วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 06:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 31, 32, 33, 34, 35, 36, 37 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีข้อข้องใจอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ ดิฉันเป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน คิดไปในอดีตและอนาคต จะมีสติอยู่กับปัจจุบันรวมในวันหนึ่งๆ คงไม่เกิน 1 ชั่วโมง พยายามแล้วพยายามอีก ก็คิดว่ายังไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร แต่ดีกว่าเดิมค่ะ แต่ตอนนี้ดิฉันประสบกับปัญหาที่หนักหนาสำหรับตัวเองคือ ชอบง่วงนอน ซึ่งมันเป็นอุปสรรคกับดิฉันอย่างมาก โดยเฉพาะตอนดิฉันนั่งฟังพระธรรมจากแผ่น CD ฟังตอนแรกๆ ก็มีสติตามรู้ดี แต่พอไม่นานตัวเองจะไม่รู้สึกเลยว่าหายไปไหนมา คิดว่าตัวเองคงนั่งหลับ
ดิฉันขอถามว่า "ดิฉันหลับใช่หรือไม่" อาจารย์มีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง

ขออาจารย์โปรดเมตตาดิฉันด้วย

คำตอบ
คนหลับคือคนที่มีจิตตกภวังค์ พลังงานของจิตไม่มีการเกิด-ดับ จึงไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นธรรมชาติของจิตของสัตว์โดยทั่วไป กระเพาะที่มีอาหารบรรจุอยู่มากขณะสูดลมหายใจเข้าสู่ร่างกายออกซิเจนส่วนใหญ่จะถูกขับลงสู่กระเพาะเพื่อใช้ในการร่วมย่อยอาหาร ออกซิเจนส่วนน้อยถูกขับเข้าสู่สมอง ทำให้สมองมีพลังงานอยู่น้อย อาการง่วงนอนจึงเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นควรแก้ไขตัวเองก่อนฟังธรรมต้องเดินออกกำลังกายหรือทำงานให้อาหารในกระเพาะถูกย่อยสลายให้หมดได้ก่อน ในการปรุงอารมณ์ ฉะนั้นควรทำใจให้มีศีล 5 คุม แล้วเจริญสติภาวนาก่อนนอนหลังตื่นนอน และทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก มีสัจจะปฏิบัติต่อเนื่องยาวนานได้แล้ว จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ อารมณ์ฟุ้งหลากหลายจะลดลง พลังงานจะถูกอนุรักษ์และมีมากขึ้น ความง่วงจะลดลง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนขอทราบ สถานที่ฝึกกรรมฐาน ที่อยู่ทางภาคใต้ค่ะ (บ้านอยู่ที่ จ.ภูเก็ต) อ่านหนังสือของอาจารย์ทราบว่าวัดร่ำเปิงมีสอน แต่คงไม่สะดวกไปถึงเชียงใหม่ค่ะ



คำตอบ
เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ เกี่ยวกับสถานที่ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทางจังหวัดภาคใต้ต้องขออภัยให้คำชี้แนะไม่ได้ หากมีเจตนาจะพัฒนาจิตตนเองแล้ว ไม่ต้องเดินทางไกลไปฝึกถึงภาคเหนือหรอก ขึ้นไปแค่ภาคกลางก็มีสำนึกให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน อยู่หลายแห่งอาทิในกรุงเทพฯ ที่มียุวพุทธิกสมาคม ที่วัดมหาธาตุฯ ที่วัดอินทรวิหาร ฯลฯสิ่งที่ควรคิดคือทุกคนเมื่อถึงเวลาที่จิตทิ้งขันธ์ลาโลกต้องเดินทางไกลยิ่งกว่านี้มาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องทุกข์ใจจะขอเล่าสั้นๆนะคะ แม่สามีขยันสร้างหนี้มาก เราเคยใช้หนี้จนหมดไปหลายรอบ ก็จะมีหนี้ใหม่มาอีก แม่สามีจะโทรมาขอเงินลูกชายเป็นประจำ สามีหนูก็พยายามหาให้ทั้งที่ไม่มีเงิน จนเดี๋ยวนี้สามีหนูมีหนี้บัตรเครดิต 10กว่าใบ ขณะนี้อยู่ขั้นตอนการประนอมหนี้ และรอขึ้นศาล แม่สามีก็ทราบเรี่องเพราะมีจดหมายส่งไปที่บ้านแม่อยู่ หลายสิบฉบับ แต่ทุกวันนี้แม่สามีก็ยังโทรมาขอเงินอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุผลที่ว่าขายของไม่ดี ไม่เงิน เลยต้องไปกู้เค้ามา สามีกลุ้มใจมาก เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้งเพราะไม่รู้จะทำยังไง ถ้าไม่ให้ก็กลัวบาป และ เป็นลูกอักตัญญู

1.ถ้าเราไม่ให้เงินแม่อีกจนกว่าเราใช้หนี้หมด เราจะบาปและอกตัญญูมั้ยคะ บาปจะติดตัวเราไปมั้ยคะ เพราะเวลาบอกว่าไม่มี แม่ก็จะร้องให้ บ่นว่ากลุ้มใจ อยากตายเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้คนอื่น

2.เราควรจะทำอย่างไรให้แม่ หยุดสร้างหนี้คะ

3.ชาติที่แล้วเราทำเวรกรรมอะไรไว้คะ และควรจะแก้ไขกรรมนี้ได้อย่างไรคะ



คำตอบ
(1) ตัวเองเป็นหนี้ ทุกข์มากกว่าคนอื่นเป็นหนี้พฤติกรรมที่ได้ประพฤติแล้ว เป็นการสร้างบาปให้กับตัวเอง ทำไมไม่หยุดสร้างบาปล่ะ การแสดงความกตัญญูต่อบุพการีมิใช่ต้องทำด้วยเงินเพียงอย่างเดียว ยังทำโดยวิธีอื่นได้อีก เช่น ประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่

มนุษย์มีความทุกข์เป็นสมบัติประจำตัว การเกิด การแก่ การตายเป็นทุกข์ประจำ การทำงานที่เป็นโทษ การเจ็บป่วย การเป็นหนี้ฯลฯ เป็นทุกข์จร ฉะนั้นเพื่อลดความทุกข์ ต้องทำร่างกายให้แข็งแรง ทำงานไม่ผิดศีลไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดธรรม และทำตัวเองให้ไม่เป็นหนี้ ด้วยการบริโภคใช้สอยมักน้อยพอให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระ สิ่งใดไร้ประโยชน์ไม่จำเป็นกับชีวิตต้องงดเว้น และสุดท้ายทำตัวเองให้เป็นคนสันโดษ ไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ปฏิบัติเพียงเท่านี้ทุกข์จรจะลดลงได้มาก

(2) ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง แม่ต้องศรัทธาและทำตามคำชี้แนะในข้อ (1) และบริหารจัดการชีวิตตนเองปัญหาหรือความทุกข์จึงจะบรรเทาลงได้

(3) ประพฤติคนเป็นผู้ทุศีลข้อ 2 เป็นต้นเหตุทำให้เสียทรัพย์ การเป็นหนี้เป็นอกุศลวิบาก เกิดมาจากเหตุที่ตนเองกระทำไว้ก่อน วิธีบริการจัดการหนี้กรรมต้องหยุดสร้างหนี้ใหม่ ชดใช้หนี้เก่าให้หมดไปเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นผู้มักน้อยและมีสาระ ทำบุญ(บุญกิริยาวัตถุ10) อยู่เรื่อย ๆ แล้วอุทิศบุญให้เจ้าหนี้ ทำความดีทุกรูปแบบให้ยิ่งใหญ่สุดท้ายพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้เข้าสู่นิพพานหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดเป็นอันยกเลิก (อโหสิ)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเรียนอยู่ที่ Nottingham University ครับ การมาอยู่ที่นี่ทำให้ผมศีลครบโดยอัตโนมัติ กินมื้อเดียวอีกต่างหาก บังเอิญด้วยว่ามาเจอเวบไซด์ของอาจารย์และฟังสิ่งที่อาจารย์กล่าว ทำให้ผมเริ่มนั่งสมาธิ ฝึกสติทุกเช้า จริงๆ แล้วผมอ่านหนังสือของอาจารย์มาก่อนสองเล่มแล้วล่ะครับ

ผมกำลังเรียนหัวข้อ สงคราม ผมก็เลยเสนออาจารย์ที่นี่ว่า ผมจะศึกษาเรื่องนี้ โดยผ่านกระบวนการคิดแบบพุทธ ปรัชญาทางพุทธ ซึ่งเขาสนใจมาก เพราะเขาอยากรู้วิธีคิดแบบตะวันออกด้วย ก็เหมือนกับผมเผยแผ่ธรรม แบบทางวิชาการไปด้วย เพราะผู้คนที่นี่ อะไรก็ตามถ้าไม่เป็นวิชาการ จะไม่ได้รับความสนใจ ก็เลยเรียนถามอาจารย์ ครับ เผื่อ อาจารย์มีมุมมอง ปรัชญาในทางพุทธ ที่เกี่ยวกับสงคราม ในมุมที่แตกต่างออกไป


คำตอบ
สงครามคือการรบกัน สงครามนอกแนวพุทธหมายถึง การรบกับผู้อื่น ใช้กำลังคนใช้กำลังสติปัญญาไอคิว ใช้กำลังอาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยมีจุดหมายอยู่ที่การเป็นผู้ชนะเหนือผู้อื่นแต่สงครามตามแนวพุทธคือการรบกันตัวเอง รบกับใจของตัวเอง รบกับกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจของตัว คืออนุสัย 7 ได้แก่ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภาวราคะ อวิชชา หรือรบกับกิเลสที่ผูกมัดใจคือสังโยชน์ 10 ได้แก่ สักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา กิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้มนุษย์และสัตว์ต้องเวียนตายเวียนเกิดไม่มีวันจบสิ้น การรบแนวพุทธมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเอาชนะใจตนเองคือตัดรากถอนโคน เผาทิ้ง กิเลสเหล่านี้ให้สูญสิ้นไปจากใจเป็นสงครามที่เอาชนะได้ยาก แต่ยังมีผู้เอาชนะใจตัวเอง เป็นวีรบุรุษที่แท้จริงได้ ดังตัวอย่างเช่นบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายได้ทำสงครามให้ชาวโลกดูเป็นตัวอย่างและเป็นผู้ชนะที่แท้จริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีทุกข์ที่เกิดจากการช่วยเหลือใครคนหนึ่งแต่ในขณะเดียวกับกลับเป็นการช่วยเหลือให้เค้าฆ่าใครอีกคน มันเป็นบาปที่ดิฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องเกิดกับตัวดิฉันเอง ดิฉันควรจะทำอย่างไร และแนะนำให้คนที่เค้ามาพึ่งดิฉันทำอย่างไร ดิฉันเหมือนตกนรกทั้งเป็น เป็นทุกข์มากรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเลวมาก รู้สึกผิดกับพ่อแม่ที่เค้าเลี้ยงดูเรามาอย่างดี รู้สึกผิดกับคนรักในสิ่งที่ดิฉันกระทำ ดิฉันไปปฏิบัติธรรมก็รู้สึกเหมือนดิฉันไม่คู่ควรกับสถานที่บริสุทธิ์ ดิฉันเข้าใจว่าดิฉันกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ก็ปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน มันกลัวไปหมด

เรื่องของเรื่องก็คือหญิงคนหนึ่งเค้าเปรียบเสมือนน้องสาวของดิฉันเค้าบอกว่าเค้าถูกรังแกจนเกิดการตั้งครรที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา ดิฉันได้ตกกระไดพลอยโจนให้ต้องเป็นเหตุให้เป็นผู้พาเค้าไปทำสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตของดิฉัน ดิฉันลองเสนอทางเลือกอื่นแล้ว แต่ดิฉันต้องเคารพในการตัดสินใจของหญิงคนนั้น หรืออีกนัยหนึ่งดิฉันกลับไม่กล้าพอที่จะยืนกรานในสิ่งที่ถูกต้อง ดิฉันได้ถูกกำหนดให้เป็นผู้นำเรื่องไปปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง รวมถึงบอกกล่าวถึงการตัดสินใจของหญิงคนนั้น จนสุดท้ายดิฉันได้กลายเป็นผู้พาเค้าไปจัดการในทุกๆอย่าง ดิฉันอยู่ในสถานะที่ต้องช่วยเค้า ดิฉันทิ้งเค้าไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ดิฉันคิดว่า ชาติก่อนดิฉันคงเคยกระทำกรรมเลวกับน้องเค้าไว้เค้าก็เลยให้ดิฉันต้องชดใช้ด้วยการตกนรกทั้งเป็นจากการช่วยเค้า แต่ดิฉันไม่ได้โกรธอะไรเค้าเพราะถึงยังไงเค้าก็เป็นเสมือนน้องสาวดิฉันซึ่งถ้าดิฉันไม่เป็นที่พึ่งให้เค้าดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตน้องเค้าเป็นเด็กดีและน่าสงสารในความคิดของดิฉัน คิดซะว่าเป็นกรรมเลวของดิฉันเอง ได้แต่อธิฐานว่าต่อไปขอให้ดิฉันกับน้องเค้าได้ร่วมประกอบกรรมดีร่วมกันแทน

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก หากดิฉันไม่มีวาสนาที่ท่านอาจารย์จะตอบคำถาม ดิฉันก็จะถือว่าเป็นกรรมของดิฉันเอง ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สำหรับคำสอนที่ดิฉันได้มีบุญได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่าน

ขออนุญาตขอให้ท่านอาจารย์ประสบความสำเร็จตามที่ท่านมุ่งหวังด้วยเทอญ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ตรงของชีวิตที่ผู้ถามเข้าถึงด้วยตัวเอง เป็นเรื่องดีที่คุณต้องระมัดระวัง อย่าให้เหตุการณ์เช่นนั้น กลับมาเกิดขึ้นกับตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง การกระทำของคุณถือได้ว่าเป็นผู้ร่วมกระบวนอกุศลกรรม เมื่อมีผู้อื่นทำกรรมเลวมาก่อนแล้ว ระลึกได้ว่าจะพาชีวิตไปสู่ความตกต่ำ จึงควรเลิกพฤติกรรมเลวแล้วหันมาสร้างพฤติกรรมดี ดังเช่น อัมพปาลีโสเภณีแห่งแคว้นวัชชี หรือสิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ ทั้งสองท่านเลิกหาเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพที่ไม่สะอาด (มิจฉาอาชีวะ) แล้วหันมาปฏิบัติธรรม จนอัมพปาลีบรรลุอรหัตตผลเข้าสู่นิพพานไปแล้ว และสิริมาปฏิบัติธรรมจนบรรลุความเป็นโสดาบันตายไปเกิดเป็นนางฟ้าโสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด (ปรนิมมิตวสวัตตี)

ดังนั้นหากความเห็นถูกเกิดขึ้นกับคุณได้เมื่อใด คุณจะชื่นชมและศรัทธาในนางพญาสิงห์ทั้งสองที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง และนำตัวเองเข้าประกอบกรรมดี ตามแนวทางที่ท่านทั้งสอง ได้ทำเป็นตัวอย่างให้ชาวโลกดู

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.การที่เราฝึกจิตให้มีสติรู้ปัจจุบันทุกเมื่อ นอกจากประโยชน์ในชีวิตทางโลกแล้ว เวลาตาย ซึ่งเป็นเวลาสำคัญที่ความคิดของจิต ณ เวลานั้น จะเป็นแดนเกิดต่อไป งงว่าหากเราอิ่มเอิบในบุญที่เราทำมา แล้วเราควรจะตั้งสติในบุญอันใดที่เราทำเล่า หากเราเป็นอัมพาต สมองไม่ทำงานหรือเป็นอัลไซเมอร์ เรามิเสียโอกาสได้ตั้งสติในสิ่งดีงามขณะตายหรือ เช่นนี้หมายว่าก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งของเราใช่ไหม แล้วสุดท้ายเราควรตั้งจิตอย่างไรดี แต่เวลาที่ยังไม่ตายเล่าจะตั้งจิตว่าขอเกิดเป็นชาย แล้วได้บวชในพุทธศาสนา และสามารถหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารได้ หรือ ไม่ต้องบวช เป็นชาย หรือหญิงก็สามารถหลุดพ้นได้ หรือปล่อยให้บุญกรรมพาไปเอง ตั้งจิตได้หรื่อไม่ว่าขอแค่โสดาบันก็พอ เกรงว่าขอสูงไป บุญมีไม่พอก็จะชวดทั้ง
วัฎฎสงสาร และโสดาบัน สู้ตั้งต่ำกว่าหน่อยอย่างน้อยได้โสดาบันก็ยังดี


2.สามารถตั้งจิตได้หรือไม่ว่า ชาติไหนๆก็ขอไม่พบคนนี้อีก หรือ ควรตั้งจิตว่าขอไม่ต้องพบคนที่มีข้อเสีย หรือ ทุศีลแบบนี้อีกต่อไปได้หรือไม่ ขอแบบนี้ค่อนข้างเปิดกว้าง ดีกว่าใช่หรือไม่ หากว่าคนนั้นเกิดทำบุญร่วมกับเรามาหลายอย่างในชาตินี้ ที่ขอไว้ก็ไปขัดกับ บุญที่ทำกันมาหรือไม่ หรือจะทำให้บุญกรรม ทำงานสับสน

3. การที่เรายังติดใจเอาความกับใครสักคน หากไม่ได้ชำระจิต ทำความเห็นให้ถูกต้องให้เรื่องมันจบ และไม่ถือสาหาความกับเขา ต่อไปแล้ว มันจะบันทึกไว้ในดวงจิต ตามติดเราไปทุกชาติ ทำให้ต้องมาพบมาเจอกันใช่หรือไม่ แต่ถ้าคู่กรณี ไม่รู้เรื่องว่าเราไม่ถือสาแล้ว ยังติดใจเรื่องเราอยู่ ก็ต้องมาเกิดเจอกันใช่หรือไม่


คำตอบ
เรือที่ขาดหางเรือแล่นไปไม่ตรงทาง เรือที่ขาดเข็มทิศแล่นไปผิดทาง ชีวิตที่ขาดสติดำเนินไปวกวนในวงกว้าง ไม่ต่างจากเรือที่ขาดหางเสือและขาดเข็มทิศ

(1) เวลาใกล้ตาย จิตระลึกได้ในบุญใด แล้วทำให้อิ่มเอิบพึงระลึกรู้อยู่กับบุญนั้น การระลึกที่เป็นสัมมาสติ สุคติย่อมเป็นที่หมายของชีวิตหน้า การระลึก (สติ) เป็นเรื่องของจิตมิใช่เป็นหน้าที่ของสมอง ฉะนั้นเป็นอัมพาตเป็นอัลไซเมอร์ หรือสมองไม่ทำงาน จึงเป็นเรื่องของความชรา ความเสื่อม ความชำรุด ของส่วนที่เป็นร่างกายไม่เกี่ยวกับจิต จึงไม่เสียโอกาสการมีสติของจิต

ส่วนเรื่องการเกิด การเจ็บป่วย การตาย มีต้นเหตุมาจากความรู้ไม่จริง (อวิชชา) ของจิต ทำให้จิตขาดสติสัมปชัญญะ ใครผู้ใดมีและใช้สติสัมปชัญญะกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากจิตได้ การเกิด การตาย การเจ็บป่วย จะไม่มีกับผู้นั้น ฉะนั้น ขณะยังมีชีวิตอยู่ ควรตั้งเป้าหมายว่าจะนำพาชีวิตให้พ้นไปจากการเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารแล้วทำเหตุให้ถูกตรงคือปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งถูกตรงตามธรรมแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดอนุสัยทั้ง 7 หรือสังโยชน์ 10 ให้หมดไปจากใจได้แล้วเป้าหมายที่ตั้งไว้จึงจะบรรลุผลได้

เรื่องการมีเพศเป็นชายหรือหญิงรวมถึงการบวชหรือไม่บวช ไม่สำคัญเท่ากับการประพฤติธรรมถูกตรงตามธรรมแห่งการหลุดพ้น และสามารถทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต้น (โสดาบัน) ได้ จึงจะเป็นที่แน่ใจได้ว่าโอกาสนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารในวันข้างหน้ามีได้แน่นอน

(2) บุคคลสามารถตั้งเป้าหมายของจิตได้ ด้วยการสร้างมหาทาน เช่นทำบุญเลี้ยงพระ 7 วัน แล้วอธิษฐานตามจิตปรารถนาหลังจากนั้นรักษาศีล 5 ให้มีอยู่กับใจ และสุดท้ายต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือทำศีลให้บริสุทธิ์ มีศรัทธาเต็มร้อยในธรรมวินัยของพระพุทธะ มีการสละบริจาคให้ยิ่งใหญ่ และสุดท้ายสร้างปัญญาพุทธะ (ปัญญาเห็นแจ้งในสรรพสิ่ง) ให้เกิดขึ้น เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาประพฤติได้ผลถูกตรงตามนี้ โอกาสนำพาชีวิตหน้าไปพบกับคนที่มีอธรรม (ข้อเสีย) หรือทุศีลย่อมไม่เกิดขึ้นแม้จะเคยร่วมบุญ-บาปกันมาแต่ชาติปัจจุบันทำกรรมไว้ต่างกัน เมื่อบุญให้ผลย่อมไม่พบกันอีกตามจิตปรารถนา เหตุเพราะทำกรรมที่ให้ผลเป็นบุญไว้ต่างกัน การพบและอยู่ร่วมกับคนทุศีลย่อมไม่เกิดขึ้นได้

(3) ผู้รู้จริง รู้ว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ฉะนั้นการที่ยังติดใจเอาความกับใคร เป็นการผูกชีวิตไว้กับความพยาบาท (เวร) เมื่อใดกรรมที่เป็นเวรแสดงผล ชีวิตที่มีเวรผูกติดย่อมได้รับผลเป็นความขัดข้อง เดือดร้อน เป็นทุกข์ ฉะนั้นการให้อภัยคือการไม่ผูกเวรไว้กับผู้ให้อภัย แม้จะเกิดมาพบกันอีก และผลของกรรมที่เป็นเวรให้ผลผู้ถูกจองเวร ยังต้องรับผลของกรรมนั้น ต้องพบกับอุปสรรคและปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับทำให้ชีวิตวิบัติ ดังตัวอย่างคู่เวรกรรมระหว่างพระพุทธะผู้มีศีล ถูกอดีตและปัจจุบันพระเทวทัตจองเวร แต่ละภพที่เกิดมาพบกัน พระโพธิสัตว์ยังต้องชดใช้หนี้เวรกรรมเรื่อยมา เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังถูกพระเทวทัตตามราวีในที่สุดพระเทวทัตลงไปเกิดเป็นสัตว์เสวยทุกข์อยู่ในนรก ส่วนพระพุทธะนำพาชีวิตไปสู่วิมุตติสุขในนิพพาน

ฉะนั้นเรื่องจริงที่ยกมาเป็นอุทาหรณ์จึงสอนให้รู้ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรตอบกลับ คือหนี้เวรกรรมหมดไปด้วยการชดใช้และไม่ก่อหนี้เวรกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์รู้เรื่องน้ำท่วมโลกหรือไม่ครับ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเมืองไทย มากน้อยขนาดไหนครับ ผมเห็นพระหรืออาจารย์หลายท่านบอกว่าไม่เกิน10ปี 6ปี 5ปี 2ปีบ้าง เมืองไทยจะหนาวหิมะตกบ้าง คลื่นยักษ์ สูงหลายเมตรบ้าง แผ่นดินไหว น้ำท่วม ตามความเห็นของอาจารย์ เห็นว่ายังไงบ้างครับ จะได้รับมือถูก และเร่งฝึกสติมากๆ

คำตอบ
จากประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหา เชื่อเต็มร้อยว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมที่มีธรรมอยู่ในจิตเป็นความจริงแท้ ดังที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า “ ธัมโม หเว รักขติ ธัมมะจารี ” ดังนั้นใครผู้ใดเชื่อในความจริงที่พระพุทธะได้ตรัสไว้ ควรประพฤติธรรม (สมถ-วิปัสสนากรรมฐาน) จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการรับมือกับความวิบัติของโลกที่ถูกต้องตามธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพ่อหนูยังรักษาวินัยในการปฏิบัติเช่นเดิมค่ะ คือแนวหลวงพ่อจรัญ แต่เมื่อวานนี้ท่านบอกว่าท่านเพิ่มช่วงเช้าอีก คือนั่งสมาธิอย่างเดียว ตามหนังสือ เคล็ดลับการฝึกจิต โดยท่านพระมหาศิริ กนตสิริ สำนักปฏิบัติธรรมศิริธรรม (ถ้าชี) ที่ได้จากเพื่อน กล่าวสั้นๆ คือ เช้า สมถะ (ท่านว่าอย่างนั้นค่ะ) เห็นว่านั่งสักพักแล้วกำหนดจิตที่ศีรษะแล้วแผ่ลงมาที่ลำตัว จะช่วยรักษาอาการป่วยได้ (หนูรายงานเท่าที่จำได้นะคะ) และเย็นก็เดินจงกรม นั่งสมาธิยุบหนอ พองหนอ อย่างละ 1 ชั่วโมง จึงขอถามอาจารย์ว่า สมควรหรือไม่คะที่เช้าปฏิบัติแนวหนึ่ง เย็นอีกแนวหนึ่ง

เรื่องครูอาจารย์ที่ท่านอาจารย์แนะนำนั้น กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ ลองติดต่อที่วัดมหาธาตุแล้ว ทราบว่าท่านพระมหาบุญชิตมีภารกิจมากอีกทั้งเป็นพระผู้ใหญ่ เกรงว่าคงจะเป็นการรบกวนเวลาของท่านที่ยุ่งอยู่แล้วและเข้าถึงยาก อยากให้คุณพ่อไปพบครูอาจารย์ที่อาจารย์แนะนำนะคะ (คุณพ่อท่านเคยบอกว่า อ่านและทำเองตามหนังสือก็ได้ ไปพบพระอาจารย์ก็ไม่รู้จะคุยถามอะไร) อาจารย์พอจะแนะนำได้ไหมคะ ท่านอ่านเยอะมากค่ะพวกหนังสือแนวปฏิบัติหลากหลายแนว เกรงว่าท่านจะสับสนค่ะ

ขอรายงานผลการปฏิบัติของหนูนะคะ เดินนั่งอย่างละชั่วโมง แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีสติเท่าไร บางทีสติไม่จับยุบพองแต่แวบไปคิดเรื่องอื่นเอง มีบ้างทีรู้สึกว่าจิตสงบ แต่ก็แว้ปเดียวเท่านั้นค่ะ บางทีนั่งๆ อยู่ก็รู้สึกว่าผงะจะเอนไปข้างหลังวูบหนึ่งค่ะ รู้สึกฟุ้งซ่านกว่าช่วงแรกๆ ที่เริ่มปฏิบัติ จึงขอคำแนะนำในการปฏิบัติจากท่านอาจารย์เพิ่มด้วยค่ะ ส่วนเรื่องเห็บสุนัขตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ เนื่องจากซื้อยามาฉีดให้พวกเขา (ฉีดเกือบทุกเดือน สงสารเหมือนกันค่ะ เขาก็เจ็บ ไม่ทราบว่าบาปหรือไม่คะ การที่เราไม่อยากให้เขาป่วยแบบนี้)

สุดท้ายขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่ท่านอาจารย์ได้สร้างมา ขอให้คุ้มครองอาจารย์ให้ปราศจากโรคาพยาธิทั้งหลายและอยู่เป็นกระจกส่องใจลูกศิษย์ ซึ่งยังอ่อนในทางธรรมตราบนานเท่านาน

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ปฏิบัติธรรมแนวไหน ไม่สำคัญเท่ากับ ปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องได้ผลเป็นความตั้งมั่น (สมาธิ) ของจิต และต้องได้ผลเป็นความเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) เกิดขึ้นกับจิต

ดังที่ได้บอกเล่าไป ตอนเช้าปฏิบัติธรรมแล้วจิตตั้งมั่นถือว่าถูกต้อง ตอนเย็นปฏิบัติธรรมในอีกแนวทางหนึ่ง และให้ผลเป็นความตั้งมั่นของจิต ถือว่าถูกต้อง ซึ่งทั้งสองวิธีของการปฏิบัติ เป็นเพียงสมถกรรมฐาน ยังไม่ถูกตรงตามแนวทางของพระพุทธะ คือต้องปฏิบัติธรรมแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนากรรมฐาน) แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งมากำจัดกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธ์สันดานคืออนุสัยทั้ง 7 หรือกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารคือสังโยชน์ทั้ง 10 ให้หมดไปจากใจ จึงจะถูกตรงและเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม

ส่วนเรื่องปฏิบัติธรรมตามที่ชี้นำทางไว้ในหนังสือ ผู้ใดมีบุญบารมีสั่งสมมามากพอ สามารถปฏิบัติและเข้าถึงธรรมได้ด้วยตัวเองแต่หากบุญบารมีสั่งสมมาไม่มากพอ จะทำให้ปฏิบัติหลงทาง เสียเวลาเนิ่นนาน กว่าจะบรรลุอมฤตธรรมของพระพุทะ ดังตัวอย่างของพระมหาสิวะผู้รู้ธรรม สอนศิษย์จนบรรลุอรหัตตผลมาเป็นจำนวนมาก แต่กว่าตัวเองจะเข้าถึงธรรมได้ ต้องนำตัวเองเข้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่ายาวนานถึง 30 ปี จึงบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นสูงสุดได้ และในทางตรงข้ามมหาวาจกอุบาสกผู้รู้ธรรม นำตัวเองไปปฏิบัติธรรมตามลำพังไม่มีใครผู้ใดเป็นครูชี้แนะ ปฏิบัติธรรมยาวนานถึง 50 ปี ยังเข้าไปถึงธรรมของพระพุทธะ ตายแล้วยังต้องไปเกิดใหม่เป็นเดรัจฉานอีกด้วย

ส่วนเรื่องที่ผู้ถามปัญหาปฏิบัติธรรมแล้วจิตยังไม่สงบยังเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน ต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องยาวนาน และนอกจากที่เคยแนะนำไว้ในข้อ 584 ต้องปฏิบัติถูกตรง และยังขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติ เป็นฐานรองรับความสำเร็จในมรรคผลของการปฏิบัติด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. นั่งกรรมฐานจำเป็นต้องสวดบูชาพระกรรมฐานทุกครั้งหรือไม่ และพระกรรมฐานหมาย ถึงใครคะ ?

คำตอบ
คำว่ากรรมฐานหมายถึงวิธีฝึกอบรมจิตซึ่งแบ่งวิธีการฝึกได้เป็นสองอย่าง คือสมถกรรมฐานหมายถึงวิธีฝึกจิตให้มีสติผลที่เกิดตามมาคือความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต อย่างที่สองคือวิปัสสนากรรมฐาน หมายถึงฝึกจิตที่สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้วให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง

สมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปทำจิตตภาวนาอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ท่านมิได้แนะนำว่า ต้องสวดบูชาพระกรรมฐานท่านสอนวิธีการฝึกจิต ด้วยคำสอนสั้น ๆ 5-10 นาที แล้วลูกศิษย์แต่ละองค์ต้องไปฝึกกันเอาเองในบทสวดมนต์ทั้งหลาย มีบทสวดมนต์บางบทระบุถึงการพิจารณาการบริโภคใช้สอยปัจจัย 4 (ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ) บางบทให้พิจารณาอวัยวะทั้ง 32 ว่า เป็นของไม่สะอาด (ทวัตติงสาการะปาฐะ) บทสวดมนต์บางบทให้พิจารณา การแก่ การเจ็บไข้ การตาย การพลัดพราก การทำกรรม ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มนุษย์ทุกรูปนามต้องพบ (อภิณห ปัจจเวกขณะ 5) ฯลฯ บทสวดมนต์ต่างๆ เหล่านี้ สวดแล้วทำให้จิตสงบได้พิจารณาตามด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานบางท่านจึงบอกให้ศิษย์สวดบูชาก่อนปฏิบัติกรรมฐานด้วยก็ได้

ถามว่าพระกรรมฐานคือใคร ต้องตอบว่า คือจิตที่จดจ่อและระลึกรู้ (สติสัมปชัญญะ) อยู่กับการพิจารณาบทสวดมนต์ขณะทำการเจริญมนต์นั่นเอง

2. ทำบุญ ถือศีล 5 สวดมนต์ไหว้พระ และนั่งกรรมฐาน ภาวนา แม้ว่าจะไม่ได้ฌานอภิญ ญา แต่บุญส่งให้เป็นเทวดานางฟ้า หากผู้นั้นไม่ต้องการเสวยบุญในสวรรค์ แต่ต้องการ เกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติต่อไป จะต้องทำอย่างไรบ้างคะ เพราะเคยทราบมาว่า หากทำ บุญแล้วปิติในบุญกุศล (ทำบุญโดยมีกิเลสคืออยากทำบุญ) จะเป็นการสร้างภพสร้าง ชาติให้ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า แต่ถ้าทำบุญโดยไม่หวังผลในบุญกุศลนั้น ๆ จะเป็น การตัดภพตัดชาติ


คำตอบ
ปรารถนาเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นการสร้างภพชาติได้เหมือนกัน ทำบุญโดยไม่หวังผลบุญยังไม่ถือว่าเป็นเหตุให้ติดภพชาติได้ เพราะเมื่อใดที่บุญให้ผลแล้ว ผู้กระทำสิ่งที่เป็นบุญ ยังต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ดังนั้นการทำบุญเพื่อต้องการติดภพชาติต้องทำบุญด้วยการทำจิตตภาวนาซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดเจริญจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว นำปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดอวิชชาซึ่งเป็นกิเลสตัวสุดท้ายในอนุสัย 7 หรือเป็นกิเลสตัวสุดท้ายในสังโยชน์ 10 ได้เมื่อใดแล้วจึงจะสามารถตัดภพชาติได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.หลังจากที่ได้ทำบุญ หรืออนุโมทนาบุญแล้วรู้สึกสะท้านขึ้นภายในกายนั่น เป็นเพราะกระแสของบุญหรือเป็นเพราะเราปรุงแต่งขึ้นมาเองครับ

2.กระผมได้พบพ่อแม่ครูบาจารย์ และหลังจากที่ท่านได้แนะนำสั่งสอน ตัวกระผมเองก็ได้น้อมนำคำสั่งสอนนั้นมาปฏิบัติ ถือได้ว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันรึยังครับ หรือว่าต้องขออนุญาตจากท่านก่อนจึงจะสามารถเป็นศิษย์ของท่านได้

3.หลังจากที่กระผมได้ทำบุญไม่ว่ารูปแบบใดผมมักที่จะอธิฐานในใจเสมอว่า"ขอให้ผลบุญนี้เป็นแรงนำส่งให้เข้าถึงพระนิพพาน"(เหมือนเป็นแรงผลักดันขึ้นมาภายในใจให้อธิฐานออกไป) ที่เป็นเช่นนี้ใช่เป็นเพราะสัญญาเก่าที่เคยปรารถนาเป็นสาวกภูมิหรือไม่ครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง และขออนุโมทนาบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วนี้และต่อไปในอนาคตกาลข้างหน้า

คำตอบ
(1) สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นผลที่เกิดจากการทำบุญแรงกรรมที่เป็นบุญเข้ากระทบจิต ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ส่งผลต่อเนื่องถึงร่างกายให้เกิดเป็นอาการสะท้าน

(2) ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์ แล้วศิษย์นำมาปฏิบัติได้ถูกต้อง มีปฏิปทาตรงตามที่ครูสอน ถือได้ว่าเป็นครูเป็นศิษย์กันแล้วโดยพฤตินัย ผู้ตอบปัญหาเคยได้สนทนาธรรมกับพระป่ารูปหนึ่งท่านตอบปัญหาได้ถูกตรงตามธรรมของพระพุทธะ ทำให้ผู้ตอบปัญหาเกิดศรัทธาจึงของฝากตัวเป็นศิษย์ พระป่าตอบว่า “ ไม่รับเพราะเรามีอาจารย์องค์เดียวกันคือพระพุทธเจ้า ”

(3) ตอบว่าใช่ เป็นสัญญาเก่าที่ฝังอยู่ในดวงจิตจะเข้าถึงพระนิพพานได้ ต้องปฏิบัติจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจ คำอธิษฐานคือความตั้งจิตปรารถนาจึงจะเป็นจริงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันกราบขอบพระคุณในความกรุณาตอบคำถามของดิฉัน เนื่องด้วยดิฉันมีข้อสงสัยอยากเรียนถามต่อจากคำถามข้อที่ 612 คือ หากเมื่อถึงเวลาที่ดิฉันต้องการมีบุตร ไม่ทราบผลกรรมของดิฉันมีโอกาสเกิดแก่ครอบครัวของดิฉันในอนาคตหรือไม่ มีวิธีการป้องกันไม่ให้ผลกรรมของดิฉันตกแก่ผู้อื่นหรือไม่ เนื่องจากทั้งแฟนดิฉันและลูกของดิฉันในอนาคตเค้าไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยในการกรรมที่ดิฉันก่อ(ดิฉันได้สารภาพเรื่องนี้ให้แฟนของดิฉันทราบแล้ว เนื่องจากดิฉันรู้สึกว่าเค้าควรรู้และตัดสินใจว่าดิฉันยังมีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นภรรยาและแม่ของลูกเค้าในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่ ซึ่งเค้าได้ให้อภัยและเข้าใจดิฉัน รวมถึงได้ให้กำลังใจดิฉันเป็นอย่างดี)


คำตอบ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่า กรรมที่เคยทำในห้วงเวลาที่ผ่านมา (อดีต) จะให้ผลเมื่อไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต้องลงตัว เพื่อไม่ให้เหตุปัจจัยที่เป็นอกุศลลงตัว ฉะนั้นต้องทำกรรมดีในปัจจุบันให้ยิ่งใหญ่ ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วขอความเมตตาจากผู้ร่วมปฏิบัติฯ อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณ เมื่อใดเจ้ากรรมนายเวรพอใจยกเลิกการจองเวร คุณจะไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีก จึงจะหลุดพ้นจากหนี้เวรกรรมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขออนุญาตฝากตัวเป็นศิษย์นะคะ ปรกติจะปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ได้พาลูกชาย 2 คน ไปปฏิบัติธรรม เมื่อวันที่ 19-20 ตค. ที่ผ่านมาเพราะเป็นวันเกิดของลูกชาย แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้โดนตำหนิว่า จะเป็นบาปมากกว่าเป็นบุญ เพราะที่วัดถือศีล 8 ลูกชายยังเล็กนัก แยกนอนต่างหากกับฝ่ายผู้ชายไม่ได้ (8 กับ 10 ขวบ) พ่อเขาก็มีภรรยาใหม่ไปแล้ว จึงต้องไปกันลำพังแม่ลูก เห็นว่าลูกก็เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มมีคำถามแปลกๆ(ที่จริงเขาเป็นลูกติดพ่อเขามาแต่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจึงผูกพันกันมาก) เขามาปรึกษา แต่เขาไม่ได้คุยให้พ่อเขาฟัง ดิฉันเองอยากให้ลูกมีธรรมะเป็นเกราะคุ้มกันเขาจากภัยอันตรายในสังคมเสียแต่ตอนนี้ ที่ยังสามารถกล่อมเกลาเขาได้ เขาก็ตั้งใจดีนะคะ ถ้าบาปดิฉันก็คิดว่าคุ้มกัน แต่ครั้งหน้าจะคิดไตร่ตรองให้ดีกว่านี้ค่ะ

ดิฉันจะขอความกรุณาอาจารย์ ช่วยแนะนำดังนี้ค่ะ
ดิฉันมีลูกชายคนเล็กอีกคน อายุ 1 ขวบ 7 เดือน เขาเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติ คือตัวเขาเรียกว่า ผี ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือเปล่า เริ่มแรกเขาพบที่ต้นสักแถวบ้าน เขาก็จะมองไปแล้ว บอกว่า ผี ผี ถ้าเดินไปใกล้ ก็จะหัวเราะ เหมือนเล่นกัน แล้วทักว่าผีทำไรอยู่ บางครั้งก็เล่นจ๊ะเอ๋กัน เขาจะพูดว่า เอายัง อยู่ไหน แล้วหัวเราะคิกคัก
และยังมีที่ซอยหลังบ้าน แต่ที่นี่เขาไม่เล่นและแสดงอาการกลัว และเวลานี้เขาก็พูดถึง ผี เวลาอยู่ในบ้าน วันนี้กล่อมเขานอน เขาบอกว่า กลัวผี ใจเขาเต้นแรง เหงื่อออกจนเสื้อชื้น ร้องให้กอดแน่นๆ จึงพาเขามาจุดธูป สวดมนต์จึงกลับไปนอนได้

อยากเรียนถามอาจารย์ว่า เขาเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นใช่มั้ยคะ แล้วคืออะไร และเราจะต้องปฏิบัติยังไงจึงจะเหมาะสม จะทำยังไงให้ลูกไม่ต้องสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ (ไม่ทราบว่าถ้าเขาเห็นจริงๆ จะเป็นเรื่องดี หรือไม่ดี)

ปัจจุบันเวลาไปทำบุญก็จะเชิญกายทิพย์ เทวดา ทั้งในบ้านและแถวบ้านไปทำบุญด้วย เวลาทำบุญก็จะตั้งจิตอุทิศให้ สวดกรณียเมตตาสูตร เพราะได้อ่านคำแนะนำของอาจารย์มาบ้างว่าให้เราเป็นเพื่อนกับกายทิพย์ไว้

ขอแสดงความเคารพอย่างสูงและนับเป็นบุญอันประเสริฐ ที่ได้พบกัลยาณมิตรอย่างอาจารย์ ในภพที่เต็มไปด้วยสัตว์ที่ส่วนใหญ่ไม่เจริญทางจิต ดิฉันจะตั้งใจประกอบกุศลต่อไป


คำตอบ
ตอบว่าใช่ ลูกเห็นสิ่งที่แม่ไม่เห็น สิ่งนั้นคืออมนุษย์ที่มีกายทิพย์ ลูกเห็นแล้วเกิดอาการหวาดกลัวเป็นเรื่องไม่ดีแม่ต้องทำบุญแล้วอุทิศให้กับอมนุษย์ที่ลูกเห็น อุทิศให้บ่อย ๆ จนกระทั่งอาการหวาดกลัวของลูกจะหมดไป ส่วนอมนุษย์ที่ลูกเห็นและเล่นจะเอ๋กันเป็นเรื่องดี ที่อมนุษย์มาเล่นเป็นเพื่อนลูก แม่ต้องอุทิศให้เขาเช่นกันเป็นการตอบแทนความดีที่อมนุษย์มีให้แก่ผู้เป็นแม่และลูกเวลาแม่จะไปทำบุญที่ไหน ชวนเขาเหล่านั้นไปร่วมทำบุญด้วย เป็นสิ่งดีทำถูกแล้วและจงทำต่อไปเรื่อย ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันใคร่ทราบคำตอบ เพื่อให้หายสงสัยดังนี้คะ ในกทม แห่งหนึ่ง มีหญิงนุ่งขาวห่มขาว รับนั่งทางในดูอดีตชาติ เพื่อแก้กรรมกับเจ้ากรรมนายเวร วิธิการคือ เขาให้เรานั่งหลับตาต่อหน้าเขา ขณะที่เขาก็นั่งสมาธิประมาณสัก 10-15 นาที แล้วก็ให้ลืมตา เขาก็เช่นกันก็จะเล่าให้ฟังว่าเราเคยเกิดเป็นทหารบ้าง ฆ่าข้าศึกไทย พม่า เจ้ากรรมนายเวรเขาจะยกโทษให้ ถ้าทำบุญอุทิศให้เขา ซึ่งก็ได้แก่ ทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน อะไรทำนองนี้ โดยเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 500 บาท ดิฉันเคลือบแคลงว่าหากเขาสามารถรู้ได้จริง คนที่ได้ถึงจุดนี้คงไม่ปรารถนาเงินทองมากมายขนาดนั้น หรือ เขายังละกิเลสไม่ได้หมดสิ้น และที่เขารู้อดีตชาติได้รู้จริงละหรือ หากจริงได้ก็ดี เราก็จะได้ทำบุญอุทิศตัดกรรมกันไป เพียงแต่ต้องเสียเงินครั้งละ 500 บาทก็มากอยู่ เกรงแต่ว่าหากไม่ใช่เราจะเสียเงิน เสียเวลา เอาเงิน 500 บาทไปทำกุศลอื่นได้ประโยชน์มากกว่า หากถูกหลอก บุญที่ดิฉันอุทิศไปก็ยังอยู่กันดิฉันใช่ไหม เพียงแต่บุญหาตู้ไปรษณ๊ย์ลงไม่ได้ ก็กลับมาหาเราอยู่ดี

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาเมตตา

คำตอบ
ผู้ใดเข้าฌานได้ จะสามารถเห็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดในอดีตด้วยตาทิพย์ แต่ยังถือว่าเป็นปุถุชนที่กิเลสยังมีอำนาจอยู่เหนือใจ การเรียกค่าธรรมเนียมจากผู้ไปขอใช้บริการจึงเป็นเรื่องปกติของคนที่มีความเห็นผิด

สรรพสัตว์รวมถึงมนุษย์ที่ยังต้องเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ไม่มีสัตว์ใดปลอดจากหนี้เวรกรรม ฉะนั้นผู้รู้จึงไม่ปลดหนี้เวรกรรมด้วยวิธีที่บอกเล่าไป เพราะจะทำให้เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา และปลดหนี้ได้ไม่หมด แต่ผู้รู้ใช้วีปลดหนี้เวรกรรมดังต่อไปนี้

1. ยอมรับความจริงว่าตัวเองได้ก่อหนี้ไว้ และยอมชดใช้หนี้เวรกรรมเมื่ออกุศลกรรมตามทัน
2. ทำตัวเองให้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร แทนหนี้เวรกรรมที่ตนก่อไว้แต่อดีต
3. หยุดสร้างบาป แต่ทำบุญให้ยิ่งใหญ่ จนหนี้เวรกรรมตามไม่ทัน
4. พัฒนาจิตจนเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (ดับรูป-ดับนาม)ได้แล้วหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดเป็นอันยกเลิก

อนึ่งการเสียเงิน 500 บาท เป็นค่าใช้บริการจากเขา ไม่ถือว่าเป็นการทำบุญ แต่ถ้านำเงิน 500 บาทไปใช้

ประโยชน์ให้ถูกตรงตามบุญกิริยาวัตถุ 10 จงจะถือได้ว่าเป็นการทำบุญ และเมื่อมีบุญแล้วจึงจะสามารถอุทิศบุญให้แก่สรรพสัตว์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ปฏิบัติธรรมทุกวัน(ประมาณ 2 ปี) แต่ทำไมมีปัญหาเรื่องเงินตลอด เหมือนชีวิตจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ รู้ทั้งรู้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ก็มีปัญหาเรื่องปากท้องแทบทุกครัวเรือน

2. อธิษฐานจิตให้มีทุนทรัพย์ มีแรงกาย แรงใจ ที่จะสร้างบุญบารมี และปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างบุญบารมี และขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ดิฉันขอมากไปหรือเปล่าคะ จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

3. ชีวิตในปัจจุบันนี้มีความสุข กว่าแต่ก่อนเมื่อได้รู้จักและปฏิบัติธรรม เหมือนว่าดิฉันค้นพบทางสว่างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะก้าวพ้นและถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ บางครั้งก็ท้อทำอย่างไรจิตใจถึงจะเข้มแข็งคะ



คำตอบ
(1) ชีวิตที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ชีวิตที่มีปัญหาเป็นผลเกิดมาจากเจ้าของชีวิตมีบาป (อกุศลวิบาก) ตามให้ผล และผู้ปฏิบัติธรรมมิได้หมายความว่า ผู้นั้นเข้าถึงธรรมปฏิบัติธรรมมายาวนานถึงสองปี มิสามารถทำให้บาปหมดไปจากใจได้ ตัวอย่าง มหาวาจกอุบาสก ปฏิบัติธรรมยาวนานถึง 50 ปี ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรม เหตุเป็นเพราะไม่มีกัลยาณมิตรมาเป็นผู้ชี้ทางปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องได้ ตายแล้วจึงต้องพาชีวิตไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติได้ถูกตรงและมีบุญเก่าส่งผล มรรคผลแห่งธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ อุปสรรคปัญหาจะลดน้อยลงจนกระทั่งหมดไปได้เมื่อบรรลุนิพพาน

(2) อธิษฐานอย่างไรสามารถตั้งความปรารถนาได้ทั้งนั้น แต่มีเงื่อนไขอยู่ที่ว่า หลังจากอธิษฐานแล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรง เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว การอธิษฐานจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้

(3) ประสงค์ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ต้องสร้างเหตุให้ถูกตรงด้วยการเจริญพละ 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา)อยู่เสมอทุกขณะตื่น

คำว่า “ เจริญ ” หมายถึงทำให้เกิดมีขึ้นหรือทำให้ดียิ่งขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. กำลังตัดสินใจว่าจะมีลูกดีหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีลูกก็คือการที่เราไม่ต้องสร้างห่วงขึ้นมา แต่มีคนให้เหตุผลที่ดีของการมีลูกว่า เป็นการช่วยให้โอกาสดวงวิญญาณที่จะมาสร้างบุญกุศล ถ้าเราไม่มีลูกจะเป็นการขัดขวางเค้าไหมคะ ทั้งๆที่สถานะของครอบครัวมีความพร้อมที่จะเลี้ยงดูเด็กที่เกิดมาได้

2. พอคนที่ตายไปวิญญาณจะติดอยู่ในรูปเดิมคือหน้าตาเหมือนเดิมใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ณ วันที่ตาย แล้วสัตว์เดรัจฉานจะติดอยู่ในรูปเดิมด้วยรึเปล่า อย่างเป็นหนอนก็ยังเป็นหนอนอยู่ เป็นมดก็ยังเป็นมดอยู่ ถ้าไม่ติด แล้วทำไมถึงไม่ติดแล้วเขาจะอยู่ในรูปไหนค่ะ

มีเรื่องจะขออนุญาตอาจารย์ค่ะ เนื่องจากอยากจะขอคัดลอกหนังสือของอาจารย์หลายๆเล่ม อาทิเช่น ทางสายเอก ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข ฯลฯ เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นอักษรเบลล์ให้กับคนตาบอด ไม่ทราบว่าอาจารย์จะอนุญาตไหมคะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(1) เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของผู้ถามว่าจะเอาสมบัติทางโลกหรือจะเอาสมบัติทางธรรม พระพุทธะตรัสว่า “ ลูกเป็นเหมือนบ่วงผูกคอ ภรรยาหรือสามีเป็นเหมือนบ่วงผูกมือ ทรัพย์สมบัติเป็นเหมือนบ่วงผูกขา ” ฉะนั้นเหลือเอาเองตามใจปรารถนาเพราะชีวิตเป็นของคุณ ผู้ตอบปัญหาเป็นได้เพียงผู้ชี้แนะ

(2) สรรพสัตว์รวมถึงมนุษย์ ที่ตายก่อนถึงอายุขัย ตายแล้วต้องไปเกิดเป็นสัมภเวสี มีรูปนามเป็นทิพย์และมีรูปลักษณะพร้อมอาภรณ์เครื่องประดับ เหมือนเดิมทุกประการ ส่วนสัตว์ที่ตายเมื่อถึงอายุขัยจะไปเกิดเป็นสัตว์ (รูปนาม) อยู่ในภพต่าง ๆ ตามแรงของกรรมผลักดันให้สัตว์ต้องไปเกิด รูปลักษณะรวมทั้งอาภรณ์ประดับกายจะเปลี่ยนไปจากเดิม เช่นมนุษย์ตายไปเป็น เทวดา เปรต สัตว์นรก ฯลฯ ผู้มีตาทิพย์เห็นแล้วไม่สามารถจำได้ เพราะมีรูปลักษณะต่างไปจากสัญญาเดิม ที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิตของผู้เห็น และถ้ามนุษย์ตายไปเกิดเป็นเต่า เป็ด ห่าน ฯลฯ ที่มีรูปกายหยาบ เห็นได้ด้วยตาเนื้อตาหนัง ก็ไม่สามารถจำได้ ด้วยมีรูปลักษณะต่างไปจากสัญญาเดิม ที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต

ส่วนเรื่องที่จะขอคัดลอกหนังสือทางสายเอก ทำชีวิตให้ดีและมีสุข ฯลฯ เพื่อเปลี่ยนเป็นอักษรเบลล์ให้กับคนตาบอด เป็นความคิดที่ดีอนุโมทนาด้วยแต่ต้องไปขออนุญาตกับชมรมกัลยาณธรรมและบริษัทอมรินทร์ นะครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 31, 32, 33, 34, 35, 36, 37 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร