วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 22:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 84, 85, 86, 87, 88, 89, 90 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ คือตอนที่หนูนั่งสมาธิอยู่นั้น พอใกล้ๆจะออกจากสมาธิ ก็เลยแผ่เมตตาและพูดอุทิศว่า อานิสงส์ผลบุญทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติไป ขอให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ฯ.. ...พอ ตอนกำลังพูดอุทิศในใจนั้น อยู่ๆก็เกิดอาการขนลุกทั่วทั้งร่างกายเลยค่ะแล้วร่างกายก็จะรู้สึกเย็นๆ เบาๆ แต่ขณะที่รู้สึกอย่างนั้นหนูก็ยังพูดอุทิศผลบุญจนจบนะคะ...
พอจบแล้วก็กลับมาพิจารณาอาการความรู้สึกที่ยัง เป็นอยู่สักพัก แล้วจึงออกจากสมาธิค่ะ แต่ต้องเรียนอาจารย์ว่า ตอนที่ทำสมาธิอยุ่นั้น จิตหนูก็ไม่สงบเลย นะคะแต่หนูก็พิจารณาว่าจิตมันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตาไปเรื่อยๆ ค่ะ (ที่ๆหนูฝึกเค้าให้พิจารณาว่ามันเป็นอนัตตาค่ะ) พอหลังจากออกจากสมาธิแล้ว หนูก็ไม่ง่วงอีกเลย หนูนั่ง เมื่อคืน 3 ทุ่มจนถึง 4 ทุ่มกว่าค่ะ แล้วพยายามนอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับค่ะจนถึงเช้าเลยค่ะ แต่เช้านี้มา ทำงานก็ไม่รู้สึกง่วงนะคะ จึงอยากถามอาจารย์ว่า

1. การเกิดอาการขนลุกซู่ไปทั้งร่างเป็นเพราะคนที่เราอุทิศให้เค้าได้รับใช่ไหม คะ เพราะก่อนหน้านี้ 2-3 วันหนูฝันเห็นตากับยายค่ะ พอนั่งสมาธิหนูเลยเรียกชื่อท่าน ให้มารับอานิสงส์ผลบุญที่หนูได้ทำไป

คำตอบ
อาการขนลุกซู่ หลังจากอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว เกิดจากอมนุษย์ที่คุณได้อุทิศบุญกุศลให้ เขาจะมาแสดงให้ผู้อุทิศบุญทราบได้หลายวิธี อาการขนลุกซู่เป็นวิธีหนึ่งที่คุณสามารถรับสัมผัสได้ เขาจึงมาแสดงให้คุณได้รับรู้ ส่วนอาการเบา ๆ เย็น ๆ เป็นปีติที่เกิดขึ้นจากการที่คุณได้อุทิศบุญกุศลเหมือนกับอีกหลายท่าน หลังจากได้ทำบุญแล้วรู้สึกเบา สบาย ชุ่มเย็น

2. หรือว่าอาการขนลุกนี้เป็นเพราะจิตหนูยังมีสมาธิไม่พอคะมันเลยกลายเป็นวิปัส สนูกิเลส อาจารย์มีข้อ แนะนำไหมคะ
ขอขอบพระคุณ อาจารย์มากๆค่ะ

คำตอบ
ปีติเป็นอารมณ์ของฌานขั้นต้น ในฐานะนักปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่การเกิดของโลกุตรญาณแล้ว ปีติเป็นวิปัสสนูกิเลสที่ต้องหาวิธีกำจัดให้หมดไป ด้วยการตามดูปีติให้เห็นแจ้งชัดว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือในที่สุดปีติจะหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วโลกุตรญาณจึงจะเกิดขึ้น หรือกล่าวได้ในอีกทางหนึ่งว่าตราบใดที่ปีติยังไม่หมดไปจากใจ ปัญญาเห็นแจ้งถูกตรงตามที่เป็นจริงจะไม่เกิดขึ้นดังนั้นไม่ควรหลงอยู่กับ ปีติ เพราะปีติเป็นเรื่องของโลก ถ้าประสงค์จะปลดใจให้เป็นอิสระจากโลกต้องพัฒนาใจไม่ให้ตกเป็นทาสของปีติ ของโลกธรรม ของวัตถุ ของบุญกิริยาวัตถุ ฯลฯ และในที่สุดต้องพัฒนาใจให้เป็นอิสระจากสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ได้แล้วเมื่อใด เมื่อนั้นแหละจะได้ไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดในโลกไหน ๆ อีกต่อไปไงล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ขณะสวดมนต์ เดินจงกรม หรือ นั่งสมาธิ อย่างละครึ่งชั่วโมง จิตจะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นตลอดเวลา จิตไม่นิ่งเลยค่ะ แต่ก็พยายามปฏิบัติให้ครบเวลา ทุกวันก่อนนอน ส่วนตอนเช้าจะสวดมนต์อย่างเดียวค่ะ แต่จิตก็ไม่นิ่งตลอดเวลาเหมือนเดิม หากพยายามปฏิบัติทุกวัน จิตมีโอกาสนิ่งไหมคะ

คำตอบ
เมื่อจิตคิด ฟุ้งซ่านไปในเรื่องใด ต้องกำหนดว่า “ ฟุ้งหนอ ๆ ๆ ๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิดฟุ้ง ต้องเชื่อและทำตาม เร่งความเพียรอย่างต่อเนื่องในทุกอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไป
จิตจะมีโอกาสนิ่งไหม ความคาดหวังนี้เป ็นเรื่องของอนาคต เป็นปฏิปทาที่ทำให้ขาดสติ ฉะนั้นดึงจิตมาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วปัญหาจะถูกแก้ไขได้
2. พยายามรักษาศีลห้า แต่ข้อ มุสาวาทา จะรักษายากมากๆค่ะ เช่นตอนนี้ ตกงานกลัวแม่เป็นห่วง แต่กำลังพยายามหางานใหม่อยู่ ต้องแกล้งออกจากบ้านทุกวันเหมือนไปทำงาน ค่ะ

คำตอบ

เรื่อง “ ตกงาน ” เป็นเรื่องของความด้อยในศักยภาพของตัวเอง ทำไมไม่พัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพสูงกว่าคนอื่นแล้วการตกงานจะไม่เกิดขึ้นกับ คุณ
หากคิดว่าพูดออกไปแล้วจะผิดศีลข้อ 4 ต้องยั้งสติให้ดีก่อนพูดทุกครั้งต้องไม่พูดในสิ่งที่เป็นอกุศลวาจา นั่นแหละคุณจะได้ไม่ละเมิดศีลข้อมุสาวาทยังไงล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ระหว่างที่นั่งกรรมฐานแล้วเกิดมีพลังบางอย่างในร่างกายวิ่งมารวมกันอยู่ที่ ดวงตา แล้วเกิดมีแสงสว่างยิบๆ แล้วเหมือนมีอะไรมาบังคับให้ตาลืมขึ้น เมื่อลืมขึ้นแล้วก็จะเห็นร่างกายตัวเองนั่งอยู่อย่างเด่นชัด ซึ่งเมื่อเกิดครั้งแรกดิฉันคิดว่าสมาธิถอน แต่มาช่วงหลังๆ พอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ดิฉันก็ลองพิจารณาต่ออีกว่า เห็นหนอๆๆๆ สักพักหนึ่งดวงตาก็เริ่มหลับลงได้แล้วรู้สึกวูบๆนิดหนึ่งจากนั้นก็นิ่งเฉยๆ ดิฉันจึงถอนออกจากสมาธิ อยากทราบว่าสภาวะเช่นนี้เรียกว่าอะไร และควรตามรู้อย่างไรต่อไป

คำตอบ
เรียกว่านิมิต เป็นภาพที่เข้ามาบั่นทอนพลังสมาธิ มิให้มีกำลังก้าวหน้าขึ้นไป วิธีการกำหนดว่า “ เห็นหนอ ๆ ๆ ๆ ” แล้วภาพนิมิตหายไปนั้นเป็นการแก้ปัญหาถูกทางแล้วไม่ควรตามรู้อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม เพื่อพัฒนากำลังของสมาธิให้เพิ่มมากขึ้น เมื่อจิตมีกำลังตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ ให้ใช้พลังสมาธิไปพิจารณาสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แล้วเมื่อนั้นปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ) ย่อมเป็นผลเกิดตามมา

2. หลังจากที่ดิฉันฝึกทำสมาธิมาเป็นเวลา 7 เดือน ทุกครั้งที่ล้มตัวลงนอนจิตก็จะวิ่งไปจับที่ท้องพอง-ยุบ ซึ่งดิฉันก็จะกำหนดตามจนกว่าจะหลับทุกคืน อยู่มาคืนหนึ่งระหว่างที่กำหนดอยู่จิตก็วูบไปเห็นมีคนนอนคลุมผ้าขาวเหมือนคน ตาย ระหว่างที่สงสัยอยู่ว่าคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าขาวเป็นใคร ก็เหมือนมีร่างร่างหนึ่งมาดึงผ้าห่มคลุมดัวดิฉันแล้วบีบแน่นจนไม่มีอากาศ หายใจ ระหว่างนั้นจิดก็นึกไปถึงคำบรรยายธรรมของอาจารย์ที่เล่าให้ฟังว่ามีผีมาบีบ คอระหว่างนั่งกรรมฐานอยู่ในโบสถ์ ก็ทำให้ไม่กลัวตายแล้วรู้สึกว่าไม่อึดอัดที่ถูกบีบอยู่ สักพักหนึ่งก็ค่อยๆจางหายไป ดิฉันเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งเดี๋ยวนี้เองว่าความจริงเราไม่เคยตายอย่างที่ อาจารย์บอก แต่ยังไม่ทันไรก็เหมือนมีร่างเดิมเข้ามาบีบร่างดิฉันอีกคราวนี้บีบแรง มากกว่าเก่าจนรู้สึกว่ามีผ้าขาด แต่จิตก็ไม่เกิดความกลัวแล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกความอึดอัดก็คลายหายไป จากนั้นดิฉันก็หลับไป พอตื่นเช้าขึ้นมาปรา กฎว่าชุดนอนขาด แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องจริงใช่ใหมคะ แล้วดิฉันควรทำอย่างไรต่อไป
กราบขอบพระคุณอาจารย์ ค่ะ

คำตอบ
ปรากฎการณ์ตรง ที่เกิดกับคุณ เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า ความอึดอัดอันเนื่องจากถูกผีบีบร่าง เป็นตามกฎไตรลักษณ์เมื่อความอึดอัดเข้าสู่อนัตตา (ความอึดอัดดับไปไม่มีตัวตน) คุณก็เห็นแจ้งด้วยตัวเองว่า ปรากฎการณ์ผีบีบร่างกายคุณ เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เห็นแจ้งดังนี้แล้วความกลัวก็หายไป นี่แหละที่เขาเรียกว่าปัญญาเห็นแจ้ง
เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าแล้วปรากฏว่าชุดนอนขาด นั่นแหละของจริง เทวปุตมารได้ทำหน้าที่ของเขา เมื่อคุณไม่กลัวด้วยมีจิตเห็นแจ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น แสดงว่าการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบทนี้
“ สอบผ่าน ”
ขอแนะนำในฐานะผู้มีประสบการณ์ว่า ให้รักษาปฏิปทาเช่นนี้ให้คงอยู่ด้วยการเจริญพละธรรม 5 ให้กล้าแข็งอยู่เสมอจนตาย แล้ววิปัสสนาญาณจะไม่เสื่อม มาตรวัดความก้าวหน้าของวิปัสสนาญาณคือ จิตปล่อยวางผัสสะจิตเป็นอิสระไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งดีและไม่ดี มีจิตเข้าสู่อุเบกขารมณ์ นั่นแหละคือมาตรวัดผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่ช่วยชี้ทางสว่างในการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ดิฉันขอสัญญาว่าจะปฏิบัติเช่นนี้ไปจนกว่าจะตายอย่างที่อาจารย์บอก และขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ด้วยสักคนนะคะ และขอรบกวนเรียนถามอาจารย์ 2 ข้อ คือ
1. เกี่ยวกับอภิญญาญาณ หรือความรู้ถึงอดีตภพชาติต่างๆ คือดิฉันเคยเกิดเหตุการณ์จิตวูบไปแล้วย้อนไปสู่อดีต โดยในความรู้สึกนั้นเหมือนกับดูภาพวีดีโอ มีการบรรยายให้ฟังว่า "ย้อน ไปสู่ปี พ.ศ.2300 มีแหม่มสอนศาสนา" แล้วเหมือนมีคนพาดิฉันเดินไปตามทางในป่าลึกแล้วเข้าไปสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งดิฉันก็งงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วแหม่มสอนศาสนาเป็นใคร ใช่ตัวเราหรือเปล่า แล้วอยู่ๆ จิตก็ถอยกลับมาอยู่ในที่เดิม และช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นใช้เวลาสั้นนิดเดียวหลังจากนั้นก็ไม่เกิดอีกเลย (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อดิฉันปฏิบัติกรรมฐานได้ประมาณ 2 เดือน) อยากทราบว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเรียกว่าระลึกชาติได้หรือไม่ ( แต่จิตในปัจจุบันนี้ดิฉันไม่นึกอยากรู้ว่าอดีตชาติเป็นอย่างไร ดิฉันคิดว่าการรู้อยู่กับปัจจุบันสำคัญที่สุด เพราะสามารถพาเราสู่อนาคตและภพภูมิที่ดีกว่าได้)

คำตอบ
เรียกได้ว่าระลึกชาติได้แว็บ ๆ อย่าไปสนใจเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ให้มาเป็นเครื่องบั่นทอนเวลาที่มีคุณค่าในปัจจุบันให้เหลือน้อยลงอีกเลย ความเห็นที่พูดไว้ในวงเล็บนั้นถูกต้องแล้วรักษาความเห็นถูกนี้ไว้ให้คงอยู่ ตราบที่เรายังมีร่างกายไว้ให้จิตได้ใช้พัฒนาสติสัมปชัญญะให้ยิ่ง ๆขึ้นไปเถิด มีคุณค่ามากกว่าเป็นไหน ๆ เรื่องที่ไปเห็นอดีตของตัวเองนั้น เป็นเพียงหลักฐานยืนยันให้คุณได้มั่นใจว่าเคยนำพาชีวิตให้เดินอยู่บนเส้นทาง สายนี้มาก่อน ชีวิตนี้จึงมาสานต่อได้ง่ายในสิ่งที่ได้เริ่มต้นไว้แล้ว จงเดินหน้าต่อไปตราบหนทางสั้นเข้าจนสุดปลายทางชีวิต ที่คุณไม่ต้องมาเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฎสงสารอีกต่อไป นั่นแหละภารกิจของชีวิตจึงจะจบสิ้น
2. การเห็นเทวดา ภูตผีต่างๆ จะเกิดกับผู้ปฏิบัติกรรมฐานทุกคนหรือไม่ ถ้าเราไม่อยากเห็นจะได้หรือไม่
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ


คำตอบ
การเห็นสัตว์ที่มีกายทิพย์ เช่น ผี เทวดา ฯลฯ จะเกิดเฉพาะกับผู้ที่พัฒนาจิตจนเข้าถึงฌานสมาบัติได้เท่านั้นอริยบุคคลที่ เป็นสุขวิปัสสกะ เช่น อานาคามีสุขวิปัสสกะ หรืออรหันตสุกขวิปัสสกะ ไม่สามารถพัฒนาจิตจนบรรลุฌานสมาบัติได้ จึงไม่เกิดโลกิยอภิญญา (ทิพพจักขุ) ดังกล่าวได้
ความคิดที่ไม่อยากเห็นสัตว์ที่มีกายเป็นทิพย์ เป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เมื่อใดที่จิตของผู้ทรงฌานทำหน้าที่ตามปกติของเขา เป็นเหตุที่เกิดขึ้นถูกต้องตามธรรมชาติฝ่ายโลกีย์เพียงแต่เราต้องพัฒนาจิต ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปแก้ปัญหาในเรื่องของการเห็นให้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อการเห็นดับไปไม่มีภาพที่เห็นเหลืออยู่ จิตจึงมีความเป็นอิสระจากภาพที่เห็น วิธีแก้ปัญหาอย่างนี้จึงเรียกว่าแก้ปัญหาอย่างผู้มีปัญญาเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ระดับโลกุตระ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีข้อสงสัยครับ ผมฝึกสมถกรรมฐานประมาณ 1 ปีแล้ว ฝึกทุกวันก่อนนอนวันละประมาณ 30 นาที แต่ผมยังรู้สึกว่าไม่ค่อยก้าวหน้า เพราะผมติดอยู่ที่อาการขนลุกชันมานานมากแล้ว (ตั้งแต่เริ่มฝึกก็ว่าได้) ปัจจุบันแทบจะไม่มีภาพหรือความฟุ้งซ่านเข้ามาในสมองเหมือนตอนฝึกใหม่ๆ มีแต่ความเงียบ ความมืด และรู้สึกว่าเป็นสุข

มีอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ผมจะทำอย่างไรให้เข้าถึงสมาธิิขั้นที่ละเอียดมากขึ้นกว่านี้ครับ แล้วผมจะมีโอกาสเข้าถึง ปฐมฌานได้หรือไม่ครับ

อาจารย์ช่วยแนะแนวทางปฏิบัติให้ผมด้วยนะครับ


คำตอบ
ถ้าประสงค์จะให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่น (สมาธิ) ให้มากยิ่งขึ้น ต้องกำจัดวิปัสสนูกิเลสคืออาการขนลุกชันให้ได้ก่อน ด้วยการบริกรรมคำว่า “ ขนลุกชันหนอ ๆ ๆ ” เรื่อย ๆ ไปจนกว่าอาการดังกล่าวจะดับไปแล้วต้องดึงจิตมาจดจ่ออยู่กับองค์ภาวนาเดิม หากทำได้สำเร็จดังที่แนะนำโอกาสที่จิตจะเข้าถึงความเป็นฌานมีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ปฎิบัติตน มาสักระยะนึง แล้วรู้สึกว่า ไม่ก้าวหน้า มันติดขัดตรงไหน และมีสิ่งใด ที่ผมควรแก้ไข ผมเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ แต่ผมก็ต้องการเจอกับตัวเองจริงๆ หากอาจารย์ จะว่ากล่าว แนะนำผมเช่นไร ผมยินดี ตำหนิตรงๆผมก็ยินดีครับ

คำตอบ
ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองดังนี้
๑. เข้าหากัลยาณมิตรในทางธรรมและต้องไม่ทำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วย
๒. มีศีล ๕ คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น
๓. เจริญความเพียรให้สุด ๆ
๔. รักษาสัจจะว่าจะปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง
หากทำได้อย่างนี้แล้ว ความปรารถนาจะเข้าถึงธรรมของพระพุทธะด้วยตัวคุณเองจึงจะมีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูฝึกปฏิบัติวิปัสสนาในแนวสติปัฏฐาน (เคยผ่านการอธิษฐานธรรมวิเศษ) ถ้ามีวันหยุดยาวจะไปปฏิบัติที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ. เชียงใหม่ แต่เวลาอยู่บ้านก็ปฏิบัติบ้าง แต่ไม่บ่อยเพราะมีความเพียรน้อย ขอเรียนถามอาจารย์ว่า หลังจากปฏิบัติที่บ้านแล้ว ในชีวิตประจำวันจะเห็นประกายแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นแล้วหายไป เหมือนสะเก็ดไฟสีขาว แต่ไม่ได้เกิดบ่อยนะคะ อยากทราบว่าคืออะไรคะ

คำตอบ
คือ วิปัสสนูปกิเลส

2. แม่ของหนูเป็นคนมีโทสะมาก (แม่เคยป่วยเป็นจิตเวช ตอนนี้ไม่มีอาการ แต่ก็ต้องกินยาทุกคืนเพื่อให้นอนหลับ)แม่ชอบคิดว่าคนอื่นดูถูกตัวเอง และไม่มีความสุข คิดว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง เวลามีใครมาว่ากระทบมักคุมสติไม่อยู่ ด่าว่าอีกฝ่ายเสียงดังและหยาบคาย และมักจะทวงบุญคุณที่ตัวเองได้เคยทำความดีไว้กับคนๆ นั้น หนูเป็นลูกคนเดียวและมีครอบครัวแล้ว จึงไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมแม่ อีกอย่างก็คือไม่สามารถทำใจอยู่กับแม่ได้ เพราะความคิดความเห็นไม่ลงรอยกัน มีพื้นฐานความคิดคนละอย่างโดยเฉพาะในเรื่องการทำความดีกับผู้อื่น ที่แม่คิดว่าต้องได้รับตอบแทนเสมอ แต่หนูก็ได้ส่งเงินให้คุณแม่ใช้ทุกเดือนตั้งแต่เรียนจบ และแม่ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว หนูได้เอาซีดีและหนังสือธรรมะไปให้ แม่ก็บอกว่าฟังจนจะท่องได้หมดแล้ว และยังได้พาแม่ไปปฏิบัติที่วัดพระธาตุศรีจอมทองด้วย ที่ผ่านมาแม่ก็ผ่านการอธิษฐานธรรมวิเศษแล้ว แต่กลับมาก็ยังคุมสติไม่อยู่ ทำกิริยาเหมือนเดิม ตอนนี้หนูให้แม่ไปปฏฺบัติอีกเพราะหวังว่าจะให้แม่มีทิฐิที่ถูกและมีความสุข ขึ้น อาจารย์ว่าหนูเป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่าคะ และสิ่งที่หนูทำอยู่ถูกต้องหรือยังคะ
ขอความกรุณาอาจารย์ตอบคำถามและให้คำแนะนำด้วยค่ะว่าหนูยังทำอะไรได้อีก บ้าง
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ

กลับถึงบ้านยังคุมสติไม่อยู่ ก็แสดงว่าไปปฏิบัติธรรมน่ะไปจริง แต่ยังไม่ได้ธรรมะของพระพุทธะมาคุ้มครองใจ คุณเป็นลูกกตัญญูเพราะนำแม่ไปทำความดี แต่ความดีจะเข้าไปอยู่ในใจแม่มากน้อยแค่ไหน แม่ต้องขวนขวายเอาความดีมาบรรจุไว้ในใจแม่
“ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน”

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีข้อสงสัยซึ่งยังไม่มีผู้ใดอธิบายให้ผมเข้าใจได้ครับ คือว่าผมปฎิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิใช้วิธีภาวนา พุธ-โธ พร้อมกับลมหายใจเข้า-ออกมีข้อรบกวนจะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ
๑.เมื่อผมกำหนดดูลมหายใจเข้าออกอย่างตั้งใจ ขณะที่สูดลมเข้าออกยาวๆจะมีอาการณ์ขนลุกชันแต่ถ้ากำหนดลมหายใจปกติ จะไม่มีอาการดังกล่าวบางท่านบอกว่าเป็นปิติแต่ผมสูดลมเข้าออกแค่๒-๓ครั้ง รู้สึกว่ายังไม่เป็นสมาธิเท่าไหร่ แต่ก็มีอาการแล้วจะเป็นปิติได้อย่างไรครับ(ไม่ต้องหลับตาก็ทำได้ครับ)ทำ อย่างไร จึงจะพัฒนาต่อไปได้

คำตอบ
การกำหนดสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ตามปกติจิตยังตั้งมั่นไม่มากพอ ที่จะทำให้เกิดเป็นสมาธิขั้นมีปีติเกิดขึ้น การกำหนดลมหายใจยาวแม้เพียง 2-3 ครั้งแล้วมีปีติเกิดขึ้น แสดงว่าจิตเข้าถึงความตั้งมั่น (เหตุ) ให้เกิดเป็นปีติ (ผล)ได้ โดยไม่เกี่ยวกับการลืมตาหรือหลับตา แต่คนส่วนใหญ่เข้าถึงสมาธิระดับนี้ได้ต้องหลับตา
ปัญหาเรื่องมีปีติเกิดขึ้น ต้องแก้ด้วยการบริกรรมคำว่า “ ปีติ หนอ ๆๆ ” จนกว่าปีติหายไปแล้วไม่เกิดขึ้นอีกเลย หลังจากนั้นดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม แล้วการพัฒนาจิตให้มีความตั้งมั่นมากยิ่งขึ้นจึงจะดำเนินต่อไปได้

๒.บางครั้งเมื่อนั่งไปนานๆจนเริ่มสงบขึ้นก็รู้สึกว่าร่างกายมีอาการ กระตุกเป็นจังหวะตามตำราบอกว่าเป็นอาการของปิติชนิดหนึ่งแต่ความรู้สึกขณะ ที่นั่งนั้นผมไม่เชื่อ
จึงเอาจิตตามรู้ไปก็รู้ว่าการกระตุกของร่างกายที่แท้ก็มาจากจังหวะการเต้น ของหัวใจเรานั่นเองปฎิบัติอย่างนี้ทำถูกหรือไม่ครับผมเป็นโรคหัวใจโตหรือ ปล่าว

คำตอบ
วิธีการแก้ปัญหาของคุณยังไม่ถูก เพราะถ้าตั้งเหตุได้ถูกตรง เมื่อเหตุดับปัญหาต้องหมดไป มีสมาธิแล้วร่างกายมีอาการกระตุกเกิดขึ้นต้องบริกรรมคำว่า “ กระตุกหนอ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าอาการกระตุกจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม

๓.ผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ตนเอง นั่งสมาธิสิ่งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีความก้าวหน้าในการปฎิบัติหรือ ปล่าวครับ
ขออนุญาติรบกวนอาจารย์เพียงเท่านี้ครับ
ด้วยความเคารพนับถือ

คำตอบ
ใช่แน่นอน ขออภัยนะครับเขาเรียกว่า “ น้ำชาล้นถ้วย ” ปฏิบัติธรรมแล้วจะไม่เกิดมรรคผลก้าวหน้า วิธีแก้ให้เอาอย่างผู้ตอบปัญหา เมื่อตอนไปปฏิบัติจิตตภาวนาอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ได้ทำตัวเองเหมือนคนโง่ ครูบาอาจารย์บอกให้ทำอย่างไร ทำตามที่ท่านบอกให้ได้ทุกอย่าง มรรคผลจึงเกิดก้าวหน้ารวดเร็ว ดังที่ได้บอกเล่าไว้ในหนังสือ “ ทางสายเอก ” นั่นแหละครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะฝึกนั้น ไม่เคยเจออะไร แต่ เมื่อนอนมักจะฝันแปลกๆ ซึ่งบางครั้งการฝันนั้น มันทำให้ผมเอง คิดไปว่า ผมไม่น่าจะดีพอ ที่จะไปเจอพบเห็นสิ่งเหล่านั้น บางครั้งคิดไปว่า ตัวเราคิดไปเองหรือเปล่า อาจารย์ช่วยแก้ข้อข้องใจ ให้ผมด้วยครับ ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
ฝึกกรรมฐานแล้วไม่เคยเจอประสบการณ์ทางจิตวิญญาณมีทางเป็นไปได้ และไม่สำคัญอะไรนัก ในกรณีที่ผู้ฝึกไม่เคยมีประสบการณ์ในการพัฒนาจิตเข้าสู่องค์ฌานมาก่อน ไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ผิดทาง ดังเช่นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสโก ท่านไม่สามารถเข้าถึงองค์ฌานได้ ไม่มีโลกิยอภิญญาใด ๆ เกิดขึ้นกับจิตของท่านแต่สามารถสำเร็จอรหัตผลเข้าสู่นิพพานได้
ส่วนคนที่นอนแล้วเกิดความฝัน มีเหตุมาจากสัญญาแต่ที่ถูกเก็บฝังไว้ในดวงจิตแสดงให้ปรากฏกับจิตของผู้ที่มี กำลังของสติยังไม่กล้าแข็งในขณะกึ่งหลับกึ่งตื่น หากเมื่อใดเขาพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็ง จนถึงระดับที่เป็นองค์ประกอบของโพชฌงค์ 7 ได้แล้วเขาผู้นั้นจะไม่ฝัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน พยายามที่จะหาโอกาสปฏิบัติธรรมย่างน้อยปีละ1ครั้งที่ยุวพุทธฯ ได้ 4-5 ปีแล้ว เนื่องจากหน้าที่การงานและต้องลาพักร้อนทำให้มีโอกาสได้แค่นี้ และได้พยายามให้ตัวเองอยู่ในศีล 5 ตลอด แต่บางทีกำหนดไม่ทัน สติมาช้า ก็จะหลุดซึ่งมีโอกาสผิดศีลในเรื่องคำพูดคำจาในเรื่องการงานกับลูกน้องและผู้ ที่ทำงานเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากเป็นคนพูดตรง แต่ก็รู้สึกตัวว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก ที่ไม่มีสติเลยในสมัยก่อนการปฏิบัติ
มีเรื่องเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. ตอนนั่งสมาธิมีความเจ็บปวดที่เข่ามาก กำหนดรู้หนอ รู้หนอ แต่ยิ่งปวดมาก ปวดจนรู้ถึงความทรมานแทบขาดใจ จะตายให้ได้ เหงื่อผุดออกที่ศีรษะก็รู้ และปวดมากจนบางทีกำหนดไม่ทัน แต่มาฉุกคิดว่า กายปวดแต่ใจไม่ปวด ตอนนั้นกำหนดอยู่ว่ารู้หนอ ตรงที่ปวด แล้วตามดู จนความปวดนั้นค่อยๆหายไปเอง แล้วมีความสว่างเกิดขึ้น รู้สึกปิติเป็นสุขแต่ก็นั่งอยู่ประมาณ 5นาที ก็คลายสมาธิออก ไม่ทราบว่าต้องกำหนดอย่างไร ขอเรียนถามอาจารย์ว่าที่ถูกแล้วควรจะกำหนดอย่างไรจึงจะถูกต้องคะ

คำตอบ
หากมีเวทนาใด ๆ เกิดขึ้นให้กำหนดจิตตามดูเวทนาว่าเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ และในที่สุดเข้าสู่อนัตตา จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว “ เวทนา ” ไม่มีตัวตน เหตุที่เจ็บปวดที่เข่าเกิดขึ้นเพราะใจหลงผิด ไปยึดเอาอาการเจ็บปวด มาเป็นของตน ปัญญาเห็นแจ้งเห็นอย่างนี้
2. อีกครั้งที่นั่งสมาธิ กำหนดพองหนอยุบหนอ พองยุบใหญ่ และเร็วมากจนกำหนดไม่ได้ ต้องกำหนดรู้หนอ แล้วตามดู จนพองยุบเล็กลง เล็กลงจนหายไป กำหนดรู้หนอ จนนานมากแต่พองยุบไม่มี ก็ กำหนดรู้หนอ รู้หนอ แล้วคลายสมาธิออก สาเหตุที่คลายสมาธิออกเพราะไม่รู้ว่า การกำหนดรู้หนอ รู้ว่าไม่มีพองยุบ แต่พองยุบไม่มา ซึ่งนานมาก เป็นการกำหนดถูกหรือไม่ แล้วต้องกำหนดต่อ อย่างไรจึงจะถูกต้อง

คำตอบ
เมื่อกำหนดแล้วอาการพองยุบเล็กลงจนหายไป ต้องใช้จิตตามดู “ การหายไปของพองยุบ ” จะเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน คือเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งเห็นวาแท้จริงแล้วอาการที่หายไปนั้นมีอยู่ จิตที่มีกำลังสติที่ละเอียดยิ่งขึ้น จะดับอาการพองยุบที่ละเอียดนั้นได้ ปัญญาเห็นแจ้งเกิดโดยวิธีนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเริ่ม ปฏิบัติธรรมแนวทางวิปัสสนากรรมฐาน ตาม แนวทางพระอาจารย์ ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ โดยเข้ารับการอบรมธรรม กับท่านอาจารย์ แม่ชีวชิรญาณี แป้นน้อย ที่ จ.เชียงให่ม เป็นระยะเวลา 5วัน และผมได้มาปฎิบัติต่อที่บ้านเป็นเวลา 1 เดือนโดย ตื่นตี 3 เดินจงกรม 30นาที นั่งสมาธิกำหนด พองหนอ-ยุบหนอ 60นาทีเดินจงกรมต่ออีก30นาทีทุกวันผมมีปัญหาธรรมอยากจะถามท่านอาจารย์ ดังนี้ (ไม่กล้าโทรไปรบกวนท่านอาจารย์แม่ชี)
1.เมื่อนั่งสมาธิกำหนดพองหนอ-ยุบหนอ ไปเจออารมณ์อื่น เช่นเห็นแสง,เห็นรูปต่างๆเจ็บ,ปวด,คิดฯลฯก็กำหนดเช่นเห็นหนอ,คิดหนอ,ปวดหนอ สิ่งเหล่านั้นก็หายไปแล้วมากำหมดพองหนอ-ยุบหนออีกทำอย่างนี้อยู่ตลอดจน ครบ60นาทีอยากถามท่านอาจารย์ว่าปัญญา,ญาณ,ฌาณ,สมาบัติ,จะเกิดอย่างไรหรือว่า เกิดแล้วแต่ไม่รู้

คำตอบ
อย่าไปอยากรู้เลยว่า ปัญญาญาณ ฌานสมาบัติจะเกิดอย่างไร เพราะมันคือตัวตัณหา หากตัณหาเกิดขึ้นได้แล้วมรรคผลที่ควรจะได้จากการปฏิบัติธรรมจะไม่เกิด

2.เมื่อออกจากสมาธิแล้วไปปฏิบัติงานตามปกติ เมื่อเจอคนที่ทำไม่ถูกใจก็กำหนดว่าเห็นหนอจิตก็จะทิ้งบุคคลนั้นไปไม่ปรุง แต่ง เมื่อรู้ว่าจะโกรธก็กำหนดว่าโกรธหนอความโกรธก็เบาบางลงไม่แสดงอาการออกมา ฯลฯสิ่งเหล่านี้เรียกว่าปัญญาญาณหรือไม่แต่ทำไมถึงมี โลภ,โกรธ,หลง อยู่เพียงแค่กำหนดได้ไม่ให้แสดงอาการออกมาเท่านั้นแล้วสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ นั้นจะหมดไปจากใจได้อย่างไร

คำตอบ
หลักจากกำหนดว่า “ เห็นหนอ ” แล้วจิตทิ้งบุคคลที่ทำให้ไม่ถูกใจ กำหนดว่า “ โกรธหนอ ” แล้วทำให้ความโกรธเบาบางลง เหตุเพราะจิตมีกำลังสติ ระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบได้ทัน อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจถึงเบาบางลง และหากจะให้อารมณ์ไม่ดีหมดไปจากใจ ต้องเจริญสติให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น เจริญปัญญาเห็นแจ้งที่ผ่านการกลั่นกรองด้วยกฎไตรลักษณ์ให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น ได้เมื่อใดแล้วสิ่งไม่ดีเหล่านั้นจะหมดไปจากใจได้แน่นอน

3.ที่ปฏิบัติมา 1เดือนเต็มถูกแนวทางวิปัสสนากรรมฐานหรือไม่ถ้าไม่ถูกทางต้องปฏิบัติอย่างไร ต้องเพิ่มสิ่งไหนบ้าง กำลังเลสงสัยอยู่ ขอรบกวนเวลาท่านอาจารย์เพียงเท่านี้ครับ

ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญเพียรมาจงหนุนนำให้ท่านอาจารย์บรรลุมรรคผล นิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ


คำตอบ
สิ่งที่ปฏิบัติมาได้ 1 เดือน ปฏิบัติได้ถูกทางแล้ว เพียงแต่แก้ปัญหาเล็กน้อยที่เกิดขึ้นให้ได้ ตามคำแนะนำจากครูผู้มีประสบการณ์แล้ว วิปัสสนาญาณก็จะถูกพัฒนาให้มีมากขึ้นตามลำดับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันปฏิบัติสมาธิมาได้ประมาณ 3 ปี โดยปกติเวลานั่งสมาธิแล้วจิตจะนิ่งๆ สงบๆ โดยจะกำหนดรู้อยู่บริเวณลิ้นปี่ แต่พอออกจากสมาธิ จิตจะยังหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ เหมือนคนที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อน แต่ตอนนี้ หลังจากนั่งสมาธิตามวิธีของพระอาจารย์มั่น คือ "ให้กำหนดจิตรู้อยู่ภายในตัวไม่ส่งจิตออกนอก" ดิฉันจึงพิจารณาร่างกายส่วนต่างๆขณะนั่งสมาธิ และพอออกจากสมาธิก็ยังรู้สึกว่าจิตยังคงกำหนดพิจารณาร่างกายตลอดเวลา และไม่ค่อยมีอารมณ์หวั่นไหวตามสิ่งที่มากระทบมากอย่างที่เคยเป็น แต่จะมีสิ่งที่แปลกเกิดขึ้น คือ ขณะทำงานหรือขับรถ จะมีลักษณะคล้ายจิตแบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรก
คือ จิตรู้ว่าขณะนี้ต้องทำงานหรือต้องขับรถ ส่วนอีกภาคหนึ่งจิตจะพยายามพิจารณาร่างกายตัวเอง โดยจะรู้สึกว่ามีลมวิ่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย จึงทำให้ในขณะทำงานหรือขับรถรู้สึกว่าสติไม่ค่อยอยู่กับกิจกรรมที่ทำ ณ ขณะนั้น จึงต้องการเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.ลักษณะที่เกิดขึ้นกับดิฉันในตอนนี้คืออะไร เป็นการปฏิบัติสมาธิที่ถูกทางหรือไม่

ก่อนตอบปัญหา ขอบอกว่า วิธีการใจที่คุณนำมาปฏิบัติแล้วทำให้จิตมีความตั้งมั่น (สมาธิ) ได้ยาวนานที่สุด วิธีนั้นเหมาะกับจริตของคุณหากหวังความก้าวหน้าในการพัฒนาจิต ให้นำมาปฏิบัติบ่อย ๆ ต่อเนื่องยาวนาน และรักษาความตั้งมั่นของจิตให้คงอยู่ ความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมย่อมเกิดขึ้น

คำตอบ
คือสติยังไม่กล้าแข็งพอ ที่จะระลึกได้ว่า ขณะขับรถจิตต้องจดจ่ออยู่กับการขับรถ ขณะทำงานต้องจดจ่ออยู่กับการทำงานเพียงอย่างเดียว จึงจะพูดได้ว่า เป็นผู้มีสติรักษาตนได้ ฉะนั้นปรับปรุงแก้ไขให้มีสติเพิ่มมากขึ้น ตามวิธีการของหลวงปู่มั่น ที่คุณได้นำมาใช้ในการเจริญสติภาวนา

2.ทำไมจิตของดิฉันจึงรู้สึกว่าไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว (รู้สึกแยกเป็น 2 ภาค) และตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดและสับสนในตัวเองเป็นอย่างมาก
3. ดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้สามารถใช้สมาธิควบคู่กับการดำเนินชีวิต ประจำวันได้อย่างปกติ

คำตอบ

(2) และ (3) ตอบแล้วในข้อ (1) คือเหตุเกิดเพราะจิตยังมีกำลังไม่มากพอ ที่จะจดจ่ออยู่ในอิริยาบถเพียงที่เป็นปัจจุบันได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แด่ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

๑. ทรงธรรมนิราศเรื้อง จากสวรรค์
สนองมูลจิตอธิษฐาน มาเอื้อ
อนุกูลประชาอัน หมู่ญาติ
บริวารมิตรมากเหลือเกื้อ มามุ่งนิพพาน

๒. อนุพุทธะตามต่อ ตามหมาย
สำเร็จสมสืบสาย ร่วมไท้
เสร็จกิจนิพพานราย ตามหมู่ กันเฮย
บำราศแล้วยังแนวให้ เดินตาม

๓. โมทนาสาธุคุณ ความเพียร
กัลยาณธรรมจำเนียร เนิ่นแล้ว
สืบสนองการอาเกียร ใหญ่ยิ่ง
ยกจิตชนจิตแก้ว แซ่ซ้องสาธุการ

๔. โทษาใดข้าฯอาจมี อาจหมาย
ขอขมาลาโทษหาย หากพร้อง
เพรงร่ำจำจับกราย มากล่าว
เพรงเล่นเพลงเยิรร้อง ศกสวัส-ดีเองฯ

ข้าพเจ้าขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระธรรมและพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ได้โปรดรักษาท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่งให้มีความสุขกายสุขใจ มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นกัลยาณมิตรที่พึ่งของสาธุชนทั้งหลายได้นานที่สุด ตราบเท่าสังขารของมนุษย์ในยุคนี้ดำรงอยู่ได้

และให้กัลยาณมิตรเพื่อนชมรมกัลยาณธรรม มีความสุขความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จนถึงซึ่งความพ้นทุกข์คือพระนิพพานโดยเร็วพลันทุกท่าน และขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ชนชาวไทยทั้งหลาย ขอให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขในพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา แคล้วคลาดปลอดจากภัยอันตรายทั้งปวงด้วยเทอญ.

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในกรณีที่ทำวิปัสสนาแล้วไม่เกิดปัญญา สาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดมาจาก "การที่เราได้เคยปรารถนาพุทธภูมิเอาไว้หรือไม่ (ในอดีตชาติ) ถ้าคิดว่าตอนนี้อยากจะก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด ก็ควรอธิษฐานยกเลิกคำอธิษฐานเก่าๆ ทั้งหมด ที่เป็นตัวขวางมรรคผล แล้วอธิษฐานจิตใหม่ ปรารถนามรรคผลโดยเร็วที่สุดแทน"
ผมเลยอยากใคร่ขอถามท่านอาจารย์ว่า การปรารถนาพุทธภูมิในอดีตชาติและที่ว่าควรยกเลิกคำอธิษฐานเก่าๆที่เป็นตัว ขวางมรรคผล นั้นหมายความว่าอย่างไรครับ
ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
การปฏิบัติกรรมฐาน แล้วไม่เกิดปัญญามิได้อยู่ที่ตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ที่เดินตามแนวพุทธภูมิสามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงวิปัสสนา ญาณในส่วนที่เป็นโลกิยญาณได้ หากพระโพธิสัตว์ลาพุทธภูมิแล้ว ตั้งอธิษฐานใหม่เป็นสาวกภูมิหากมีบารมีสั่งสมมามากพอ สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณระดับโลกุตรญาณได้ คือ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ และปัจจเวกชนะญาณ ความเป็นอริยบุคคลเกิดได้โดยวิธีนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากผมมีความสงสัย เรื่องที่อาจารย์บอกว่าให้ถอย สมาธิมาอยู่ใน อุปจาระสมาธิ เพื่อที่จะได้พัฒนาสติปัฐาน4 นั้น " ครูอาจารย์บางท่านบอกว่า วิปัสนานั้น ให้ทำตัวเป็นเหมือน ผู้ดูเท่านั้น เหมือนเป็นผู้บรรยายกีฬา ห้ามเพ่งห้ามบังคับแต่อย่างใด"
อยากถามว่าเมื่อไม่เพ่งไม่บังคับจะถอยสมาธิลงมาได้อย่างใดครับ?

คำตอบ
ครูบาอาจารย์ท่านพูดถูกต้องแล้ว ต้องทำตัวให้เหมือนผู้ดูเท่านั้น ดูสิ่งที่เข้าสัมผัสจิตว่า ในที่สุดผัสสะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้นจึงจะเกิดขึ้น
ปัญหามีอยู่ว่าถ้าจิตเข้าไปตั้งมั่นสูงสุด (อัปปนาสมาธิ) ภาวะความทรงฌานจะเกิดขึ้น ไม่สามารถใช้จิตตามดูผัสสะใด ๆ ได้ อายตนะภายนอก (สิ่งกระทบภายนอก) ไม่สามารถทำให้จิตเกิดผัสสะได้ ดังนั้นจึงต้องถอยกำลังของสมาธิลงมาอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ ด้วยลดการเจริญสติภาวนาลง แล้วกำลังของสมาธิจะถอยเองโดยอัตโนมัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 84, 85, 86, 87, 88, 89, 90 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร