วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 00:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 86, 87, 88, 89, 90, 91, 92 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมฝึกวิปัสสนากรรมฐานแล้วได้ฌานด้วย แสดงว่าวิปัสสนากับสมถะจำเป็นต้องไปควบ คู่กันใช่หรือไม่ครับ

คำตอบ
สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานจำเป็นต้องปฏิบัติควบคู่ กัน เพราะจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนากรรมฐาน) จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถกรรมฐาน) ให้ได้ก่อน

2. การมีสมาธิในฌานขั้นที่4 เป็นเวลานานๆจะมีประโยชน์หรือโทษอย่างไร

คำตอบ
ประโยชน์คือหนีปัญหาได้ชั่วคราว และจิตมีกำลังของสมาธิมาก ส่วนที่เป็นโทษคือ ทำให้เสียเวลาในการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง

3. การถอดจิตออกจากกายมีอันตรายอย่างไรบ้าง

คำตอบ
ไม่มีอันตรายใด ถ้าไม่มีผู้นำเอาร่างกายไปฉีดยาฟอร์มาลินเพื่อกันเน่าเสียก่อน

4. ถ้าขณะถอดจิตอยู่ มีคนขยับกายเนื้อเรา จะเป็นอันตรายหรือไม่ เพราะมีคนพลิก ตัวผมทุก 2 ชม.

คำตอบ
ไม่เป็นอันตราย และไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาพลิกร่างกาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันนี้หนูได้ไปปฎิบัติธรรม ที่วิเวกอาศรม จ.ชลบุรี อาทิตย์ละ 2 วัน ครั้งละ 3-4 ชม. นอกนั้นปฎิบัติที่บ้าน
ประมาณ 1 ชม. นั่ง 30 นาที่ เดิน 30 นาที แนว พอง- ยุบ ค่ะ วันนี้ขณะเริ่มปฎิบัติ เริ่มเดินจงกรมได้กลิ่นเหม็นสาป
แต่ไม่ได้ตกใจ ไม่มีอาการกลัวก็ แผ่เมตตาทันทีไม่ทันจบ กลิ่นหายไป ก็ปฏิบัติต่อ เดิน- นั่ง นาน 4 ชม.สลับกัน
ก็ไม่ได้กลิ่นอีกเลย ตลอดเวลา 4 ชม. นี้มีความรู้สึกเงียบมากไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งที่มีพระปฏิบัติอยู่ รู้ตัวกำหนดตลอด
และรู้ว่าเหมือนจิตกำลังมองตนเองนั่งสมาธิอยู่ สงัดมากทั้งที่กลางวัน และตนเองนิ่งมากไม่กระดุกกระดิกเลยค่ะ
ทั้งที่กำหนดอยู่ตลอดเวลา แต่ เหมือนจิตใจตนเองเต้นเร็วจนปวดใจบอกไม่ถูกพอกำหนดก็หายไป
เลย เคยเป็นแบบนี้หลายครั้ง หนูอยากรู้ว่า

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คืออะไรคะ แล้วทำไมถึงเกิด (กลิ่นเหม็น) เป็นความก้าวหน้าหรือไม่คะ

2. ที่หนูแผ่เมตตาหนูทำถูกหรือไม่คะ

3. อาการปวดใจ จากเหตุการณ์นี้คืออะไรคะ

ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงทุกทุกวันค่ะ
ด้วยความเคารพ ค่ะ


คำตอบ
(๑). ผู้ใดพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติธรรม ผู้นั้นได้ทำบุญใหญ่ให้เกิดขึ้น สัตว์ (รูปนาม) ที่ประสงค์บุญจากการอุทิศย่อมแสดงนิมิต (กลิ่นเหม็น) ให้ผู้มีบุญใหญ่สัมผัสได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าระดับหนึ่งในการพัฒนาจิต แต่ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงระดับที่นำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

(๒). ทำถูกแล้วครับ

(๓). เป็นทุกขเวทนา (ขันธมาร) ที่มาทดสอบกำลังใจ ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากแก้ปัญหาได้ถูกตรง อาการดังกล่าวจะหายไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ทุกวันนี้พยายามรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด แต่มีข้อสงสัยว่า ยังต้องไหว้เจ้าและบรรพบุรุษด้วยเหล้า แต่ไหว้แล้วก็ไม่ได้ให้ไครดื่ม จะเป็นบาปหรือไม่

2. ชอบมีความคิดว่าตัวเองกระทำไม่ดีต่อพระสงฆ์ เช่น ใช้เท้าเหยียบ ทุกวันนี้สวดมนต์บทขอขมาทุกวัน ก็ยังมีความคิดนี้ค้างอยู่ รู้สึกแย่มาก จะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ

(๑). ผู้ใดมีเจนาให้เครื่องดื่มที่เป็นสุราเมรัยแก่ผู้อื่น (รูปนามอื่น) ผู้นั้นเป็นต้นเหตุให้รูปนามอื่นประพฤติทุศีล ถือว่าเป็นบาป

(๒). นำตัวไปขอขมากรรมต่อหน้าเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ต่อหน้าอุทเทสิกเจดีย์ (พระพุทธรูป) ต่อหน้าบริโภคเจดีย์ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย แล้วสารภาพผิดที่มีจิตคิดอกุศล ล่วงเกิน ด้วยการกล่าววาจาให้อริยสงฆ์ยกโทษให้ แล้วต้องไม่ทำเหตุที่เป็นอกุศลเช่นนี้ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก จากนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง ด้วยการเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องอยากกราบเรียนถามอาจารย์ว่า การที่เราจะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้านั้น ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แต่การประกอบอาชีพในชีวิตประจำวันนั้น มีบางครั้งต้องพูดจาโกหก พูดปดกับลูกค้า (หนูเป็นพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับการค้าขาย) และบางครั้งต้องทำการหลีกเลี่ยงภาษี (ขายใบกำกับภาษีเพื่อให้ลูกค้าไปใช้ในการหลบเลี่ยงภาษี) ซึ่งหนูก็รู้ว่าเป็นการผิดศีลข้อลักทรัพย์ และบางทีหนูก็รู้สึกว่าเรากำลังโกงแผ่นดินหรือเปล่า แต่หนูต้องทำตามหน้าที่ลูกจ้าง ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้

หนูเลยอยากถามอาจารย์ดังนี้ว่า
1. สิ่งที่หนูทำอยู่บาปมากไหมค่ะ

2. และจะมีทางแก้ไขและปฏิบัติอย่างไร(บางทีหนูคิดจะเปลี่ยนอาชีพ แต่ความรู้น้อย และงานที่ทำอยู่ก็มีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเอง และพ่อแม่พี่น้องได้)

ปัจจุบันหนูพยายามขวนขวายในธรรม หนูอ่านหนังสือธรรมะ หนูฟังธรรมทุกครั้งที่มีโอกาสไป หนูเข้าอบรมปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่มีโอกาส เวลาอยู่บ้านก็สวดมนต์เช้าเย็น นั่งสมาธิและก็แผ่เมตตา หนูอยากเจริญก้าวหน้าในทางธรรมค่ะ อยากเป็นผู้รู้ที่สามารถปลดทุกข์ให้ตัวเองได้ และอยากเป็นผู้รู้บอกกล่าวคนที่ไม่รู้ได้

หนูขอให้อาจารย์เมตตาตอบคำถามให้หนูด้วยนะค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑). สิ่งที่บอกเล่าไป เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นในชาติปัจจุบัน เมื่อใดที่กรรมให้ผล ย่อมถูกกล่าวตู่ โภคะพินาศ ปฏิบัติธรรมแล้วจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฯลฯ ตายแล้วบาปยังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้

(๒). หากยังจำเป็นต้องทำอาชีพนี้อยู่ จงทำต่อไป แต่ต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ เพื่อให้จิตมีบุญสั่งสมมากกว่าบาป แล้วบาปตามให้ผลไม่ทัน ชีวิตจะดำเนินอยู่ได้โดยยังไม่วิบัติ อนึ่งสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน จงทำต่อไปตลอดชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูมีปัญหาชีวิตหนักอกเรื่องงาน คือหนูทำงานอยู่บริษัทครอบครัวมีพ่อแม่ลูกเป็นเจ้าของ ขณะนี้ทางพ่อกับแม่ไม่พอใจหนูที่ทำงานผิดพลาดอยากให้ออก แต่ลูกชะลอไว้และบอกว่าจะให้โอกาสแก้ตัวอีกครั้ง หนูควรอยู่ทำงานต่อไปก่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะไล่ออกเมื่อไหร่หรือจะลาออกก่อนดีคะ เพื่อไม่ให้เสียประวัติ

อนึ่งงานมีความจำเป็นต่อหนูเพราะต้องใช้เงินเลี้ยงชีพค่ะ และหนูเป็นคนหางานยากมากค่ะ คงต้องใช้เวลาหาหลายปี (อย่างที่ผ่านมา)เลยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอ.ในความเมตตา หนูขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่านอ.และขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดของหนูให้ท่า นอ.มีสุขภาพแข็งแรงด้วยค่ะ

คำตอบ

ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้แก้ปัญหาด้วยปัญญา ผู้เห็นผิดประพฤติตนเป็นผู้หนีปัญหา ผู้เห็นถูกจะอยู่กับปัญหาและใช้ปัญญาแก้ปัญหาจนหมดไป พระพุทธะสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น ดังนั้นในเรื่องนี้ ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาตนเอง ให้มีปัญญาทางโลกที่ทันสมัยอยู่เสมอ และยังต้องพัฒนาคุณธรรมให้ยิ่งใหญ่ ทั้งนี้เพราะความสำเร็จในชีวิต ต้องใช้ปัญญาทางโลกร้อยละ ๒๐ และต้องใช้คุณธรรมถึงร้อยละ ๘๐ เป็นส่วนประกอบที่ทำให้แก้ปัญหาได้สำเร็จ

เมื่อใดแก้ปัญหาจนจบสิ้นได้แล้ว จะลาออกจากงานหรือไม่ ผู้เห็นถูกนิยมประพฤติตามนี้

ใครผู้ใด พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพ คือมีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรม ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว และได้พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการประพฤติ ทาน ศีล ภาวนา จนคุณธรรมทั้งสามให้ผลได้แล้ว งานย่อมไหลเข้ามาให้ทำ โดยไม่ต้องออกไปหางานทำให้เหนื่อยยาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเริ่มฝึก ภาวนาเองที่บ้านที่อเมริกาเคยเล่าให้อาจารย์ฟังว่าฝึกอยู่บ้านคนเดียวเลย กลัว ตอนนี้หนูหายกลัวแล้วเพราะฝึกสติรู้และคิดว่าไม่มีใครตายจากการนั่งสมาธิซัก คน ขอคําปรึกษาค่ะ

1. หนูเห็นนิมิตแว๋บนึงว่ามีเด็กไทย 2 คนกับเปรตที่ไม่รู้จักมายืนมองหนู หนูก็กําหนดเห็นก็สักแต่ว่าเห็นแล้วนิมิตนั้นก็หายไป - พอออกจากสมาธิก็แผ่เมตตาให้ จากนั้นนั่งสมาธิครั้งต่อๆมาก็ไม่เห็นอะไรอีก เราไม่รู้จักเขาแล้วมาโผล่ในนิมิตเราได้อย่างไร หนูคิดไปเองหรือเปล่าคะ

2. หนูเริ่มพัฒนาดีขึ้นค่ะ นั่งแล้วจิตแยกออกจากกาย กายหายไปไม่รู้สึกว่าตัวเองมีกาย เหลือแต่จิตเท่านั้น อานิสงส์ นั้น ทําให้หนูมีสติและระลึกอยู่เสมอว่าเราแท้จริงคือจิตที่มาอาศัยกายนี้ วันหนึ่งก็ต้องไปจากร่างนี้้ / พอวันนี้นั่งแล้วนิ่งมาก คําบริกรรมหายและเหมือนจิตไปสู่อีกมิติหนึ่งที่กว้างใหญ่ อุปมาเหมือนจิตเห็น 360 องศารอบตนเอง แต่ยังได้ยินเสียงจากภายนอกบ้างแต่เบามาก ลมหายใจเบาบางจนเหมือนบางจังหวะลืมว่าเราหายใจ มันคืออะไรคะ

กราบขอบคุณอาจารย์ที่เสียสละเวลาตอบคําถามเพื่อมวลชนค่ะ สาธุ

คำตอบ

(๑). การเห็นนิมิต (เด็ก, เปรต) แล้วกำหนดเห็นสักแต่ว่าเห็น (กฎไตรลักษณ์) เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว ทุกชนิดของนิมิตต้องกำหนดแบบนี้ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในนิมิตก็จะเกิดขึ้น การอุทิศบุญให้กับสิ่งที่เห็นในนิมิตทำได้ถูกทางแล้ว เพราะอมนุษย์ต้องการบุญ เขาจึงมาปรากฏให้เห็น เนื่องจากกาลเวลาหมุนผ่านไปยาวนาน สัญญาที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในจิตของผู้ถามปัญหา ระลึกไม่ได้ว่า อมนุษย์ที่มาปรากฏในนิมิต เป็นรูปนามที่เราเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน

(๒). ผู้ถามปัญหารู้เห็นเข้าใจว่า ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัยของจิตนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อใดที่จิตออกจากร่างกายและไปสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ให้ตามดูว่าเป็นเรื่องของจิตที่หลุดออกไป ไม่ต้องไปจินตนาการใดๆให้เกิดขึ้น การได้ยินเสียงแผ่วเบา การรู้สึกว่าลมหายใจแผ่วเบา เป็นการระลึกรู้ที่ละเอียดอ่อนของสติ คือ จิตมีกำลังสติดีขึ้น และหากเมื่อใดจิตมีกำลังสติกล้าแข็ง และเห็นว่า เสียงที่ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ลมหายใจที่แผ่วเบา ก็สักแต่ว่าเป็นลมหายใจแผ่วเบา จิตไม่ยึดเอาทั้งสองอย่างมาปรุงเป็นอารมณ์ ปัญญาเห็นแจ้งในเสียงจะเกิดขึ้น ปัญญาเห็นแจ้งในลมหายใจจะเกิดขึ้น นี่คือปฏิปทาที่ถูกต้องของนักปฏิบัติธรรม ที่ต้องรักษาไว้ให้เป็นเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีความสงสัยในเรื่องกรรมอย่างนี้ค่ะ คนที่ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้เพราะอุบัติเหตุหรือเป็นหมัน แต่ไม่ทุกข์ร้อนด้วยเรื่องไม่มีลูก เป็นเพราะกรรมดำในอดีตชาติที่ทำให้ไม่หรือเป็นเพราะอธิษฐานมา หาคำตอบจากหนังสือหรือฟังจากพระผู้รู้ก็ดูจะขัดแย้งกันเองว่าเป็นความโชคดี หรือโชคร้ายกันแน่

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ

เหตุที่ทำให้ไม่มีลูกเป็นได้สองเหตุคือ อดีตเคยประพฤติกรรมดำ เช่น ผิดศีลข้อ ๓ ทำหมันสัตว์ ทำแท้งให้กับคน ฯลฯ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล การไม่มีลูกจึงเกิดขึ้นได้ หรือในแนวทางที่สอง เป็นด้วยเหตุมีจิตตั้งปรารถนา (อธิษฐาน) ไม่มีลูก เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว การไม่มีลูกย่อมเกิดขึ้นได้

ส่วนคำว่า “ โชค ” หมายถึง สิ่งที่นำผลมาให้โดยคาดเดาได้ยาก ในทางพุทธศาสนา การไม่มีลูกถือว่าโชคดีที่ไม่มีห่วงผูกคอ ในทางโลก การไม่มีลูกถือว่าโชคร้ายที่ไม่มีผู้สืบสกุล ฉะนั้นผู้ถามปัญหา ประสงค์นำพาชีวิตให้ติดอยู่กับโลก หรือนำพาชีวิตให้พ้นไปจากโลก เลือกได้ตามใจปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. สักกายทิฎจิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส
4. กามราคะ
5. ปฎิฆะ
6. รูปราคะ
7. อรูปราคะ
8. มานะ
9. อุทธัจจะ
10. อวิชชา
สังโยฃน์อันเป็นเครื่องร้อยรัดสัตว์โลกนี้ การที่เราจะลดละ มันจะต้องเป็นไปตามลำดับหรือไม่ครับ ต้องกำจัดทีละตัว หรือมันจะลดหรือละไปพร้อมๆ กันครับ

อาจารย์ครับ ข้อ 3. สีลัพพตปรามาส แปลว่าอะไร และมีความหมายอย่างไรคับ ดูในหนังสือเห็นว่า ความถือมั่นศีลพรต ผมไม่เข้าใจครับ หลักการกำจัดของสิ่งเหล่านี้ ที่สำคัญคือการทำวิปัสสนาญาน ใช่หรือไม่ครับ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ

การละสังโยชน์ทั้งสิบตัว ต้องละไปตามลำดับ ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งเป็นตัวกำจัด ด้วยเหตุที่จิตมีการเกิดดับเร็ว บางคนมีจิตตามระลึกไม่ทัน จึงเข้าใจเอาเองว่า สังโยชน์หมดไปพร้อมๆกัน

คำว่า “ สีลัพพตปรามาส ” เป็นความเห็นผิดที่เป็นเหตุให้ยึดถือว่า บุคคลจะบริสุทธิ์ (จิตหมดกิเลสทั้งปวง) หลุดพ้นไปจากวัฏฏะได้ ต้องมีศีลและประพฤติให้ถูกตรงตามศีล อย่างนี้ถือว่า เป็นศีลและวัตรที่งมงาย หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สีลัพพตปรามาส

แท้จริงแล้ว กิเลสที่หมักดองอยู่ในใจ (สังโยชน์ ๑๐) จะถูกกำจัดให้หมดไปได้ ต้องใช้ปัญญาเห็นแจ้ง หรือวิปัสสนาญาณเป็นตัวกำจัด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมใคร่ขอคำอธิบาย ขยายความจากอาจารย์ อยู่ 2 คำ

1. คำว่าดวงตาเห็นธรรม

2. และ เข้าถึงธรรม

ได้ยิน ฟังมา แต่ไม่แน่ว่าตนเองจะเข้าใจถูกต้องหรือไม่ อาจารย์ดูเหมือนอธิบายเหมือนกันเวลาบรรยาย จะมีประโยคดังกล่าวอยู่

อยากทราบว่า หากคนปฎิบัติ ฝึกสมถะ หรือ วิปัสสนา แล้ว ต้องมีศีลคุมใจ จึงจะเข้าถึงธรรม หรือ มีดวงตาเห็นธรรม อะไรทำนองนี้กระผมสงสัยว่า คำว่าเข้าถึงธรรม กับ มีดวงตาเห็นธรรม จะมีความหมายต่างกันไหม และ คำว่าเข้าถึงธรรม จะต้องหมายความว่า ต้องเข้าถึง ระดับ โสดาบันขึ้นไปหรือเปล่าครับ บุคคลธรรมดาทั่วไป จะมีโอกาสเข้าถึงหรือไม่ครับ

" คำว่ามีดวงตาเห็นธรรม " จะแตกต่างกับการเข้าถึงธรรม อย่างไรครับ ต้องอยู่ระดับใดครับ

ขอบพระคุณครับ


คำตอบ

(๑). คำว่า “ ดวงตาเห็นธรรม ” หมายถึง จิตเกิดปัญญารู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ในครั้งพุทธกาล โกณฑัญญะ ได้ฟังเทศน์กัณฑ์แรก (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) ที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ แล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม อันเป็นเหตุทำให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์) สามตัวแรกได้ คือจิตหลุดพ้นจากสักกายทิฏฐิ หลุดพ้นจากวิจิกิจฉา หลุดพ้นจากสีลัพพตปรามาส สภาวะของจิตเช่นนี้ ในทางพุทธศาสนาสมมุติเรียกว่า โสดาบัน คือโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ส่วนพาหิยะฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วทำให้จิตหลุดพ้นจากสังโยชน์ทั้งสิบ สภาวะของจิตเช่นนี้ในทางพุทธศาสนาสมมุตเรียกว่า พระอรหันต์ คือพาหิยะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์

(๒). คำว่า “ เข้าถึงธรรม ” หมายถึง จิตเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ เช่นปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับต่างๆ หรือจิตเข้าถึงอภิญญาระดับต่างๆ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง หรือจิตเข้าถึงความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษในระดับต่างๆ (ญาณ ,วิปัสสนาญาณ) หรือจิตเกิดปรีชาหยั่งรู้ที่เนื่องด้วยอำนาจของสมาธิ ต่างๆเหล่านี้เรียกว่า เข้าถึงธรรม มิได้จำกัดแต่เพียงว่า เข้าถึงธรรมที่ทำให้เป็นโสดาบันเท่านั้น

บุคคลทั่วไป หากมีบุญบารมีสั่งสมมาแต่อดีตชาติมากพอ เมื่อได้ยินได้ฟังธรรม แล้วใช้จิตพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ก็สามารถนำจิตให้เข้าถึงธรรมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอรบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้หนูด้วยนะคะ ตอนนี้หนูเป็นครูสอนเด็กประถมศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่เชียงราย ส่วนตัวหนูเองเป็นคนลำพูนคะ หนูระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่หนูทำอยู่นี้ การสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดี ให้ได้รับวิชาความรู้ที่หนูสอน ไปประกอบอาชีพ ต่อไปในอนาคต หนูจะมองประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ และจะเน้นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์แก่เด็กก่อนเสมอ โดยที่หนูเองไม่สนใจว่า คนอื่นจะมองหนูอย่างไง หนูเองได้เคยปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้วและทุกวันนี้ก็ทำอยู่คะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ และพยายามใช้ปัญญาในทางธรรมมองทุก สิ่งอย่างที่มากระทบว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่ทุกครั้งที่มีสิ่งกระทบมากระทบหนู หนูก็จะรับสิ่งนั้นมาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ คือ ถ้าใคร มาทำให้โกรธ ก็โกรธ ในตอนแรกแต่แป๊บเดียวก็จะหายไป หนูรู้สึกได้ว่าหลังจากที่หนูได้น้อมรับเอาธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มาเป็นแนว ทางในการ ดำเนินชีวิตนั้น หนูเองได้เปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว ดีใจที่สุดที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

คำถามนะคะ

1. วันไหนที่ไม่มีสอนหนูก็จะสวดมนต์ นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ ดูทีวีช่องหลวงตามหาบัวคือฟังธรรมจากท่านหลวงตา หนูปฏิบัติแบบนี้แล้วรู้สึกไม่อยากที่จะไปเที่ยวไหนกับเพื่อนเลยคะ ไม่อยากคุยไม่อยากรับโทรศัพท์ เพราะหนูรู้สึกว่ามันมีแต่ขยะทั้งนั้น หนูมองว่าตัวหนูเองสติไม่แข็งพอที่จะไปรับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดีทั้งๆที่ความ จริงเราน่าจะมองทุกอย่างเป็นครูสอนใจเราใช่ไหมคะ แต่เวลาที่มีสิ่งมากระทบแบบที่เลี่ยงไม่ได้ หนูก็จะมองและพิจารณาให้เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์อย่างที่บอกนะคะ รบกวนอาจารย์ชี้แนะคะ

2. หลังจากที่สวดมนต์ นั่งสมาธิเสร็จ ก่อนจะนอนหนูจะกำหนดพุท โธ แล้วก็หลับ คือหนูฝันว่า หนูอยู่ที่บ้านย่ากับพ่อแม่และใครก็ไม่รู้หลายคนคะ แล้วก็มี ผี กะลังเดินมาเป็นผู้หญิง ทุกคนวิ่งหนีหมดเลยรวมทั้งหนูด้วย แล้วหนูก็นึกได้เลยนั่งลงภาวนา พุท โธ ผีผู้หญิงคนนั้นก็ตรงมาที่หนู มาบีบคอหนูทั้งสองมือเลยคะ หนูว่าหนูหลับตานะคะ แต่หนูก็เห็นหน้าผีผู้หญิงคนนั้นชัดเจน บีบคอหนูแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วก็เริ่มโมโหที่หนูไม่กลัว
แต่หนูว่าหนูเองก็กลัวนะคะ แต่หนูก็ไม่ยอมลุกไปไหน พุท โธ อยู่อย่างนั้น แล้วผีผู้หญิงก็บอกว่าไม่กลัวใช่ไหม ก็เอามืออีกข้างนึงมาล้วงไส้หนู ส่วนมืออีกข้างยังบีบคอหนูอยู่ เค้าบีดไส้หนูเป็นแผลใหญ่มีเลือดไหล แต่หนูยังคงพุท โธ อยู่ กลัวมากเลยคะ แต่สุดท้ายผีผู้หญิงนั้นก็หายไปเลย รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยคะ

3. มีครั้งหนึ่งหนูได้ไปทำบุญที่วัดป่าโรงธรรมสามัคคี ที่สันกำแพง มีหมาตัวนึงเห่าหนูแล้วก็วิ่งมาหาหนู ตัวหนูเองกลัวมากก้าวขาไม่ออก ก็ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วคิดในใจว่าหากเป็นกรรมที่หนูที่ทำไว้กับหมาตัวนั้น หนูก็ยินดีให้กัดและขออโหสิกรรม แล้วหนูก็ สัพเพ สัตตา ผิดๆถูกๆ ยืนตัวสั่น
พอหมาตัวนั้นมาถึงก็งับขาหนูเพียงเบาๆแล้วปล่อย แต่ยังคงยืนเห่าหนูอยู่อย่างนั้น และเพื่อนหมาตัวอื่นๆก็มาลุมเห่าหนูด้วย แต่สักพักทุกตัวก็ไปคนละทิศคนละทาง สรุปคือ หนูไม่โดนหมากัดคะ เค้าแค่งับเบาๆ หนูอยากทราบว่า หมาตัวนั้นรับรู้ถึงเมตตาจิตที่หนูแผ่ให้แลอโหสิกรรมไปหรอคะ รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยคะ

4. บางครั้งหนูคิดว่าหนูไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวเลย เพราะหนูไม่อยากมีห่วง หนูอยากใช้ชีวิตแบบพอเพียงอยู่กับพ่อแม่ ดูแลพ่อกับแม่ แล้วก็ปฏิบัติธรรม ให้ดีที่สุดเท่าที่หนูจะทำได้ เพราะหนูเชื่อว่าคนเราเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ หากมีแนวทางใดที่ปฏิบัติแล้วให้ถึงซึ่งความหลุดพ้น หนูเองอยากที่จะน้อมนำตัวเองมาปฏิบัติคะ หนูคิดแบบนี้จริงๆคะ รบกวนอาจารย์แนะนำหนูด้วยนะคะ

หนูขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ อย่างสูงคะ

ขอบุญกุศลที่หนูได้กระทำไว้แล้ว ส่งผลให้ท่านอาจารย์เป็นสุขคะ
และขออนุโมทนาความดีทั้งหลายที่อาจารย์ได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมวัฏฏะนี้ด้วย นะคะ สาธุ


คำตอบ

ผู้ใดปรารถนาเป็นครูที่ดี ผู้นั้นต้องประพฤติป้องกันเด็กมิให้ประพฤติชั่ว อบรมเด็กให้เป็นคนดี สั่งสอนเด็กให้มีวิชาความรู้ที่ถูกต้องชอบธรรม และสุดท้ายต้องช่วยเหลือเด็กในสิ่งที่ถูก ลักษณะทั้งสี่นี้มีอยู่ในจิตวิญญาณของความเป็นครูที่ดี

(๑). ผู้ใดมีสติสัมปชัญญะ ผู้นั้นด้วยระลึกได้ว่า มนุษย์มีงานให้ทำอยู่ ๒ ประเภท คือ งานภายนอกที่ทำให้กับสังคม และงานภายในที่ทำให้กับตัวเองคือเตรียมสั่งสมบุญนำไปเกิดใหม่ ฉะนั้นการเอาเวลาของงานภายนอก มาทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ถือว่าผู้นั้นไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่หากเมื่อใดหมดเวลาของการทำงานภายนอก และบุคคลเอาเวลามาทำงานภายในให้ตนเอง ถือว่าผู้นั้นมีสติสัมปชัญญะ

การเป็นครูที่ดี ควรพัฒนาจิตตนเองให้มีเมตตาคุ้มครองใจ ด้วยการให้อภัยเป็นทานต่อทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ ผู้ใดทำได้แล้วเมตตาย่อมเกิดขึ้น ผู้มีเมตตาเป็นผู้ไม่มีโทสะ แต่มีอารมณ์สงบเย็น ศิษย์ย่อมนำตัวเข้าใกล้ โอกาสถ่ายทอดความรู้จึงจะเกิดขึ้นได้ง่าย

(๒). จิตใดมีกำลังของสติกล้าแข็ง นอนหลับแล้วย่อมไม่ฝัน

(๓). ความกลัวเกิดขึ้นด้วยเหตุไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ฉะนั้นกลัวสุนัขแสดงว่าไม่รู้จริงเรื่องสุนัข คนมีเมตตาเมื่อแผ่เมตตาให้กับสัตว์ร้ายหรือศัตรู เวรย่อมถูกระงับโดยปริยาย

(๔). ผู้รู้รู้ว่า บุคคลมีชีวิตเป็นของตนเอง ต้องเลือกบริหารจัดการด้วยตัวเอง พระพุทธะตรัสว่า บุคคลมีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ฉะนั้นเลือกเอาตามที่ชอบๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูอยากสอบถามเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตนและช่วยเหลือผู้อื่นที่อยู่ในบุญ กิริยาวัตถุ 10 ดังนี้ค่ะ

1. การอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึงเราควรอ่อนน้อมถ่อมตนต่อทุกท่าน เช่น ยาม , แม่บ้าน , ขอทาน , คนพาล , คนมิจฉาทิฐิ , คนขี้โกง หรือเปล่าคะ หรือเราควรอ่อนน้อมถ่อมตนเฉพาะบุคคลที่เป็นคนดี คนสัมมาทิฐิ

2. การช่วยเหลือผู้อื่น หมายถึง ช่วยทุกคนในทุกกรณีที่ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม หรือเปล่าคะ เช่น ช่วยถือของ , ช่วยบอกทาง , ช่วยคนตาบอดข้ามถนน , ช่วยพาป้ากับน้าไปซื้อของ , ช่วยแม่ทำงานบ้าน , ช่วยหาของ , ช่วยสอนหนังสือเด็กกำพร้า , ช่วยเป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อพระศาสนา

ขอขอบพระคุณท่านอ.ในความเมตตา หนูขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่านอ.และขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดของหนูให้ท่านอ.มีสุขภาพแข็งแรงด้วยค่ะ

คำตอบ

(๑). “ การอ่อนน้อม ” ในที่นี้หมายถึง การแสดงกิริยาวาจานบนอบ ส่วน “ การถ่อมตน ” เป็นการแสดงฐานะที่ต่ำกว่าความเป็นจริง

คุณธรรมที่ระบุอยู่ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ระบุให้บุคคลประพฤติอ่อนน้อม มิได้ระบุให้ประพฤติถ่อมตน ดังนั้น ผู้ใดหวังบุญให้เกิดขึ้นกับตนด้วยวิธีนี้ ต้องประพฤติอ่อนน้อมต่อสรรพสัตว์ ผู้มีศีลมีธรรมที่ตนเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ยกเว้นคนพาล สัตว์พาล ตลอดจนอมนุษย์ที่สันดานเป็นพาล ต้องหลีกหนีให้ห่างไกล ไม่นำตัวไปประพฤติอ่อนน้อม

(๒). การช่วยเหลือผู้อื่นตามที่บอกเล่าไป ผู้ใดประพฤติได้แล้ว บุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมขอความเมตาท่านอาจารย์ ช่วยเมตตาแนะนำวัดที่รับบวชในพรรษานี้ให้ด้วยครับ เพราะกระผมตั้งใจจะบวชตอนเข้าพรรษานเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาครับ ถ้าเป็นไปได้ ขอความเมตตาท่านอาจารย์ช่วยแนะนำวัดทาง ภาคเหนือ ด้วยครับ เพราะกระผมอยู่ จังหวัดเชียงราย ครับ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ


หากผู้ถามปัญหามีจิตมั่นคงในการพัฒนาจิตให้มีธรรมคุ้มรักษา แนะนำให้ติดต่อที่วัดแพร่ธรรมาราม อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ วัดนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟเด่นชัยประมาณ ๕๐๐ เมตร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์ครับคนบ้าสามารถเข้าถึงฌานได้ไหมครับ
ผมอยากปฏิบัติธรรมบ้าง อาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ ตั้งแต่ขั้นง่ายๆจนไปหายาก ผมอยากออกจากทุกข์มากตอนนี้

ผมเคยฟังอาจารย์บรรยายที่ดอยสัพพัญญูด้วย แต่ผมไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้ผมเชื่อแล้วเต็มร้อย เพราะเคยเจอมา ที่ผมเจอมันจะจริงหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อว่า มันเป็นความจริง แต่มันมีความสงสัยเริ่มบั่นทอนความเชื่อของผมลงเรื่อยๆ ผมจึงอยากปฏิบัติจนให้มันอยู่กับผมตลอดไป

ขอบคุณครับอาจารย์

คำตอบ

คนบ้า คือ คนที่จิตมีกำลังของสติอ่อน จึงรับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดี เข้าปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดี แล้วกำจัดให้หมดไปจากใจไม่ได้ พฤติกรรมที่คนบ้าแสดงออก จึงเป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากพฤติกรรมของคนปกติ บุคคลทั่วไปจึงเรียกคนที่มีพฤติกรรมผิดเพี้ยนเช่นนี้ว่าเป็นคนบ้า

คนที่มีจิตขาดสติ ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิในระดับฌานได้

ผู้ถามปัญหาประสงค์ปฏิบัติธรรม ควรเริ่มต้นด้วยการทำใจให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วกำหนดอานาปานสติ ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง เมื่อปฏิบัติแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ต้องรักษาปฏิปทาเช่นนี้ไว้ ด้วยเอาความเพียรและสัจจะมาเป็นเครื่องสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากถามเรื่อง การบรรลุธรรม(โสดาบัน ) ผมอยากจะละสังโยชน์ทั้ง 3 ตัวแต่ยังไม่รู้วิธี
อยากสอบถามอาจารย์ว่าอาจารย์มีวิธีละสังโยชน์ทั้ง 3 ตัวยังไงครับ โดยเฉพาะตัวแรกคือ การยึดมั่นในตัวตนมีวิธีละยังไงครับ

คำตอบ

ผู้ใดประสงค์ละสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ไปพิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนเห็นว่า ขันธ์ทั้งห้า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) เมื่อขันธ์ ๕ เข้าสู่ความเป็นอนัตตา จะรู้เห็นเข้าใจว่า ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีเรา ไม่มีเขา ขันธ์ ๕ เป็นเพียงรูปนามเท่านั้น แล้วสักกายทิฏฐิย่อมหมดไปจากใจได้

ผู้ใดใช้ปัญญาเห็นแจ้งส่องนำทางชีวิตแล้วเห็นว่า ทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตไม่รับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ใช่ตัวตนมามีอำนาจเหนือใจ ความลังเลสงสัยในธรรมย่อมหมดไป แล้วจะรู้ว่า ญาณ มรรค ผล นิพพาน นั้นมีอยู่จริงแท้

ผู้ใดใช้ปัญญาเห็นแจ้งส่องนำทางให้ชีวิตแล้วเห็นว่า ความเชื่อที่งมงายว่า การทำจิตให้มีศีลคุมและการประพฤติมีศีลเพียงอย่างเดียว ทำให้จิตหลุดพ้นไปจากวัฏฏะได้ แต่การพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิและเกิดปัญญาเห็นแจ้งเท่านั้น ย่อมนำพาจิตให้พ้นไปจากวัฏฏะได้ ความรู้เห็นเข้าใจเช่นนี้นี่เอง ที่เป็นเหตุทำใจไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของความเชื่อที่งมงายว่า การปฏิบัติตนให้เหมือนอย่างโค (โควัตร) การปฏิบัติตนให้เหมือนอย่างสุนัข (กุกกุรวัตร) การบำเพ็ญสมถภาวนาจนเข้าถึงฌานสมาบัติ ฯลฯ เป็นทางแห่งความพ้นทุกข์
ผู้ตอบปัญหาดำเนินตามปฏิปทาทั้งสามดังที่กล่าวมานี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ติดตามจากหนังสือที่ท่านเขียนมาพอสมควร และมีความศรัทธาในตัวท่านจึงใคร่ขอถามคำถามท่านดังประการต่อไปนี้
1. กระผมจบสายการเรียนทางกฎหมายมาโดยตัวผมเองไม่ชอบงานด้านนี้เลยเนื่องจากเป็น งานที่เสี่ยงต่ออกุศลกรรมอย่างมาก แต่กระผมก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะทำอย่างไรดีจึงควรเบี่ยงสายงานไปได้ผมควรทำ อย่างไรต่อไปดีครับ

2. กระผมเป็นคนถือศีลเป็นปกติวิสัยและทำบุญที่รพ.บาลสงฆ์เป็นประจำครับ ปัญหาคือ ตั้งแต่จบมาผมได้เปลี่ยนงานหลายครั้งเนื่องจาก ทุกครั้งที่เจ้าทำงานจะมีอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง จนจำเป็นต้องออกจากงานทุกครั้ง กระผมควรสร้างความดีอะไรเพิ่มได้บ้างที่จะบรรเทาผลกรรมอันนี้

3. กระผมอยากเรียนกรรมฐานที่มีครูสอนที่แท้จริงเพื่อคอยแนะนำ กระผมไปในการปฏิบัติที่ถูกต้องกระผมควรไปฝึกที่ใด หรือหากต้องฝึกเองควรต้องเริ่มอย่างไรครับ

ขอขอบคุณท่านที่สละเวลาตอบคำถามให้กระผมล่วงหน้าครับ

คำตอบ

(๑). บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ดังนั้นต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้ใดประสงค์ทำงานที่ไม่เสี่ยงต่ออกุศลกรรม ผู้นั้นต้องเลือกทำงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม หรือหากยังมีความจำเป็นต้องเข้าร่วมกับงานที่ต้องเสี่ยงกับอกุศลกรรม ต้องพัฒนาตัวเองให้มีดวงดี ด้วยการประพฤติ ทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ จนคุณธรรมดังกล่าวให้ผล แล้วความวิบัติของชีวิต ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

(๒). ผู้ถามปัญหาประพฤติทานและศีลเป็นประจำอยู่แล้ว หากประสงค์จะบรรเทาวิบากกรรมให้ลดน้อยลง ต้องต่อยอดด้วยการประพฤติจิตตภาวนา และทุกครั้งที่บำเพ็ญภาวนาแล้ว ควรอุทิศบุญใหญ่ที่เกิดขึ้น ให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ โอกาสที่วิบากของกรรมจะลดน้อยลงหรือหมดไป ย่อมมีได้เป็นได้

(๓). การนำตัวเองเข้าฝึกกรรมฐาน กับครูผู้สอนกรรมฐานที่ประพฤติถูกตรงตามธรรม ซึ่งหมายความว่า ประพฤติสมถภาวนาแล้วจิตต้องมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น แล้วใช้กำลังของสติไประลึกรู้ในสติปัฏฐาน ๔ แล้วโอกาสที่จะเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นกับจิต ย่อมเกิดขึ้นได้ จิตที่มีปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับ จิตย่อมเป็นอิสระต่อสรรพสิ่ง เช่น เป็นอิสระจากโลกธรรม เป็นอิสระจากวัตถุ ฯลฯ ครูที่สอนไปในแนวทางเช่นนี้ เป็นครูที่ผู้ถามปัญหาควรนำตัวไปฝากเป็นศิษย์ แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน

ผู้ถามปัญหาประสงค์ฝึกจิตด้วยตนเอง ย่อมทำได้ด้วยการพัฒนาใจให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จ ให้เจริญอานาปานสติ ด้วยหายใจเอาลมเข้าสู่ร่างกาย ต้องกำหนดว่า “ พุธ ” หายใจเอาลมออกจากร่างกาย ให้กำหนดว่า “ โธ ” กำหนดเช่นนี้นานประมาณ ๓๐ นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นต้องอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่ปฏิบัติแล้วเสร็จ ผู้ใดประพฤติเป็นปกติเช่นนี้ โดยมีสัจจะ มีขันติ และมีความเพียร เป็นแรงสนับสนุน โอกาสที่จิตจะเข้าถึงธรรม ย่อมมีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 86, 87, 88, 89, 90, 91, 92 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron