วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 04:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 50, 51, 52, 53, 54, 55, 56 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ฟังบรรยายเรื่องอฐิษฐานบารมี ของท่าน ท่านได้ใช้บทกรวดนำเช้า ปัฏฐะนะฐะปะนะคาถา (คาถาเป็นที่ตั้งแห่งความปราถนา) ใช่หรือไม่ค่ะ

ดิฉันใช้วิธีฟังบรรยายของท่าน เพื่อกระตุ้นตนเองในการปฏิบัติ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นนั่งสมาธิให้จิตนิ่ง (อย่างน้อยที่สุดได้สวดมนต์ แต่ก็ยังออกเสียงดังไม่ได้) จากการไม่สัปปายะ แต่มีพื้นฐานในการอยากทำดี ทั้งการคิดและการพูด และนำคำสอนในการบรรยายของอาจารย์มาใช้ในเรื่อง การที่มีคนมาเบียดเบียนทั้งกาย วาจา และใจก็ถือว่าเขาเป็นครู เป็นกรรมของเราที่เคยทำกับเขาแบบนี้ และมุ่งมั่นทำดีต่อไปไม่ท้อ เพราะเชื่อเรื่องธรรมะจัดสรรค่ะ ถ้ามีกิเลสอะไรที่รบกวนจะกลับไปฟังการบรรยายของอาจารย์ทั้งเก่าและใหม่ เพื่อกระตุ้นตนเองให้ทำดีต่อไปไม่ท้อค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาแนะแนวชีวิตที่ดีให้ค่ะ



คำตอบ

ปัฏฐานปนคาถาเป็นบทกรวดน้ำเพื่ออุทิศบุญกุศล แล้วอธิษฐานให้ตนเอง ได้เข้าถึงโลกุตตรธรรม (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1) คำว่าตนเองหมายถึงผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อถึงในคำบรรยาย ซึ่งท่านเหล่านั้นปรารถนาสภาวะพ้นโลก สาธุ ทำดีแล้วจงทำต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ติดตามผลงานและระลึกถึงคำสอน คำแนะนำจากท่านเสมอค่ะ แต่มีข้อสงสัยจะเรียนถามท่านดังนี้ค่ะ ขอความกรุณาอธิบายเพื่อดิฉันได้ไปบอกกับท่านอื่นๆที่สงสัย

1. ดิฉันได้อ่านหนังสือเสียงจากนรกภูมิค่ะ เป็นประสบการณ์ที่พบว่ามีเปรตที่เป็นบรรพบุรุษขึ้นมาจากนรกตอนทำบุญเดือนสิบ เพื่อมาเตือนลูกหลานไม่ให้ทำความชั่ว มีเปรตท่านหนึ่งบอกว่า ตอนเป็นมนุษย์ชอบทานเนื้อวัวมาก แต่ไม่ได้ฆ่าเอง คือซื้อมาทาน เมื่อตายไปเป็นเปรต(คือทำผิดศีลข้ออื่นมากๆด้วยค่ะ)แล้วสาเหตุที่ทานเนื้อ ก็เลยต้องทานเนื้อตัวเอง ควักไส้ พุงตัวเองมาทาน
ดิฉันจำคำที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าเราไม่ได้บงการฆ่า ไม่ได้รู้เห็น หรือเจตนาฆ่า และเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงนั้นเป็นเพียงศพ ไม่ถือว่าผิด แล้วทำไมจึงต้องรับกรรมทานเนื้อตัวเองอย่างทุกข์ทรมานค่ะ

2. ดิฉันเรียนจบปริญญาตรีและได้บรรจุทำงานทันทีเป็นเวลา 12 ปีแล้วค่ะ ดิฉันหวังจะลาศึกษาต่อระดับปริญญาโทตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ทางบ้านก็ต้องการให้เรียนต่อเลยหลังจบปริญญาตรี แต่ดิฉันสงสารพ่อแม่ที่ต้องส่งดิฉัน ดิฉันปฎิเสธแล้วสอบบรรจุข้าราชการทันที หลังจากทำงานก็มีความตั้งใจจะเรียนต่อค่ะ แต่เนื่องจากคุณแม่อายุมากแล้วและมีโรคประจำตัวมากมาย ดิฉันจึงย้ายมาทำงานที่บ้านเพื่อดูแลท่านหลังจากนั้นคุณแม่เสียไป 3 ปีแล้ว เหลือแต่คุณพ่อ ท่านก็มีโรคต่างๆเหมือนคุณแม่ดิฉันก็ไม่มีโอกาสเรียนต่อ ทั้งที่สามารถเรียนต่อได้ แต่ดิฉันรู้ว่าท่านต้องคิดถึงดิฉันหากดิฉันไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เพราะแค่ดิฉันไม่ได้มาหาท่านบางอาทิตย์ท่านก็ถามถึง คุณพ่ออยู่กับพี่สาวค่ะ ความจริงทางบ้านมีพี่น้องหลายคน มี 5 คนที่อยู่จังหวัดเดียวกับคุณพ่อค่ะ ดิฉันเป็นคนสุดท้องค่ะ ซึ่งถ้าดิฉันลาศึกษาต่อ ก็มีพี่ๆ ช่วยดูแลท่านได้ แต่ดิฉันไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้มีส่วนดูแลท่านบ้าง เพราะดิฉันคิดว่าลูกแต่ละคนนั้นแทนกันไม่ได้ ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้เป็นลูกรักของพ่อก็ตามค่ะ เมื่อก่อนดิฉันอดน้อยใจไม่ได้ แต่ได้คำสอนคำเตือนให้คิดได้จากท่านอาจารย์สนองทำให้ดิฉันไม่คิดถึงเรื่อง นั้นเลยค่ะ

จึงเรียนถามว่าดิฉันควรลาเรียนศึกษาต่อไหมค่ะ ความจริงคุณพ่อก็ถามบ่อยๆว่าเมื่อไหร่จะเรียนต่อ ท่านอยากให้เรียนต่อค่ะ แต่มหาวิทยาลัยที่จังหวัดไม่มีสาขาที่ดิฉันอยากเรียน เพราะถ้าเรียนไปเพื่อแค่ได้ปริญญาบัตรแค่นั้นดิฉันไม่ต้องการค่ะ

ขอขอบพระคุณที่ท่านได้ให้คำแนะนำและความเห็นที่ถูกต้องค่ะ

คำตอบ
(1) ผู้ทานเนื้อสัตว์ นอกจากมิได้บอกให้ผู้อื่นฆ่าเพื่อตนเอง ไม่ได้รู้เห็นในการฆ่า ไม่สงสัยว่าผู้อื่นฆ่าสัตว์เพื่อเราและรู้ว่าเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหาร เป็นเพียงซากศพที่ทิ้งไว้แล้วผู้บริโภคเนื้อสัตว์นั้นไม่ถือว่าผิดศีลข้อ ปาณาติบาต แต่หากสัตว์ที่ถูกฆ่า ผูกอาฆาตไว้ก่อนตาย กับผู้เอาเนื้อของเขาไปกินต้องถือว่าผู้บริโภคเป็นบาปที่ถูกจองเวรจากจิต วิญญาณที่เคยเป็นเจ้าของซากศพนั้น

(2) หากคุณพ่อปรารถนาจะให้ผู้ถามปัญหาเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ควรทำตามที่ท่านปรารถนา และต้องเรียนให้ได้ผลสำเร็จแล้วจึงค่อยกลับไปดูแลท่านเหมือนพี่น้องคนอื่น ๆ ได้ดูแลอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปํญหาที่จะเรียนถามท่านว่า การทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชา และ ทำความสะอาดองค์พระ เป็นบาป ไหม และสามารถทำได้ไหม เพราะทุกวันพระดิฉันต้องทำความสะอาดทุกครั้ง แต่บังเอิญมีคนมาทักว่า เป็นผู้หญิง ทำความสะอาดหิ้งพระและองค์พระไม่ได้ เป็นสิ่งที่ค้างคาใจ และกังวลมาก ถ้าได้คำตอบจากท่านก็ จะได้นำ ไปบอกให้เพื่อนๆ บางคน ทราบด้วย

ขอบพระคุณท่านมากที่ให้ความกระจ่าง

คำตอบ
การทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชาและองค์พระพุทธปฏิมากร เป็นเจตนาดีที่ควรทำเพราะทำสำเร็จแล้วได้บุญตรงที่มีความสุขใจเกิดขึ้น

ส่วนคนที่มาท้วงทักวาเป็นผู้หญิงทำความสะอาดหิ้งพระและ องค์พระไม่ได้ เป็นความเห็นถูกของผู้ท้วงทัก แต่ไม่ถูกตามความเห็นของผู้รู้ ที่รู้ว่า บุญคือความดี คือกุศล คือความสุข เหล่านี้เมื่อใดเกิดขึ้นแล้วกับใจของผู้ทำกรรมดีถือว่าผู้กระทำเป็นผู้ได้ รับบุญนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอรบกวนเวลาอาจารย์ ให้ช่วยเเนะนำวิธีที่จะ....

เป็นไปได้ไหม ที่คนเราจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำ อะไรบ้างตลอดเวลา

หมายถึงว่า รู้สึกว่า ไม่ค่อยรู้ตัวเลยว่า วันหนึ่งได้ทำงานอะไรไปบ้าง คือ ทำได้ นะคะ เเต่ทำเพราะว่า เคยชิน เช่น ขี่รถเครื่องออกไปข้างนอก ถามว่า รู้ไหมว่าไปไหน รู้นะ มีสติหรือเปล่า ไม่ทราบ ค่ะ เเต่ก็ไม่เคยโดนชน ขี่เร็ว ช้า บ้าง

หนูได้อ่านหนังสือของอาจารย์ ซึ่งกล่าวว่า คนเรามีสติ 7 % ขาดสติ 93 % เเต่หนูว่า ตัวหนูน่าจะขาด 100 ค่ะ เพราะเวลาพูด / ฟังอะไร จะ มีคนบอกตลอดว่า หนูฟังไม่ได้ศัพท์ ฟังผิด ๆถูกๆ ทำอะไรก็เบลอ มั่ว ของง่ายๆ ก็ทำดูยากเเละสับสน เช่น วันเสาร์ที่ผ่านมา หนูไปองค์พระ -วัดพระปฐมเจดีย์ เพื่อทำบุญพิธีเทกระจาด กับเพื่อน อาจารย์คะ งานง่ายๆ เเค่ซื้อข้าวสาร 1 กระสอบใหญ่ เเล้ว บอกให้เเบ่งเป็น 10 ถุงเล็ก เเละเขียน ชื่อผู้บริจาค+อุทิศให้ใคร เเค่นี้ .... เเต่หนูคิด/ทำไม่ได้ ทำสับสน วุ่นวาย จนเพื่อน ตำหนิ +ไม่เข้าใจ + เซ็ง + งง +โมโห + ไม่เข้าใจ ว่า หนูทำไม ยูทำให้มันยุ่งยาก จัง

อาจารย์คะ ตลอดชีวิต อายุ 30 ขอบ ก็ดำเนินมา มั่ว ๆ +มั่ว กว่า นี้ อย่างนี้ค่ะ อีกทั้งยังขี้ลืมเอามากๆ รู้สึกสมองไม่ค่อยจำอะไรเลย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ นี้/ประมาณนี้ ที่เป็น มั่วของตัวเองก็ น้ำตาไหล เหมือนร้องไห้ เสียใจมาก / ขณะที่เขียนถึง อาจารย์ หนูน้ำตาไหลเป็นทางเเล้ว ค่ะ

อาจารย์คะ ทำไม การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันยากจัง หลังจากที่เเม่เเละน้องสาวของหนูเกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตทั้งคู่ เเล้ว

หนูเริ่มรู้สึก ว่า ชีวิตเดินมาทุกวันนี้ ไม่รู้เดินมาได้อย่างไร ไม่เคยคิดอะไรเลย ไม่มีอะไรในหัวเลย คิดอะไรไม่เป็นเลย
เเฟนที่เคยคบอยู่ก็ รับไม่ได้ ว่า เฮ้อ เราจะดำเนินชีวิตคู่อย่างไรเนี่ย จะรอดเหรอ จะ ยังไงเนี่ย เราห่างกันดีไหม

อาจารย์คะ หนูจะทำอย่างไรดีคะ กับชีวิตที่เหลืออยู่ค่ะ หนูคิดเสมอนะ ว่า ทำไมวันนั้นไม่เป็นหนูที่ไป เเทนที่จะเป็นน้องสาวที่พึ่งจะ 20 ขวบ

ทุกคนเห็น / เจอ / รู้จัก หนู ต้องพูดว่า เธอไม่มีสติ ดูเหมือนสมองว่างเปล่า ไม่มีอะไรในหัวเลย

อาจารย์คะ เเรกๆ หนูได้ยิน ก็เฉยๆ ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เเป๊บเดียวก็ลืม เเต่พอเกิดเรื่องเเม่+น้อง มันไม่ใช่ เเล้ว หนูพึ่งเริ่มคิดได้ว่า ทำไม ฉันไม่เหมือนคนอื่นเหรอ ฉัน เป็นตัวประหลาด เหรอ

หลังเกิดเรื่องเเม่ หนูก็เริ่มรู้สิก ว่า เราคิดต่างจากเมื่อก่อน พึ่งรู้ว่า พระคุณเเม่นี่ใหญ่หลวงมาก ๆ เเม่ทำให้เรา -ลูก ทุกอย่างจริงๆ ทำไมตอนเเม่อยู่ เราไม่เคยทำอะไรให้เเม่เลยได้มากที่เเม่ทำให้เลย

อาจารย์ เป็นไปได้ไหมที่จะมีโอกาสที่จะได้คุยกับเเม่ สักครั้ง 1 หนูอยากจะขอโทษเเม่ในสิ่งที่หนูทำ/ประพฤติตัวไม่ดี ไม่เชื่อฟังเเม่ พูดไม่จริงกับเเม่ ดื้อ เถียง ..........

อาจารย์คะ ตอนนี้หนูสวดมนต์ พยายามทั้งเช้า + เย็น ค่ะ + นั่งสมาธิ สัก 15-30 นาที อาจารย์ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น ยังเหมือนเดิม หรือเเย่ลงอีก ตามเพื่อนบอก

อาจารย์คะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ หนูนึกเสมอว่า วันนี้ของปีหน้า ฉันคงไม่เป็นเเบบนี้นะ

ขอโทษค่ะ ถ้าเรื่องของหนูทำให้อาจารย์เสียเวลาค่ะ



คำตอบ
ถามไปว่าทำอย่างไรดีกับชีวิตที่เหลืออยู่ตอบว่าทำอย่าง ที่เคยทำ คือตั้งใจสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น พยายามสวดให้ได้ทุกวันสวดด้วยใจจดจ่อ ต้องรู้ความหมายของบทที่สวด(หาหนังสือที่มีคำแปลมาอ่าน) สวดช้า ๆ ชัด ๆ ให้คำสวดมนต์ซึมเข้าไปถึงใจหลังสวดมนต์เสร็จ ต้องนั่งสมาธิ 15-30 นาทีทุกวัน และสุดท้ายหลังนั่งสมาธิแล้วเสร็จให้อุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับแม่และน้อง สาวที่ตายไปทำให้ได้เช่นนี้ทุกวันโดยมีสัจจะคุมใจ แล้วการสวดมนต์และนั่งสมาธิจะศักดิ์สิทธิ์เกิดมรรคผลที่เป็นกุศลได้ง่าย

ผู้ถามประสงค์จะได้พูดคุยกับแม่สักครั้ง มีโอกาสเป็นได้หากกำจัดความอยาก (ตัณหา) ให้หมดไปจากใจ แล้วพัฒนาจิตตนเองให้มีศีลห้าคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่นและพัฒนาจิตจนตั้งมั่น เป็นสมาธิในฌานนำจิตออกจากฌานแล้วอธิษฐานขอพบและได้พูดคุยกับแม่

สุดท้าย เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ตามคำแนะนำจนเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้แล้ว สภาวะจิตในวันนี้ของปีหน้าไม่เหมือนกับวันที่เขียนปัญหาถามไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้เรียน ศาสตร์การตั้งและเปลี่ยน ชื่อ-นามสกุล เนื่องจากหวังจะยึดเป็นสัมมาอาชีพในยามไม่มีงานทำ เนื่องจากลูกยังต้องเรียนอีกเกือบ 10 ปี บ้านก็ยังต้องผ่อนอีกเป็น 10 ปี แต่เคยฟังท่านอาจารย์สนอง บอกว่า การประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเปลี่ยนวิบากของคนอื่นนั้นไม่สมควร ตายแล้วจะไปสู่อบาย ไม่ทราบว่าดิฉัน เข้าใจผิดหรือไม่ ตอนนี้เริ่มรู้สึกลังเลและหากดิฉันจะยึดอาชีพการตั้ง หรือ เปลี่ยน ชื่อ - นามสกุล จะเป็น เหตุปัจจัยในการสร้างเวรกรรมให้กับตัวดิฉันเองหรือไม่ แต่อาจารย์ผู้สอนบอกกับดิฉันว่า เป็นการสร้างบุญใหญ่ ที่ทำให้คนได้ออกจากวิบาก

ดิฉันรบกวนขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ศาสตร์แห่งการตั้งชื่อถือว่าเป็นความเห็นถูกทางโลก พระพุทธะมิได้ห้ามฆราวาสมิให้ประพฤติ

คำว่า “ วิบาก ” หมายถึงผลของกรรม ถ้ามีกุศลวิบากเกิดขึ้นนั่นแสดงว่า เป็นผลที่บุคคลได้ประกอบกุศลกรรม ตรงกันข้ามถ้ามีอกุศลวิบากเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเป็นผลที่บุคคลได้ประกอบอกุศลกรรม

ฉะนั้น การเปลี่ยนชื่อให้ผู้อื่น มิได้เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับกุศลวิบากนั้น แต่หากผู้ถูกเปลี่ยนชื่อ เชื่อว่าเปลี่ยนชื่อแล้วเกิดผลดีกับชีวิต นั่นเป็นความเชื่อที่ไม่กอร์ปด้วยเหตุผล ผู้เสนอให้ผู้อื่นเปลี่ยนชื่อเป็นต้นเหตุแห่งการสร้างโมหะ (บาป) ให้กับผู้ที่เห็นคล้อยตาม ดังนั้นผู้ใดประสงค์จะนำพาชีวิตของตนเองให้ออกจากความหลง ต้องเลิกประกอบอาชีพในลักษณะเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีความสงสัยค่ะว่าในขณะนี้มีหนังสือที่ขายดีมากคือ"เดอะซีเคร็ต"ที่ พูดถึงเรื่องของพลังความคิดของมนุษย์ว่าสามารถ เหนี่ยวนำสิ่งที่เราต้องการได้เพราะความคิดมีพลังงาน ถ้าเราสามารถสร้างมโนภาพให้สิ่งที่เราต้องการฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกได้ เราจะได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ท่านอาจารย์ว่ามีจริงหรือไม่คะ


คำตอบ
เป็นจริงครับ ดังพุทธะวจนะที่ว่า “ มโนปุพฺพฺตมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ” ซึ่งมีความหมายว่า จิตเป็นรากฐานของสิ่งทั้งหลายจิตประเสริฐกว่าสิ่งทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายสำเร็จด้วยจิต นักปราชญ์ชาวจีนที่ชื่อว่า เมิ่งจือ ผู้อุบัติขึ้นหลังพุทธกาลได้กล่าวยืนยันว่า “ หากปรารถนาสิ่งไร ต้องได้สิ่งนั้น ” และเช่นเดียวกันในยุคปัจจุบัน ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่าพุทธวจนะเป็นจริงได้กับผู้ที่มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจอยู่เป็นปกติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากดิฉันเองรู้ว่าเงินของญาติธรรมนั้น เพื่อการสร้างบ่อน้ำ แต่เมื่อไปถวายพระท่านมาบอกว่าจะต้องนำเงินไปเพื่อเป็นค่าขนส่ง ดิฉันเป็นกังวลว่าจะผิดความประสงค์ผู้บริจาค จึงได้เรียนให้พระนำเงินไปสร้างบ่อน้ำด้วย เพื่อต้องการให้เป็นไปตามประสงค์ อันที่จริงดิฉันไม่ต้องการรับทราบเรื่องที่พระนำไปใช้อย่างอื่นเลย แต่เมื่อรู้แล้วก็ไม่รู้จะคัดค้านอย่างไร จึงต้องพูดไปอย่างนั้น
ถาม วิธีแก้ปัญหา ดิฉันควรจะนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธใช่มั้ยคะ กรุณาแนะนำด้วยค่ะ

2) ดิฉันไม่ต้องการได้รับบาปไปกับพระรูปนี้
ถาม กรุณาแนะนำวิธีทำบุญเพื่อไม่ต้องรับกรรมอันนี้ได้มั้ยคะ หรือเราจะนำเงินส่วนตัวของเราจำนวนเท่ากับหรือมากกว่าเงินบริจาคตามข้อ 1 นำมาชดใช้เพื่อสร้างบ่อน้ำแทนนั้น จะได้ไม่ต้องมีกรรมติดตัวไปได้มั้ยคะ ขออาจารย์กรุณาแนะนำวิธีอธิษฐานด้วยค่ะ .

3) ดิฉันไม่ต้องการทำบุญแล้วได้บาป ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ กล้าทำบุญ ขณะนี้มีภารกิจการเรี่ยไรเงินทำบุญ 2-3 รายการ ตั้งใจว่าออกพรรษานี้จะปิดรับบริจาคทุกรายการ และจัดส่งเงินถวายพระและโรงเรียน (พระรูปเดิม)
ถาม หลังจากนี้ ดิฉันจะปฎิเสธการร่วมบุญกับพระรูปนี้ทุกอย่าง จะเป็นการบาปรึไม่คะ เพราะท่านจะติดต่อมาเสมอ (ดิฉันจะพิจารณาการทำบุญจากหนังสือวิธีสร้างบุญบารมี ของสมเด็จพระญาณสังวรค่ะ)

4. ดิฉันเพิ่งเริ่มการวิปัสสนากรรมฐานเมื่อต้นปีนี้ ได้ปฎิบัติแล้วรู้สึกเหมือนมีชีวิตใหม่ และตั้งใจจะเจริญสติภาวนาให้ได้ขั้นสูงเท่าที่จะปฎิบัติได้
ถาม อนิสงฆ์ผลบุญนี้ จะทำให้กรรมต่างๆหมดสิ้นไป หรือเบาบางได้หรือไม่ อาจารย์กรุณาแนะนำหนังสือที่ดิฉันควรอ่านด้วยค่ะ เกี่ยวกับเรื่องกรรมค่ะ

กราบขอบพระคุณ ที่ท่านอาจารย์เมตตาตอบข้อสงสัย และขออำนาจสิ่งศักดิ์ปกปักรักษาอาจารย์และครอบครัวด้วยค่ะ...

คำตอบ
(1) ผู้ใดบริจาคทรัพย์เป็นทาน เพื่อจุดประสงค์ดีงามใดก็ตาม หากผู้บริจาคไม่เอาจิตไปตามดูตามรู้ในทรัพย์ที่บริจาคผู้นั้นได้บุญเต็มร้อย ฉะนั้นเมื่อนำเงินของญาติธรรมไปถวายพระแล้วพระนำไปใช้ในกิจการใดเป็นเรื่อง ของพระ ผู้ตอบรับไม่ควรคอยรับหรือปฏิเสธ เพราะมีโอกาสเป็นบาปเกิดขึ้นจากการทำบุญนั้น

(2) บาปเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมถูกเก็บฝังอยู่ในใจของผู้ทำกรรม ถึงแม้จะนำเงินส่วนตัวไปถวายใหม่ก็เป็นส่วนของใหม่มิสามารถลบล้างบาปเก่าให้ หมดไปได้ บาปจะหมดไปได้ด้วยการชดใช้หนี้บาปมิใช่บาปหมดไปด้วยการอธิษฐาน ดูวิธีจัดการบริหารหนี้เวรกรรมให้เว็บไซด์ ข้อ 728

(3) การทำบุญเพื่อให้ได้บุญเต็มร้อยต้องทำบุญด้วยมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเป็น เครื่องสนับสนุน ผู้ใดมีศรัทธาก่อนทำบุญทรัพย์ที่ใช้ทำบุญเป็นทรัพย์บริสุทธิ์ และสุดท้ายผู้รับทรัพย์ที่ถวาย (ปฏิคาหก) เป็นผู้บริสุทธิ์การทำบุญในลักษณะนี้ ผู้ถวายได้อานิสงส์มากได้อานิสงส์แห่งบุญที่บริสุทธิ์ ฉะนั้นต้องตัดสินใจด้วยตัวเองวา จะทำอย่างไรต่อไปกับการทำบุญในลักษณะที่บอกเล่าไป

(4) กรรมทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม มิเคยหมดสิ้นไปจากใจของผู้ใดได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้ ด้วยการปฏิบัติธรรมฐานจนเข้าถึงธรรมที่นำสู่การเป็นอริยบุคคลนับแต่พระ โสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ แล้วดับรูปนามเข้าสู่ภาวะนิพพานกรรมในส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงตามให้ผลไม่ได้ จัดเป็นอโหสิกรรมด้วยประการเช่นนี้ ดังนั้นการอ่านหนังสือ จึงมิใช่การบริหารจัดการกรรมที่ถูกต้องตามแนวของพระพุทธะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยสนใจเรื่องการนั่งสมาธิมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ แต่ขณะนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านหนังสืออิงนิยาย เกี่ยวกับเรื่องการรู้เห็นอดีตชาติ เลยลองดูเพียงเพื่อความสนุก จนกระทั่งได้บังเอิญพบพระรูปหนึ่งซึงมีคนรู้จักนิมนต์มาที่บ้าน หนูเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ทักว่า การนั่งสมาธิมิใช่เพื่อเหาะเหินเดินอากาศได้ ซึ่งเรื่องนี้หนูไม่เคยได้บอกใครให้ทราบเลย เมื่อฟังแล้วก็ตกใจจึงเลิกนั่งสมาธิไปเลย เมื่อจบการศึกษาหนูก็บังเอิญเข้าร่วมสังสรรค์กับเพื่อน มีการจับฉลากแลกของที่ระลึกกัน หนูได้หนังสือธรรมมะมาหนึ่งเล่ม คล้ายธรรมมะสำหรับเด็กมีการสอนให้รักษาศีล 5 แล้วให้จดเป็นรายงานว่าวันนี้เราประพฤติดีอย่างไร ผิดศีลอย่างไร หนูอ่านแล้วรู้สึกดี จึงทำตาม ซึ่งจากนั้นมาก็ได้หันมาสนใจธรรมมะมากขึ้น หลังจากที่ทำงานมาแล้วได้สร้างกิจการหนึ่งของตนเอง ซึ่งประสบผลไม่ดีเท่าที่ควรนัก เครียดและนอนไม่ค่อยหลับจึงกลับมานั่งสมาธิอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากนั้นก็มีผู้เข้ามาแนะนำเป็นคนรู้จักกัน บอกให้นึกถึงองค์เทพท่านนั้น ท่านนี้

การนั่งสมาธิก็หันไปสู่เพื่อการรู้เห็นอย่างที่ว่าอีกครั้ง ซึ่งก็มีนิมิตต่าง ๆ มาให้หนูสนใจโดยตลอด จนกระทั่งได้ไปทำบุญที่วัดหนึ่งพบพระ ได้สนทนากัน ท่านว่า อย่าไปรู้เห็นเรื่องพวกนั้น ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ หนูก็เชื่อ หลังจากนั้นก็หันมาค้นคว้าการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ปัจจุบันได้ตามดูใจตนเองโดยตลอด รู้สึกว่าอยู่ที่ไหนก็สบาย ไม่ค่อยโกรธเลย นั่งสมาธิเป็นประจำค่ะ อาการง่วงไม่ค่อยมี ปกติขณะนี้หนูรักษาศีล ไม่นอนที่สูง ต้องการฝึกขันติในตนเองทำเช่นนี้มาเกือบปี ก็เป็นปกติดี มีวันหนึ่งหนูมาพิจารณาว่านั่งสมาธิแล้วปวดหลัง ซึ่งปกติแล้วตนเองจะเป็นคนเล่นโยคะบ่อย แต่ช่วงหลังก็ไม่ค่อยได้เล่น เพราะข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างค่ะ เลยมองว่าการนอนพื้นอาจจะมีส่วนทำให้ปวด จึงลองมานอนบนเตียงอีก ตอนเช้าอากาศแจ่มใส รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งมาก หนูขึ้นมานั่งพิจารณาอสุภะกรรมฐาน ซึ่งเพิ่งเริ่มทำ มีรูปสภาพศพประเภทต่าง ๆเก็บไว้ นั่งไปซักพักเกิดเมื่อยหลังจึงกลับไปนอนที่เตียง แต่ใจยังไม่ง่วงตั้งใจว่าหลับตาจะลองนอนพิจารณาซึ่งไม่เคยนอนกรรมฐานมาก่อน เมื่อหลับตาก็ปรากฎเป็นภาพซึ่งเห็นแต่ไกลทันที ในภาพเป็นคล้ายกลุ่มเมฆหมุน ๆตัวเราจะพุ่งไปตรงภาพที่เห็น หัวใจถูกบีบอย่างแรงเหมือนจะตาย หนูกลัวมากจึงรีบลืมตาขึ้น กลับมาพิจารณาซักพักแล้วหลับตาอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นเหมือนสักครู่นี้ จึงรีบลืมตาใหม่ เช้าวันนั้นจึงเลิกภาวนาไปเลย

เหตุการณ์นี้ผ่านมาไม่กี่วันค่ะ ตอนนี้เมื่อนั่งภาวนาไปใจยังนึกถึงเหตุการณ์นั้นอยู่ รู้สึกว่ากลัว เมื่อนั่งสมาธิใจมันสั่น ๆ อาจารย์คิดว่า
1. หนูควรแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เหตุการณืที่เกิดนั้นเกิดได้อย่างไรทั้งที่หนูไม่เคยจะน้อมจิตไปเพื่อการ อย่างที่ว่าเลยค่ะ
2. หนูควรฝึกไม่นอนที่สูงเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะเหตุไรคะ
3. ในการพิจารณาอสุภะกรรมฐานอย่างที่ทำอยู่ดีแล้วหรือไม่ อย่างไร ขอคำแนะนำเพื่อความก้าวหน้าด้วยค่ะ
คุณแม่บังเอิญมาเห็นรูปศพที่หนูเก็บไว้ ท่านก็กลัวมาก อาจารย์มีคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างไรบ้างคะ

ขอกราบขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์จะช่วยทำให้ความสว่างเกิดขึ้นในใจหนูเพิ่ม ขึ้นอีกล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
ก่อนตอบคำถามควรฟังคำบอกเล่าจากผู้รู้ว่าในพุทธศาสนา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิด และผู้ใดทำเหตุได้แล้ว ย่อมมีผลเกิดตามมาแน่นอนนี่คือสัจธรรมในพุทธศาสนา การที่พระสงฆ์ทั้งสองรูปท้วงติง ท่านท้วงติงด้วยการใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมของพระพุทธะ ผู้ใดหวังความก้าวหน้าในจิตวิญญาณ ต้องเชื่อแล้วทำให้ได้ตามคำบอกเล่าที่ท่านแนะนำ แล้วการเข้าถึงธรรมในพุทธศาสนาจึงจะเกิดขึ้นได้

(1) หากหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องมีศีลคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วฝากตัวเป็นศิษย์กับกัลยาณมิตรผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ในทางธรรม เมื่อใดผู้ปฏิบัติธรรมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความกลัวใด ๆ จะหมดไปสิ้นเชิง ผู้ถามปัญหาไม่เคยคิดจะปฏิบัติธรรมแต่ต้องทำเพราะบุญบารมีเก่าที่ทำไว้แต่ อดีตชาติส่งผล

(2) การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ ให้เลือกอิริยาบถที่เหมาะสมกับสรีระของผู้ปฏิบัติแล้วมรรคผลจึงจะก้าวหน้า

(3) ผู้มากด้วยราคะจริต เหมาะที่จะพิจารณาอสุภะกรรมฐาน พระสุนทรีนันทาและพระนางเขมา มเหสีรองของพระเจ้าพิมพิสาร สำเร็จอรหัตตผลรวดเร็ว ด้วยการพิจารณาซากศพด้วยปัญญาอันแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ด้วยเหตุนี้ผู้ตอบปัญหาจึงแนะนำให้ผู้ถามปัญหา ทำตามตัวอย่างที่ยกมาเล่าให้ฟังด้วยการเก็บรูปศพและหมั่นดูบ่อย ๆ และหากมีโอกาสไปดูของจริงได้การบรรลุธรรมจะเกิดขึ้นเร็ว

คำว่าบังเอิญไม่มีในพุทธศาสนาด้วยเหตุนี้จึงเป็นบาปกรรม ของคุณแม่เองที่เอาใจไปอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของลูกสาว จึงช่วยไม่ได้เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมที่ส่งผลผลักดันให้คุณแม่ได้รับ อกุศลวิบากนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สืบเนื่องจากคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเราตั้งใจว่าจะลงทุนไว้เพื่อไว้ให้ลูกหรือใช้ในบั้นปลายชีวิต ก็ถือว่าผิดในทางธรรมใช่ไหมคะ ดังนั้นเราควรเปลี่ยนไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล จะผิดในทางธรรมหรือเปล่าคะ


คำตอบ
ผิดในทางธรรมหรือไม่ผิดในทางธรรมขึ้นอยู่กับใจของผู้ลงทุน

ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสทำให้ใจขุ่นมัวด้วยบาป (กิเลส) มากกว่า การลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล

ในครั้งพุทธกาลยโสธนาพิมพาบอกให้ลูกราหุลไปขอมรดกที่ เป็นจักรพรรดิสมบัติจากพ่อ เพื่อจุดประสงค์จะได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แต่พระพุทธะมอบมรดกสุดยอดคือนิพพานสมบัติให้กับราหุลจนสามารถบรรลุอรหัตตผล แล้วขึ้นไปดับรูป ดับนาม (นิพพาน) อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงให้ปัญญาเป็นมรดกเป็นทายาทซึ่ง ดีกว่าทรัพย์มรดกที่เป็นสมบัติกำพร้าในวันข้างหน้า เมื่อทายาทจำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก แล้วทิ้งทรัพย์กำพร้าเจ้าของไว้เบื้องหลัง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธิฐานให้เลือกทางเดินชีวิตได้ไหมค่ะ

หนูเรียนจบกฎหมายมาผ่านทั้งเนติและก็ปริญญาโทแล้ว ด้วยคะแนนที่ดีทั้งคู่ค่ะ จนทางบ้านคิดว่าถ้าสอบ ผู้พิพากษาหรืออัยการต้องได้แน่ๆ แต่พอถึงเวลาต้องสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการแล้วหนูกลับไม่มีความมุ่งมั่น เลย รู้ว่าทางบ้านคิดว่ามันเป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกรียติ แต่ตัวหนูเองกลับเฉยๆ แต่หนูก็สมัครสอบนะคะ แต่ไปสอบบ้างไม่ไปบ้าง โดยปิดทางบ้านค่ะ (แต่หนูรู้สึกเครียดมากเวลาปิดทางบ้าน) โดยพอสอบผ่านไปครั้งหนึ่งหนูก็คิดว่าจะทำเต็มที่ในครั้งต่อไป แต่พอเอาเข้าจริงก็เหมือนเดิมอีก ซึ่งทางบ้านก็ให้โอกาสเรื่อยมา จนนี่เป็นปีที่6แล้วคะ หนูก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง หนูมีความทุกข์มากไม่รู้ว่าจะเลือกทางเดินชีวิตอย่างไร อะไรที่ใช่สำหรับตัวเอง จะศาล อัยการหรืออาจารย์ รู้สึกว่าตัวเองช้ากว่าเพื่อนคนอื่นมาก

หนูจมอยู่กับตรงนานแล้วนะคะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้แม่เสียใจด้วย หนูอยากจะทราบว่า เราจะตั้งจิตอธิฐานให้เราพบทางเดินชีวิตที่ดีที่เหมาะกับเราจะได้ไหมคะ และถ้าได้ควรทำอย่างไร แล้วจริงไหมค่ะว่าอาชีพผู้พิพากษา อัยการ ทนายตกนรกมาก ที่ตกนรกนี้เป็นเพราะทุจริตหรือแรงพยาบาทหรือเพราะอะไรกันแน่ แล้วถ้าเราตัดสินตามพยานหลักฐานสมมุตว่าถูกตัวคนร้ายแล้วเราก็บาปด้วยหรือ ค่ะ



คำตอบ
คำว่า “ มโนมยา ” หมายถึง สำเร็จด้วยใจฉะนั้น ปรารถนาสำเร็จสิ่งใดในทางที่เป็นกุศล ขึ้นอยู่กับการทำเหตุให้ถูกตรงสามอย่างคือ สร้างมหาทาน อธิษฐาน และทำเหตุให้ถูกตรง

การประกอบอาชีพที่ทำให้มีโอกาสตกนรกดังที่ถามไป จะเป็นจริงได้ต่อเมื่อ ผู้ทำสร้างหลักฐาน (ตำรวจ) ไม่ถูกตรงเป็นเท็จผู้ส่งฟ้องศาล (อัยการ) ส่งฟ้องเรื่องที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ ผู้แก้ต่างคดี (ทนายความ) แก้ต่างในสิ่งที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ และผู้ตัดสินคดี (ผู้พิพากษา) ตัดสินคดีที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ อาชีพทั้งสี่ที่ผู้สร้างเหตุที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ และผู้ร่วมกระบวนกรรมที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ จึงต้องร่วมรับอานิสงส์บาปคือสร้างเหตุไปเกิดในภพนรกนั้นเป็นจริง และมีสัตว์นรกประเภทนี้อยู่มากจริงตามที่ผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องเคยตายไปเห็น ผลงานของตนในภพนรกมาแล้ว แล้วฟื้นตื่นขึ้นมาเล่าให้ผู้อื่นฟัง พร้อมกับเลิกอาชีพของตนเองได้ก่อนตายจริง นอกจากนี้แรงพยาบาทจากผู้ถูกตัดสินให้ต้องรับโทษมีส่วนร่วมให้ผลเป็นบาปด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ฟัง ถึงโสดาบันในชาตินี้ ที่อาจาร์ยบรรยาย ผ่านทาง web site อยากสอบถามอาจารย์ค่ะ ว่า
เวลาที่พระโสดาบันมีความจำเป็นที่จะต้องละเมิดในศีล เช่น โกหก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนใจ หรือว่าเผลอไปพูดเพ้อเจ้อ จิตของท่านหลังทำผิดจะเป็นอย่างไรบ้าง และกรรมวิบากจะตามมาให้ผลรุนแรง ใช่ไหมค่ะ

ขออนุโมทนากับอาจาร์ยที่มีส่วนร่วมในการสืบทอดพระพุทธศาสนาค่ะ

คำตอบ

ผู้พัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นโสดาปัตติผล (โสดาบัน) เป็นผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย จึงไม่ประพฤติละเมิดศีลแต่ผู้ที่ยังดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่งโสดาปัตติมรรค ยังมีโอกาสเผลอกระทำทุศีลดังที่บอกมาแล้วได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะถูกแก้ไขได้ ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะระดับโลกุตตระให้มีกำลังกล้าแข็ง จนสามารถนำจิตข้ามพ้นการละเมิดศีลดังที่ถามไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. วันนี้ มีข่าวเรื่องเด็กม.6เล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เกมให้คนเล่นเป็นโจร ยิ่งทำไม่ดีเท่าไรก็จะยิ่งได้คะแนนมากขึ้น แล้วเด็กคนนั้นได้เอาไปใช้ในชีวิตจริงโดยไปฆ่าคนขับรถแท็กซี่จนตาย คำถาม มันเป็นเรื่องเวรกรรมเก่าของเค้าทั้งสองคนเหรอค่ะ เป็นไปได้ไม๊ว่าเป็นการก่อกรรมใหม่ของเด็กคนนั้น คือหนูได้ฟังและอ่านผลงานของท่านมาหลายอันทำให้หนูเข้าใจว่าทุกอย่างไม่มี อะไรบังเอิญ มีเหตุที่มาทั้งนั้น แต่ถ้าหนูดูเหตุการณ์นี้แล้วอยากถามว่าเป็นไปได้ไม๊ว่าสองคนนี้ไม่มีเวรกรรม กันมาก่อน แต่เป็นกรรมใหม่ที่เด็กคนนี้ก่อมาใหม่ แล้วมีตัวอย่างไหนที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากกรรมใหม่ขอช่วยอธิบายค่ะ แล้วตัวอย่างการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ มันเข้าเงื่อนไขว่าเป็นกรรมเก่าต้องชดใช้ทุกกรณีหรือเปล่าค่ะ

2. ถามเรื่องขั้นตอนที่ทำให้เกิดกรรม ในกรณีที่เราได้ทำให้เค้าเกิดความไม่พอใจโดยที่เหตุการณ์นั้นเราไม่ผิดแต่ มันก็ทำให้เค้าไม่พอใจ การเกิดกรรมมันเกิดขึ้นตอนที่ทำให้เค้าไม่พอใจโดยที่ไม่ได้ดูผิดถูกหรือ เปล่า ตัวอย่างเช่นการขับรถชนรถบนถนน ฝ่ายหนึ่งขับถูกตามกฏแล้วขับอย่างสุภาพแต่มีรถอีกคันขับซิ่งแล้วผิดกฏแล้ว ขับมาชนรถที่ขับดี จึงมีปากเสียงกันเพราะคนที่ขับถูกเค้าคิดว่าเค้าขับดีแต่โดนชน ส่วนอีกคันที่ขับไม่ดีไม่ยอมรับแล้วมีปากเสียงกัน ถามว่าขั้นตอนการเกิดกรรมเกิดตอนไหน เกิดตอนที่ทำให้เค้าไม่พอใจรึเปล่า ใครเป็นคนได้รับกรรมไม่ดี การเกิดกรรมต้องดูเรื่องเหตุผลว่าใครผิดถูกหรือเปล่า ถ้ากรรมเกิดตอนที่ทำให้เค้าไม่พอใจแบบนี้เราก็ดำเนินชีวิตได้ยากซิค่ะ เพราะถ้าเราไปเจอคนไม่ดีแล้วไม่อยากให้เกิดกรรมเราก็ต้องยอมลูกเดียว แล้วรอดูผลเสียที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นเหรอค่ะ
ขอให้ท่านช่วยอธิบายเพราะจะมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากค่ะ เพราะไม่อยากก่อกรรม แต่การยอมมันอยู่บนเหตุผลความผิดถูก ถ้าไม่ผิดให้ยอมรับให้เค้ากระทำมันทำใจยากค่ะ

คำตอบ
(1) หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นในระดับที่เป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจะรู้ว่าภพชาติที่สัตว์บุคคลถือกำเนิดมามีอนันต์ ซึ่งแต่ละชาติมีทั้งการประพฤติที่เป็นกุศลและอกุศล แล้วเก็บสั่งสมผลกรรมไว้ในดวงจิตมีอนันต์เช่นกัน และหากผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิตของตนจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมีจริง จึงไม่มีคำว่าบังเอิญหรือความน่าจะเป็นเกิดขึ้นผู้รู้จริงในพุทธศาสนา ดังนั้นเรื่องของบุคคลทั้งสองจึงมีสาเหตุมาจากได้เคยก่อนกรรมกันมาก่อน จึงไม่มีกรรมใหม่ใด ๆ ถูกก่อขึ้นเช่นการเกิดอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ล้วนมีเหตุที่มาจากการกระทำกรรมเบียดเบียนกันมาก่อนทั้งสิ้น

(2) แม้ระบบประสาทจะสัมผัสได้ว่าผู้ถามปัญหามิได้กระทำผิดแต่ทำให้ผู้อื่นไม่พอ ใจ หากใช้จิตสัมผัสที่เกิดจากโลกิยอภิญญา ก็จะทราบได้ว่าแรงของอกุศลกรรมที่เคยก่อไว้แต่อดีตมีเหตุปัจจัยลงตัวเมื่อใด ย่อมให้ผลเป็นอุบัติเหตุ ดังนั้นขั้นตอนการเกิดกรรมที่ถามมาจึงเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยลงตัวคือ คู่กรรมได้โคจรมาพบกันและแรงกรรมให้ผล

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะจึงได้แนะนำว่า เมื่ออกุศลกรรมตามให้ผลแล้วต้องยอมรับความจริง แล้วชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดไป และไม่สร้างหนี้กรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เรื่องในทำนองเดียวกันนี้ ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วและยอมรับโดยดุษณีว่าพุทธวจนะดังกล่าวเป็นความ จริง หากผู้ถามปัญหาพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น ใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอัตตาของตัวเองให้ได้ แล้วจะพบว่าในชีวิตประจำวันยังมีเรื่องดีๆ ที่เป็นบุญเป็นบารมีให้ทำอยู่อีกมาก แล้วจะยอมรับความจริงตามพุทธวจนะได้จะไม่เอาเวลาไปใช้ในการโต้แย้งโต้เถียง ให้เปล่าประโยชน์แต่จะเอาเวลามาพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีบุญบารมีสั่งสม เพื่อนำพาชีวิตเดินทางสู่ความราบรื่นในปรโลก ผู้รู้จริงในพุทธศาสนานิยมประพฤติเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1การทำอาณาปาณสติ และสติปัฏฐาน4 เป็นทางสายเอกทั้งคู่ใช่มั้ยคะ ที่จะไปนิพพาน
2สำหรับคนที่ทำอาชีพมัคคุเทศก์ เป็นอาชีพที่ดีหรือไม่ในทางธรรม

ขออนุโมทนาบุญ

คำตอบ
(1) การเจริญอานาปานสติ เป็นอุบายที่ใช้พัฒนาจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ หากพัฒนาได้สูงสุดแล้วมีฌานเป็นเป้าหมายวิธีนี้มิได้ทำให้จิตบรรลุพระนิพพาน ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน 4 บันเป็นปฏิปทาสู่ทางสายเอกที่มุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างแท้จริง

(2) อาชีพมัคคุเทศน์ เป็นอาชีพที่เกี่ยวกับนำผู้อื่นท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ และจะถือเป็นอาชีพที่ดีในทางธรรมได้ ต้องไม่นำผู้อื่นไปเล่นการพนัน ตกปลา ดื่มของเมา เที่ยวโสเภณี หรือทำปรามาสรูปเคารพในศาสนาฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้แจ้งความประสงค์กับเจ้าอาวาทในการสร้างพระพุทธรูป เพื่อประดิษฐานในซุ้ม ซึ่งอยู่เหนือทางเดินเข้าพระอุโบสถ แต่ปรากฏว่า ได้มีผู้มีจิตศรัทธาบางท่านได้ มาพบว่าในซุ้มนี้ยังไม่มี พระพุทธรูป จึงได้ถวายพระพุทธรูปใว้ที่วัดโดยท่านเจ้าอาวาท ไม่อยู่วัดพอดีจึงไม่มีผู้บอกกล่าว และผู้ถวายก็ไม่ทราบด้วยว่า ผมได้แจ้งความประสงค์ใว้แล้ว

กรณีนี้ ควรแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะได้บุญและไม่บาป ผมไม่ต้องให้การทำบุญ เป็นเรื่องขอความไม่สบายใจและแข่งขัน

ขั้นแรกได้ปรึกษากับท่านเจ้าอาวาทเพื่อว่าจะได้บอก กับผู้มีจิตศรัทธาท่านนั้นว่า ผมเป็นผู้แจ้งความประสงค์สร้างพระพุทธรูปใว้แล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไปถึงจะช่วยให้ ศรัทธาของผู้มีจิตศรัทธาถวายพระพุทธรูปไม่หม่นหมองลงไป หรือมีทางออก ที่ดีกว่า ขอคำแนะนำในการปฏิบัติครับ

กราบขอบพระคุณ

คำตอบ
เรื่องนี้ต้องปรึกษาเจ้าอาวาสวัด แล้วนำความจริงไปบอกกล่าวกับผู้ที่นำพระพุทธรูปมาถวายว่า ที่ซุ้มประตูนั้นได้มีผู้แสดงความจำนงสร้างพระพุทธรูปไว้ก่อนแล้วและเจ้า อาวาสได้รับปากไว้ก่อนแล้วว่าเห็นควรให้สร้างได้ ส่วนผู้นำพระพุทธรูปมาถวายภายหลังจะตัดสินใจประการใดเป็นเรื่องระหว่างผู้ ถวายพระพุทธรูปกับเจ้าอาวาสต้องปรึกษากัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ที่เขาว่าหากบวชก่อนแต่งงาน พ่อแม่จะได้บุญ แต่บวชหลังแต่ง พ่อแม่ และภรรยา และลูก จะได้บุญด้วย ถูกหรือไม่คะ
2. การที่สามีจะบวชตลอดชีวิต ก่อนบวชต้องขออนุญาต ภรรยาก่อน จริงหรือไม่คะ
3. การที่เขาไปบวชตลอดชีวิต นั้นหมายว่า ทิ้ง/หนี ความรับผิดชอบครอบครัว ภรรยา ลูก หรือ คะ
การกระทำดังกล่าวก็น่าว่าจะเป็นกรรมใหม่ ที่เขาสร้างให้ ภรรยาและลูก หรือเปล่าคะ นอกเสียจากภรรยาและลูกยินยอม และอนุโมทนา ด้วยจึงจะไม่เป็นการสร้างกรรมใหม่ ใช่ไหมคะ

คำตอบ
(1) ถูกตามที่เขาว่า แต่ผู้เป็นพ่อ แม่ ภรรยา และลูก ต้องอนุโมทนาในการบวชนั้นด้วยจึงจะได้บุญ

(2) จริง ต่อเมื่อภรรยาต้องอนุญาตให้บวชได้ ไม่จริงหากขออนุญาตแล้วภรรยาไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้ ตามวินัยสงฆ์ที่พระพุทธะบัญญัติไว้

(3) ตอบว่าใช่ ถือว่าละทิ้งความรับผิดชอบต่อครอบครัวแต่หากทุกคนในครอบครัวอนุญาต แล้วอนุโมทนาด้วย จึงจะไม่เป็นการสร้างอกุศลกรรมให้เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 50, 51, 52, 53, 54, 55, 56 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร