วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 21:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 43, 44, 45, 46, 47, 48, 49 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอเล่าเรื่องราวเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านดังนี้ค่ะ หนูรักกับชายคนนึงที่มีครอบครัวแล้วและเขาก็รักหนูเช่นกัน เราพยายามไม่ให้ความรักของเราเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม ไม่ให้ผิดศีลและธรรม แต่เรายังคงให้ความรัก ดูแล ห่วงใย โทรศัพท์พูดคุยกัน ช่วนกันทำบุญและสังฆทานสม่ำเสมอเพราะคิดว่าที่ความรักไม่สมหวัง อาจเป็นจากกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาติ และเขาก็มีปัญหาในชีวิตครอบครัวอยู่เรื่อยๆ นอกจากนั้นแล้วเรายังไม่พยายามพูดถึงเรื่องความรักไม่ถูกต้องเนื้อตัว และไม่ดิ้นรนให้ได้อยู่ด้วยกันเพราะคิดว่าทุกอย่างย่อมเกิดและเป็นไปเพราะกรรม

หนูขอเรียนปรึกษาดังนี้ค่ะ
1 องค์ประกอบของศีลข้อ 3 มีอะไรบ้างคะ
2 หนูและชายคนนั้นผิดศีลข้อ 3 หรือไม่และผิดในเรื่องใดคะ
3 หากหนูเคยล่วงเกินกันแต่ไม่ถึงกับร่วมประเวณี หนูจะแก้ไขบาปกรรมนี้อย่างไรคะ

คำตอบ
(1) ไม่เสพเมถุน กับบุตรภรรยาสามี ฯลฯ ของผู้อื่น ที่เจ้าของยังมิได้อนุญาตยกให้

(2) มนุษย์ทำกรรมได้ 3 ทาง คือ ทำกรรมทางกาย ทำกรรมทางวาจา และทำกรรมทางใจ หากกรรมทั้งสามประเภทนั้นไม่ผิดไปจากข้อ (1) ถือได้ว่าไม่ผิดศีล ข้อ 3 ฉะนั้นต้องถามตัวเองและตอบตัวเองให้ได้

(3) สารภาพผิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป ธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ฯลฯและกล่าววาจาจะไม่ประพฤติสิ่งไม่ดีงามเช่นนั้นให้เกิดขึ้นอีก และรักษาสัจจะ ให้คงอยู่ตลอดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.มีเพื่อนมาชวนให้เราเช่าพระเก่าของจริงเช่นหลวงปู่ทวด หลวงพ่อปาน เนื่องจากเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธคุณมากมาย คุ้มครองผู้บูชาให้ปลอดภัย โชคดี แคล้วคลาด การงานการเงินดี หนูคิดว่าหนูเป็นคนทั่วไปไม่ได้ทำชั่วหรือทำร้ายใคร และพยายามรักษาศีลห้าให้ครบเสมอด้วยคุณสมบัติเพียงเท่านี้ หนูคิดว่ายังไม่ดีพอจึงคิดจะเช่าพระเพื่อเป็นเครื่องช่วยเหลือเราให้ทันณ.ปัจจุบันให้ปลอดภัย โชคดี หนูคิดผิดไม๊ค่ะ หนูคิดว่ากว่าหนูจะสร้างบุญได้มากพอจนมีความเชื่อมั่นในตัวเองโดยไม่ต้องยึดที่พึ่งยังต้องใช้เวลาอีกนานจึงคิดว่าการเช่าพระดีๆจะช่วยเหลือเราได้ก่อนณ.ปัจจุบัน แต่พระเก่าดีๆนี้มีราคาเช่าสูงด้วยค่ะหลักหมื่นค่ะ

2.ท่านมีความเห็นอย่างไรกับพระบูชาที่ดังๆในวงการพระจนมีราคาเช่ากันสูง

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(1) ความคิดนั้นถูกต้องตามปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) แต่เป็นความคิดผิดเมื่อใช้ปัญญาทางธรรม (ภาวนามยปัญญา) ส่องนำทางให้ชีวิต เพราะเหตุว่า แค่ทำใจตัวเองให้เป็นผู้มีศีล 5และมีสติคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น ตัวเองก็จะสามารถอยู่รอดปลอดจากภัยได้ ณ กาลที่เป็นปัจจุบัน โดยไม่ต้องแสวงหาวัตถุอื่นใดมาคุ้มครองชีวิต ถ้าผู้ถามปัญหาเป็นชาวพุทธที่มีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธะ ที่ว่า “ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ” แล้วไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาวัตถุภายนอกมาเป็นที่พึ่งให้สิ้นเปลืองเงินทอง ซึ่งผู้ฉลาดเขาไม่นิยมประพฤติกัน

(2) พระบูชาที่ดังอยู่ในวงการพระที่บุคคลผู้รู้ไม่จริง (หลง) ใช้เงินเช่าหากันในราคาที่สูง เป็นเพราะกิเลสเข้ามามีอำนาจอยู่เหนือใจ ราคาสูงตามความมากน้อยของกิเลสที่ครอบงำใจนั่นเองเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ผู้ถามปัญหายังจะทำตัวเองให้เป็นผู้หลงอยู่ในอำนาจของกิเลสยังจะยึดติดอยู่ในวัตถุอีกหรือไม่ ก็เลือกเอาตามที่ชอบเถิดโยม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอเรียนถามเรื่องการประกอบอาชีพ อยากทราบว่าการมีรายได้มาจากงานหรืออาชีพดังนี้ เป็นอาชีพที่ดีหรือไม่ จัดเป็นสัมมาอาชีพไหมค่ะ ถ้ามมีรายได้มาจากสิ่งนี้จะได้รับผลดีหรือไม่ดีอย่างไร
1.การรับงานเป็นแบบถ่ายโฆษณาไม่ว่าจะเป็นสื่อทีวี หรือภาพนิ่งตามหนังสือพิมพ์เป็นต้น
2.พิธีกร
3.ธุรกิจขายตรง

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
หนูชอบหนังสือทางสายเอกและซีดีตามรอยพ่อมากเลยค่ะ นอกจากชี้ทางให้รู้ในสิ่งที่ถูกแล้วยังช่วยทำให้หนูมีกำลังที่จะปฏบัติดีตามได้มากขึ้น ขออนุโมทนานะค่ะ


คำตอบ
(1) การรับงานเป็นแบบถ่ายโฆษณา ถ้าประพฤติแล้วไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม อันเป็นต้นเหตุให้กิเลสเข้าครอบงำจิตใจของผู้ดูภาพโฆษณา ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่ดีได้

(2) ต้องถามว่าเป็นพิธีกรประเภทไหน ถ้าเป็นพิธีกรอาชีพที่ไม่ชักนำให้ผู้อื่น ออกไปนอกกรอบของศีลธรรม ถือว่าเป็นอาชีพพิธีกรที่ดีได้

(3) ธุรกิจขายตรงที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรมไม่ชักนำให้ผู้ใช้บริการเกิดความหลง เกิดความกำหนัดในกามารมณ์ ความมีจิตเป็นทาส ฯลฯ จึงจะนับได้ว่าเป็นธุรกิจขายตรงที่ดี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากหนูได้มีโอกาสสร้างทานบารมีกับพระอรหันต์ 2 ท่าน ท่านแรกเป็นพระวัดป่า เมื่อถวายทานกับท่านแล้วจิตใจเบิกบานเปิดกว้างและเบาสบาย ถวายทีไรก็เป็นแบบนั้นทุกครั้งไป กับอีกท่านหนึ่งท่านเป็นฆราวาส เมื่อถวายทานกับท่านแล้วจิตใจไม่ได้ไม่เปิดกว้างเบาสบายเหมือนท่านแรก แต่รู้สึกหนักแน่นเป็นมวลพลังงานทางใจที่อิ่มเอิบยาวนาน และถวายครั้งใดก็เป็นแบบนั้นทุกทีเหมือนกันค่ะ

1.)การถวายทานกับผู้ทรงคุณ 2 ท่านนี้แตกต่างกับเพราะใจของผู้ถวายทาน หรือเป็นเพราะบารมีของท่านต่างกันคะ

2.)ทาน 2 แบบนี้ให้ผลที่แตกต่างกันอย่างไรคะ

3.) หนูมีปัญหากระดูกสันหลังคด ทำให้มัปัญหาด้านบุคลิกภาพ เกิดจากเหตุใดคะ และแก้ไขอย่างไรคะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ
สิ่งใดที่หนูได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ หนูกราบขอขมาลาโทษ และขออโหสิกรรมต่อท่านอาจารย์ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
(1) แตกต่างกันด้วยความศรัทธาที่เกิดขึ้นในใจของผู้ถวายทาน เป็นเหตุทำให้เกิดอาการดังที่บอกเล่าไป

(2) ผู้ที่ครองเพศเป็นนักบวช (พระสงฆ์) มีโอกาสที่จะพัฒนาจิตให้เข้าถึงอรหัตตผลได้และยังครองความเป็นมนุษย์อยู่ได้ ไม่มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ได้ พัฒนาจิตได้สูงสุดแค่เป็นพระอนาคามีเท่านั้น ดังตัวอย่างปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ก่อนบวชมีสภาวะจิตเป็นพระอนาคามี

ด้วยเหตุนี้ทานที่ถวายแด่พระสงฆ์ผู้เป็นอรหันต์ ผู้ให้ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งทานสูงกวาให้กับฆราวาสผู้เป็นพระอนาคามี

(3) เหตุมาจากกรรมเก่าส่งผลให้ต้องรับอกุศลวิบาก กระดูดสันหลังคด วิธีแก้ไข (บริหารกรรม) คือยอมรับความจริงว่าอดีตเคยได้ก่อหนี้เวรกรรมไว้กับผู้อื่น จึงต้องยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นไป ทำบุญใหญ่ (จิตตภาวนา) แลกหนี้ ด้วยการอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ทำดีหนีหนี้กรรมอื่นที่ยังตามให้ผลไม่ทันและสุดท้ายพัฒนาจิตเพื่อหนีหนี้เวร กรรมที่เหลือจนเข้าสู่นิพพาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามที่ท่านอาจารย์ได้เคยกล่าวว่าการนั่งสมาธิจะช่วยให้มีความจำดีขึ้น หนูอยากทราบว่าหากหนูเดินจงกรมแทนการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ หรือกำหนดจิตโดยใช้การยกมือ หรือการใช้วิธีตามดูจิต จะเสมือนการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจและช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วยหรือไม่

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
คลื่นสมองเปลี่ยนมาอยู่ในช่วงความถี่คลื่นสั้นซึ่งส่งผลให้เก็บความจำมาก ขึ้น ทั้งนี้เนื่องมาจากเหตุที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฉะนั้นอิริยาบถใดที่นำมาใช้พัฒนาจิตแล้วทำให้เกิดเป็นสมาธิขึ้นได้สามารถนำ อิริยาบถนั้นมาใช้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาที่คิดไม่ตกมาถามอาจารย์ค่ะ

แฟนหนูอยู่ต่างประเทศและเป็นมะเร็งสมอง หนูอยากไปดูแล แต่หนูมีภาระหน้าที่การงานที่ต้องทำอยู่ที่นี่ หนูควรจะลาออกจากงานแล้วไปดูแล แต่ก็เกรงว่าหลังจาก 6 เดือนที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศและกลับมาประเทศไทย หนูเกรงว่าหนูจะตกงานค่ะ เพราะตอนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว และหางานก็ไม่ใช่ง่ายค่ะ

หนูก็คิดว่าถ้าไม่ไปดูแล หนูคงจะเสียใจถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเค้า ฝากอาจารย์ให้คำแนะนำและชี้ทางสว่างค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
การเกิด การตายเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีใครสักคนสามารถนำพาชีวิตให้พ้นไปจาก วงจรนี้ได้ ดังนั้นผู้ที่คิดว่าจะต้องตายทีหลังและยังจำเป็นต้องดูแลชีวิตของคนอีกยาว ไกล จึงควรต้องประเมินผลได้ ผลเสีย ของการละทิ้งอาชีพที่ใช้เลี้ยงชีวิต เพื่อไปช่วยในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดช่วยได้ เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จึงต้องคิดให้รอบด้าน และตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งนี้เพราะชีวิตเป็นของตัวเองที่ต้องบริหารจัดการ ดูแลให้ดำเนินไปในแนวทางที่ตนปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีคำถามที่จะขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ในการที่จะปฏิบัติอย่างไรดีที่ จะสามารถช่วยคุณแม่ได้ เนื่องจากคุณแม่มีลูกหลายคน และมีหลานๆ ที่เกิดมาจากลูกๆ และมีการหย่าร้างของลูกๆ จึงทำให้ท่านเป็นห่วงทั้งลูก และหลานมาก จนกระทั่งปัจจุบันคุณแม่อายุย่างเข้า 73 ปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะสงบสุขได้เลย จิตของท่าน จะถูกเหวี่ยงไปตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่ลูก หลาน ชักนำเข้ามาทำให้ไม่สงบได้เลย ดิฉันพยายามปฏิบัติธรรม และอธิษฐานขอให้คุณแม่ได้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมบ้าง สักครั้งในชีวิตก็ยังดี แต่คุณแม่จะมีข้อติดว่าไปไม่ได้ เพราะห่วงหลานที่พี่ๆ นำมาฝากให้ดูแลตลอดเวลา และการดูแลหลานก็ดูเหมือนจะสร้างความหงุดหงิด ความเดือดร้อนแก่ท่าน แต่ท่านก็ยังต้องติดอยู่ในวังวนนั้น คือเหมือนจะบ่นว่าเหนื่อย แต่ก็ดูเหมือนอยากทำแบบนั้น แต่สภาพจิตใจของท่านที่เป็นอยู่นั้น แสดงถึงความทุกข์ใจอยู่เนืองๆ

ปัจจุบันดิฉันทำได้เพียงชวนพูดคุยให้ท่านสบายใจ ถ้าคุยเรื่องธรรมะได้ก็จะคุย เช่นเล่าว่าไปฟังพระอาจารย์อะไรมา แล้วท่านพูดอะไรบ้างให้คุณแม่ฟัง หรือชวนพูดคุยในเรื่องที่จะทำให้ท่านลืมความทุกข์จากเรื่องลูกเรื่องหลานไป ได้แค่ชั่ว ครั้งชั่วคราว พอสักพักท่านก็จะวกกลับไปเรื่องที่ทุกข์อีกเรื่อยๆ บางทีก็พูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ตั้งแต่เริ่มปัญหาเล่าได้ทุกครั้ง ไม่รู้จบ ดิฉันนำหนังสือธรรมะให้ท่านอ่านได้บ้าง แต่สายตาท่านไม่ค่อยดีแล้ว และ ถ้ามีโอกาสก็เปิดเทปธรรมะหรือวิทยุธรรมะของสังฆทานธรรมให้ฟังได้บ้าง แต่สังเกตว่าท่านไม่ได้ฟัง เพราะจิตท่านยังวนเวียนคิดอยู่แต่เรื่องปัญหาลูกหลาน พอปิดเทปท่านก็เริ่มพูดวกกลับไปเรื่องเดิมที่ติดพันอยู่นั้นเอง แต่ดิฉันก็ไม่กล้าไปเร่งรัดท่านมากค่ะ

จึงจะขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำดิฉันว่า ดิฉันควรจะทำอย่างไรได้บ้าง ควรจะทำบุญแบบไหนได้บ้างที่ลูก จะสามารถส่งกุศลผลบุญให้คุณแม่ให้ได้โอกาสที่จะเป็นอิสระ ได้ปฏิบัติธรรมหรือได้โอกาสที่จะมีชีวิตที่ไม่ใช่เป็นทาส ลูกหลานไปจนสิ้นชีวิตได้บ้างคะ



คำตอบ
สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน เมื่อหนี้เวรกรรมยังชดใช้ไม่จบสิ้น ผู้นั้นยังต้องทุกข์อยู่ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ถามปัญหาคิดจะช่วยแม่ให้ดีที่สุด ณ ขณะปัจจุบันคือ ตอบแทนคุณของแม่ด้วยการประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีต่อแม่ พร้อมทั้งทำตัวเองให้เป็นผู้มีศีล มีธรรม ประจำใจอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อใดหนี้เวรกรรมของแม่ที่ต้องชดใช้ให้กับลูกและหลานหมดสิ้นลง และกลับมาศรัทธาในพฤติกรรมของผู้ถามปัญหาแล้ว เมื่อนั้นจึงจะสามารถชวนแม่ให้เข้ามาสู่ธรรมที่คุณประสงค์จะมอบให้ท่าน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเป็นแพทย์อยู่รพ.รัฐบาลขนาดกลาง ที่รพ.ใช้ยาทั้งของบริษัทในประเทศและต่างประเทศ เมื่อหนูมาอยู่ใหม่ๆ มีตัวแทนขายยาบริษัทต่างประเทศซึ่งมักเป็นผู้หญิงสาวๆ หน้าตาดี พูดจาดี เข้ามาพูดคุยโฆษณาสินค้ายา แรกๆ ก็เอาขอกำนัลเช่นปากกา ตุ๊กตามาให้ ต่อมาก็มีการเชิญไปประชุมฟังวิชาการตามสถานที่ๆ น่าพึงใจหรูหราโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

หนูเห็นว่าหัวหน้าไป หนูก็เลยไปบ้าง คิดว่าเป็นการประชุมวิชาการ แต่ต่อมาพบว่าบริษัทยาเหล่านี้ไม่ได้หวังให้เรามีความรู้อะไรหรอก แต่เขาต้องการโฆษณายา และต้องการความสนิทสนมและผลประโยชน์ และพบความจริงว่า เขาจะเชิญเฉพาะผู้ที่ให้คุณให้โทษแก่ยาของเขาได้ เพราะเพื่อนคนอื่นๆ มิได้ไปเหมือนๆ กัน หนักเข้ามีการเชิญไปต่างประเทศ ฟรี การติดต่อไม่ได้ผ่านส่วนกลางของรพ. แต่จะมาติดต่อเป็นการส่วนตัว งุบๆ งิบๆ กัน มีหมอที่ทำอย่างนี้เยอะมาก

หนูมีความรู้สึกมานานแล้วว่ามันคือ สินบน ลาภอันได้จากตำแหน่งหน้าที่ แต่เห็นหัวหน้าทำ และใครๆ ก็ว่าเขาเป็นคนดี และเขาก็บอกว่า เราไปประชุมของเขา แต่เราไม่ใช้ยาเขาก็ได้นี่ หนูก็เลยทำตาม ว่าไปก็กิเลสของตัวเองด้วยแหละ หนูทำไปแล้วละค่ะ แต่เป็นเวลา 3 ปีมาแล้วที่หนูไม่รับเชิญอีกเลย หนูกลายเป็นอีสวนกระแส แต่หนูมาคิดดู ก็พบว่ามีหมออยู่จำนวนอีกจำนวนหนึ่ง ถึงจะน้อยที่ไม่เอา แต่ก็มีนะ

อาจารย์คะ หนูคิดถูกใช่ไหม ถ้าหนูรับเชิญไป แล้วหนูจะเป็นอย่างนักการเมืองท้องถิ่นที่รับซองเงินไหม คือเป็นเปรต การทำแบบนั้นจะได้รับโทษเช่นไร คือไปรับของที่เขานำมาเสนอ เอามาล่อ อย่างแรกที่หนูคิดออกคือสูญเสียการเป็นตัวของตัวเอง และทำอย่างไรเราจึงจะไม่โกรธเมื่อมีคนไปไปประชุม แล้วเราต้องทำงานแทน เพื่อนร่วมงานของหนูหลายคนก็มีความรู้สึกเดียวกัน แต่ไม่ได้พูดออกมา



คำตอบ
การไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนอกุศลกรรมเป็นความเห็นถูกของคนดี แต่คนไม่ดีเป็นเรื่องปกติที่ควรประพฤติคนไม่ดีมีจิตเป็นทาสของยศ ของตำแหน่ง ของคำสรรเสริญ ฯลฯ

ผู้ใดมองชีวิตได้ยาวไกลจะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นตัวขัด ขวางความก้าวหน้าของชีวิต ทำให้ชีวิตขาดอิสรภาพ ถูกมารดักจับผูกมัดไว้ชั่วคราวแล้วปล่อยชีวิตให้ลงสู่ภพต่ำเมื่อตาย

ฉะนั้นเมื่อผู้บังคับบัญชามอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติแทน หรือผู้ร่วมงานถูกมารนำตัวไปร่วมอกุศลกรรมแล้วคุณต้องทำงานมากขึ้น ต้องคิดให้ถูกว่าโอกาสเปิดให้เราได้ทำความดีจะได้ทำงานให้เกิดประสบการณ์กับ ชีวิต “ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ” เป็นสัจจธรรมที่จริงแท้แน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีความศรัทธาในปฏิปทาของท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก ขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ ก่อนที่ดิฉันจะแยกแยะออกว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของปลอม ดิฉันเหนื่อยยากกับการแสวงหาครูบาอาจารย์อยู่หลายปี ช่วงระหว่างนั้นจะได้หนังสือธรรมะบ้าง, รูปถ่ายพระอาจารย์, ไหมผูกแขน, เส้นเกศา ฯลฯ ทั้งได้ฟรี และเสียเงินเช่ามาโดยการทำบุญ ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ยิ่งมีมากยิ่งเป็นภาระอย่างยิ่ง จะเผาทิ้งเสียก็กลัวเป็นบาป เป็นเวรกรรม

กราบขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ผู้รู้จริงว่าควรทำอย่างไรดีคะ

คำตอบ
สิ่งใดที่มีเกินพอสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนควรสละหรือบริจาคให้ผู้อื่น ได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ผู้ใดทำได้แล้วถือว่าเป็นการสร้างบุญวิธีหนึ่ง ที่ผู้รู้นิยมทำกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ศึกษาธรรมมะและศรัทธาในพระธรรมของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่าง แท้จริงทั้งที่คิดว่าเอาเงินเอาทองมากองอยู่ตรงหน้าก็จะไม่แลกกลับชีวิต เดิมๆที่ผ่านมาแล้ว (ชีวิตที่ไร้ระเบียบ ไร้สาระ ไร้ประโยชน์) เพราะมีธรรมมะของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องนำทางที่ถูกต้องแล้ว แต่พอไม่ได้ฟังธรรมมะ(เสียงหลวงพ่อเทศ)หลายวันเข้ามันถดถอยมาเหมือนศรัทธา มันเริ่มคอนแคลน เช่น ตอนที่ศรัทธามากๆ แม้ยุงกัดก็จะไล่มันไป แต่พอห่างจากธรรมมะเข้า แม้มันบินอยู่เฉยๆยังตบให้มันตายเลย จึงอยากจะทราบว่าคนอื่นเขาเป็นกันอย่างนี้หรือไม่ และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างไหมครับที่จะทำให้ศรัทธามันเต็มเปี่ยมตลอดเวลาไม่ ให้มันย่อหย่อนลงไป (อีกกระผมยังทำสมาธิไม่ได้เลยพยายามทำแล้วแต่เข้าสมาธิไม่ได้สักที)


คำตอบ
คนที่ไม่ประมาทในธรรมของพระพุทธะ จะเจริญพละ 5 อยู่เสมอ เขาจึงไม่เป็นผู้เสื่อมไปจากธรรม เขาจึงรักษาธรรมของพระพุทธะไว้ได้ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์จะเป็นผู้ไม่เสื่อมไปจากธรรมที่เคยเข้าถึงได้ ต้องทำตัวเองให้มีศีล 5 คุมใจให้ทุกขณะตื่นแล้วเจริญพละธรรม 5 ประการอยู่เสมอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นปัญหาที่เก็บกดไว้ในใจจนแทบจะทนไม่ไหวแล้วครับ เพราะผมมีคำด่าลบหลู่ในใจต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระอริยะเจ้า พระรัตนตรัย ทั้งๆที่ในใจกระผม เคารพและนับถือทั้งพระอริยะเจ้า พระรัตนตรัย รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มิได้มีใจที่จะลบหลู่ดูถูกเลยแม้แต่น้อย แต่ใจยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พอเมื่อใดที่คิดคำด่าในใจต่อสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ผมก็จะทวนคำพูดในใจกล่าวขอโทษทุกครั้งไป จนมันทรมานแทบทนไม่ไหว เพราะผมกลัวบาปกรรมมากครับ กลัวจะไปตกนรกกลัวไม่ได้บรรลุธรรม กลัวจะไม่ได้เจอพระพุทธศาสนาอีก ทุกวันนี้ทรมานใจมาก เพราะรู้ว่าถ้าไปกล่าวคำหยาบต่อสิ่งศักสิทธิ์ยิ่งต่อพระอริยะเจ้าและยิ่งต่อ รัตนตรัย แล้วเป็นบาปมากๆเลย ผมจะกำจัดคำด่าเหล่านี้ไปจากจิตใจผมยังไงดีครับ ที่ผมอ่านเจอก็มีให้ทำแบบที่ อ.สนอง แนะนำนะครับคือ

• นำพวงมาลัยดอกไม้ขาวล้วน ธูป เทียน ไปกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ต่อองค์เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กล่าวถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดปรามาส ผลกรรมที่ได้รับและกล่าวคำปฏิญญาว่า “ บัดนี้ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้ว ขอองค์พระรัตนตรัยได้โปรดผูกโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่กระทำกรรมอันใด ที่จะเป็นเหตุล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกต่อไป ”
• นำตัวเองบวชเป็นโยคีปฏิบัติธรรมนาน 3 เดือน เพื่อชำระจิตวิญญาณให้ปลอดจากมลทิน
• รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์
• รักษาสัจจะให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น

วิธีการนี้จะทำให้จิตใจกระผมมันหายจากคำหยาบๆต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ใช่มั้ยครับ
แต่ถ้าเกิดมันยังเกิดขึ้นอีกละครับ ก็ต้องทำแบบที่อาจารย์แนะนำใช่มั้ยครับ
สิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย พระอริยะเจ้าพระรัตนตรัย จะรับรู้มั้ยครับว่าใจจริงไม่ต้องการกล่าวคำหยาบในใจเป็นเพียงแค่จิตของผม มันห้ามคิดไม่ได้ แต่ใจลึกๆจริงๆนับถือและเคารพยิ่ง
ผมมีความปรารถนายิ่งว่าชาตินี้จะพยายามปฏิบัติธรรม ให้ถึงมรรคผมนิพาน ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่หวังสูงเกินไปมากๆแม้ขณะนี้ผมก็ยังเป็นฆารวาสอยู่ ผมก็อธิฐานว่าสักวันในชาตินี้ผมจะมีโอกาสได้สละทุกสิ่งทุกอย่างทางโลกได้ โดยไม่มีภาระทางโลกที่ต้องเกี่ยวโยงกันอีกแล้วและได้เข้าสู่ธรรมขององสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกวันนี้ผมก็พยายามอยู่ในศีล 5 สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน และปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ

ขอให้อาจารย์สนอง วรอุไร โปรดชี้แนวทางในผมด้วยครับ ผมดีใจที่ได้พบกัลยาณมิตร เช่นอาจารย์สนองครับ บุญกุศลที่ผมได้กระทำมาโปรด ดลบันดาลให้อาจารย์ สนอง วรอุไร มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และมีอายุยืน เพื่อคอยชี้แนะแนวทางแก่มนุษย์ผู้ยังหลงอยู่ในวัฏสงสารต่อไปนะครับ

คำตอบ
ผู้ใดทำตัวเองให้เหมือน “ น้ำชาล้นถ้วย ” การแก้ปัญหาชีวิตจะไม่สัมฤทธิ์ผล และหากผู้ใดทำใจให้เหมือนถ้วยน้ำแล้วปฏิบัติตามคำแนะนำโดยไม่สงสัยด้วยใจ เต็มร้อย ความสำเร็จในการแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นได้กับผู้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันกราบเรียนปรึกษาอาจารย์ด้วยความเคารบอย่างยิ่ง ที่ต้องการหาทางออกของการแก้ปัญหาทางจิตของดิฉัน ดิฉันถูกแฟนทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่ ดิฉันต้องนอนผวากับเสียงที่ตะโกนด่าดิฉีนว่าเป็นผู้หญิงใจง่าย งี่เง่า ไล่ให้ไปยังไงก้อไม่ไป ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาเค้าเลย ทั้งๆที่เราคบกันมา 10 ปี ดิฉันดูแลเค้าที่ป่วยมาตลอด 3ปี ที่เค้าป่วยเก็บล้างทำความสะอาด อุจาระ ปัสสาวะ ต่างๆ ทำทุกอย่างเพียงแค่ให้เค้าหายดี แต่เมื่อเค้าหายป่วย เค้าก้อไปทำผู้หญิงอื่นท้อง ไม่นานเค้าก้อเลิกลากับผู้หญิงคนนั้น จากนั้นเรากลับมาคบกันใหม่ และเค้าก็แอบไปคบกับผู้หญิงอื่นอีก และทำเลวๆอีกหลายอย่าง และเค้าก้อจากดิฉันไป กับความทรงจำที่สุดจะปวดร้าว นี่เป็นเวลา 5 ปี แล้วที่ดิฉันต้องนอนร้องไห้และสะดุ้งขึ้นมากลางดึกกับเสียงที่แว่วเข้ามาใน หู จนกระทั่งได้มาศึกษาธรรมะได้ 4 เดือน ดิฉันรู้สึกดีขึ้นมากไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว ดิฉันดีใจมากคะ จนกระทั่งวันนี้ดิฉันได้รู้ข่าวว่าเค้ามีอนาคตที่ดี มีการงานที่ดี ดิฉันกลับโกรธแค้น ที่คนทำความเลว ทำให้ชีวิตดิฉันต้องทนทุกทรมาน แต่เค้ากลับมีชีวิตที่เจริญ ขึ้น และแล้วดิฉันก้อกลับมาได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง นอนไม่หลับ ได้แต่ร้องไห้ และท้อใจที่จะทำความดี เพราะเหตุที่ว่า ทำดีกับเข้ามากขนาดนี้ ทำไมชีวิตดิฉันถึงได้มีแต่ความเศร้า เหงา ไม่มีมีคู่ ดิฉันสับสน และท้อไม่รู้ว่าจะตั้งสติ เริ่มต้นยังไงดี คิดว่านี่เป็นกรรม และไม่อยากต้องมาชดใช้กรรมกันไปอีกหลายชาติ จะตัดมันออกไปจากจิตใจได้อย่างไร รบกวนอาจารย์แนะนำด้วยคะ

กราบขอบคุณคะ

คำตอบ
ตราบใดที่อกุศลวิบากยังไม่เลิกแสดงผลผู้เสวยวิบากที่มีความเห็นผิด ย่อมประสบกับความทุกข์กายทุกข์ใจเป็นธรรมดา ความทุกข์นั้นจะหมดไปได้ต่อเมื่ออกุศลวิบากหยุดให้ผลหรือผู้รับอกุศลวิบาก ได้พัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งส่องนำทางให้กับชีวิต ความมีจิตเป็นอิสระจากความทุกข์จะเกิดขึ้น ดังตัวอย่างของอิสินาสี ผู้ถูกสามีถึงสามคนปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม ได้พัฒนาจิตตนเองจนพ้นไปจากความทุกข์ได้หมด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดิมคุณแม่ของหนูมีรายได้พอไม่เดือดร้อน ท่านอายุ72 ลูกที่ยังอยู่กัยท่านก็ให้เงินท่านก็แค่เพียงค่าใช้จ่ายของเค้าเพราะลูกไม่ ได้มีรายได้มาก ส่วนพี่ชายแต่งไปแล้วแต่ปัจจุบันไม่มีงานทำมานาน3 ปีแล้ว ตอนนี้อายุ45 ปี ปัจจุบันแต่งงานแล้วมา 2ปีกว่าแล้ว มีลูก1 คน อายุ 2ปี ลักษณะนิสัยของพี่ชายเรื่องนอนเรื่องใหญ่ นอนดึกเที่ยงคืนขึ้นไป ตื่นสาย 10-11 โมง ช่วงที่มีงานทำชอบไปสาย แต่กลับช้ากว่าคนอื่น เค้าคิดว่าทดแทนกัน ไม่นานก็ออกเพราะเค้าไม่ค่อยอดทนกับงานที่มีความกดดัน พอมีลูกก็ดูแลได้ไม่ดี เช่นลูกร้องไม่ยอมตื่นมาให้นมปล่อยให้ลูกร้องนานมาก(ส่วนแฟนเค้าไปทำงาน) ทำให้แม่หนูห่วงหลานมากเลยชวนเค้ามาอยู่บ้านเดียวกันจนตอนนี้ก็สองปีกว่า แล้ว

ปัญหาคือ ปัจจุบัน(17/04/08) แม่เริ่มเครียด เพราะข้าวยากหมากแพงภาระที่บ้านเยอะขึ้นเพราะแม่ต้องจ่ายทุกอย่างในบ้าน ในขณะที่แฟนเค้าไม่เคยจ่ายค่าใช้จ่ายในส่วนเฉพาะของตัวเค้าเลย ทั้งที่เค้ามีรายได้มากกว่าแม่หนูอีก (พวกเค้าไม่รู้น่ะว่าที่บ้านเรารู้ว่ารายได้เค้าเยอะ แต่เค้ามักจะบอกว่างานไม่ดีเงินไม่ดี) อยู่ฟรีกินฟรีมาตลอด แฟนเค้าเป็นคนกินดุมากคือเยอะมากๆ ใครเห็นก็งง หนูเห็นแม่เครียดทนไม่ไหว เลยไปคุยกะพี่ชายให้บอกแฟนจ่ายค่าใช้จ่ายเฉพาะของเค้าซึ่งไม่ว่าเค้าจะไป อยู่ที่ไหนก็ต้องมีค่าใช้จ่ายนี้อยู่แล้วเพราะคนเรามันต้องกินต้องใช้เพื่อ ช่วยลดภาระแม่ ทำไมคนมีรายได้ต้องให้คนแก่มาเลี้ยงอีก แต่เค้าบอกว่าเค้าเป็นสามีจะไปบอกให้เฟนจ่ายค่าใช้จ่ายเฉพาะของตัวเมียเค้า ไม่กล้าพูด เป็นสามีต้องมีหน้าที่จ่ายให้แฟน นั้นก็หมายความว่าแม่หนูต้องจ่ายเพราะเค้าไม่มีรายได้ (ในส่วนของตัวเค้าและหลานแม่หนูออกให้อยู่แล้วเพราะเค้าไม่มีรายได้) เค้าบอกว่าที่มาอยู่ที่นี้เพราะแม่เรียกให้มาอยู่เอง เค้าไม่ยอมรับว่าเค้าเลี้ยงลูกบกพร่องแม่เลยต้องให้มาที่บ้าน แล้วเค้าก็บอกว่าหนูมาพูดแบบนี้หนูเป็นคนใจแคบมากๆ เค้าเริ่มไม่ชอบหนูแล้ว หนูเลยหยุดพูดเพราะกลัวทะเลาะกัน แล้วขอโทษเค้าที่ทำให้เค้าเครียด

คำถาม หนูอยากถามว่าหนูควรทำใจกะเรื่องนี้อย่างไรให้อยู่ได้อย่างเป็นสุข หนูอึดอัดมากค่ะ เพราะต้องอยู่กันอย่างนี้กันไปอีกนานมันเป็นปัญหาที่ต้องเห็นทุกวัน เค้าเบียดเบียนแม่หนูอยู่หรือเปล่า แม่หนูมีโรคเยอะเช่นหัวใจ หนูยิ่งห่วงถ้าเค้าเครียด (แต่ถ้าเค้าออกไปอยู่กันเองเค้าจ่ายได้น่ะค่ะแปลกไม๊ค่ะ)

ขอขอบพระคุณค่ะที่สละเวลาให้

คำตอบ
ที่ถามไปเป็นเรื่องของการาชดใช้หนี้เวรกรรม ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ ซึ่งต้องชดใช้กันจนกวาหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น เรื่องนี้จึงจะยุติ ส่วนผู้ถามปัญหาในฐานะลูก ผู้รู้เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ผู้เป็นลูกสาวมีครูดี (ลูกสะใภ้) อยู่ใกล้ เพราะเขาสอนให้ผู้ถามปัญหาได้ปฏิบัติขันติบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของอุเบกขาต้องอยู่บนพื้นฐานของการช่วยเหลือผู้เป็นแม่ เท่าที่ตนเองสามารถช่วยได้ ส่วนในเรื่องที่ช่วยไม่ได้ต้องปล่อยวาง แล้วอุเบกขาบารมีจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูนับถือหลวงพ่อฤาษีและเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรฯ มาก บ้านเพื่อนรักคือบ้านสายลม ส่วนเสด็จในกรมฯ หนูรู้สึกว่ารักท่านมากโดยไม่มีเหตุผล มาทราบทีหลังจากคุณแม่ว่า คุณปู่เป็นนักเรียนของท่าน วันหนึ่งหนูมีทุกข์ได้ไปกราบร่างของหลวงพ่อฤาษีที่ใส่โลงแก้วไว้ที่วัดท่า ซุงเล่าให้ท่านฟังว่า เพื่อนจะลาออกจากงาน หนูเศร้า เช้าวันรุ่งขึ้นแรกทันทีที่ลืมตา มีเสียงทางใจบอกว่า "ตอนมาก็ไม่ได้มาด้วยกัน ตอนไปก็ต่างคนต่างไป ใครจะทำอะไรก็..." จำไม่ได้หมด ตอนแรกคิดว่าคิดไปเอง แต่ก็ยังสงสัยว่า เราจะคิดอะไรฉลาดๆ แบบนี้ได้หรือ กัลยาณมิตรบอกว่าเป็นสัญญาเก่า แต่หนูว่าหนูไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก

ต่อมาเวลาหนูมีปัญหา หนูชอบไปจุดธูปเล่าเรื่องยาวให้เสด็จฯ ฟัง คือนิสัยไม่ดี ยังพัฒนาใช้ปัญญาตัวเองแก้ไขปัญหาไม่ออก ก็ได้คำตอบเสมอ แต่เป็นคำๆ สั้นๆ ตอนแรกหนูไม่แน่ใจ และไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะช่วงนั้นมีเรื่อง หมอประกิตติเผ่าที่มีหูแว่ว ที่ได้ชัดมากเป็นประโยค ก็ตอนที่ไปไหว้เสด็จฯ ที่ศาลายา แล้วทะเลาะกับสามีเรื่อง U-turn พอปักดอกกุหลาบเสร็จ มีคำผุดมาว่า " อีบ้า ที่หลังอย่าดื้อกับสามี" คราวนี้แน่ใจว่าไม่ใช่สัญญาเก่าแน่ๆ

คำที่หนูได้ยิน ไม่ได้ยินทางหูค่ะ คือมันค่อยๆ เคลื่อนออกมาทางใจ แบบผุดๆ และเร็วมาก แต่ก่อนท่านมาตอนตี 2 จะมีแสงสีขาวๆเงินๆเป็นประกายสีรุ้งสวยมากเลย บางทีเป็นสีเหลืองแบบเสื้อเหลืองในหลวง และครั้งแรกเลยมีกลิ่นดอกเขี้ยวกระแตหอมมาให้ห้อง หนูก้มลงกราบเลย เสียงที่หนูได้ยินทางใจให้คำตอบฉลาดๆ หนูเข้าข้างตัวเองว่าอาจเหมือนที่อาจารย์ว่าคือ มีอาจารย์ดีมาสอน ถ้าเราจูนเครื่องรับเขาได้ เราก็จะติดต่อกับเขาได้ หนูไม่ได้มีเจตนาอวดอ้างอะไร คือช่วงนี้ท่านหายไป หนูคิดถึงท่าน เข้าใจเอาเองว่าช่วงนี้หนูโกรธคน ไม่สามารถสลัดออกจากใจได้ สมาธิเราจึงไม่ดี คำถามของหนูคือ ที่อาจารย์ว่าถ้าเราจูนคลื่นสมาธิให้ตรงกับเขา เราจะรับเขาได้ ความโกรธพวกนี้ จะทำให้คลื่นความถี่เราไม่ดีใช่หรือไม่ แล้วทำไมคนไม่ดีๆ เช่นพวกหมอผี พระเทวทัต ก็มีกิเลสมาก มีพยาบาท ทำไมเขาจึงมีอภิญญา คนมีอภิญญาต้องมีสมาธิละเอียดใช้หรือไม่


คำตอบ
กัลยาณมิตรบอกว่าเป็นสัญญาเก่านั้นถูกต้องแล้วการคิดว่า ตัวเองไม่คลาดขนาดนั้น เป็นความคิดที่ผิด (มิจฉาสังกัปปะ) ควรลบให้หมดไปจากใจ

ส่วนคำที่ผุดออกมาจากการระลึกได้ของจิตว่า “ ทีหลังอย่าดื้อกับสามี ” ก็เป็นสัญญาเกาอีกนั่นเอง

ความโกรธเป็นกิเลสตัวใหญ่ ใครผู้ใดมีจิตขาดสติ รับเอาสิ่งกระทบที่ขัดใจมาปรุงเป็นอารมณ์โกรธ จะทำให้จิตสูญเสียพลังส่งผลถึงความถี่คลื่นจิตไม่คงที่ ความตั้งมั่นของจิตจะไม่เกิดขึ้นได้

ปุถุชนสามารถเจริญสมถภาวนา จนจิตตั้งมั่นเข้าสู่ระดับฌานได้เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้ว โลกิยอภิญญาย่อมเกิดขึ้นได้ หมอผีหรือพระเทวทัตยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชน คือยังไม่สามารถกำจัดกิเลส (พยาบาท) ให้หมดไปจากใจได้ ขณะเวลาใดที่กิเลสมีกำลังอยู่เหนือกำลังของสติ พฤติกรรมไม่ดีย่อมเกิดขึ้นได้ ดังที่พระเทวทัตได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ผมเคยมีสัญญาและสาบานว่าจะรักกันกับคนรักมาก่อนเพราะถ้าไม่ทำตามนั้น ชีวิตจะประสบแต่สิ่งไม่ดี จะมีวิธีใดบ้างครับที่ถอนคำสาบานนั้นเพราะปัจจุบันผมไม่ได้ทำตามนั้นโดยมีคน รักใหม่ และผมได้ปรับปรุงตัวใหม่ว่าจะรักเดียวใจเดียวอยู่ในศีล 5 ครับ

2.เมื่อตอนบวชเณรได้สำเร็จความใคร่ตัวเองตอนนั้นอายุประมาณ 10 ขวบ บาปมากมั้ยครับ และตอนบวชพระเมื่ออายุ 23 บวชให้พ่อแม่ครับประมาณ 14 วัน เผลอไปดูหนังโป้แค่แว้บเดียว แบบนี้บาปมากมั้ยครับผมรู้สึกสำนึกผิดจะมีวิธีใดบ้างเพื่อให้ผลกรรมเบาบางลง ไม่อยากไปเกิดในอบายภูมิ

3.ตอนบวชพระและเณร ปัจจัยต่างๆที่ได้พอตอนสึกผมได้นำเงินนั้นมาใช้ส่วนตัวแบบนี้บาปมากมั้ยครับ ปัจจุบันผมได้ทำบุญอยู่เป็นประจำและได้อธิฐานจิตว่าขอใช้หนี้สงฆ์ที่ได้เคย นำเงินมาใช้ แบบนี้จะพอลดกรรมได้มั้ยครับ ขอได้โปรดให้ อ.สนอง วรอุไร แนะนำด้วย

ผมสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดและตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติธรรมไปจน ตลอดชีวิต หากแม้ว่าได้มีโอกาศบวชก็จะขอบวชตลอดชีวิตจะดำเนินตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธ เพื่อสู่ความหลุดพ้น (นิพพาน)


คำตอบ
(1) คำสัญญาและคำสาบาน หากได้ร่วมกระทำไว้แล้วกับบุคคลอื่น หากประสงค์จะถอนคำสัญญาและคำสาบาน ต้องไปกล่าววาจาบอกเลิกกับผู้ร่วมกระทำ หากผู้ร่วมกระทำเห็นดีด้วย และยกเลิกคำที่ให้ไว้แก่กัน กรรมดังกล่าวจะเป็นอโหสิกรรม แต่หากผู้ร่วมกระทำไม่เห็นดีด้วย และไม่ยอมยกเลิกกรรมที่เคยทำไว้แก่กันคำสัญญาและคำสาบานยังมีโอกาสให้ผลอยู่

(2) เป็นบาปทั้งสองกรณี ถามว่าจะบาปมากหรือไม่อยู่ที่ใจเก็บบันทึกข้อมูลกรรมไว้เหนียวแน่นหรือไม่ ผู้มีจิตบริสุทธิ์ทำกรรมใดไว้แม้เพียงเล็กน้อย จิตจะเก็บบันทึกข้อมูลกรรมไว้อย่างเหนียวแน่น

ผู้ใดดำรงชีวิตอยู่ในเพศของนักบวชในพุทธศาสนา ต้องนำตัวเอาเข้าปริวาสกรรมแล้วปฏิบัติตามข้อบัญญัติของวินัยสงฆ์ แต่หากอยู่ในเพศฆราวาส ให้ไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วต้องไม่ประพฤติผิดเช่นนั้นอีก กรรมไม่ดีที่ทำไว้ก่อนแล้วจึงจะมีโอกาสหมดไปได้

(3) ฆราวาสมีเจตนาถวายปัจจัยให้แก่สงฆ์และเณรเพื่อนำไปใช้ในจิตของนักบวช เมื่อสึกมาเป็นฆราวาสแล้วหากได้นำปัจจัยนั้นมาใช้เป็นการส่วนตัวของฆราวาส ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดเจตนารมณ์ของผู้ถวาย หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยพูดไว้ว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการ “ ย้ายฐานาเจดีย์ ” ให้ผลเป็นบาป ส่วนจะบาปมากหรือบาปน้อย ให้อ่านคำตอบในข้อ (2) ดังนั้นสิ่งที่ผู้ถามปัยหาได้กระทำลงไปจึงเป็นบาป

ปัจจุบันผู้ถามปัญหาได้ทำบุญอยู่เป็นประจำ กรรมที่ทำจะให้ผลเป็นบุญ ซึ่งบุญและบาปเป็นคนละส่วนกัน จึงไม่สามารถลดกรรมไม่ดีที่ได้ทำไว้แล้วได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 43, 44, 45, 46, 47, 48, 49 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร