วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 19:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 42, 43, 44, 45, 46, 47, 48 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบนั่งสมาธิและชอบเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ต่างๆเสมอ ตามเวลาและโอกาสที่เอื้ออำนวย แต่กระผมนั้นมีข้อเสียอย่างยิ่งคือการดื่มสุราและชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูง

ดังนั้นจึงอยากจะกราบเรียบถามท่านอาจารย์ว่า
1.ถ้าเราดื่มเหล้า 2 วันแล้วเว้นช่วงใว้ 2 วันให้สร่างจากอาการเมาแล้วนั่งสมาธิเราจะได้บุญเป็นเช่นไร( หรือจะได้บาป )
2.ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะมีโอกาสวิปลาสหรือไม่

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(1) สองวันที่ดื่มสุราเป็นการประพฤติทุศีลมีอานิสงส์เป็นบาป สองวันที่มิได้ดื่มสุรา ไม่ประพฤติทุศีลเป็นบุญการนั่งสมาธิเป็นการประพฤติจิตตภาวนาเป็นบุญ ฉะนั้นพฤติกรรมทั้งสามที่ทำแล้วจึงได้ทั้งบาปและได้ทั้งบุญ ส่วนพลังกรรมใดมีมากกว่าให้ดูที่ความประพฤติของตัวเองว่าผู้ใดมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตมากกว่าบาป ผู้นั้นทำความดีได้ง่าย ทำความชั่วได้ยากตรงกันข้าม ผู้ใดมีบาปสั่งสมอยู่ในดวงจิตมากกว่าบุญผู้นั้นทำความชั่วได้ง่ายทำความดีได้ยาก

(2) ขึ้นอยู่กับการให้ผลของพลังกรรมถ้าพลังบุญให้ผลจิตไม่วิปลาส แต่หากพลังบาปให้ผลโอกาสมีจิตวิปลาสจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านการตอบปัญหาของอาจารย์แล้วรู้สึกเพลิดเพลินและสนุก บางทีก็ขำกับมุขของอาจารย์ ต้องเข้ามาอ่านคำถาม-คำตอบทุกหัวข้อ นอกจากนี้ก็ชอบฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์ ปกติดิฉันแทบจะไม่ได้ดูทีวีเลย ชอบอ่านหนังสือธรรมมะและพระพุทธศาสนา

มีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ สิ่งที่ประกอบเป็นโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด ใครจะเป็น ใครจะตาย ใครจะลำบากเดือดร้อน ได้รับเคราะห์กรรม มีอะไรเป็นสิ่งกำกับควบคุมดูแล หรือทุกสิ่งขับเคลื่อนเป็นไปตามวัฎจักรของมันเอง ทุกสรรพสิ่งเป็นไปตามกรรม แต่มองดูมันเหมือนกับมีโครงสร้าง คล้ายๆ หน่วยงานหนึ่ง มีสรรพสัตว์ที่เวียนว่ายเป็นประชากรหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เดรัจฉาน อมนุษย์ มีผลตอบแทน เช่น ทำดี ได้ดี มีเทวดาคอยรักษา ทำชั่ว
ได้ชั่ว ตกนรก มีฝ่ายบุคคลคอยประเมินผลงานอยู่

ไม่รู้ว่าดิฉันฟุ้งซ่านเกินไปหรือเปล่า

คำตอบ
สิ่งที่ถามไปไม่ใช้จิตฟุ้งซ่าน แต่เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ผู้ถามปัญหาเริ่มจะนำตัวเองออกจากกะลาครอบ จึงได้สนใจในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งตอบได้ว่า สิ่งที่ประกอบเป็นโลกอันกว้างใหญ่พร้อมวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตถูกกำกับดูแล (ควบคุม) ด้วย 2 ปัจจัยใหญ่ คือ กฎธรรมชาติและกฎแห่งกรรม ที่สิ่งมีชีวิตเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น

กฏธรรมชาติ คือ กำหนดอันแน่นอนตายตัวว่าสรรพสิ่งมีการเกิดขึ้น สรรพสิ่งมีการคงอยู่ชั่วขณะ (ระยะสั้น ระยะยาวหรือยาวนานมากจนปัญญาทางโลกมิอาจประเมินได้) และมีการดับสลายไปเป็นธรรมดาของธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์ เทวดา พรหมตนไหนสามารถไปเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้อย่างจริงแท้

กฎแห่งกรรมคือกำหนดอันแน่นอนตายตัวที่สิ่งมีชีวิตผู้ประกอบขึ้นด้วยรูปนาม กระทำเหตุแล้วต้องมีผลเกิดตามมาแน่นอนส่วนผลที่จะเกิดนั้น จะปรากฏเป็นจริงเมื่อไร ขึ้นอยู่กับชนิดของเหตุที่ทำและขึ้นอยู่กับผลของกรรมเก่า

ผู้ถามปัญหาไม่ควรปลงใจเชื่อคำตอบนี้ จนกว่าจะได้พิสูจน์พุทธวจนะ ที่กล่าวไว้ในกาลามสูตร ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วจะถ่องแท้ได้ด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีความสงสัยอยากเรียนถามดังนี้
1.การที่เราจะต้องมาเลี้ยงสุนัขหรือแมว เป็นเวรกรรมของเราหรือเปล่า และเราได้ทำกรรมอะไรกับเค้าไว้
2.หากเราจะเลี้ยงแล้วนำไปขายต่อให้คนอื่นเลี้ยง จะบาปไหมค่ะ
3.ถ้าเราได้เลี้ยงเค้าแล้วเราต้องปฏิบัติต่อเค้าอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรมต่อกัน

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(1) การที่ต้องเลี้ยงสุนัขหรือแมว เป็นกรรม (การกระทำ) ของผู้เลี้ยงสัตว์ ส่วนกรรมนั้นจะให้ผลเป็นบาปได้ต่อเมื่อผู้เลี้ยงด้วยก่อเวรกับสัตว์ที่เลี้ยง เช่น กักขัง ทุบตี ให้สัตว์อดอยากหิวโหย ฯลฯ แล้วพฤติกรรมที่ทำจึงจะถูกเรียกได้ว่าเป็นเวรกรรม

หากมีพฤติกรรมตรงกันข้าม ผู้เลี้ยงสุนัขหรือแมวประพฤติถูกตรงตามบุญกิริยาวัตถุ 10 ถูกตรงตามบารมี 10 ถือได้ว่าการเลี้ยงสัตว์นั้นเป็นการสร้างบุญ สร้างบารมีของผู้เลี้ยงสัตว์

(2) เรื่องที่ถามไปจะเป็นบาปได้ ต่อเมื่อสัตว์ที่ถูกขายจองเวรกับผู้ขาย หรือสัตว์ที่ถูกขายต้องไปตกระกำลำบากถือว่าเป็นบาป ซึ่งผู้ขายเป็นต้นเหตุให้มีบาปเกิดขึ้นจึงต้องมีส่วนร่วมในกรรมนั้นด้วย หรือหากทั้งสองกรณีให้ผลเป็นตรงกันข้ามถือว่าการกระทำนั้นเป็นบุญ

(3) ประสงค์จะไม่ให้มีบาปเกิดขึ้นจากการนำสัตว์มาเลี้ยงต้องเลี้ยงให้สัตว์มีความสุขจึงจะเป็นบุญเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรีและกำลังจะทำภาคนิพนธ์ในช่วงปีสุดท้ายครับ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำเรื่องอะไรดี (เป็นคนคิดอะไรไม่ค่อยจะออกครับ) จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าจะมีวิธีนำเอาสมาธิในระดับขณิกสมาธิมาใช้ในการคิดหัวข้อภาคนิพนธ์ได้หรือไม่ และควรปฏิบัติอย่างไรครับ อยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ


คำตอบ
คิดจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องดี คำว่าดีมีมาตรชี้วัดได้ดังนี้ว่า เรื่องที่คิดจะทำต้องไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เรื่องใดที่อยู่ในเกณฑ์นี้ถือว่าเป็นเรื่องดีในทางธรรมทำแล้วให้ผลเป็นบุญ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไม่ต้องว้าวุ่นให้สูญพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ทำใจให้นิ่งแล้วจะปิ๊งขึ้นมาเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันสงสัยว่าเวลาที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในชาติที่แล้วๆมาเพื่อขออโหสิกรรมนั้น หากเขาไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่างๆแล้วเขาจะรับรู้และอโหสิกรรมให้เราด้อย่างไรในเมื่อเขาเหล่านั้นไม่สามารถจำอดีตชาติได้ และหากเป็นอย่างนั้นหมายความว่าเราก็ยังไม่ได้รับการอโหสิกรรมใช่มั๊ยคะ

กรรมใดที่ดิฉันได้ล่วงละเมิดต่ออาจารย์ ดิฉันขออโหสิกรรมด้วยนะคะ และขออนุโมทนาในกุศลที่อาจารย์ใด้ทำแก่เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย


คำตอบ
สัตว์(รูปนาม) ที่ไปเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ มีทั้งที่จำอดีตได้และจำอดีตไม่ได้ ตัวอย่างเช่น สุภัททาตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทพนารีอยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานหรดี ได้ลงมาหาเทพนารีภัททาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งตัวเองจำได้ว่า ในครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ภัททาเคยเป็นพี่สาวต่างงานแล้วไม่ลูกได้แนะนำสามีให้ไปขอตัวเองซึ่งเป็นน้องสาวมาเป็นภรรยาน้อย และยังแนะนำให้ขวนขวายในการจัดเตรียมอาหารใส่บาตรพระสงฆ์เป็นประจำส่วนภัททาเทพนารีไม่สามารถระลึกได้ว่า สุภัททานารีเคยเป็นน้องสาวในครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ร่วมสามีเดียวกัน

หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งที่คณะสงฆ์หลงทางไปพบเปรตอยู่ในป่าลึก เปรตชี้ทางเดินออกจากป่าให้และยังได้ขอร้องสงฆ์ให้บอกกับมนุษย์ว่า “ อย่าได้ประพฤติอย่างข้าพเจ้าในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ได้ไปโกงที่ดินของวัดมาใช้เป็นที่ทำนาของตน ” ฯลฯ

ฉะนั้น สัตว์ใดระลึกได้ว่าผู้มีบุญได้อุทิศบุญให้กับตน และตนได้มีโอกาสไปรับอนุโมทนา สัตว์นั้นย่อมได้บุญจากมีผู้อุทิศให้ ส่วนสัตว์ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร เมื่อเขามาอนุโมทนาบุญแล้วจะอโหสิกรรมให้กับผู้อุทิศบุญให้เขาหรือไม่นั้นเป็นสิทธิ์ของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถไปบังคับเขาได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ของกระผมมีบ้านที่เชียงใหม่และให้คนเช่าอยู่เดือนละ 20000 บาท แต่คนเช่าไม่จ่ายเงินให้จนกระทั้งเค้าติดค่าเช่าได้ 100000 บาท แม่ของผมก็ทวง จนเค้าเขียน เช็ค มาให้ 100000 บาท แต่ว่า เช็ค มันเด้ง แม่ของผมก็เลยจ้างทนายมาฟ้องเรื่อง เช็ค (ระหว่างฟ้องใช้ระยะเวลานานถึง 5 เดือน ทำให้เค้าติดค่าเช่า เพิ่มอีก เป็น 200000 บาท) แล้วไปขึ้นศาล 3ครั้ง ศาลเลยสั่งออกมาว่า ให้ส่งหมายไปจับ เค้าก็เลยมาจ่าย 100000 บาท ก็เลยยกฟ้องเรื่อง เช็ค และศาลจะให้จ่ายอีก 100000 โดย ให้แบ่งจ่าย เดือนละ 20000 บาท


1.ถ้าเค้าไม่ผ่อนจ่ายอีก เดือนละ 20000 บาท ที่เค้าติด ตามที่ศาลสั่ง เราจะฟ้องศาลอีกจะดีหรือไม่ แต่ดูแล้วเค้าไม่ค่อยมีเงิน และยังเป็นเด็กอายุแค่ 20กว่าๆ
2.ถ้าเราบังคับให้เค้าจ่ายเงินที่เค้าติดเราให้เรา จะปาบ มั้ย เพราะครั้งที่แล้วเค้าเอา รถไปเข้า finance ให้เรา

คำตอบ
(1) ชาวพุทธที่เชื่อในคำของพระพุทธะในความหมายที่ว่า “ ไม่มีสิ่งใดเกิดโดยบังเอิญ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุทำให้เกิด ” และเชื่อในคำสอนที่ว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ”

หากผู้ถามปัญหามีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธะดังที่ยกตัวอย่างมาให้ดู จะตัดสินใจได้เองว่า จะผูกเวรกรรมให้ต่อเนื่องยาวนานในภพข้างหน้าหรือจะให้เวรกรรมยุติเพียงชาตินี้ อยู่ที่ผู้ถามปัญหาต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

(2) คนที่มีธรรมะของพระพุทธะอยู่ในใจจะไม่เบียดเบียนใครให้ไม่สบายใจ เพราะนั่นคือการสร้างบาปที่เขาจะต้องนำติดตัวไปเกิดในภพใหม่ มนุษย์สมบัติได้แก่ทรัพย์ภายนอก เมื่อตายแล้วไม่เคยมีใครนำทรัพย์ภายนอกติดตัวไปได้สักราย มีแต่บุญและบาปซึ่งเป็นทรัพย์ภายในเท่านั้นที่นำติดตัวข้ามภพชาติดได้ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจะนำบุญหรือบาปติดตัวไปเกิดใหม่ ต้องเลือกเอาตามที่ตัวเองชอบ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอรบกวนท่านโปรดให้คำแนะนำด้วยค่ะ เป็นเพราะหนูต้องเดินทางโดยเครื่องบินบ่อย และเมื่อเที่ยวล่าสุดนี้ เครื่องบินผ่านสภาพภูมิอากาศเลวร้ายมากๆ หนูรู้สึกกลัวมาก (กลัวตายนั่นแหละค่ะ) หนูก็เลยกำหนดความรู้สึกว่า กลัวหนอ กลัวหนอ และพยายามจับความรู้สึกของจิต ซึ่งพอจะรู้ได้ว่า เขาดิ้นรน ใจเต้นแรงมาก ในช่วงนั้นความสับสนเกิดขึ้นมาก
จนหนูกำหนดไม่ค่อยถูก จึงได้กำหนดว่า กลัวหนอ รู้หนอ (อันนี้หมายถึงรู้ว่าสับสนลนลานค่ะ) และมีการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยด้วยการสวดมนต์ไปด้วย

ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ขอคำแนะนะหน่อยค่ะว่า
1. เวลาที่เราเกิดเหตุคับขันที่อาจส่งผลให้เราเสียชีวิตได้ เราควรมีสติกำหนดอย่างไรดีคะ /แล้วที่หนูกำหนดเช่นนี้ ถูกต้องไหมค่ะ
2. มีบางครั้ง หนูก็ใช้วิธี อธิษฐานเลยว่า ถ้าข้าพเจ้ามีอันต้องเป็นไป ขอให้ตายปุ๊ปเกิดใหม่ปั๊บ มีมนุษย์สมบัติ อริยสมบัติ เทวดาสมบัติ ติดตัวมา เพื่อปฎิบัติธรรมได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ด้วยเทอญ ทำอย่างนี้ดีไหมคะ แต่ในเสี้ยวชีวิตนั้น ไม่รู้ว่าจะอธิฐานจบหรือเปล่านะคะ มีสั้นกว่านี้ไหมคะ
3. ทำไม ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราทุกคนต้องตาย ก็ยังกลัวอีก การปฎิบัติธรรมจะช่วยให้หนูไม่กลัวตายได้ใช่ไหมคะ (หนูก็พยายามฝึกการมีสติ อยู่เนืองๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ทำให้รู้เลยว่า สติเรายังอ่อนมากๆ )

สุดท้ายนี้ หนูขอให้ผลบุญที่ท่านอาจาร์ย ดร.สนอง วรอุไร ได้สร้างและสะสมไว้ในชาตินี้ ส่งผลที่ดีและประเสริฐที่สุดให้แก่ท่านอาจาร์ย อย่างเห็นได้ทันทีด้วยเทอญ

กราบขอบพระคุณค่ะ


คำตอบ
(1) ควรกำหนดมรณานุสติว่า “ ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ” กำหนดบ่อย ๆ กำหนดทุกครั้งที่นึกได้ กำหนดทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก หากทำได้ตลอดไปเช่นนี้แล้วสติจะเกิดขึ้นกับใจอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อเหตุปัจจัยทำให้ต้องตายจะตายอย่างมีสติ แล้วสุคติจะเป็นที่หมายของการไปเกิดในภพใหม่

การประพฤติที่แล้วมา ประพฤติแล้วไม่ได้ผล ควรเลิกเสียด้วยเหตุนี้ประพฤติแล้วสติไม่เกิดหากจำเป็นต้องตายขณะจิตขาดสติจะทำให้ชีวิตใหม่เสียหายได้

(2) ไม่ดี เพราะเป็นการอธิษฐานที่เป็นไปไม่ได้ จะเอาทั้งมนุษย์สมบัติและเทวสมบัติในคราวเดียกันย่อมไม่เกิดขึ้นได้ คนตายแล้วไปเกิดใหม่ในภพมนุษย์ต้องมีศีล 5 คุมใจฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะพบกันความสมปรารถนาต้องสร้างมหาทานแล้วอธิษฐาน และสุดท้ายต้องทำเหตุให้ถูกตรงคำอธิษฐานจึงจะมีโอกาสพบกับความสำเร็จได้

(3) คนที่รู้ว่าทุกคนต้องตายจึงกลัวตาย เหตุเพราะรู้ไม่จริงเกี่ยวกับความตาย แต่ทุกคนที่เอาใจเข้าถึงความจริงของการตายจะไม่กลัวตาย เหตุเพราะรู้จริงเกี่ยวกับความตายฉะนั้นผู้ใดประสงค์จะไม่กลัวตาย ต้องเข้าถึงความตายก่อนตายจริงให้ได้ ด้วยการปฏิบัติชอบ จนเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมแล้วจะไม่กลัวตายแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 27 พ.ค. 2010, 14:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้กับเมื่อวานทำสมาธิ แบบพองยุบ เหมือนจิตระลึกรู้เส้นเลือดที่ออกจากหัวใจ สักพักก็ไปที่ตามแขนและมือ รู้สึกถึงความร้อนเวลาเส้นเลือดผ่านด้วยค่ะ จริงๆจิตระลึกรู้ขณะนั้นว่าเป็นสมถะ แต่ว่าอยากเป็นผู้ดู แต่ที่ถูกแล้วไม่ควรไปใส่ใจใช่ไหมค่ะ ควรจะมุ่งเน้น ระลึกรู้ถึงไตรลักษณ์มากกว่า

ขอคำแนะนำของ ดร ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
ใช้จิตที่ตั้งมั่นตามดูทุกสิ่งจนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกดูจะเกิดขึ้นนี่คือหนทางที่ผู้รู้นิยมปฏิบัติอย่างนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1/ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชวนให้ร่วมทำบุญสร้างที่พักผู้ปฏิบัติธรรมและร่วมสร้างพระเพื่อนำไปประดิษฐานในวัดต่างจังหวัด จึงได้รับปากว่าจะร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมทั้งสองอย่างนี้ มาทราบภายหลังจากอีกคนว่าที่วัดมีพระน้อยมากและต้องการความสงบ การไปสร้างนั้นไม่จำเป็นนักอีกทั้งยังจะเพิ่มภาระแก่พระที่ต้องคอยดูแลอีก ส่วนพระที่จะสร้างนั้นก็เนื่องจากความอยากทำของผู้ใหญ่ท่านนั้นเอง โดยที่ค่อยหาวัดที่จะนำไปประดิษฐานทีหลัง (โดยที่ท่านจะเน้นที่วัดที่มีพระอาจารย์ดังๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีพระประธานอยู่แน่แล้ว) จึงอยากทราบว่า การที่เราร่วมทำบุญนี้จะเป็นการสร้างบาปแทนหรือไม่ หากจะถอนตัวจะกลายเป็นการเสียสัจจะหรือไม่ เนื่องจากอีกใจหนึ่งก็รู้สึกไม่ดีว่าจะร่วมทำความอึดอัดให้แก่พระท่านหรือไม่ ส่วนอีกใจก็รู้สึกว่าจะเสียสัจจะที่บอกว่าจะเป็นเจ้าภาพจำนวน XX,XXX บาท และหากนำเงินนี้ไปทำบุญอย่างอื่นที่มีความจำเป็นจริงๆ จะดีกว่าหรือไม่คะ

2/ แฟนหนูอายุ 35 คบกันเกือบสิบปี เขาอยากแต่งงาน แต่หนูยังไม่พร้อมเนื่องจากเขาเคยรับงานของญาติผู้ใหญ่หนูแต่ทำไม่ดีไม่ถูกใจซึ่งก็คงมองหน้ากันไม่ติดหากต้องแต่งกับเขา อีกทั้งความรับผิดชอบและนิสัยบางอย่างของเขาที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ และตัวหนูเองคงเหนื่อยมากแน่ๆ แต่เขาก็มีส่วนดี มีน้ำใจ และวัยของหนูที่จะ 30 ทำให้หนูยังลังเล จึงอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะ

3/ หากต้องแต่งงาน กะว่าจะให้หนังสือประเภท ธรรมะเกี่ยวกับความรัก เป็นของชำร่วย อาจารย์เห็นว่าสมควรหรือไม่คะ (ผู้ใหญ่ที่บ้านบอกว่าการให้หนังสือเหมือนงานศพต้องมีของอื่นเพิ่มแน่ๆ)

สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์แทบเท้าด้วยความเคารพยิ่งที่ช่วยให้ความสว่างและเปิดโลกธรรมะให้พวกหนูค่ะ

คำตอบ
(1) ผู้ใดรับปากว่าจะร่วมเป็นเจ้าภาพในกิจกรรมที่จิตทำขึ้น แล้วไม่ประพฤติตรงตามคำที่ให้ไว้ เรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้ไม่มีสัจจะ ผู้รู้นิยมรักษาสัจจะอันเป็นทรัพย์ภายในซึ่งติดตามไปได้เมื่อตาย มากกว่ารักษาทรัพย์ภายนอกที่ตายแล้วต้องทิ้งไว้กับโลก

ฉะนั้นผู้ถามปัญหา จึงต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่า ชอบสิ่งไหนก็เลือกประพฤติตามสิ่งที่ชอบ

(2) สัตว์โลกมีนิสัยที่แตกต่างกัน แต่มีอยู่หนึ่งสิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกตัวตนของสัตว์โลกรักที่จะมีความสุข และปฏิเสธความทุกข์ ฉะนั้นจึงต้องเลือกเองตามที่ผู้ถามปัญหาปรารถนา หากปรารถนาอยู่เป็นสุขมากกว่าอยู่แล้วทุกข์ ต้องดำเนินชีวิตแบบคนโสด และตรงกันข้าม ปรารถนาอยู่เป็นทุกข์มากกว่าอยู่แล้วมีความสุข ต้องดำเนินชีวิตแบบมีครอบครัว และยิ่งมีศรัทธา ศีล จาคะและปัญญาต่างกันมากความทุกข์ของการมีชีวิตคู่จะยิ่งมีมากขึ้น มนุษย์สมัยนี้มีจิตเป็นทาสของตัณหา จึงนิยมนำพาชีวิตดำเนินไปตามแบบที่สองมากกว่า

(3) การให้สิ่งดี ผู้ให้แล้วได้บุญ การให้ธรรมะเป็นทานเป็นการให้ที่สูงสุด ผู้ใดมีใจเป็นทาสของสมมติบัญญัติ ผู้นั้นมีบาปสั่งสมอยู่ในใจและเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้มีบาป ย่อมชักชวนผู้อื่นให้ทำบาปและป้องกันขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำความดี ส่วนผู้มีบุญย่อมชักชวนให้ผู้อื่นทำบุญและป้องกันขัดขวางไม่ให้ทำบาป ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจะเลือกปฏิบัติอย่างไร อยู่ที่แรงบุญหรือแรงบาปที่มีอยู่ในใจส่งผล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูอยากเรียนถามว่าบุคคลที่ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วเป็นโสดาบัน ทำการวิปัสนาภาวนาอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งทำบุญทำทานต่างๆ เป็นประจำแต่ที่ไม่ค่อยได้ทำคือ ตักบาตร ถวายอาหารพระ อยากกราบเรียนถามว่าเมื่อต้องไปเกิดในภพหน้า คนๆนั้นจะมีข้าวรับประทานไหมคะ เนื่องจากได้ยินมาว่าคนที่ตักบาตรตายไปก็จะเห็นอาหารที่ตัวเองใส่บาตรในสวรรค์ค่ะ


คำตอบ
ผู้ใดให้สิ่งแก่ผู้อื่น ผู้ให้ย่อมได้สิ่งนั้นตอบคืนมา ซึ่งจะตอบกลับมาในรูปเดิมหรือต่างไปจากรูปเดิมก็ได้ดังตัวอย่างของดุรุชาวธิเบตในอดีต ได้ขึ้นไปยังภูเขาหิมาลัยเพื่อนไปจำพรรษาอยู่ในถ้ำ ปีนั้นหิมะตกทับถมพื้นดินยาวนานจนชาวบ้านคิดว่าดุรุองค์นั้นตายไปแล้ว ผลปรากฏว่าเมื่อหิมะละลายถนนหนทางเปิดปากน้ำเปิด ชาวบ้านจึงชวนกันไปยังถ้ำ ผลปรากฏว่า ดุรุยังไม่ตายยังมีสุขภาพดีเหมือนเดิม หลังจากไต่ถามทุกข์สุขกันพอประมาณแล้วดุรุได้ถามชาวบ้านว่า “ วันที่เท่านั้น เดือนนั้น พวกท่านทำอะไรกัน ข้าพเจ้าอิ่มไปหลายวัน ” ชาวบ้านตอบดุรุว่า “ พวกราคิดว่าท่านมรณภาพแล้วจึงได้ร่วมกันทำบุญและอุทิศบุญกุศลมายังท่าน ”

ฉะนั้นคำว่า “ ไม่ค่อยได้ตักบาตรถวายอาหารพระ ” แสดงว่าเคยตักบาตรรถวายอาหารพระ แต่ไม่บ่อยนัก ผู้มีความประพฤติเช่นนี้เมื่อตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งย่อมมาข้าวรับประทาน แต่มีไม่มากและไม่หลากหลาย ถ้าตายไปสู่สุคติภพ เช่นไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าจะได้บริโภคอาหารในรูปที่เป็นรสทิพย์ อิ่มทิพย์ ไม่บริโภคข้าวอย่างที่มนุษย์ผู้มีกายหยาบประพฤติกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่เดิมหนูได้ทำงานที่สำนักงานบัญชี ซึ่งทำงานด้วยความไม่สบายใจ เนื่องจากทางเจ้าของสำนักงานได้ให้บริการให้คำปรึกษาแนะนำการหลบเลี่ยงภาษีแก่ลูกค้าของสำนักงานด้วย หนูจึงได้ลาออก และมาทำงานที่ใหม่ซึ่งเป็นธุรกิจประเภทโรงแรม แต่ก็พบว่าทางเจ้าของกิจการก็มีการนำบิลค่าใช้จ่ายส่วนตัว มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ เพื่อบริษัทฯจะได้เสียภาษีน้อยลง หนูก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ลองปรึกษากับเพื่อนๆ ทุกคนล้วนตอบหนูเป็นคำตอบเดียวกันคือ ไม่มีธุรกิจไหนที่ทำบัญชีตรงไปตรงมา100%หรอก มีทางเดียวคือเปลี่ยนสายอาชีพไม่ต้องทำงานด้านบัญชี ใจหนึ่งหนูก็ไม่ค่อยเชื่อว่า ไม่มีธุรกิจไหนเลยหรือที่จะทำบัญชีตรงไปตรงมา และอีกใจหนึ่งหนูก็คิดว่าหนูคงต้องเปลี่ยนสายอาชีพ หนูจึงคิดวางแผนที่จะศึกษาต่อระดับปริญญาโท เพื่อจบมาหนูจะได้ไปประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย

หนูจึงอยากรบกวนขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ค่ะว่า
หนูคิดถูกหรือผิดอย่างไรค่ะ

สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะสำหรับความเมตตาของท่านอาจารย์

คำตอบ
อาชีพใดประพฤติแล้วไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรม ถือว่าเป็นอาชีพปลอดภัยในทางธรรม ประพฤติแล้วจะมีวิถีชีวิตที่ดีงามสงบและมีความสุข

อนึ่งการประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย หากดำเนินไปในแนวทางที่ไม่ขัดกับหลักการข้างต้น ถือว่าเป็นอาชีพปลอดภัยสำหรับชีวิตได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันกำลังจะทำมหาทานในช่วงสงกรานต์นี้ โดยการเลี้ยงพระ และฆราวาสที่เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วันกัน ใคร่อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หากต้องการอธิษฐานบารมี จะต้องทำในวันที่เท่าไหร่ของการทำบุญ และในการทำมหาทานหนึ่งครั้ง สามารถอธิษฐานได้กี่ข้อคะ (กราบเรียนเชิญอาจารย์ร่วมอนุโมทนาด้วยค่ะ)

2. ที่บ้านมียุงเยอะมาก ดิฉันพยายามจับออกไปปล่อย เนื่องจากสมาทานศีล 5 จึงของดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยเด็ดขาด แต่ยิ่งใสใจในเรื่องป้องกันยุง ก็ดูเหมือนจะเจอยุงมากขึ้นในทุก ๆ ที่ ทั้ง ๆ ที่บางที่ไม่น่าจะเจอยุงแต่ดิฉันก็เจอ อยากให้ท่านอาจารย์แนะนำว่าการแผ่เมตตาให้ยุงโดยเฉพาะเจาะจงจะช่วยได้ไหมคะ

3. เคยอ่านเจอว่า ในการอุทิศบุญกุศลนั้น ควรกล่าวก่อนเริ่มปฏิบัติจิตตภาวนาว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลาย และเจ้ากรรมนายเวรทยอยมารับส่วนบุญที่กำลังจะปฏิบัติ เพราะสัตว์บางพวกไม่สามารถรับบุญกุศลตอนที่ปฏิบัติเสร็จแล้ว เนื่องจากบุญกุศลการปฏิบัติจิตตภาวนามีกำลังแรงมาก ต้องเป็นพวกมีบุญอย่างเทวดาจึงจะรับได้เลย ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(1) ควรอธิษฐานหลังจากเลี้ยงพระและฆราวาสปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จนั่นคือเย็นวันที่ 7 จะอธิษฐานกี่ข้อก็สามารถอธิษฐานได้ อธิษฐานหลายข้อต้องใช้เวลานานกว่าอธิษฐานเพียงข้อเดียว การบรรลุคำอธิษฐานจึงจะให้ผล

(2) ช่วยได้ หากผู้ถามปัญหามีเมตตาอยู่ในจิตใจ ดูตัวอย่างของหลวงพ่อเกษม แห่งสุสานไตรลักษณ์จังหวัดลำปาง ท่านมีเมตตามากนั่งที่ไหนยุงไม่กัด

(3) เห็นตรงกันข้ามกับคนที่เขียนให้ผู้ถามปัญหา เคยอ่านเจอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้น้อมนำให้ตัวเองให้มีธรรมะตามที่ท่านอาจารย์ได้แนะนำตามหลักสติปัฏฐาน 4 ตอนนี้กำลังของสติสัมปะชัญญะยังไม่มากพอ โดยเฉพาะ"ความหลง"ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันมาแบบอัตโนมัติและแนบเนียนมากบางครั้งก็ทันครับแต่ส่วนใหญ่ยังตามรู้ไม่ทันมารู้อีกทีก็โดนมันเล่นงานซะแล้วหรือบางครั้งก็สู้กันในจิตจนแพ้

คำถามครับ
1.ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำหรือมีอุบายหรือขาตสิ่งใดที่ต้องเพิ่มเติมในการเพิ่มกำลังสติสัมปะชัญญะเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันในการตามดูรู้ทันใจครับ

2.ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำอุบายหรือวิธีในการเจริญภาวนาพิจารณาเพื่อการถอดถอน อัตตาความมีตัวตนครับ
ทุกวันนี้ผมได้เจริญสติโดยการบริหารกายวิธีพุทธทุกเช้าค่ำและเดินจงกลมตามโอกาสครับ

คำตอบ
(1) ให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น เร่งความเพียรเจริญสติภาวนาต่อเนื่องยาวนาน สุดท้ายรักษาสัจจะให้เต็มร้อย ผู้ใดทำปัจจัยทั้งสามนี้ให้มีขึ้นได้แล้ว โอกาสที่จิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้นได้

(2) ก่อนที่จะถอดถอนอัตตาควรเริ่มจากการกลบฝังอัตตาซึ่งประพฤติได้ง่ายกว่า ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้องให้ได้ก่อน เช่น ประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีต่อพ่อแม่ จริยธรรมเพื่อนต่อเพื่อน จริยธรรมพลเมืองของชาติ ฯลฯ เมื่อทำได้แล้วจึงค่อยขยับขั้นขึ้นไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งมาพิจารณาขันธ์ 5 จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์นี้คือวิธีดับหรือถอดถอนอัตตาให้หมดไปจากใจ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้มีโอกาสเข้ามาอ่านข้อความเกี่ยวกับจะมีวิธีไหนบ้างที่จะสามารถไถ่บาป หรือแก้กรรม จากการทำแท้งมาก่อน เพราะดิฉันกับเพื่อน ก็เป็นหนึ่งในกรณีนี้ค่ะ จากที่ดิฉันอ่าน พอจะเข้าใจว่าต้องทำหรือ ปฎิบัติตัวอย่างไรเกี่ยวกับการไถ่บาป แต่ดิฉันอยากจะรบกวนถาม ท่าน ดร.สนอง เพิ่มเติมว่า

1.การปฎิบัติธรรมและการแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรและเด็กที่ถูกทำแท้งออกไปนั้น เวลาที่เราจะกรวดน้ำ อุทิศฯ ดิฉันควรจะกล่าว หรือเอ่ยถึง(ลูก)เด็กที่เราทำแท้งออกไปว่าอย่างไรค่ะ เพราะบางครั้ง ดิฉันจะเอ่ยว่า แม่ขออุทิศฯแก่ลูกที่แม่เคยทำแท้งออกไป แบบนี้ถูกต้องมั้ยค่ะ?

2.ดิฉันควรจะถวาย พวกนม กับเสื้อผ้าหรือของใช้เด็ก ไปพร้อมกับสังฆทานมั้ยค่ะ ดิฉันอยากให้ลูกได้รับของเหล่านี้ เพราะบางครั้งดิฉันเคยฝันถึงเด็กค่ะ เหมือนเค้ามาหาแล้วมาขอนม ขอขนมกิน

3.ปีนี้ดิฉันกับเพื่อนเราตั้งใจกันไว้ว่า เราจะไปปฎิบัติธรรม ที่วัดแถวๆชลบุรี ไม่ทราบว่า ท่าน ดร.สนอง พอจะมีวัดหรือสถานที่แนะนำมั้ยค่ะ หรือจะใกล้ๆกรุงเทพฯก็ได้ค่ะ

4. ดิฉันสงสัยในตัวเองมานานแล้วว่า ทำไมดิฉันถึงกลัวภูเขา และกลัวพวกรูปปั้นใหญ่ๆ ตามวัดหรือตามสถานที่ต่างๆ ยิ่งถ้าเป็นรูปปั้นพวกพญานาค ดิฉันจะกลัวมากเป็นพิเศษ ก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนดิฉันเคยทำบาป ทำกรรมอะไรไว้ พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้...

สุดท้าย ดิฉันอยากจะขอรบกวน ขอคำปรึกษาจากท่าน ดร.สนอง ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ
สาวไทยในต่างประเทศ

คำตอบ
(1) ควรกล่าวว่า “ ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันเลย รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด ”

(2) ผู้ใดปรารถนาให้สิ่งใดกับผู้ที่ล่วงลับ ควรให้สิ่งนั้นเป็นทาน แล้วจึงอุทิศบุญอันเกิดจากทานนั้นแก่ผู้ล่วงลับ ดังตัวอย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสารถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกแล้วจึงอุทิศผลของทานด้วยการกล่าววาจาว่า “ ขอทานนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของเรา ” อาหารทิพย์ได้บังเกิดแก่ญาติที่ไปเกิดเป็นเปรตได้บริโภคจนอิ่มกันถ้วนหน้า

(3) การปฏิบัติธรรมนับเป็นบุญใหญ่สุด ที่กัลยาณมิตรทางธรรมแนะนำให้บุคคลได้ประพฤติ ผู้ใดประพฤติและเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้แล้ว นับได้ว่าชาตินี้เกิดมาไม่สูญเปล่า ควรหาโอกาสไปฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมที่วิเวกอาศรมจังหวัดชลบุรี หรือฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อวิริยัง สุขุมวิท 103 ก็ได้

(4) ผู้ใดกลัวสิ่งใด แสดงว่าไม่รู้จริงในสิ่งนั้น ฉะนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีศีล มีสติ สถิตอยู่ทุกขณะตื่น แล้วไปพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วความกลัวในสิ่งที่บอกเล่าไปจะไม่เกิดขึ้นได้อีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. คนที่อยู่คนละศาสนากับเรา เมื่อตายแล้วเข้าจะต้องชดใช้กรรม โดยการไปรับกรรมในนรก หรือสวรรค์เหมือนเราไหมคะ หรือเป็นไปตามหลักของศาสนาใครศาสนามันคะ

2. ดอกไม้และพวงมาลัยที่ใช้บูชาพระ เมื่อแห้งแล้วเราควรทำอย่างไรคะ ทิ้งได้ไหมทิ้งอย่างไรคะ

3. การใส่บาตรส่งผลกรรมดีอย่างไร หนูเกิดมาก 30 กว่าปีแล้วจำได้ว่าเคยใส่บาตรประมาณ 2 ครั้ง เมื่อตายไปแล้วหนูจะได้รับผลจากการกระทำนี้อย่างไร และควรใช้อะไรใส่บาตรจึงจะได้รับุญที่ยิ่งใหญ่

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ ที่สละเวลาตอบคำถามของหนู ขอให้คุณพระคุ้มครองให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ

คำตอบ
(1) นรก สวรรค์เป็นภพที่มีอยู่จริงในสังสารวัฏเป็นสถาน ที่อยู่ของสัตว์กายทิพย์ ที่มิอาจเข้าถึงได้ด้วยประสาทสัมผัสผู้ใดปรารถนาเห็นสัตว์กายทิพย์ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนตั้งมั่นระดับฌานให้ได้ แล้วโอกาสเข้าถึงความจริงในเรื่องนี้จึงจะเกิดขึ้นได้ ทั้งสองภพมีความเป็นสากลเหมือนกัน คือสัตว์ทุกตัวตนในภพนรกเสวยทุกขวิบากล้วนด้วยการถูกทรมาน สัตว์ในสวรรค์เสวยสุขวิบากอันเป็นทิพยสุขล้วน ฉะนั้นผลของกรรมในนรกและผลของกรรมในสวรรค์จึงมีความเป็นสากลเหมือนกัน

(2) สามารถนำไปทิ้งได้ แล้วหาดอกไม้หรือพวงมาลัยที่สดและใหม่มาใช้เป็นวัตถุบูชา (อามิสบูชา) แทนได้

(3) การนำอาหารไปใส่บาตร เป็นการสร้างทานอย่างหนึ่งผู้ใดประพฤติได้แล้วจะเกิดอานิสงส์เป็นบุญ 30 ปีใส่บาตรสองครั้งจึงมีบุญในเรื่องนี้เกิดขึ้นสองครั้งหากบุญที่ทำยังไม่ถูกใช้หมดไป ตายแล้วบุญนี้ยังสามารถติดตามข้ามภพข้ามชาติไปให้ผู้มีบุญได้เสวย

สิ่งที่ควรนำไปใส่ลงในบาตรคือวัตถุทุกอย่างที่เหมาะสมแก่การบริโภคใช้สอยของสมณะ

นอกจากนี้ผู้ถามปัญหาประสงค์บุญที่ยิ่งใหญ่ ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพราะปฏิปทาเช่นนี้ส่งผลเข้าถึงนิพพานได้ บุญที่เกิดจากการนำอาหารไปใส่บาตรอานิสงส์สูงสุดได้แค่สวรรค์สมบัติ แต่นิพพานสมบัติเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 42, 43, 44, 45, 46, 47, 48 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร