วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 17:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฟังธรรมะจากอาจารย์ต่างๆ ทั้งหลวงปู่ หลวงพ่อ และอาจารย์ด็อกเตอร์

หลายท่านที่ปฏิบัติธรรมะ ผมเลยได้แนวทางปฏิบัติคือ สติปัฏฐานสี่ แต่พอผมฝึก

ไปได้สักพัก ก็ต้องพบกับคำถามแต่ไม่รู้จะไปถามใครครับ เพื่อนที่เคยบวชเรียน

และฝึกมาแล้วก็มีแต่ตอบผมได้ยังไม่ละเอียดเท่าไร ผมขอรบกวนอาจารย์ดังนี้

น้ะครับ

๑. ผมอยู่กับลมหายใจ พุท-โธ มีสติรับรู้ตลอด ลมเข้า ลมออก กระทบปลายจมูก

ปลายริมฝีปาก รู้สึกถึงลมเข้า-ออกเป็นทาง กระทบปอด หน้าท้องพองตัว หน้าท้อง

แบนตัว หรือกระทั่งรับรู้การเต้นของหัวใจ ความคิดจรที่แว่บเข้ามาก็เห็น

น้ะครับ แต่ภาวนาว่าคิดหนอ แล้วกลับมาที่ลมหายใจ แบบนี้ใช่ไหมครับที่เป็น

การพิจารณากาย คันก็ไม่ปรุงแต่งว่ายุงกัด ต้องยกมือมาปัด อยู่กับลมหายใจ

ตลอด

๒. นั่งได้สักพักครับ เวทนาจะเริ่มมา ปวดหลังมาก่อนครับ และก็ปวดขาจะตามมา

ทุกครั้ง แต่ทำไมผมนั่งยิ่งบ่อยครั้ง จะรู้สึกปวดมากกว่าเดิมครับ ทุกครั้ง

จะทวีความปวดมากกว่าเดิมครับ เหมือนจะรับรู้ได้ละเอียดขึ้น จุดไหน กล้าม

เนื้อมัดไหน อาการเป็นอย่างไรแบบนั้นจริงๆครับ ปวดจนทนไม่ไหวมีความคิดแว่บ

เข้ามาครับบอกว่าพอเถอะ เลิกก่อน คราวหน้าเอาใหม่ ผมก็ปวดหนอ ปวดหนอ จนหมด

เวลาที่ตั้งใจไว้ เพื่อสร้างสัจจะบารมี และขันติบารมี บอกตรงๆครับช่วงนี้จะ

สั่น ทั้งปวด ทั้งข่ม สมาธิไม่นิ่งเลย ต้องจบที่ตรงนี้ทุกที ทำอย่างไรให้

ข้ามจุดนี้ไปได้ครับ เพราะรู้สึกว่าเวทนามันหนักจริงๆ

๓. ผมอยากถามว่าการที่เราจะเห็นจิตกับกายนั้นแยกกันมันเป็นแบบไหนครับ เพื่อ

ผมจะได้ไม่คิดไปเอง เพราะบางทีผมนั่งก็รู้สึกโล่งๆบ้าง ตัวเบาๆบ้าง เห็น

วงกลมๆมีแสงแล้วส่องมาที่ลูกตาบ้าง แต่ผมพยายามอยู่กับลมหายใจตลอดไม่ปรุง

แต่งตาม และอาการเหล่านี้บางครั้งจะเกิดก่อนเวทนาจะมาครับ รบกวนอาจารย์

ชี้แนะด้วยครับ

๔. ทุกวันนี้ผมอาราธนาศีลห้า และรักษาศีลให้เป็นปกติ ฝึกกรรมฐาน แผ่เมตตา

อุทิศส่วนกุศลทุกวัน ผมควรเพิ่มเติมสิ่งใดอีกครับเพื่อจะได้บันลุผลนิพพาน

ผมเคยฟังธรรมะของหลวงปู่ หลวงพ่อ บอกว่าคนธรรมดาก็นิพพานได้ ขึ้นอยู่ที่

กำลังใจ และของเก่าใช่ไหมครับ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง กระผมอาจจะมีปัญหามารบกวนอาจารย์บ่อยๆน้ะครับ

คำตอบ

(๑). อาการที่บอกเล่าไปทั้งหมด ยังมิใช่ปัญญาเห็นแจ้ง แต่เป็นปัญญาที่รับรู้ว่า ท้องพอง-ท้องแบน รับรู้การเต้นของหัวใจ รับรู้ความคิดที่จรมาเป็นครั้งคราว รับรู้ว่าอาการคันเกิดขึ้น ฯลฯ ยังไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เมื่อใดผู้ปฏิบัติธรรมเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ว่า อาการที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง จิตจะปล่อยวางไม่มีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น นี่แหละที่เรียกว่า ปัญญาเห็นแจ้งในอาการนั้นๆ อ่านทบทวนกี่ครั้งกี่หนก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่บอกมานี้ แต่ถ้าเข้าถึงสภาวะเช่นนี้ด้วยตัวเอง (สนฺทิฏฺฐิโก) ได้แล้ว ความสงสัยในเรื่องของคำว่าอนัตตาจะหมดไปเป็นอัตโนมัติ

(๒). นั่งปฏิบัติธรรมแล้วอาการปวดหลังปวดขามาเร็ว และปวดมากขึ้นๆ นั่นเป็นตัวบ่งชี้ว่า จิตมีกำลังของสติมากขึ้น ทำไมไม่ยอมตายไปกับความปวด (ทุกขเวทนา) เพื่อแลกกับธรรมะของพระพุทธเจ้า คนที่ได้ธรรมะของพระพุทธะล้วนต่างเอาชีวิตเข้าแลกกันทั้งนั้น แต่ผู้ถามปัญหากลับยอมแพ้ ซ้ำยังเอาจิตไปปรุงแต่งกับอารมณ์ปวด ปรุงแต่งกับความคิดสงสัยในการทำงานของกล้ามเนื้อ ปรุงแต่งกับความคิดผิดว่าพอเถอะ คราวหน้าค่อยเอาใหม่ ฯลฯ จะพยายามกี่ครั้งกี่หนก็แพ้ตลอด คนขี้แพ้ไม่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรอกครับ

(๓). อยากเห็นจิตแยกออกจากกาย รับรองว่าไม่ได้เห็นแน่นอน เพราะเอาความอยาก (ตัณหา) มาเป็นตัวปรุงจิตให้เศร้าหมอง ผู้ใดกำจัดความอยากให้หมดไปจากใจได้ แล้วปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูบาอาจารย์ จนจิตเข้าถึงสมาธิที่สูงขึ้น การเห็นจิตแยกออกจากกาย จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

อาการตัวเบาเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ เบาหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการตัวเบาหายไป เมื่อปรากฏว่ามีแสงมาส่องอยู่ที่หน้า ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าการเห็นแสงหายไป แล้วให้ดึงจิตเข้าสู่องค์บริกรรมเดิม

(๔). ผู้ใดยังต้องอาราธนาศีล ยังต้องรักษาศีล ๕ ให้คงอยู่กับใจ ยังไม่ถือว่าผู้นั้นมีศีล ๕ เป็นปกติ ผู้ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้ เขามีศีล ๕ คุมใจอยู่เป็นปกติทุกขณะตื่น โดยไม่ต้องไปอาราธนามาจากใคร และไม่ต้องรักษาศีลให้เสียเวลา ฉะนั้นผู้ใดมีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจได้ทุกขณะตื่น ศีลในลักษณะนี้แหละที่นำจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วนำไปสู่ปัญญาเห็นแจ้งได้ ตามหลักของไตรสิกขา (ศีล – สมาธิ – ปัญญา)

ไม่ต้องหลวงปู่หลวงพ่อบอก คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คือคนที่มีบารมีสั่งสมมามาก (ของเก่า) และปัจจุบันมีกำลังของสติ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็ง โอกาสนำจิตเข้าสู่นิพพานเป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมฝึกนั่งกรรมฐาน อยู่มาระยะเวลาหนึ่ง จนมาถึง ตอนที่นั่งอยู่มีความสุข สุขมากๆ สุขแบบว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อน สภาวะจิตตอนนั้น มีความสุข มีความสงบ ชุ่มชื่นจิตมาก และอารมณ์ของจิตก็คงอยู่ในสภาวะแบบนั้น และก็เสพอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ มีความสุขมากๆ และการนั่งของผม เมื่อเริ่มนั่งก็จะใช้เวลาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งคิดว่าไม่นาน จิตก็จะไปอยู่ที่ สภาวะแบบนั้น นั่งเสพอารมณ์ไปเรื่อยๆ และ มีความสุขมากๆ และผมคิดว่า ถ้าจิตอารมณ์ดีอย่างนี้ แล้วถ้ามีคนที่เราไม่ชอบใจและเกลียดเขามากๆ มาหาในตอนนี้อารมณ์ของจิต จะเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือ ผมจะยิ้มอย่างจริงใจให้กับเขา เดินเข้าไปจูงมือเขามาเพื่อนั่งกรรมฐานด้วยกัน สอนเขาบอกเขาถึงวิธีการนั่งกรรมฐาน ซึ่งถ้าเขาทำไม่ได้จริงๆ ผมก็พร้อมที่จะถอด อารมณ์สภาวะจิตที่ทำได้สวมให้เขา และของผมเดี๋ยวค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ การที่ผมทำแบบนี้ สิ่งที่ต้องการคือ อยากให้เขามีความสุขอย่างที่ผมได้รับเท่านั้นเอง และสภาวะจิตตอนนั้น ถ้ามีใครมาบอกว่า เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผมและต้องการชีวิตของผม สภาวะจิตตอนนั้นบอกว่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะชดใช้ให้ด้วยชีวิต จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไป และพร้อมที่จะตายในตอนนั้น อย่างไม่ลังเลใจ และไม่อาฆาตต่อเขาด้วย และสภาวะจิตตอนนั้นไม่กลัวความตาย ยิ้มยินดีที่จะตาย เพราะรู้สึกว่า ถ้าตายแล้ว ต้องมีอะไรที่ดีๆรออยู่เบื้องหน้าครับ และการนั่งกรรมฐานของผม ผมจะนั่งประมาณครั้งละ 1 ชั่วโมง ถึง 1.5 ชั่วโมง ซึ่งตอนที่จะออกจากกรรมฐาน เพราะตอนนั้นนั่งจนเจ็บก้นมาก เจ็บจนทนไม่ไหว จิตร้อนรน ทุรนทุรายมาก จึงขยับตัวและย่อตัวลงมาให้หลังงอก่อน และพักสักครู่ จึงแผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลที่เกิดจากการนั่งกรรมฐาน ในครั้งนั้น

แต่ผมสามารถนั่งกรรมฐานอยู่ในช่วงระยะเวลานั้นได้ ประมาณ 5-6 เดือน เพราะจิตมันเริ่มฟุ้งซ่าน นั่งอย่างนั้นก็สุขอย่างนั้นเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จิตเริ่มฟุ่งซ่านและอยู่ดีๆ มันก็คิดโน่นนี่ คิดไปเอง ผุดขึ้นมาเอง รบกวนจนผมไม่สามารถนั่งกรรมฐานให้เหมือนเดิมได้เลย เครียดมาก จากคนที่เคยทำได้ รู้วิธีที่จะนั่งกรรมฐานและภาวนาจน จิตมีความสุข มีความสงบ แบบนั้น และพอเวลามันฟุ่งซ่าน ผมก็พยายามที่จะข่มมัน กดความคิดมันให้หายไป แต่กลับทำให้เครียดมากกว่าเดิม เพราะยิ่งกดมัน มันก็ยิ่งฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ จนทุกวันนี้ ผ่านมา 2 ปีกว่า ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย

ซึ่งการนั่งกรรมฐาน แบบไม่มีครูบาอาจารย์คอยให้คำแนะนำ อาจทำให้บุคคล คนนั้นบ้าหรือเสียสติไปเลยก็ได้ แต่ผมก็พยายามไม่ให้ตัวเองไปเป็นแบบนั้น โดยพิจารณาว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา และต้องหาวิธีแก้ไขกันไป เครียดมาก ทุกวันนี้ นั่งทำงานหรือ นั่งอยู่เฉยๆ ก็ฟุ้งซ่านความคิด อยู่อย่างนั้น เป็นประโยคซ้ำๆ มีใจความบ้าง ไม่มีใจความบ้าง ให้จิตมันวนเวียนคิดอยู่อย่างนั้น ทั้งเหนี่อย และเครียด รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตไปเยอะมาก ทำให้การทำงานออกมาได้ไม่ค่อยดี กระบวนการทางความคิด ไม่ราบเรียบ กลายเป็นคนที่โกรธง่ายและหงุดหงิดง่าย ซึ่งไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเป็นแบบนี้มากๆ มันก็จะสะสมในดวงจิตของเราไว้มาก แล้วพอตายไป ผมจะไปคุยกับท่านพระยายมราชอย่างไง เพราะหลักฐานมันเยอะหรือเกิน ซึ่งผมก็บอกได้ว่า มันคิดเอง เพราะถ้าผมบังคับมันได้ บอกแล้วความคิดฟุ่งซ่านมันเชื่อฟัง มันไม่โผล่ออกมา ผมก็ไม่เป็นแบบนี้ และผมต้องการบอกว่า ผมไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับความคิดฟุ่งซ่าน และไม่ขออนุโมทนากับมันเลย มันจะทำอะไรก็เรื่องของมัน เครียดจริงๆ ถ้าไล่เตะมันได้ ผมเตะมันกระเด็นไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมากวนผม บางครั้งคิดอยากวิ่งเอาศรีษะ ชนกำแพง จะได้ให้ความคิดฟุ่งซ่านมันหายไป แต่คิดได้ว่า ที่ต้องเจ็บแน่ๆก็คือ ศรีษะของผมเอง เลยยังไม่ได้ทำครับ

ผมอยากเรียนถาม อาจารย์ สนอง อย่างนี้ครับ

1. กรรมฐานที่ผมเคยทำได้ จัดว่าเป็นแบบไหนอย่างไรครับ เป็น ฌาน ขั้นไหนหรือไม่อย่างไรครับ

2. กระผมควรทำอย่างไรเพื่อให้กลับมานั่งกรรมฐาน ให้ได้ ดวงจิตเหมือนเดิม มีบุคคลอื่นบอกผมว่ามันเป็นกรรมเก่าที่เข้ามาขวางผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรไว้ แต่ที่แน่ๆ มันต้องมีเหตุ จึงทำให้มีผลตามมา ผมก็บอกได้เลยว่า ขออโหสิกรรมด้วยครับ ปล่อยให้ผมนั่งกรรมฐานเหมือนเดิมเถอะ แล้วผมจะอุทิศบุญกุศลให้ครับ

สุดท้ายนี้ผมจึงขอความเมตตาจากท่าน อาจารย์ สนอง ช่วยชี้แนะแนวทางให้แก่ผม เพื่อให้การปฏิบัติดำเนินก้าวหน้าต่อไปได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอให้กลับมานั่งกรรมฐานให้ได้ดวงจิตดังเดิมที่เคย ปฏิบัติได้ ขอความเมตตาจากท่าน อาจารย์ สนอง ช่วยตอบ อีเมล ผมด้วยครับ ตาม อีเมลที่ผมส่งเมลไปครับ และผมจะคอยเช็คเมลครับ

ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ


คำตอบ

(๑). จากคำบอกเล่าวิเคราะห์ได้ว่า จิตเคยเข้าถึงความสงบระดับฌาน ความสุขจึงได้เกิดขึ้นแต่เป็นโลกิยสุข ขณะใดจิตไม่ตั้งมั่นอยู่ในฌาน ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นได้

(๒). ผู้ถามปัญหาอยากให้จิตกลับมามีสภาวะเหมือนเดิม ความอยาก (ตัณหา) เป็นกิเลสตัวใหญ่ หากเกิดขึ้นและยังมีอยู่กับใจ แม้จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ย่อมเข้าไม่ถึงผลแห่งการปฏิบัตินั้น ฉะนั้นควรเข้าหาและฝากตัวเป็นศิษย์ กับผู้รู้มีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติธรรม อาทิ หลวงพ่อวัดมเหยงค์ จังหวัดอยุธยา หากนำคำชี้แนะมาปฏิบัติให้ถูกตรง ปัญหาจึงจะหมดไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ทำไมหนูถึงมีแต่ความทุกข์ในการปฏิบัติธรรม มีแต่แน่น เหนื่อย อึดอัด ท้อ หนูก็ทราบว่าคงจะทำผิด แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าไม่เพ่งจนเครียด หนูก็ปล่อยจนหลงคะ ยังหาทางสายกลางไม่พบค่ะ ทำยังไงดีคะอยากปฏิบัติธรรม อาจารย์บอกว่าจะกลับมาช่วยเพื่อนเก่าๆ ช่วยหนูอีกสักคนนะคะ หนูจะได้ไปช่วยคนอื่นต่อได้อย่างถูกทาง กลัวไปสอนผิดแล้วทำให้ผู้อื่นแย่นะคะ

2. หนูมีโอกาสพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ แต่หนูก็ปฏิบัติจนงงว่าหนูควรจะไปในแนวทางไหนดีคะ ควรบริกรรม หรือทิ้งคำบริกรรม อะไรที่ตรงกับจริตของหนูคะ ควรปฏิบัติตามแนวทางของพระอาจารย์องค์ใดคะที่หนูจะเข้าใจคะ

3. ทำอย่างไรหนูถึงจะเห็นคุณค่าของการปฏิบัติมากๆ คะ
ทำอย่างไรถึงจะขยันๆ ไม่ขี้เกียจคะ

คำตอบ

(๑). ผู้ดีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และหากพัฒนาให้เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจทุกขณะตื่นได้แล้ว ปัญหาย่อมหมดไปโดยปริยาย ฉะนั้นจงดูใจตัวเอง ดูความพร่องของศีลที่มีอยู่ในใจ ปรับปรุงแก้ไขได้เมื่อใดแล้ว การปฏิบัติธรรมย่อมก้าวหน้า ... สู้

(๒). ควรทำกรรมฐานรูปแบบอื่นมาทดลองปฏิบัติดูบ้าง กรรมฐานชนิดใดนำมาปฏิบัติแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย กรรมฐานนั้นเหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา ทำไมไม่ลองนำเอาอานาปานสติ หรือ ภูตกสิณ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) มาเป็นองค์ภาวนาดูบ้างล่ะ

(๓). ผู้ใดตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ปฏิบัติธรรมเต็มที่ ปฏิบัติถูกตรงตามคำชี้แนะของครูบาอาจารย์ โดยมีความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุนแล้ว ความขี้เกียจย่อมหมดไป ความศรัทธาในคุณค่าของการปฏิบัติธรรมย่อมเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูมีปัญหากับการดำเนินชีวิตค่ะ หนูยังมีความจำเป็นที่จะต้องทำงานเพื่อต้องการเงินเดือนมาใช้จ่าย แต่หนูเบื่อที่จะต้องอยู่ในสังคม หนูไม่อยากคุยกับใครในบางวัน หนูไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัท ตอนนี้หนูเลี่ยงที่จะต้องทำงานกับคนอื่น เผอิญงานที่หนูทำสามารถทำคนเดียวจบได้ แล้วถึงจะให้อีกคนทำต่อ หนูรู้สึกแย่เหมือนกันที่หนูเป็นอย่างนี้ และหนูเป็นคนมองทุกสิ่งในแง่ร้ายด้วยค่ะ ซึ่งมันสะท้อนออกมาจากคำพูดของหนูเอง เวลาที่จะต้องแสดงความคิดเห็นกับคนอื่น

อาจารย์คะมีวิธีหรือธรรมะข้อใดที่จะทำให้หนูหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ ได้คะ ขอความเมตตาอาจารย์แนะนำหนูด้วยค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ

ผู้ใดมีความเห็นผิดและมีอัตตา ผู้นั้นย่อมมองคนอื่นไม่ดี ตรงกันข้าม ผู้ใดให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจได้ ผู้นั้นมีเมตตาเป็นบารมีสั่งสมอยู่ในจิตใจ ผู้มีเมตตาเป็นผู้มีอารมณ์สงบเย็นและมีความสุข และดียิ่งขึ้นหากได้พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นความไม่ดีของผู้อื่นเป็นครูสอนใจ มิให้เราประพฤติตาม ย่อมเห็นความไม่ดีของตัวเอง (อัตตา) เป็นต้นเหตุให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นในจิตใจ ซึ่งต้องกำจัดให้หมดไปด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นผู้หวังความสงบสุขให้เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องมองตัวเองและแก้ ปัญหาที่ตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยกรุณาชี้แนะแนวทางให้ผมด้วย
ผมเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นชายรักชาย ที่กำลังรับวิบากกรรมจากการประพฤติผิดศีล ผมทราบว่าตนเองเป็นแบบนี้ ตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม แต่ก็ประพฤติผิดเรื่อยมา จนมาถึงจุดเปลี่ยนที่เห็นทุกข์ของการไม่สมหวัง การหลอกลวง ความโดดเดี่ยว ทุกข์จากความกำหนัดที่รุนแรงกว่าคนทั่วไป ผมต้องการแก้ไขจิตใจที่วิปริต ให้กลับมาเป็นชายปกติ ลดความกำหนัดให้เบาบางลง พยายามมุ่งหน้าเข้าหาพระศาสนา หากผมปฏิบัติวิปัสสนา และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่ดีให้หมดไป

เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้ แล้วกลับเป็นชายชาตรีสมภาคภูมิครับ

คำตอบ

ผู้ถามปัญหาประสงค์พ้นจากวิบากกรรมที่ตนกำลังเสวยอยู่ สามารถทำได้ด้วยการออกกำลังทางกายให้มาก เช่น เล่นกีฬาแบดมินตั้น เล่นกีฬาเทนนิส เล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล เล่นกีฬาฟุตซอล ฯลฯ เป็นประจำ และจะดียิ่งขึ้น หากได้สวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติก่อนนอนทุกวัน เสร็จแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอเรียนถามอาจารย์เรื่องโรคที่เกิดจากกรรมค่ะ หนูเป็นโรคทางจิตใจแบบที่วัยรุ่นส่วนน้อยมากเป็นกัน เกี่ยวกับการเสพติดพฤติกรรมที่ไม่ดีค่ะ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพร่างกาย สมาธิและจิตใจอย่างมาก หนูไม่สามารถควบคุมใจหนูไม่ให้ทำพฤติกรรมที่ไม่ดีนี้ได้ ซึ่งไม่ได้ผิดศีลนะคะ
แต่หนูคิดว่ามันเป็นการเบียดเบียนตนเองมาก หนูพยายามนั่งสมาธิและสวดมนต์ ทำให้ปรับตัวเองดีขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ละไม่หมด

1. หนูอยากทราบว่าโรคนี้เกิดจากกรรม หรือหนูมาจากภพที่ต่ำกว่ามนุษย์คะ หนูรู้สึกว่ามันเป็นกิเลสในตัวที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หนูคิดว่ามันเกิดจากการไม่มีสติเมื่อเกิดความอยากนี้ขึ้นมา คล้ายๆกับรู้ว่าเหล้าไม่ดีแต่ก็ยังดื่ม

อันนี้เป็นคำถามเพิ่มเติมค่ะ
เวลานี้หนูใช้ศีลคุมใจอยู่ตลอด ก่อนหน้าที่หนูเริ่มฟังธรรม หนูเคยผิดศีลข้อ 2, 3 และ 4 แต่ข้อ 3 นี้รุนแรงมากทำให้เป็นผลให้เกิดข้อ 2,4 ตามมา เพราะอยากได้คนที่ไม่ใช่ของเรา
( อันนี้ไม่มีส่วนเกียวข้องกับพฤติกรรมที่้เป็นค่ะ) ทำให้หนูทุกข์ใจมากจนต้องเข้าหาธรรมะ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

2. อยากทราบว่าเมื่อหนูกลับมารักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะมีส่วนช่วยให้หนูบรรลุธรรม และควบคุมใจตัวเองได้มากขึ้นได้หรือไม่คะ

ขอให้ผู้ทรงธรรมจงอยู่นานค่ะ กราบขอบพระคุณ

คำตอบ

กรรม หมายถึง การกระทำ มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ ทำกรรมด้วยการคิด (มโนกรรม) ทำกรรมด้วยการพูด (วจีกรรม) และทำกรรมด้วยอวัยวะของร่างกาย (กายกรรม)

(๑). จิตของผู้ใดเมื่อทำงานแล้ว ทำให้เกิดอารมณ์และการสั่งงานผิดไปจากคนปกติ ถือว่าจิตนั้นเป็นโรค การกระทำทางกายใดๆ เมื่อบุคลประพฤติแล้ว ทำให้ร่างกายมีลักษณะและมีอาการผิดไปจากคนปกติ ถือว่าร่างกายนั้นเป็นโรค ทั้งนี้จิตที่ขาดสติและจิตที่มีความเห็นผิด จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคทั้งสองแบบ

(๒). ผู้ใดมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเข้าปฏิบัติสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติได้แล้ว โรคดังกล่าวจะหายไป และยังมีโอกาสบรรลุธรรมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากทราบว่าโรคซึมเศร้าสามารถรักษาด้วยการนั่งสมาธิได้หรือไม่
ถ้าได้ มีการรักษาอย่างไร

ด้วยความนับถือ

คำตอบ

ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติรับทันสิ่งกระทบ และพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง จนเห็นว่าทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตเป็นอนัตตา โรคซึมเศร้าย่อมหายไปโดยปริยาย ฉะนั้นการนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถรักษาโรคซึมเศร้าให้หายขาดได้ แต่ยับยั้งได้ชั่วคราว เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ แล้วให้พระเจิมประตูบ้าน และใช้ด้ายสายสิญจน์วงล้อมรอบตัวบ้านนั้นดีหรือไม่ครับ เพราะในแง่หนึ่งไม่น่าจะดี เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้อมนุษย์ที่หวังดี และอยากอยู่ช่วยเราไม่สามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้ แต่อีกในแง่หนึ่งน่าจะดี เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้อมนุษย์ที่ไม่หวังดีเข้ามาทำร้ายเราได้

จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรทำอย่างไรจึงจะเป็นการดีและเหมาะสมกว่ากัน

ขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ

หากผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีศีลมีธรรม (ธรรมวินัย) คุ้มครองใจได้ทุกขณะตื่น การเข้าอาศัยอยู่ในบ้านใหม่นั้นจะเป็นมงคล โดยไม่ต้องทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้วให้พระมาเจิมประตูให้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เข้าอาศัยอยู่ในบ้านควรทำอย่างยิ่ง เมื่อทุกคนประพฤติได้แล้ว ธรรมวินัยย่อมคุ้มรักษาทุกคนในบ้านให้มีชีวิตสวัสดี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูเรียนอยู่ต่างประเทศค่ะ มีความข้องใจอยากขอความกรุณาให้ความกระจ่างนะคะ

เมื่อสี่ปีก่อน หนูมีโอกาสได้รู้จักอ.คนไทยท่านหนึง ที่มาปฎิบัติภาระกิจที่นี่หนึ่งสัปดาห์ระหว่างนั้นหนูทราบว่า อาจารย์ท่านขอคุณหมอออกจากรพ. และเดินทางมาทำงานนั้นหนูรู้สึกเป็นห่วง เลยไปคอยดูแลอาจารย์ท่านนี้แทบทุกวันค่ะ เมื่อกลับไปเมืองไทย หนูก็ไปเยี่ยมอาจารย์ท่านนี้เสมอ และบ่อยครั้งที่ไปอ.ท่านมักจะเข้ารพ. หนูเลยไปนอนที่รพ.ด้วย

เมื่อปีที่แล้ว อ.ท่านตัดสินใจรับการรักษามะเร็งด้วยคีโม ( ท่านเป็นมะเร็งเต้านมมา 15 ปีโดยไม่รับการรักษาและเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ซึ่งลามไป ต่อมน้ำเหลือง ปอด กระดูก ตั้งแต่ตอนหนูพบท่านสี่ปีก่อน ) ซึ่งมีผลให้เส้นเลือดบริเวณแผลแตก เลือดจึงไหลซึมไม่หยุด คุณหมอจึงให้ฉายแสง สิบครั้งตลอดเวลาที่รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน และที่หนูรู้จักอาจารย์ท่านมาอ.ท่านไม่มีอาการแพ้ใดๆเลยค่ะ ไม่เคยบ่น หงุดหงิด กับการป่วย มีเพียงอ่อนเพลียบ้าง แต่ท่านพยายามทานอาหารทุกหมู่และทานเยอะ หนูสังเกตุว่าอาจารย์ทำสมาธิและสวดมนต์สม่ำเสมอค่ะ เมื่ออกจากสมาธิ หน้าตาจะสดใส เสียงก็สดใส จนไม่มีใครทราบว่าอ.ป่วยค่ะ อ.เคยบอกว่าการปฎิบัติธรรมช่วยรักษาให้อ.อยู่กับมะเร็งได้ยาวนาน จนเวลาเจอคุณหมอบางท่าน ก็จะทักอาจารย์ว่า "ยังไม่ตายอีกเหรอ" ค่ะ

เมื่อเดือนมค.ที่ผ่านมา อ.เริ่มขยับร่างกายไม่ได้ ปกติหนูโทรหาอาจารย์ทุกสองอาทิตย์ค่ะ จนเมื่อกลางเดือนมีค. สังเกตุว่าอาจารย์พูดไม่ชัด เลยคิดว่าคงไม่มีแรงเปล่งเสียง ตอนนั้นหนูคิดว่าอ.คงเป็นหนัก ก็คิดไตร่ตรองว่าระหว่างการไปเยี่ยมคนป่วยหนัก กับรอไปงานศพจะเอาอย่างไรดี ด้วยความกังวลกับการเรียนที่นี่และแอบคิดว่า อ.น่าจะยังอยู่ได้อีกหลายเดือน จึงตัดสินใจไม่กลับค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย และท่านเสียชีวิตก่อนสงกรานต์ค่ะ

หนูได้ถามคนที่เฝ้าอ. เขาบอกว่าช่วงอ.อาการทรุดลง หมอจะพาเข้าไอซียู เนื่องจากปอดไม่ทำงาน อ.ก็ไม่ยอมไปค่ะ หมอก็เลยบอกว่าท่านไม่น่าจะอยู่ได้เกินสามชม. ท่านก็อยู่ได้แปดชั่วโมง โดยที่หมอบอกว่าท่านใช้กล้ามเนื้อหายใจ และก่อนอ.จะสิ้นลมท่านพูดว่า "อ.กำลังจะตาย" ซ้ำอยู่สามครั้งค่ะ ช่วงเวลาที่อ.เสีย ตรงกับเช้ามืดที่นี่หนูยังนอนหลับอยู่ และฝันว่าอาจารย์มาหา มาแบบไม่ป่วยเลยค่ะ อ.อยู่กับหนูที่บ้านทั้งวัน คุยกันสารพัดเรื่อง ทานข้าวเที่ยง ข้าวเย็น ด้วยกัน จนค่ำหนูก็บอกว่าหนูจะไปส่งอ.ที่บ้านค่ะ ในฝันนี่ทุกอย่างชัดเจนเหมือนจริงมากค่ะ เช่น กลิ่นหอมของข้าวในจานที่รู้สึกได้ หนูรู้สึกว่าเป็นฝันที่นานมาก สุดท้ายเลยบอกตัวเองว่าตื่นดีกว่า คิดว่าต้องโทรบอกอ.ให้ได้ว่าฝันถึง แต่ได้รับอีเมลก่อนว่าอ.เพิ่งเสียชีวิตสองชม.ที่ผ่านมา

อ่านอีเมลจบหนูถามตัวเองว่าจริงเหรอ เมื่อกี้ยังเจอกันอยู่เลย แล้วก็โทรกลับไปถามที่เมืองไทย ในช่วงสามวันแรกที่อ.เสีย หนูบอกตัวเองว่ามันถึงเวลา และอ.ท่านก็แค่ละร่างที่เป็นธาตุต่างๆ กลับคืนธรรมชาติ ไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งรอบตัวหนู และแม้แต่ตัวหนูเองก็ยังมีแร่ธาตุเหล่านั้นในตัว ก็เป็นสิ่งเดียวกันหมดและคิดว่า คงจะได้เจออ.อีกในภายหน้า หลังจากสามวันแรก รู้สึกว่าสติจะอ่อนลง เพราะคิดถึงท่านบ่อย และน้ำตาไหลได้

ครบเจ็ดวันที่อ.เสียชีวิต หนูก็ฝันอีกครั้งค่ะ แต่ครั้งนี้ภาพไม่ชัดเหมือนครั้งแรก มันเป็นภาพลางๆค่ะ ฝันว่าได้ไปหาอ. แล้วบอกว่าหนูมาลาอาจารย์ โดยพยายามไม่ให้น้ำตาไหล แล้วอ.ก็หลับไป หนูยังจำกลิ่นหอมๆ ในฝันได้ค่ะ

ตั้งแต่ต้นเดือนเมษา หนูเริ่มสวดมนต์ก่อนนอน แผ่เมตตา แบบออกชื่ออ. และคนที่สนิทสิบกว่าคน เมื่ออ.เสียชีวิต ก็สวดมนต์เพิ่ม และอุทิศส่วนกุศลให้เป็นข้าวทิพย์อาหารทิพย์แก่อาจารย์อยู่เจ็ดวัน

สิ่งที่หนูสงสัยก็คือ

1 หนูเข้าใจว่า (ซึ่งหนูอาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะคะ) อ.ท่านเข้าสู่อริยบุคคลแล้ว โอกาสกลับมาเกิดในโลกมนุษย์ก็คงเหลือน้อย ถ้าท่านได้ไปอยู่ในพรหมโลก จิตยังสามารถสื่อถึงกันได้หรือไม่ค่ะ ถ้าได้ต้องมีสภาวะปัจจัยใดบ้างค่ะ

2 ผลบุญกุศลของการทำวิปัสสนากรรมฐาน จะส่งถึงอริยบุคคลไหมค่ะ

3 มีคนบอกว่าการฝันโดยเฉพาะครั้งแรก เป็นเพราะจิตผูกพัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้อาจารย์ ไปในที่ต่ำกว่าที่ควรตามศีลธรรมของอาจารย์หรือเปล่าค่ะ

4 การที่หนูคิดถึงอาจารย์ท่านบ่อยๆ โดยเมื่อรู้ทันจะท่องว่า คิดหนอคิดหนอ แล้วทำงานต่อ จับความคิดถึงได้วันละเป็นสิบครั้ง และบางครั้งปล่อยให้คิดไปจนรู้สึกเสียใจ น้ำตาไหลรวมทั้งการอยากรู้ว่าอาจารย์ท่านไปอยู่ที่ใด เหล่านี้เป็นการสะท้อนความยึดติด และมีตัวตนของหนูใช่ไหมค่ะ และหนูควรจะแก้ไขอย่างไรค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองมากค่ะที่อ่านเมลล์ยาวๆของหนู และให้ความกระจ่างในคำถามเหล่านี้ค่ะ

ขอให้ผลบุญในการคลายความสงสัยข้องใจ และในการแนะนำความสว่างแก่บุคคลทั้งหลาย คุ้มครองให้อาจารย์มีสุขภาพดี และสำเร็จในความปรารถนาทุกประการค่ะ


คำตอบ

(๑). ก่อนพุทธกาล ฆฏิการพรหม นำอัฐบริขารจากสุทธาวาสพรหมโลก มาถวายเจ้าชายสิทธัตถะในวันทรงผนวช สหับบดีพรหม มากราบทูลให้พระพุทธโคดมเผยแผ่ธรรมที่ทรงตรัสรู้ เทวดาลงมาที่วัดเชตวัน เพื่อทูลพระศาสดาให้บอกความเป็นมงคล (มงคล ๓๘) ฯลฯ ฉะนั้นมนุษย์และอมนุษย์สามารถสื่อถึงกันได้ด้วยพลังงานจิตที่พัฒนาดีแล้ว

(๒). อริยบุคคลไม่ต้องการบุญจากการอุทิศของใครผู้ใด เพราะอริยบุคคลได้ทำและสั่งสมบุญด้วยตัวเอง จนมีกำลังมากพอที่จะผลักดันชีวิตตัวเองสู่นิพพานได้แล้ว

(๓). ในกรณีที่บอกเล่าไป จิตวิญญาณของอาจารย์ที่ตายทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ไม่โคจรไปสู่ภพต่ำ

(๔). ใช่แล้ว เป็นการสะท้อนภาพให้เห็นถึงการเอาจิตไปผูกติดอยู่กับผู้ที่ตายไปแล้ว หากผู้ถามปัญหาปรารถนาอิสรภาพให้กับจิตของตัวเอง ต้องกำหนด “ คิดหนอๆๆๆๆ ” ทุกครั้งที่คิดถึงผู้ตาย จนกว่าความคิดถึงจะหายไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมนั่งสมาธิโดยการดูที่ลมหายใจ และภาวนาพุทโธ ตามลมหายใจคับ สองสามวันที่ผ่านมาเวลานั่งแล้วผมรู้สึกแปลกที่กลางกระหม่อมคับ คือคันๆ บางทีเหมือนขนลุกบริเวณนั้น เหมือนมีอะไรมาวางอยู่บนศรีษะคับ จนวันนี้ก็เกิดอาการนี้อีก ผมเลยเข้าไปดูอาการคันๆนี้ เห็นเป็นนิมิตรุปร่างมีชฏาอยู่บนศรีษะ สวยมากคับ และเปลี่ยนรูปทรงไปมา ผมก็พิจาณาว่านี้เป็นนิมิตไม่ควรยึดติด สักพักจากรุปสวยงามนั้น กลายเป็นโพลงขึ้นกลางกระหม่อม พอตามไปดู เห็นภายในร่างการ เห็นกระโหลกผ่านเนื้อลงไปเรื่อยๆตามโครงกระดูก แล้วหายไปคับ สุดท้ายเห็นเป็นดวงแสงสว่างที่กลางกระหม่อม แล้วก็กลับมาความว่าง ภาวนาต่อ อาการคันๆเกิดตลอดการนั่งจนออกจากสมาธิก็ยังรู้สึกอยู่

จึงกราบเรียนถามอาจารย์ ดร.สนอง ว่าคืออะไรคับ รบกวนด้วยคับ

กราบขอบพระคุณคับ

คำตอบ

ปฏิบัติสมถภาวนาแล้วเกิดอาการคันที่ศีรษะ ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการคันหายไป เมื่อมีขนลุกต้องกำหนดว่า “ ขนลุกหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่ามีชฎาวางอยู่บนศีรษะ ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ปรากฏเหล่านั้น เป็นกิเลสที่เข้ามารบกวนใจให้การปฏิบัติสมาธิไม่ก้าวหน้า จึงต้องพัฒนาจิตให้มีสติเพิ่มมากขึ้น ด้วยการกำหนดตามวิธีการที่ชี้แนะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์เรื่องการทำงานกับบริษัทที่เกี่ยวกับการเลี้ยง ไก่ และนำไก่นั้นมาชำแหละขายถ้าเราไปร่วมงานกับที่นี่ (ฝ่ายคอมพิวเตอร์) จะได้รับวิบากกรรมอย่างไรบ้างค่ะ ตอนนี้กำลังลังเลค่ะว่าจะไปสัมภาษณ์งานที่นี่ดีหรือไม่ เพราะอยากจะเจริญในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น แต่ตอนนี้ก็ตกงานอยู่จึงอยากรับคำแนะนำของอาจารย์ก่อนการตัดสินใจค่ะว่าจะไป ดีหรือไม่ (แต่ใจตอนนี้โอนเอียงไปทางจะไม่ไปค่ะเพราะกลัวบาปค่ะ)

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ

ผู้ใดปรารถนาความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ผู้นั้นต้องประกอบสัมมาอาชีวะ คือทำอาชีพเลี้ยงตัวต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เป็นพื้นฐานรองรับความเจริญของชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ แล้วได้ความรู้ดีครับ
แต่ผมยังมีข้อสงสัยบางประการดังนี้ เรื่อง..

* อาจารย์บอกว่าคน ทำผิดศีล ผิดธรรม จะปฎิบัติไม่ได้ คือไม่ได้ผล

* คนมีศีล มีธรรม อาจารย์ว่า มี ธรรมะคุ้มครอง ? มีเทวดาคุ้มครอง

* คนเราทะเลาะกันนั้นบางทีก็ไม่มี ใครทำผิดต่อกันแต่เป็นเพราะ เข้าใจผิดกัน ทีนี้มีไหมครับที่มีคนมาอาฆาต พยาบาทจองเวรเรา แบบเข้าใจผิด เช่น ฆ่ากันตาย แต่ผีมันเข้าใจผิด ว่าเราไป ฆ่า เขาตาย อะไรทำนองนี้

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้
1. กระผมว่า คนในโลกนี้ ไม่เคยกระทำความผิด ศีล ผิดธรรม คงไม่มี มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป จะมากหรือน้อยแล้วแต่มีขอบเขต และ อะไรเป็นตัวกำหนดครับ หากถือตามอาจารย์ว่า คนผิดศีล 5 จะปฎิบัติธรรมไม่ได้ แต่อาจารย์ก็เคยยกตัวอย่าง พระอริยบุคคลท่านหนึ่ง ในยุคนี้ ซึ่งอดีต ทำผิดศีล ข้อใหญ่เลย คือ ปาณาติ...ฆ่าสัตว์ คือฆ่าภรรยาตนเอง ยังบรรลุธรรมได้ หรือ แม้ในอดีต ท่านองคุลีมาล ท่านทำบาป ฆ่าคนมามากมาย แต่สุดท้ายท่านก็บรรลุธรรมได้ หรือ เพราะบุญเก่าท่านมาก ?? มันไม่ขัดกันหรือครับ ขอให้อาจารย์ช่วย ขยายความข้อนี้ค้วยครับ ด้วยความเคารพ.

2. อาจารย์ว่า คนมีศีลบริสุทธิ ย่อมได้รับความคุ้มครอง จากเทวดา และ ธรรมะ มีขอบเขตเพียงใดครับ ผมเห็นว่าอาจารย์ต้องมีศีล 5 คลุมใจ และ ถือเป็นเวลานานแล้วด้วย อาจารย์เคยบรรยายเล่าว่า ถวายนวดพระ..ต่อมาอาจารย์กลับต้องรับเคราะห์ปวดเมื่อยแทนพระ...หรือ มีตัวอย่างจากเรื่องที่อาจารย์บรรยาย เช่นเรื่อง อาจารย์ว่า คนที่ช่วยเหลือคนอื่น แล้วตัวเองกลับต้องมารับ ความอาฆาต หรือ การจองเวร จากเจ้ากรรมนายเวร จากผู้ที่เราเข้าช่วยเหลือ หมอตา เป็นโรคตา หมอกระดูกเป็นโรคกระดูก... อย่างงี้การช่วยเหลือบุคคลอื่นเราก็ต้องหลีกเลี่ยงซิครับ ซึ่งผมดูแล้วมันน่าจะไม่ถูกต้องนะครับ อาจารย์ช่วยขยายความเพื่อเราจะเข้าช่วยบุคคลใดให้เราปลอดภัยด้วยครับ

3. เราถูกคนเกียจชัง ทำร้ายเราเพราะ มีการเข้าใจผิดกันมีได้ แต่เรื่องเจ้ากรรมนายเวร ที่มาจองเวรผิดคน มีไหมครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพ....

คำตอบ

ผู้ตอบปัญหาพูดไว้อย่างนี้

• คนที่ประพฤติทุศีล ไร้ธรรม สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

• คนที่อย่างน้อย มีเบญศีล และมีเบญจธรรม สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา

• คำว่า “ บางที ” ไม่เกิดขึ้นกับจิตของผู้รู้ในพุทธศาสนา เพราะสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด

ฉะนั้นคนที่ทะเลาะกัน เนื่องมาจากเหตุที่คนทั้งสองต่างมีจิตรู้ไม่จริงแท้ และคนที่เข้าใจผิด คนที่ฆ่ากันตาย ย่อมมาจากเหตุในอดีต เคยผูกเวรกันไว้ ผู้ใดประสงค์พิสูจน์สัจธรรมที่กล่าวมานี้ ผู้นั้นต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติกรรมฐาน จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว เหตุและผลดังกล่าวจึงจะเป็นจริงได้

(๑). มนุษย์ที่เกิดมาล้วนมีบุญและบาปสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของทุกคน เพียงแต่ว่าแต่ละคนสั่งสมบุญและบาปมาไม่เท่ากัน เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องมาจากแต่ละคนทำกรรมไว้ไม่เหมือนกัน กล่าวยืนยันซ้ำอีกครั้งว่า คนที่ประพฤติผิดศีล ๕ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ เช่นปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วจิตเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นสูงได้ หรือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วปัญญาเห็นแจ้งไม่เกิดขึ้นกับจิต

ยกเว้น ผู้ใดหยุดประพฤติทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาประพฤติทาน ศีล ภาวนา โดยมีบุญบารมีเก่าที่ทำไว้แต่อดีตชาติส่งผล การบรรลุธรรมที่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ย่อมเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่าง สิริมาโสเภณี อัมพปาลีโสเภณี จอมโจรองคุลีมาล ฯลฯ หยุดประพฤติทุศีล แล้วหันมาบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ สิริมาโสดาบัน ตายแล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบัน อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวตี อัมพปาลีอรหันต์ และองคุลีมาลอรหันต์ ทิ้งขันธ์ลาโลก ดับรูปดับนามแล้วไปสู่นิพพาน เวรกรรมที่ยังมีเหลืออยู่ในจิตเป็นอันถูกยกเลิกให้ผล (อโหสิ) ผู้ใดประพฤติได้เช่นนี้ กรรมชั่วที่เหลืออยู่ในจิตวิญญาณ ย่อมยกเลิกให้ผล ..... พิสูจน์ไหมครับ

(๒). ฟังผิด ฟังใหม่ได้ ผู้ตอบปัญหามิเคยพูดว่า คนมีศีลบริสุทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองจากเทวดา แต่พูดว่า คนที่มีอย่างน้อยศีล ๕ และมีธรรม ๕ สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา คำว่า มีธรรมอย่างน้อยได้แก่ มีเบญจธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ สติสัมปชัญญะ)

อนึ่ง การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของคนอื่น ผู้เข้าร่วมต้องได้รับอานิสงส์ของกรรมนั้นด้วย อาทิ บุคคลผู้ร่วมกุศลกรรมกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้รับอานิสงส์ของกุศลกรรมดังนี้

• อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีจิตบรรลุ โสดาบัน

• กาฬะ (บุตรชาย) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

• มหาสุภัททา (ลูกสาวคนโต) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

• จูฬสุภัททา (ลูกสาวคนที่สอง) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

• สุมนาเทวี (ลูกสาวคนสุดท้าย) มีจิตบรรลุ สกิทาคามี

• นางปุณณา (ลูกทาสเกิดในเรือน) มีจิตบรรลุ อรหันต์

ตรงกันข้าม บุคคลผู้ร่วมกระบวนอกุศลกรรม กับพระพระเทวฑัต ได้รับอานิสงส์ของอกุศลกรรมดังนี้

• พระเทวฑัต ถูกธรณีสูบไปเกิดเป็นสัตว์ อยู่ในอเวจีมหานรก

• พระเจ้าอชาตศัตรู (ศิษย์พระเทวฑัต) ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในโลหกุมภีนรก

ดังนั้นการช่วยเหลือบุคคลอื่น ผู้ให้การช่วยเหลือย่อมได้รับผลเป็นบุญจากผู้ถูกช่วยเหลือ และยังต้องรับผลบาป ที่เจ้ากรรมนายเวรของผู้ถูกช่วยเหลือ ได้ผูกพยาบาทไว้ แม้ความเป็นจริงกฎแห่งกรรมเป็นเช่นนี้ บุคคลผู้มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ต้องทำหน้าที่ให้ถูกตรงตามที่สังคมกำหนด แม้ว่าการช่วยเหลือนั้นได้ทั้งบุญและบาป แต่อานิสงค์ของบบุญมีมากกว่าบาป ผู้รู้ไม่เว้นประพฤติ ผู้รู้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ยังต้องประพฤติตนให้มีบุญคุ้มรักษา ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น อุทิศความดี อนุโมทนาความดี ฟังธรรม สั่งสอนธรรม ทำความเห็นให้ตรง) อยู่เสมอ

(๓). ผู้ใดพัฒนาปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาแบละจินตามยปัญญา) ย่อมรู้เห็นเข้าใจว่า การจองเวรผิดคนมีอยู่จริง แต่คนที่พัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) และเข้าถึงได้แล้ว ย่อมรู้เห็นเข้าใจว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่ทำให้เกิด ดังนั้นการจองเวร ย่อมมีเหตุมาจาก ผู้ถูกจองเวรเคยประพฤติเหตุเบียดเบียนผู้อื่นมาก่อน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อแม่ผมเสียไปประมาณสัก ๓และ๔ ปี (ผมอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย พ่อและแม่เสียที่เมืองไทย) ผมไม่ได้ปรนณิบัติพ่อแม่เท่าที่ควรหลังจากเผาพ่อและแม่ ผมได้เอากระดูกส่วนหนึ่งไว้บูชาและเป็นที่ระลึกถึง ผมเอาน้ำและอาหารไหว้อยู่เสมอทุกๆวันที่เจริญภาวนา ก็อุทิศผลบุญกุศลให้ และไปทำบุญที่วัดให้บ่อยๆ

แต่บางครั้งผมรู้สึกว่าจะเป็นการกักกันหรือ "ถ่วง" การดำเนินไปตามธรรมชาติของชีวิตพ่อแม่รึเปล่า ที่ผมเอากระดูกมาเก็บไว้ จนถึงขณะนี้ผมจะร้องไห้ พร่ำเพ้อ คิดถึงพ่อและแม่ตลอด จะมีผลเป็นไปในทางลบกับ "วิญญาน" พ่อแม่หรือไม่อย่างไรครับ และผมควรจะเก็บกระดูกไว้หรือจัดการอย่างไร

กราบขอบพระคุณ


ปล.ผมอายุ ๕๐ พ่อและแม่อายุ ๘๔ และ ๗๕

คำตอบ

หากจิตวิญญาณของผู้ล่วงลับ กับจิตวิญญาณของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีขนาดความถี่คลื่นจิตเป็นแบบเดียวกัน ผู้อยู่หลัง (บุตร) มีจิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้ล่วงลับย่อมได้รับสื่อแห่งความเศร้าหมองเป็นทุกข์นั้นด้วย

กระดูกถือว่าเป็นธาตุดิน มีแหล่งที่มาจากดิน บรรพบุรุษได้หยิบยืมธาตุดินมาใช้ประกอบเป็นรูปร่างกายชั่วคราว เพื่อให้จิตวิญญาณได้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบกรรม เมื่อหมดอายุการใช้แล้ว ผู้รู้นิยมส่งคืนสู่ดินแหล่งเดิม ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ให้สรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติแล้ว ควรนำอัฐิหรือกระดูกที่เผาแล้ว กลับคืนสู่ดิน (ฝังโคนต้นไม้) ตามภูมิลำเนาของบรรพบุรุษที่มีชีวิตอยู่ก่อนตาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีปัญหา 3 ข้อ เรียนถามนะครับ
1. ผมฟังเสียงธรรมของอาจารย์มาก็มากพอควร ได้ยินอาจารย์เคยกล่าวว่า
จิตจุติแล้วก็ไปเกิดใหม่ หาร่างใหม่อยู่ ผมจึงมีความสงสัยว่า
จิตเป็นจิตดวงเดิมหรือไม่ครับ
- หากใช่ จิตก็ไม่ได้ดับไปจริงหรือครับ เพราะมีการเกิดดับไปมาไม่จบสิ้น ไม่ได้ดับจริง จิตก็เป็นของเที่ยงหรือไม่ครับ
- หากไม่ใช่แล้วผลกรรมทั้งดีและไม่ดีของจิต ก็ไม่สืบต่อเนื่องไปยังจิตดวงใหม่หรือครับ
( คำถามอาจจะไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น แต่ผมก็ไม่เข้าใจให้ตรงตามหลักไตรลักษณ์)

2. การที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในภพปัจจุบันและปรารถนาจะเข้าถึงนิพพาน
เขาสามารถทำได้ในภพนั้นไหมครับ หรือต้องมีกฏเกณฑ์ในอดีตกรรมรองรับ
เช่นการสั่งสมบุญบารมีมา ผมมองว่าการเกิดเป็นความเสี่ยง หากเราได้ปฏิบัติอยู่ในศีลในภพนั้นก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ตกอบายภูมิ
เพราะความเสี่ยงยังคงมีอยู่อันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิในภพนั้นๆ
การตั้งอยู่ในศีลสามารถรับประกันในการมีสัมมาทิฏฐิได้หรือไม่ครับ
เพราะผมมั่นใจว่าหากเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีกและมีสัมมาทิฏฐิติดตัวทุกภพชาติ
จะเป็นหลักประกันในการไม่ตกอบายภูมิ จึงมีคำถามข้อที่ 3 ครับ

3. การปิดอบายภูมิ คือต้องถึงโสดาบัน ขึ้นไป แต่บุคคลที่ยังไม่ถึง
เราจะปฏิบัติตนอย่างไรในการที่จะทำให้สัมมาทิฏฐิเกิดกับเราทุกภพทุกชาติไป
จนสามารถเข้าถึงนิพพานได้ในที่สุด เพราะผมกลัวภพใดภพหนึ่งผมอาจจะหลง
และขาดเหตุตรงนี้ไปจนทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาได้ในระหว่างภพ

ป.ล. ในภพนี้ จิตใจผมปกติเป็นคนที่เข้าหาธรรมะได้ง่าย ผมชอบที่จะอ่านเรื่องราวธรรมะ
แต่ก็บางช่วงที่จิตใจผมหลุดไปจากธรรมะ คือไม่ได้ข้องแวะอ่านและนึกถึง
ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมกลับเข้ามาศึกษาและจริงจังอีกครั้ง เพราะเหตุได้ไป
พบกับการเสียชีวิตของคนรู้จัก ทำให้เกิดจิตคล้อยตามคิดได้ว่า ชีวิตคนเราไม่เที่ยง
อายุเพิ่ง 17 จากโลกไปไวเกิน บุญยังไม่ได้ทันสร้างมากเท่าที่ควรเป็น
ผมคิดไปแล้วเราจะมารอหวัง ให้มานึกถึงบุญในเวลาบั้นปลายคงไม่ทัน
ผมจึงกลับมานึกถึงธรรมะอีกครั้งและดูเหมือนจะดีกว่าทุกครั้งที่ผมทำมา
ผมอยากมีสัมมาทิฏฐิแบบตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่เสื่อมคลาย จนไปถึงทุกๆภพเลยครับ
ขอความเมตตาจากอาจารย์ด้วยนะครับ
กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ

(๑). เป็นจิตดวงเดิมที่ยังมีกิเลสสั่งสมอยู่ภายใน ปกติจิตมีธรรมชาติ เกิด-ดับ เร็วมาก ขณะที่จิตมีการเกิด-ดับ จิตสามารถทำงาน (รู้ คิด นึก ฯลฯ) ได้ จิตที่มีกิเลสสั่งสมอยู่ภายใน ย่อมดำเนินไปตามที่ธรรมชาติกำหนด (กฎไตรลักษณ์) ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นจิตที่ยังมีกิเลสเป็นอนัตตาด้วยตนเองที่เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก นั่น คือจิตที่มีกิเลสปรุงแต่งไม่มีอยู่จริง (อนัตตา) ผู้ใดอ่านจากตำราคัมภีร์ ผู้นั้นจะยังไม่สามารถรู้เห็นเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความเป็นอนัตตาของจิตได้

(๒). การเข้าถึงนิพพานสามารถทำได้ในภพที่ตนเกิด ทั้งนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ต้องมีบุญบารมีสั่งสมมามากพอ เมื่อได้ฟังธรรมแม้เพียงครั้งเดียว แล้วใช้จิตพิจารณาโดยแยบคาย ก็สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ ตัวอย่างเช่น พาหิยะ ได้ฟังพระพุทธะตรัสสอนในทำนองที่ว่า “ เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบสักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกสักแต่ว่ารู้สึก ” พาหิยะฟังแล้วโยนิโสมนสิการ แล้วทำให้จิตบรรลุอรหัตตผลทันที

ส่วนผู้ที่มีบุญบารมีสั่งสมมามากแต่ยังไม่พอ เมื่อฟังธรรมครั้งแรกไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้ แต่เมื่อได้ฟังซ้ำหรืออธิบายเพิ่มเติม ก็สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ ตัวอย่างเช่น ยสะ ลูกเศรษฐี ชาวเมืองพาราณสี ได้ฟังอนุปุพพิกถาจากพระโอษฐ์ ครั้งแรกจิตบรรลุโสดาบัน พอได้ฟังอนุปุพพิกถาซ้ำเป็นครั้งที่สอง จิตบรรลุอรหัตตผล แล้วได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นสงฆ์สาวก ที่ชื่อว่า พระยสะ

ผู้ใดสั่งสมบุญบารมีมาไม่มากพอ (เนยบุคคล) ต้องนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม จนเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว โอกาสเข้าถึงนิพพาน จึงมีได้เป็นได้

อนึ่ง ผู้ใดพัฒนาจิต จนสามารถกำจัดสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้แล้ว จึงจะเป็นหลักประกันได้ว่า ผู้นั้นจะไม่โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป จนกว่าจะนำพาชีวิตไปสู่พระนิพพาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2010, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์เคยกล่าวว่าเวลาใกล้ตาย จิตจะอ่อนกำลังลง
สิ่งที่เคยทำในอดีตเป็นประจำหรือเป็นปมอดีตทั้งดีและไม่ดี
จะถูกแสดงออกมาในรูปของคตินิมิตรหรือกรรมนิมิตร
ส่งผลให้จิตนำไปสู่ภพใหม่ติดตัวไป ช่วงที่คนเราใกล้ตาย (ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อเหตุปัจจัยภายนอกแล้ว เช่นการได้ยิน การเห็น...แต่หัวใจยังเต้นอยู่)
1. สมองคงยังสั่งงานได้อยู่เพราะหัวใจเต้น แต่ผมอยากทราบว่า จิตยังทำงานได้อยู่ไหมครับ

2. จะมีความเจ็บปวดอยู่ไหมครับ หากมี จิตไปกำหนดรู้ความเจ็บนั้น หรือ จิตไปรองรับรู้ความเจ็บนั้น สิ่งใดเป็นตัวกำหนดจิตให้กำหนดรู้หรือไปรองรับรู้ความเจ็บปวดครับ
ใช่สติสัมปชัญญะหรือไม่ครับ และ สติสัมปชัญญะ ไม่ได้มาจากสมองแต่มาจากจิตใช่ไหมครับ
และก็จึงวนกลับมาที่เดิมว่าอะไรเป็นสิ่งกำหนดจิตครับ
สมองและจิต แยกออกจากกัน อย่างไรครับ

3. สติสัมปชัญญะยังจะมีได้ในคนที่ใกล้ตายไหมครับ เพราะในทางวิทยาศาสตร์
คนใกล้ตายสมองจะไม่สามารถสั่งงานได้เหมือนเดิม ตอนนั้น สิ่งใดจะกำหนดให้เราคิดดี
ผมนึกถึงวันตาย ว่าในขณะใกล้ตายจิตผมจะไม่มีสิ่งยึดติดและไม่มีสมาธิ
ผมเลยหาสิ่งยึดติดคือการท่องบทสวด เช่น ธัมจักกัปปวัตนสูตร เป็นต้น
แต่ผมเกรงว่าสมองใกล้ตายจะไม่สามารถนึกถึงบทสวดได้
หรือใช้พลังงานที่เหลือน้อยนิดนึกพุทโธ ก็พอแล้วครับ
หรือแท้จริงแล้วจิตสามารถนึกถึงและท่องบทสวดนั้นได้เมื่อจิตใกล้ดับลงครับ

สรุปได้ง่ายๆว่าผมไม่เข้าใจความสามารถของจิตเมื่อใกล้ดับ
จะสามารถกำหนดรู้ถึงสิ่งยึดเหนี่ยวได้ไหมครับ
จิตยังทำงานได้อยู่ด้วยสิ่งใด และสิ่งใดเป็นตัวควบคุม
และเราสามารถควบคุมจิตได้ไหมในช่วงเวลาใกล้ตาย

ผมนึกถึงความตายทุกๆวัน เพราะไม่รู้จะเป็นเวลาใด
เวลาเดินหรือออกกำลังกาย หากว่ายน้ำผมจะท่องบทธัมมจักฯ และชินบัญชร หากวิ่งผมจะฟังเสียงธรรมะในมือถือ น้อยครั้งที่จะบริกรรมพุทโธ (เว้นแต่ตอนนั่งสมาธิ) ผมคิดว่าจะทำอย่างไรก็ได้ให้จิตสงบ ผมคิดและทำถูกแล้วใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณในความกรุณาอีกครั้งนะครับ

คำตอบ

ผู้ตอบปัญหามิได้กล่าวว่า “ จิตอ่อนกำลังลง ” แต่กล่าวว่า “ ลมหายใจอ่อนลง พลังของร่างกายลดน้อยลง น้ำออกจากร่างกาย เหลือเพียงธาตุดินกองอยู่ ”

(๑). จิตยังทำงาน เกิด-ดับ อยู่เป็นปกติ

(๒). ตราบใดที่จิตมีกำลังของสติอ่อน จิตจะยึดเอาเวทนา (ความเจ็บปวด) มาปรุงเป็นอารมณ์ ความเจ็บปวดหรืออาการเจ็บปวดจึงเกิดขึ้น

สติ หมายถึง ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม ส่วนสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตระหนัก สติและสัมปชัญญะมักใช้คู่กัน เรียกว่า สติสัมปชัญญะ ทั้งสองนี้เกิดขึ้นที่จิต มิได้เกิดขึ้นที่สมอง

คำถามที่ว่า อะไรเป็นตัวกำหนดจิต เป็นคำถามที่จัดอยู่ในประเภทที่ไม่ควรคิด จึงขอไม่ตอบ

อนึ่ง สมอง เป็นส่วนของรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม ทั้งสองแยกกันเมื่อจิตปฏิเสธที่จะอยู่กับร่างที่เป็นรูปธรรม จึงทิ้งร่าง (รวมถึงสมอง) ไว้เป็นซากศพอยู่กับธรรมชาติ เพื่อรอการสลายเน่าเปื่อยผุพัง

(๓). สติสัมปชัญญะ ยังมีได้ในคนที่ใกล้ตาย แต่กำลังของสติสัมปชัญญะของแต่คนมีไม่เท่ากัน

ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว ย่อมระลึกได้ในคำภาวนาพุทโธที่เคยภาวนา ในบทมนต์ธัมจักกัปปวัตนสูตรที่เคยสวด ในกุศลธรรมที่เคยทำ ฯลฯ จิตที่มีสติระลึกได้เช่นนี้ ย่อมมีพลังผลักดันจิตไปสู่สุคติได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร