นคนอื่นทำสิ่งที่เหลวไหล ไร้สาระ ดิฉันจะรู้สึกสงสารในความเป็นมนุษย์ปุถุชน แต่เพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้ว แอบสะใจอยู่ในที แอบรู้สึกว่าเราเหนือกว่าเขา ดีกว่าเขา แต่ตอนที่ดิฉันเห็นคนเดียวกันนั้นทำดีและได้ดี มีความสุข ดิฉันกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจคับแค้นใจ และอิจฉา ว่าทำไมดิฉันด้อยกว่าเขา ทำไมดิฉันจึงไม่เก่ง ไม่ดี ไม่เจริญก้าวหน้าอย่างเขาบ้าง ทั้งที่ดิฉันเป็นคนดี ชอบทำความดีต่างๆ

ดิฉันเกิดความรู้ขึ้นว่าควรจะปล่อยวาง ไม่ควรยินดียินร้ายในความรู้สึกเหล่านั้น ไม่ว่าจะความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความรุ้สึกอันเป็นต้นเหตุ คือความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่างคนอื่นเขา และพยายามมีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันบ่อยๆ ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเท่านั้น สร้างเหตุปัจจัยต่อโดยไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น ก็รู้สึกว่าผ่านเวลาแห่งความรู้สึกร้ายๆ นั้นมาได้งดงามขึ้นกว่าในอดีต และคาดหวังว่าจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต และการเรียนรู้ที่จะปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิด ความรู้สึกของตัวเอง กลับทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเจริญสติได้ดีขึ้น ส่วนในเวลาที่ดิฉันไม่ต้องคิดอะไร ก็จะดูลมหายใจเข้าออก หรือดูการเคลื่อนไหวของกาย แล้วแต่ว่าเห็นอะไรชัดค่ะ ถ้ามีเวลาก็จะนั่งสมาธิเพื่อฝึกให้จิตมีความตั้งมั่นเพื่อเจริญสติได้ดีขึ้น รู้ตัวบ่อยขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยได้นั่งเท่าไหร่ค่ะ การฟังธรรมแต่ละครั้ง แม้ว่าจะเคยฟังแล้ว แต่ดิฉันกลับรู้สึกเข้าใจชัดเจนมากขึ้น มองในแง่มุมใหม่ๆ ได้จนน่าแปลกใจ ดิฉันถือศีล 5 ค่ะ แต่ก็มีหม่นหมองบ่อยๆ ในข้อกาเม (แอบชอบแฟนคนอื่น) และมุสา ค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าเมื่อมีสติรู้ตัวมากขึ้น ก็จะรักษาศีลได้ดีขึ้นตามลำดับ

ท่านอาจารย์คะไม่ทราบว่าแนวทางที่ดิฉันเล่ามานี้ถูกต้องหรือไม่ นำไปสู่ความหลุดพ้นหรือไม่ค่ะ ดิฉันต้องการบรรลุธรรมโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ขอให้เข้าถึงโสดาบันในชาตินี้ค่ะ เพื่อให้พ้นอบายค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาท่านอาจารย์ให้ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มุ่งสู่จุดหมายอันเป็นที่หวังโดยเร็วที่สุดค่ะ

คำตอบ
(๑). ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมในพุทธศาสนา เลือกกระทำตามข้อย่อยที่สี่ ผู้ประสงค์ได้ทั้งบุญได้ทั้งบาป เลือกกระทำตามข้อย่อยที่สาม ผู้ที่ยังมีความโลภและยังชื่นชมยินดีอยู่กับบาป เลือกกระทำตามข้อย่อยที่สอง ผู้ที่ยังมีโมหะส่องนำทางให้ชีวิต นิยมสร้างกรรมนำสู่การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เลือกกระทำตามข้อย่อยที่หนึ่ง ดังนั้นเลือกตามที่ชอบครับ

(๒). ผู้ใดทำความดี แล้วยังหวังให้คนอื่นชื่นชมยินดีกับความดีที่ตนทำ ผู้นั้นยังมีอัตตา ยังไม่ใช่คนดีในพุทธศาสนา คนดีในพุทธศาสนา คิด พูด ทำ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม นิสัยชอบอิจฉาริษยา ความสมอยากหรือไม่สมอยาก (ตัณหา) เห็นสิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความรู้สึกด้อยกว่าเขา เป็นผลที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว (อัตตา) เมื่อถึงวาระที่ต้องทิ้งขันธ์ลาโลก โทษสมบัติเหล่านี้มีพลังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ใน อบายภูมิ

ดังนั้นผู้ใดหวังความเจริญให้เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติรับทันสิ่งกระทบ (ผัสสะ) ที่เกิดขึ้นกับใจ และต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามธรรม คือเห็นผัสสะดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วอารมณ์ตามที่บอกเล่าไป จะไม่เข้ามารบกวนใจให้ขุ่นมัวได้อีก

ดังนั้นสิ่งที่บอกเล่าไป ดำเนินมาถูกทางแล้วจงปฏิบัติต่อไป ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) และสุดท้ายอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน โอกาสที่ศีลข้อสามและศีลข้อสี่ จะกลับมาคุ้มครองใจ แล้วส่งผลให้เกิดความสงบสุข และมีจิตเป็นอิสระจากสิ่งกระทบใดๆ ย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูอยู่ประเทศอเมริกาค่ะ หนูอยากทราบค่ะว่า การทำเราทำงานเสริฟที่ร้านอาหารไทย และส่วนมากเจ้าของร้านจ่ายเงินพนักงานเป็นเงินสด โดยไม่มีการหักภาษีใด ๆ ไว้เลยค่ะ ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายของประเทศอเมริกาค่ะ ทีนี้หนูก็สงสัยค่ะว่า ถ้าผิดกฎหมายแล้ว ก็น่าจะผิดศีลธรรมด้วยเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นการโกงประเทศชาติ หรือปล่าวคะ พอดีหนูศึกษาธรรมะ หนูค่อย ๆ พิจารณาดูแล้วว่าถ้าอยากจะพ้นทุกข์ ควรจะหลีกเลี่ยงการทำไม่ดีให้มากที่สุด กระทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องใส ดั่งที่พระพุทธองค์ได้บอกทางไว้อ่ะค่ะ เพื่อนบางคนบอกว่า เจ้าของร้านเค้าทำแบบนี้จะให้ทำอย่างไร

ส่วนปัญหาเรื่องการที่ต้องเสริฟเครื่องดื่มแอลออฮอล์ให้ ลูกค้า หนูสงสัยเหมือนกันค่ะ แต่บังเอิญได้มาอ่านคำตอบของท่านอาจารย์ก่อนค่ะ

2. หนูอยากทราบว่าอันนี้คือผลของการเจริญมรณานุสติหรือปล่าวอ่ะค่ะ คือช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หนูเจริญมรณานุสติค่ะ หนูมองเห็นว่าพอหนูจะหลงระเริงไปกับความสุขทางโลก เช่น การไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า พอจิตหนูไประลึกถึงความตาย มันหยุดชะงักไปค่ะ ไม่สนุกสนานเลย แต่หนูมาค่อย ๆ พิจารณาดู ในทางกลับกันว่า เวลาที่หนูไปเจอความทุกข์ หรือโกรธ หนูไม่ค่อยได้ไปคิดถึงเรื่องความตายเลยอ่ะค่ะ ไม่ทราบว่าผิดถูกอย่างไร อาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำหนูด้วยนะคะ

สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอขมาท่านอาจารย์ดร .สนอง วรอุไร มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ถ้าหนูเคยได้ล่วงเกินท่านอาจารย์จะด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี จะอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี รู้เท่าถึงการณ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี หนูขอกราบขอขมาท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ขอท่านอาจารย์ดร.สนอง ได้โปรดอโหสิกรรมให้หนูด้วยเทอญค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ที่มีเสมอมาด้วย ค่ะ

ผู้ใฝ่ธรรมแห่งทางพ้นทุกข์

คำตอบ
(๑). การทำกิจการค้าใดๆในประเทศที่มีความเจริญทางโลก ทางร้านหักเงินเป็นภาษี ณ ที่จ่าย ส่งให้กับรัฐแล้วโดยส่วนรวม แต่ควรมีใบกำกับฯ มอบให้พนักงานเสิร์ฟอาหารเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย หากเจ้าของร้านประพฤติทุจริต ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้เสิร์ฟอาหาร จะไปก้าวล่วงในการดำเนินชีวิตของผู้อื่น ผู้ถามปัญหาประสงค์นำพาชีวิตของตัวเองไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องไม่นำตัวเข้าร่วมกระบวนกรรมที่ข้องเกี่ยวกับธุรกิจทางโลก แล้วหันมาปฏิบัติธรรม ความเป็นอิสระจากกิเลสหรือพ้นไปจากความทุกข์ จึงจะเกิดขึ้นได้

(๒). ผู้ใดมีจิตระลึกถึงความตาย แล้วหยุดซื้อหาของที่เกินความจำเป็นแก่การดำเนินชีวิต นั่นคือผลที่เกิดจากการเจริญมรณานุสติ และหากยังรักษาจิตให้จดจ่อ (สติ) อยู่กับความตาย ความทุกข์อันเนื่องมาจากความโกรธย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นพึงเร่งความเพียร และมีสัจจะพิจารณามรณานุสติอยู่เสมอ แล้วความสุขจากมีจิตระงับ (สงบสุข) ย่อมเกิดขึ้น .... สุดท้ายผู้ตอบปัญหาอโหสิกรรมให้แล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. สงสัยว่าเมื่อครั้งพุทธกาลที่มีเปรตซึ่งเป็นญาติของพระเจ้าพิมสารมาขอส่วน บุญซึ่งพระองค์ก็ได้ทำบุญและอุทิศให้โดยกรวดน้ำ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยดังนี้
1.1 เคยได้ยินมาว่าการทำบุญเสร็จไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำก็ได้ ซึ่งผมเคยกรวดน้ำแบบเกาะต่อๆกันไป ซึ่งก็ถูกตำหนิ เพราะดูแล้วไม่สมควร ท่านว่าหากกรวดเองไม่สะดวกก็ให้ใช้วิธีสาธุหรืออธิษฐานให้ญาติที่ล่วงลับแทน ก็ได้ เช่นนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่
1.2 มีคนบอกว่าการที่บุพการีล่วงลับไปแล้ว หากเราเป็นบุตรทำบุญ แม้ไม่กรวดน้ำบุพการีนั้นก็ได้เช่นกัน จึงอยากทราบว่าเหตุใดกรณีของพระเจ้าพิมสารทำไมพระองค์จึงต้องใช้วิธีกรวดน้ำ ทำไมถึงใช้อฐิษฐานจิตไม่ได้
1.3 จริงหรือไม่ที่เราเป็นบุตรเมื่อทำบุญแล้วบุพพการีที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับ ผลนั้นไปด้วย

2. อยากทราบที่มาดวงวิญญาณมากมายที่มาเกิดยังโลกมนุษย์นี้ มากมายเหลือไม่ทราบว่าจากไหน
( หรือจะแนะนำชื่อหนังสือให้ไปค้นคว้าต่อก็ได้นะครับ)

3. การทำบุญเราควรจะเลือกหรือไม่ว่าควรทำกับใครและหากเราเลือกผลบุญที่ได้จะได้ เท่ากับที่เราไม่เลือกไหม

4. การที่เราเห็นผู้ทรงศีลบางท่านประพฤติไม่เหมาะสมแล้วเราพูดคุยถึง เหตุการณ์ดังกล่าวให้ผู้อื่นฟังด้วยใจที่ไม่ได้อคติและเป็นเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจริงอย่างนี้เราจะบาปหรือไม่ครับ

คำตอบ
(๑.๑). ถูกต้องครับ

(๑.๒). ผู้ใดมีบุญ แล้วอุทิศบุญให้ผู้อื่น และผู้อื่นมาอนุโมทนาบุญ การอุทิศบุญนั้นย่อมสัมฤทธิ์ผล

อนึ่งการอุทิศบุญ ด้วยการกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ เป็นสิ่งที่ทำได้ตามศรัทธาเพราะให้ผลเป็นอย่างเดียวกัน ในกรณีของพระเจ้าพิมพิสารอุทิศบุญด้วยการหลั่งทักขิโณทก (กรวดน้ำ) ตามศรัทธาที่พระองค์มี

(๑.๓) จริง หากบุตรมีบุญ แล้วอุทิศบุญให้บุพการีที่อยู่ในวิสัยที่จะรับบุญได้ และต้องมาอนุโมทนาบุญนั้น ตรงกันข้าม ไม่จริงหากบุพการีไม่อยู่ในวิสัยที่จะมาอนุโมทนาบุญได้ การอุทิศบุญย่อมไม่สัมฤทธิ์ผล

(๒). พระพุทธโคดมสอนชาวกาลามะ แห่งเกสปุตตนิคม แห่งแคว้นโกศลว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยเหตุ ๑๐ อย่าง (คัมภีร์ติกนิบาตร อังคุตตรนิกาย) ดังนั้นผู้ตอบปัญหาจึงบอกว่า ดวงวิญญาณที่โคจรมายังโลกมนุษย์ใบนี้ มาจากการทิ้งรูปขันธ์ของสัตว์ที่อยู่ในภพต่างๆของวัฏสงสาร จึงอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากประสงค์พิสูจน์สัจจธรรมนี้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (ฌาน) แล้วถอยจิตออกจากความทรงฌาน ความรู้สูงสุดระดับโลกิยะ (อภิญญา ๕) ย่อมยืนยันคำตอบนี้ได้

(๓). ขึ้นอยู่กับปัญญาและความศรัทธาของผู้ทำบุญ อาทิ ทำบุญโดยไม่เลือกผู้รับ (ปฏิคาหก) ย่อมได้บุญน้อยกว่าทำบุญให้กับผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม ทำบุญกับผู้มีคุณธรรมหมู่มาก ย่อมได้บุญมากกว่า ทำบุญกับผู้ทรงคุณธรรมเพียงคนเดียว ทำบุญด้วยการให้ปัญญาเป็นทาน ย่อมได้อานิสงส์สูงสุด ฯลฯ

(๔). ผู้ใดรับฟังเรื่องราวแล้วเกิดเป็นความไม่สบายใจ ถือว่าผู้พูดเป็นต้นเหตุทำบาปให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง ผู้พูดต้องได้รับบาปนั้นด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมใคร่รบกวนสอบถามปัญหาดังต่อไปนี้

ขณะที่นั่งกรรมฐานมี ปัญหาที่พบ คือขณะนั่งสมาธิเกิดรู้สึกเหมือนมีมดแมลงมาไต่หน้า ไต่ตัวหรือขา ซึ่งบางครั้งลืมตามาดูก็จะพบบ้างไม่พบบ้าง จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นของจริงหรือเป็นเวทนา

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสภาวสัจจะ ผู้มีปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) สามารถสัมผัสได้ว่ามีอยู่จริง แต่หากผู้ใดพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะเห็นว่าอาการดังกล่าวไม่มีอยู่จริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียดาย เพิ่งมารู้จักอาจารย์ได้ไม่นาน โดยเปิดเจอในเวป และ ติดตามไปฟังอาจารย์ ที่หอประชุม มช ตอนนี้เสียดายเวลาที่ผ่านมาในอดีตมาก ที่ไม่ทำตัวให้เป็นสาระกับชีวิต ตอนนี้อยากปรารถนา จะสร้างตนเองให้เป็นคนที่มีสาระให้มากที่สุด แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงครับ กับเวลาที่ผมเหลืออยู่

วันนี้ ผมเพิ่งไปตรวจร่างกายมา และเพิ่งทราบจากหมอท่านว่าผมเป็นมะเร็ง ไม่รู้ว่าระยะใดแล้ว หมอไม่ได้พูดถึง แต่ตำหนิผมเพิกเฉยกับอาการที่เป็นอยู่ ที่จริงแล้วอาการของผมเรียกว่า โรคกรรมครับ เพราะเป็นแต่เกิด และ คนจะเป็นโรคนี้น้อยครับ กล่าวคือ ผมมีลูกอัณฑะไม่ลงถุงทั้งสอง และตอนขณะอายุน้อย คุณแม่ท่านก็ไปให้หมอดู และ ผ่าตัด แต่ปรากฎว่า หมอท่านทำไม่สำเร็จครับ เพราะเหตุผลไรไม่ทราบ บอกว่าสายมันสั้น พ่อ แม่ และ ผม ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่มีความรู้เท่าได ต่อมาปรากว่า ผมทำงานยกของต่างๆ มันจะมีโอกาสกระทบกับ อัณฑะ ที่บริเวณท้องน้อย บ่อย มันเจ็บ ไปหาหมอ หมอท่านให้ผ่า ปรากฎว่า ok ทำได้ตอนนี้ แต่ก็ใม่ใช่ว่าผลเลิศนัก มีข้อบกพร่องทั้งสองข้าง ข้างหนึ่ง โตกว่าปกติ ข้างหนึ่งเล็กกว่าปกติ เหตุการณ์ผ่านมาประมาณ 20 ปี ทีนีมันก็ค่อยค่อยเปลี่ยนแปลง แข็ง และ บางครั้งก็เจ็บ แต่ผมก็ไปให้หมอท่านตรวจดูอยู่ หมอท่านว่าไม่น่าใช่มะเร็ง อักเสบธรรมดา

ก่อนหน้านี้ใจผม เป็นอะไรไม่ทราบ เหมือนระแวงว่าผมอาจเป็นโรคร้ายครับ เวลาสวดมนต์ เวลาอธิษฐาน จิตส่วนหนึ่งเหมือนแช่งตัวเองว่า เป็นโรคนี้

ที่ประหลาดอีกประการหนึ่งคือ มีคนแนะนำลูกความอยู่คน เป็นคนบ้านนอก มาปรึกษาคดีเกี่ยวกับมรดกกับผม เราก็คุยกัน ปรากฎว่าแกดันเล่าให้ฟังว่า ตัวแกเป็นมะเร็งลูกอัณฑะ ทั้งที่ผมไม่ได้เล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวผมให้เขาทราบ ทำให้ใจผมกระเพื่อมมาก ทำไมคนเป็นโรคนี้น้อยมาก ทำไมมาเจอกับผม สดุดใจจริง

ผมจึงตัดสินใจ มาพบคุณหมออีก ทั้งที่ผมก็ไม่เจ็บ หรือ รู้สึกผิดปกติมากนัก แต่ทำให้ผมน้ำตาไหล เพราะผม อาจเป็นไปได้ว่าเราจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไร เรายังทำอะไรให้คุณแม่ได้ไม่มากเลย ชีวิตที่ผ่านมาไร้สาระมามากแล้ว

ผมขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ครับ ทำอะไรดีครับ ให้คุ้มกับเวลาตอนนี้ที่สุด

ทุกวันนี้ผมก็ พยายาม รักษาศีล ให้ทาน และ เจริญภาวนา ( แบบทำเอง) อาจไม่ถูกต้อง

ไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบเมื่อใด อาจารย์งานแยะ อยากมีความรู้ ที่สามารถเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้เช่นท่านอาจารย์

คำตอบ
โปรแกรมจิตที่ตั้งไว้ผิด ว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่ลูกอัณฑะ เป็นสัญญาเก่าที่สืบมาแต่อดีตที่เคยตัดสินคดีความไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง ผลของกรรมจึงผลักดันจิตให้ระลึกเป็นเช่นนั้น หากยังคงปล่อยให้จิตระลึกติดลบอยู่เช่นนี้ ตายแล้วพลังของอกุศลกรรม ยังมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์ที่มีลูกอัณฑะใหญ่อยู่ใน อบายภูมิได้
อนึ่ง ผู้ใดประสงค์นำพาชีวิตให้พ้นไปจากแรงผลักของกรรมบาปเช่นนี้ ต้องหยุดกระทำกรรมที่ไม่ซื่อตรงอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาพัฒนาจิตวิญญาณ ประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนสามารถปิดอบายภูมิได้แล้ว ความปลอดภัยของชีวิตหน้าจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีความสงสัยในการปฏิบัติดังนี้ครับ
กระผมปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ บริกรรมภาวนา พุทโธ เรื่อยมา จนจิตสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง จนกระผมเริ่มเบื่อ ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรต่อ ทำทีไรก็ถึงแค่ตรงนี้ กระผมจึงได้เริ่มศึกษาการเจริญสติปัฐฐาน โดยเมื่อก่อนกระผมมุ่งไปที่ความสงบอย่างเดียว แต่ตอนนี้ตอนนั่งสมาธิกระผมจะค่อยๆรับรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆว่ากระทบตั้งแต่ จมูก อก ท้อง จากลม หยาบ ไปจนถึงลม ละเอียด ในที่สุด จนลมหายใจหายไป ก็นิ่ง จากนั้นกระผมจึงมาดูที่ตัวผู้รู้ คือดูที่ตัวรับรู้ความว่าง หรือสงบนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ ก็พิจารณาดูไปเรื่อยๆ ก็ปรากฏว่าจิตนั้นไม่ได้รับรู้อยู่ที่ความว่างอย่างเดียวแต่กวัดแกว่งไปๆมาๆ ครับ

หลังจากออกจากการนั่งสมาธิแล้วกระผมก็เจริญสติทั้งวันหน่ะครับ คือรับรู้อารมณ์สักแต่ว่ารู้ เห็นความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเช่นนี้ แล้วมาวันหนึ่งกระผมได้เจริญสมาธิ จนจิตสงบ โดยวันนั้นสามารถวางอารมณ์ของจิตแบบเป็นกลางได้มากเลยครับ ก็เลยเจริญสมาธิ เมื่อพอจิตสงบปุ๊บ จิตมันก็เหมือนกับทบทวนอะไรสักอย่างโดยกระผมไม่ได้ตั้งใจนึก กลับไปกลับมา ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเช่นไรเพราะมันไม่มีภาษาที่จะเรียก จากนั้นก็เห็นในจิตว่ามีลำแสงสีขาวพุ่งออกมาบนศีรษะผม แล้วสติที่รับรู้อยู่นั้นเหมือนถูกดูดเข้าไปลึกมากเหมือนกับใจจะขาดปานนั้น ครับ แต่กระผมก็มีสติตามดู ว่าตายเป็นตาย จากนั้น สติของกระผมก็ขาดไปครู่หนึ่งซึ่งเร็วมาก แล้วมื่อได้สติจิตซึ่งไม่ได้มีความตั้งใจอะไรมาก่อนเลย
กลับอฐิษฐานจิตของมันเอง ว่าขอถึงซึ่งพระนิพพาน หลังจากออกมาจากสภาวะนั้น กระผมก็มีความอิ่มเอมใจมากครับไปหลายวันและเหมือนกับเราไม่ค่อยยึดอะไรมาก เหมือนเมื่อก่อน กระผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จิตฟุ้งมากไปรึเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งกระผมเองก็ไม่ได้ยึดติดว่ามันจะเป็นอะไรรู้แล้วก็แค่นั้น

จึงใคร่ความเมตตาท่านกรุณาชี้แนะ แนะนำการปฏิบัติของกระผมเพิ่มเติมว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไรควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปจึงจะก้าวหน้า ถูกวิปัสนูปกิเลสหลอกหรือไม่

ขอขอบพระคุณท่านที่เมตตามา ณ โอกาสนี้

คำตอบ

ที่บอกเล่าและถามไป ผู้ตอบได้อ่านและเข้าใจแล้ว ขอตอบในฐานะที่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเกือบจะทั้งหมดที่เขียนไป
อาการจิตสงบที่นิ่งว่างสว่าง ปฏิบัติทีไรก็จบลงตรงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วเริ่มมีอาการเบื่อเกิดขึ้น ผู้ตอบคำถามได้รับคำแนะนำให้แก้ไขได้ทันท่วงทีด้วยเหตุอยู่ใกล้ครูผู้รู้ นั่งเอง คำว่าเบื่อ (หน่าย ไม่อยาก จิตหน่ายเอาใจ) ตัวนี้เป็นกิเลส ที่เข้ามากวนใจให้ขุ่นมัว ไม่ใช่เบื่อที่เรียกว่านิพพิทาญาณ หากเป็นนิพพิทาเกิดขึ้น จะมีผลตามมาคือ จิตเร่งความเพียรหาทางให้พ้นไปจากกองทุกข์คือความเบื่อที่เป็นเหตุให้จิต เศร้าหมองนี้ ส่วนที่บอกไปเป็นความเบื่อที่มีเหตุจากการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ซึ่งยังไม่รู้ทันสภาวะความเป็นจริงของความเบื่อ
หากต้องการแก้ปัญหาความเบื่อของคุณที่เกิดขึ้น คุณต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม เสียใหม่ว่า “ จะมุ่งไปสู่ปัญญารู้แจ้งในสรรพสิ่งตามความเป็นจริงและมีจิตปล่อยวางเป็น อิสระ ” มิใช่มุ่งไปที่ความสงบเพียงอย่างเดียว ใช้พื้นฐานจิตสงบของคุณนั้นมากำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม ให้รู้เห็นถูกตรงตามสภาวะที่เป็นจริง ในที่สุดจะเห็นว่า กาย เวทนา จิตและธรรม จบลงที่อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา (กฎไตรลักษณ์) คือเป็นลักษณะที่มุ่งให้เห็นอย่างถ่องแท้ว่า จะเป็นกายก็ดี เป็นเวทนาก็ดี เป็นจิตก็ดี หรือเป็นธรรมก็ดี เป็นของมิใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าจากการเป็นสัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่เป็นของใครจริง ไม่ขึ้นอยู่กับการบังคับของใคร เป็นเพียงสภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ฯลฯ ในที่สุดเมื่อจิตเห็นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า เป็นสมมติที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว จิตจะปล่อยวาง จิตเป็นอิสระ เกิดอุเบกขา และเกิดปัญญารู้เท่าทันสรรพสิ่ง นี่คือหนทางแห่งพุทธะ ที่อยู่เหนือความเบื่อความอยากอยู่เหนือความกวัดแกว่งของจิตใจ อยู่เหนือความยึดติด เหนือความอิ่มเอมใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เกิดได้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น
อย่าปลงใจเชื่อ ... ควรพิสูจน์ดูให้เห็นด้วยตัวเอง แล้วจะเห็น ว่าสัจธรรมของพระพุทธะนั้น ยังคงเป็นความจริงมาจนทุกวันนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเป็นโสดาบันสามารถบรรลุโดยใช้แค่สุตะหรือจินตมยปัญญา ได้หรือไม่ครับ เช่น อ่านหนังสือหรือฟังธรรมแล้ว สามารถเข้าใจในความหมายของสังโยชน์ 3 ตัวแรกได้ และเมื่อบรรลุแล้วเขาจะรู้ตัวไหมครับว่าได้โสดาบันแล้ว

ด้วยความนับถืออย่างสูง
คำตอบ
การอ่านหนังสือและฟังธรรมนำไปสู่การเกิดของสุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา สามารถรู้และเข้าใจความหมายของสังโยชน์ 3 ตัวแรกก็จริง แต่เข้าใจในระดับสภาวะ ยังไม่สามารถเข้าถึงความจริงแท้ของสังโยชน์ 3 ได้ ฉะนั้นจิตยังไม่สามารถบรรลุความเป็นโสดาปัตติผลได้ ความเป็นโสดาบันบุคคลจะยังไม่เกิด ผู้ที่บรรลุโสดาบันแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะมีจิตมั่นคงอยู่ในธรรมที่ละได้แล้ว คือละความเป็นตัวตนความเป็นของตัวของตนได้เด็ดขาด ไม่สงสัยในองค์คุณของพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในกฎแห่งกรรม ฯลฯ และเป็นผู้มั่นคงอยู่ในศีลไม่ด่างพร้อยหรือพร่อง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ในชีวิตประจำวัน หากมีอาการคันตามร่างกาย ควรกำหนด คันหนอ คันหนอ... ไปจนกว่าจะหายคัน หรือพอรู้ว่าคัน ก็กำหนด คันหนอ คันหนอ... แล้วก็เกาพร้อมกับกำหนดเกาหนอ เกาหนอ... จนหายคัน
คำตอบ
ถ้ายังไม่ปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วเกิดอาการคันตามร่างกาย แนะนำให้ใช้มือเกาหรือใช้วัตถุช่วยเกา หากยังไม่หายคัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนัง หากอยู่ตามปกติไม่คันแต่ปฏิบัติจนได้สมาธิแล้วเกิดอาหารคันตามหน้า คันที่แขนหรือลำตัวให้กำหนดคำว่า “ คันหนอ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าจะหายคัน แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม

2. การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ที่กล่าวว่าควรเดินจงกรมไม่เกิน 45 นาที สลับกับนั่งสมาธิ 45 นาที นั้น ถูกต้องหรือไม่? หากใช่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เวลามีส่วนสำคัญต่อการปฏิบัติดังกล่าวหรือไม่?

คำตอบ

การเดินจงกรม สลับกับการนั่งภาวนา แต่ละคนใช้เวลาไม่เหมือนกัน บางคนนั่งได้นิ่งเป็นสมาธิในระยะเวลาสั้น ๆ บางคนนั่งได้ยาวนาน ทังนี้เป็นเพราะคุณภาพจิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผ่านประสบการณ์การฝึกจิตมาต่างกัน บางคนฝึกจิตมามาก ฝึกมายาวนานข้ามภพข้ามชาติ ฝึกมาหลายชาติ โอกาสที่นั่งแล้วจิตเข้าสมาธิยาวนั้นมีได้เป็นได้บางคนเพิ่งเริ่มฝึกหัดใหม่ จะให้นั่งบริกรรมแล้วเกิดนิ่งเป็นสมาธิได้ยาวนานจะยังเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการใช้เวลา 45 นาทีเป็นเกณฑ์วัดกับทุกคนคงไม่ถูกต้อง แต่ปฏิบัติอย่างนี้สิถูกต้อง คือเมื่อนั่งภาวนาให้สังเกตความตั้งมั่น (สมาธิ) ของจิตเริ่มเกิดขึ้นแล้วค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจนสูงสุดและสมาธิจะเริ่มคลายที่ละน้อย ลดลงเรื่อย ๆ ขณะที่สมาธิกำลังจะลดลงให้เปลี่ยนอิริยาบถไปฝึกสมาธิแบบเดินจงกรมแทน เดินจงกรมแล้วเกิดสมาธิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสูงสุดและเริ่มลดลงให้เปลี่ยนอิริยาบถเดินจงกรมจะได้ผล

3. มีผู้ปฏิบัติที่เป็นฆราวาสบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลระดับอรหันต์หรือถึงนิพพาน โดยไม่ได้ครองเพศบรรชิตหรือไม่?
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างมากที่กรุณาเสียสละเวลาตอบข้อสงสัยดังกล่าว
ด้วยความเคารพ
ผู้สงสัย
คำตอบ
ฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมหรือโยนิโสมนิการธรรมจนจิตบรรลุอรหัตถผลแล้ว หากยังต้องการมีชีวิตอยู่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพศจากฆราวาสไปอยู่ในเพศของนัก บวช ดูตัวอย่างของพระนางเขมา มเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จไปฟังธรรมจากพระโอษฐ์ที่วัดเวฬุวันโยนิโสมนิการจนจิตบรรลุอรหัตผล เข้าสู่ความเป็นอรหันต์บุคคลยังต้องบวชเป็นภิกษุณีจึงจะมีชีวิตอยู่ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ โดยการสวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกวัน ระหว่างวันก็จะพยายามเจริญสติโดยการกำหนดดูลมหายใจ เข้า ออก ค่ะแต่มีข้อสงสัยบางประการดังนี้คะ ในขณะที่กำหนดดูลมหายใจเข้าออกอยู่ ถ้าขณะนั้นกำลังทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ด้วยเช่น เดิน หรือขยับร่างกาย ไม่ทราบว่าเราต้องกำหนดจิตให้ดูไปที่การเดิน หรือกิจกรรมที่กำลังทำด้วยหรือไม่คะ ถ้าใช่เราต้องกำหนดลมหายใจไปด้วยพร้อม ๆ กันเลยหรือเปล่าคะ เพราะบางครั้งทำหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันทำให้กำหนดรู้ไม่ถูกว่าต้องดูที่ส่วนไหนค่ะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่กรุณาสละเวลาตอบคำถามนี้ค่ะ
คำตอบ
การเจริญสติคือ การเอาจิตจดจ่อกับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้นการเดินเป็นอิริยาบถใหญ่ จิตต้องจดจ่ออยู่กับการเดิน เท้าจะได้ไม่ไปสะดุดก้อนหิน หรือไปเหยียบอ่างกะปิของแม่ค้า (เดินในตลาด) ถ้ากำลังทำกิจกรรมจิตต้องจดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ จึงจะเรียกว่าเป็นการเจริญสติ และไม่ต้องกำหนดลมหายใจ เพราะอิริยาบถใหญ่อยู่ที่เท้ากำลังก้าวเดิน หรืออิริยาบถอยู่ที่กิจกรรมที่กำลังทำ ให้จิตจดจ่ออยู่ที่อิริยาบถใหญ่เพียงหนึ่งอย่าง จิตจึงจะมีกำลังสติเพิ่มขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามการยืน เดิน นั่ง นอน จะมีอาการเกิด ดับ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันก็จับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่เฉพาะเวลานั่งสมาธิ เป็นเวลาที่เราใช้ในชีวิตประจำวันและเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
ช่วยอธิบายให้ด้วยค่ะ
คำตอบ
การเกิด-ดับของสรรพสิ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ที่คุณมีสติระลึกได้คุณจะเห็นการเกิดดับนี้เป็นจริง แต่ขณะใดจิตขาดสติ การเกิด-ดับจะไม่ปรากฏให้ระลึกได้ในอิริยาบถที่กำหนดเป็นองค์ภาวนา
มาตรวัดการเห็นแจ้งของการเกิด-ดับ คือการมีจิตปล่อยวางมีจิตเป็นอิสระ จากสิ่งกระทบภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์) ที่เข้ากระทบจิตแล้วไม่เกิดการปรุงแต่งอารมณ์ แต่จะเป็นอารมณ์สงบและเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งกระทบนั้น หากเป็นอย่างนี้แล้วถือว่าถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธะ

2. ทำไมเวลาพูด ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่สวดมนต์ จะรู้สึกถึงเสียงมันสั่น ๆ ขาดๆ (เกิดอาการสั่นสะเทือนของเสียง) หายไปเป็นช่วง ๆ และ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้น มีอาการขนลุกตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท่าตลอดของการสวดมนต์นั้น หมายความว่าอย่างไร
คำตอบ
ขณะสวดมนต์แล้วมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นผลมาจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ยังไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้งในอาการที่เกิดขึ้น เพราะยังมิได้เอาอาการที่เกิดขึ้นนั้นมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์

3. กรณีที่เราเจริญสติทุกอิริยาบถ โดยไม่ค่อยได้เดินจงกรมและนั่งสมาธิ ทำได้หรือไม่ และถ้าส่วนใหญ่จะนั่งสวดมนต์เสร็จต่อด้วยนั่งสมาธิเลย ไม่ได้เดินจงกรม มีผลดีผลเสียอย่างไรบ้างค่ะ

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองอาจารย์ให้มีสุขภาพร่างกาย จิตใจ ให้แข็งแรง
อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของลูกโยคีไปอีกนาน ๆ ด้วยค่ะ
คำตอบ
สิ่งที่ถามไปนั้นสามารถทำได้ ด้วยเหตุที่แต่ละคนมีจริตไม่เหมือนกัน การทำงานของระบบสรีระต่างกัน ประสบการณ์ในการฝึกจิตต่างกัน ฯลฯ ด้วยเหตุนี้บางคนจึงเหมาะต่อการนั่งภาวนา เพราะจะทำให้สมาธิเกิดได้เร็วและตั้งมั่นยาวนาน บางคนเหมาะต่อการกำหนดในอิริยาบถใหญ่ เช่น การเดินจงกรม แล้วทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่นได้ดีกว่าการนั่งภาวนา ฉะนั้น เลือกปฏิบัติตามอิริยาบถที่ถูกกับจริต ถูกกับระบบทำงานของสรีระถูกกับประสบการณ์ของตนแป็นดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 หนูเป็นคนสมาธิสั้นมาก มักเหม่อลอยและฟุ้งซ่านอยู่เสมอและก็ทราบว่าสิ่งหรือวิธีแก้ไขที่ดีคือการ เจริญสติ แต่หนูก็ยังมีสภาวะฟุ้งซ่านอยู่เสมอ สติ(ตัวที่ 2) เสียเตือน สติ(ตัวที1) หนูหลุดอยู่เสมอ อาจารย์ช่วยแนะทำวิธีแก้ไขหรืออุบายว่าจะทำอย่างดีคะ (สติตัวที่ 1และ 2นี้ฟังคำอธิบายมาจากพระอาจารย์เกษมธรรมทัตค่ะ)

คำตอบ
เนื่องจากแต่ละ คนมีจริตไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการพัฒนาจิตให้มีสติ ควรเลือกวิธีเหมาะกับจริตของตน (ดูกรรมฐาน 40) แต่ก่อนจะเริ่มพัฒนาจิต ต้องมีศีล 5 ครองใจให้ได้ก่อน การพัฒนาสติจึงจะได้ผล ต่อมาต้องทำตัวเองให้เป็นผู้กินน้อย นอบน้อม พูดน้อย ดูน้อย หาที่สัปปายะทำใจให้เป็นผู้มีสัจจะ และเร่งความเพียรให้มาก ต่าง ๆเหล่านี้หากคุณลองดูตัวเองและปฏิบัติได้ครบถ้วน แล้วสมาธิจะเกิดได้ง่าย
ปัจจัยเป็นตัวกำหนดการพัฒนาจิตให้มีสติต่าง ๆ เหล่านี้ คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้อใดทำได้ ข้อใดยังบกพร่อง ต้องปรับปรุงแก้ไขด้วยตัวคุณเองผลสัมฤทธิ์จึงจะเกิดขึ้นได้
2 มีความรู้สึกว่าตัวเองยิ่งปฏิบัติ แล้วยิ่งถอยหลังไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไร ปฏิบัติถูกทางหรือไม่ อยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่าจะไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ท่านใดดี จึงจะถูกจริต ถูกครูบาอาจารย์เพื่อการปฏิบัติก้าวหน้า

คำตอบ
การไปฝากตัวกับครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง ยังไม่สำคัญเท่ากับเอาตัวเองเป็นครูนั้นดีที่สุด ช่วยตัวเองดีที่สุด ครูบาอาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทาง ส่วนจะปฏิบัติได้ผลหรือไม่ได้ผล อยู่ที่ตัวคุณเองต่างหากล่ะ
3 ชีวิตการทำงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด คงจะได้ทำสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องไว้ในอดีตชาติ และชาตินี้ หนูต้องขอขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรอย่างไรดี เพราะตอนนี้ไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะมีปัญหามาก เครียดมาก จึงจำใจลาออกทั้ง ๆ ที่ยังอยากทำงานอยู่ เพราะเงินที่มีอยู่นี้คงจะไม่พอใช้ไปได้ตลอดจนถึงในอนาคตข้างหน้า
ด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างยิ่ง

คำตอบ
อดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครแก้ไขได้ ต้องแก้ที่ปัจจุบันสิครับ ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่นอน ใจของคุณยังฟุ้งไปถึงอดีต ยังฟุ้งไปสู่อนาคต แล้วจะเอากำลังของสติที่ไหนมากำกับดูแลการทำงานในปัจจุบันล่ะ
หากคุณต้องการมีเงินใช้ก็หางานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม จะเป็นงานอะไรก็ได้ที่มีลักษณะอย่างที่กล่าวนี้ทำได้แล้วเป็นงานดีทั้งนั้น เมื่อได้เงินมาแล้วคุณก็กินอยู่ใช้สอยแบบมักน้อยสิครับไม่อดตายแน่นอน ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูสิ ขนาดพระมหากัสสปะซึ่งเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก ยังสละทิ้งสมบัติให้บริวาร แล้วตัวเองหันมาพัฒนาจิตวิญญาณจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่เห็นอดตาย ดูท่านเป็นตัวอย่างแล้วทำตามให้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ปฎิบัติสมาธิ ผมต้องการจะนั่งให้พ้นความเจ็บปวดเวลานั่ง เวลาที่มันปวดขึ้นมาแล้ว สมาธิก็เริ่มจางหายไปแต่อาการปวดมันมากจนไม่สามารถกำหนดลมหายใจได้ ปวดจนรู้สึกว่าถึงกระดูกขา ผมพยายามสู้แต่มันก็ไม่มีสมาธิเลยมีแต่ความเจ็บปวด ผมควรจะกำหนดจิตตอนที่ปวดมากๆ อย่างไร และวางจิตไว้ที่ไหนครับ
ตอนนี้ผมอายุ 35 ปีครับ

คำตอบ
ความต้องการนั่งให้พ้นความเจ็บปวด เป็นความคิดที่ผิด เพราะสิ่งที่คุณต้องการนั้นคือ “ ตัณหา ” เมื่อเอากิเลสขึ้นมาตั้งไว้ในจิต แล้วจะทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธินั้นเป็นไปไม่ได้ เหตุที่เป็นไปไม่ได้เพราะกำลังของสติ ยังไม่กล้าแข็งเกินกำลังของขันธมาร จึงเอาชนะมารไม่ได้
วิธีที่ถูกคุณต้องปล่อยวางความต้องการ (ตัณหา) แล้วเจริญสติตามวิธีที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน หากเมื่อใดความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่แข้งขาคุณต้องกำหนด ปวดหนอ ๆ ๆ เรื่อยไปจนกว่าความเจ็บปวดจะหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่คุณ ใช้ในการพัฒนาจิตให้มีสติ
และหากความความเจ็บปวดเกิดขึ้นอีกต้องใช้วิธีการดังกล่าวเรื่อย ๆ ไปในสมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปฝึกกรรมฐานกับทานเจ้าคุณโชดก การเจ็บปวดที่แข้งขาก็เกิดเหมือนคุณนั่นแหละ ตอนที่สติยังไม่กล้าแข็งพอ ความเจ็บปวดเกิดหลายครั้งและได้ทำซ้ำวิธีการเดิม จนในที่สุดเมื่อจิตมีกำลังของสติกล้าแข็งมาก ๆ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหายไปทันที่ที่จิตระลึกรู้ทัน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเชื่อคำสอนของครูอาจารย์แล้วทำตามโดยไม่คิดอะไรอื่น ให้เป็นน้ำชาล้นถ้วยนั่นเอง นี้เป็นเรื่องที่ทำได้จริง อยากพิสูจน์ไหมล่ะ สู้ตายสิและต้องรักษาสัจจะให้ได้ มรรคผลจึงจะเกิดขึ้นจริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมยังกำหนดรู้ที่ยุบ-พองไม่ได้ ซึ่งเห็นอาจารย์ตอบแล้ว แต่ลักษณะของผมคือ จิตชอบที่จะไปที่ลมหายใจเข้าออกแต่ผมก็ไม่สามารถวางจิตที่ปลายจมูกได้อีก ทำอย่างไรครับจึงจะทำให้จิตไปที่เดียวที่ท้องได้ ผมสามารถที่จะใช้ สมถะอื่นๆมาฝึกแทน วิปัสสนาอีก3ฐานคือ เวทนา จิต และธรรมได้ไหม

คำตอบ
ควรใช้วิธีเจริญกรรมฐานที่เหมาะกับจริตของคุณจะทำให้ สมาธิเกิดขึ้นเร็ว ดูกรรมฐาน 40 จากหนังสือพุทธธรรมของท่านปยุตโต (พระพรหมคุณาภรณ์)

2.ผมนั่งสมาธิแล้ว ชอบรู้สึกอึดอัดที่จมูกและคอแห้งที่ลำคอ อาจเป็นเพราะผมหายใจทางปากด้วย แล้วต้องหายใจลึกๆเองไม่ได้ตามธรรมชาติ กลืนน้ำลายบ้าง จะแก้อย่างไรครับ

คำตอบ
ถ้านั่งแล้วมีปัญหาทำไมไม่ลองเปลี่ยนไปเดินจงกรมดู บ้างล่ะ หรือเลือกกรรมฐานที่เหมาะกับจริตตามข้อ (1)

3.แล้วหาก ผมเกิดอาการปวดขึ้นมาที่ขาตอนนั่งผม จะให้ผมบริกรรม ปวดหนอๆๆ ไปเรื่อยๆ จนหายไปเอง หรือ บริกรรมสักพัก แล้วกลับมา ยุบพองต่อครับ หรือบางทีเกิด ปวดด้วย คันด้วย มีเสียงมาอีก มาพร้อมกันจะให้ใช้ฐานใด

คำตอบ
หากปวดขา ถ้ากำหนดปวดหนอ ๆ ๆ ๆ แล้วยังแก้ไม่ได้ลองเปลี่ยนไปเดินจงกรมดูสิ หายปวดขาได้ หากเมื่อใดทำจิตตภาวนาจนมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น การกำหนดปวดหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ อาการปวดหายไปได้ครับ ถ้ามีอาการคันก็บริกรรม คันหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการคันหายไป ถ้าได้ยินเสียงก็กำหนด ได้ยินหนอ ๆ ๆ ๆ เรื่อย ๆ จนเสียงหายไป กำหนดทีจะเรื่อง แก้ปัญหาทีละเรื่อง เมื่อปัญหาหมดให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 82, 83, 84, 85, 86, 87, 88 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร