วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2010, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันอาทิตย์นี้ ศึกษาคำว่า บุญ ต่อๆจากตอนที่แล้ว (3)

viewtopic.php?f=7&t=32946&st=0&sk=t&sd=a&start=45

ตอน (4) กล่าวถึงบุญที่พระเจ้าอโศกใช้ทรัพย์และอำนาจทำบุญ ทำบุญอะไร ให้แง่คิดอย่างไร

พิจารณาดูดังนี้

ช่วยกันนำพาประเทศไทย (4) พระพรหม คุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)

พระเจ้าอโศกใช้ทรัพย์และอำนาจทำบุญอะไร

เมื่อเราดูประวัติศาสตร์จะเห็นว่าชาวพุทธที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นผู้นำสมัยก่อน เอาใจใส่ให้ความสำคัญในการ

ทำบุญขั้นพื้นฐานนี้อย่างจริงจัง

ดูง่ายๆ ไม่นานหลังพุทธกาล ประมาณ พ.ศ.218 มีพระเจ้าแผ่นดินที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถือกันว่ายิ่ง

ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ชาวพุทธรู้จักดี คือ พระเจ้าอโศกมหาราช

พระเจ้าอโศกมหาราชนี้ก็ทำบุญมากมายเหมือนกัน แล้วก็เอาจริงเอาจังกับการทำบุญขั้นพื้นฐานแบบ

เดียวกับมาณพ 33 คนนี่แหละ มองได้ว่าคงจะทรงปฏิบัติตามพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก เล่ม 15 ที่ยก

มาเมื่อกี้ เรื่องนี้เห็นได้จากพระราชดำรัสที่เขียนไว้ในศิลาจารึกว่า

ตามถนนหนทาง ข้าฯ ได้ให้ปลูกต้นไทรขึ้นไว้ เพื่อเป็นร่มเงาแก่สัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ให้ปลูกสวน

มะม่วง ให้ขุดบ่อน้ำไว้ทุกระยะครึ่งโกรศะ (ประมาณ 2 ก.ม.) ให้สร้างที่พักคนเดินทาง และให้สร้าง

อ่างเก็บน้ำจำนวนมากไว้ในที่ต่างๆ

ตอนแรก พระเจ้าอโศกนี่ดุร้ายมาก เรียกกันว่า พระเจ้าจัณฑาโศก แปลว่า อโศกผู้ดุเดือด หรืออโศก

จอมโหด เพราะเที่ยวรบราฆ่าฟัน แย่งชิงดินแดนเขา ฆ่าคนตายมากมาย แต่ต่อมาสลดพระทัย เลิก

สงคราม หันมานับถือพระพุทธศาสนา จึงปฏิบัติธรรม ก็ทำบุญทำกุศล

ก่อนหน้านั้นพระเจ้าอโศกหาทรัพย์ หาลาภ หายศ หาอำนาจ ก็เพื่อจะบำรุงบำเรอตัวเอง เพื่อความยิ่ง

ใหญ่ใช้อำนาจ แต่พอหันมานับถือพระพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เอาลาภยศ เอาทรัพย์และ

อำนาจนั้นมารับใช้ธรรม

ลาภยศ หรือทรัพย์กับอำนาจนี้ ถ้าเอาไปใช้ในทางร้าย (คือรับใช้ตัณหา-มานะ-ทิฏฐิ = อยากได้ อยาก

ใหญ่ เอาแต่ความคิดเห็นของตน) ก็เป็นการเบียดเบียนข่มเหงผู้อื่น นำไปสู่ความลุ่มหลงมัวเมา

ทำให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนกันมาก และในที่สุดก็ต้องประสบความวิบัติถึงความพินาศ

แต่ถ้าเอาไปใช้ในทางดี ทรัพย์ อำนาจ เกียรติยศ บริวารนั้น กลับเป็นเครื่องมือหรือเป็นโอกาส

ให้ทำการสร้างสรรค์ได้มากมาย

ลองพิจารณาดูสิ คนที่มีสติปัญญาดี อยากจะทำดี ตั้งใจดี แต่ถ้าเขาไม่มีทรัพย์ ไม่มีตำแหน่ง

ไม่มีฐานะ ไม่มีอำนาจ ไม่มีบริวาร ไม่มีกำลัง ถึงจะมีความคิดดีๆ ก็ทำได้นิดเดียว

แต่ถ้าเป็นคนดี มีสติปัญญา และมีความคิดดีๆ แล้วทรัพย์ก็มาก อำนาจก็มี บริวารก็เยอะด้วย

ทีนี้ละเขาจะทำงานใหญ่ดีๆ ได้สำเร็จ ทำการสร้างสรรค์ได้มากมาย

ก็เหมือนพระเจ้าอโศกนี้แหละ แต่ก่อนนั้นได้แต่หาลาภ หาทรัพย์ หายศ หาอำนาจ เพื่อจะเอามาประกาศ

ความยิ่งใหญ่ข่มขู่ครอบงำคนอื่น และบำรุงบำเรอตัวเอง ตอนนี้พลิกกลับเลย เปลี่ยนมาหาธรรม

เมื่อธรรมสอนให้ทำความดี ให้ทำบุญบำเพ็ญประโยชน์ พระเจ้าอโศกก็เอาทรัพย์ เอายศ เอาอำนาจ

ความยิ่งใหญ่ยศศักดิ์บริวารนั้น ไปใช้ในการทำความดีสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชน พระองค์มี

ทรัพย์ยศมากนักหนา ก็เลยทำบุญสร้างประโยชน์สุขได้มากมายเหลือเกิน



พระเจ้าอโศกทำอะไร? อ๋อก็ทำคล้ายกับมาณพ 33 คนนั้นแหละ แต่ทำได้ในขอบเขตกว้าง

ขวางกว่ามาณพ 33 คนนั้นอยู่แค่หมู่บ้าน ในตำบล ในอำเภอ เขาก็ทำได้แค่หมู่บ้าน แค่ชุมชน

แต่พระเจ้าอโศกนี้ทำได้ทั่วประเทศเลย ทั่วชมพูทวีป คือประเทศอินเดียสมัยนั้น ที่เรียกว่ามคธ

ซึ่งใหญ่กว่าอินเดียสมัยปัจจุบันด้วยซ้ำ

ไม่ต้องพูดถึงอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้แต่อินเดียปัจจุบันนี่ก็

ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 6 เท่า (ประเทศไทยมีเนื้อที่ 5 แสนตารางกิโลเมตร อินเดียมีพื้นที่ 6 เท่า

ของเรา ก็คือ 3 ล้านตารางกิโลเมตร)

พระเจ้าอโศกเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเต็มที่ มีทรัพย์สินเหลือล้น ทำความดีอะไรที่ว่าคล้ายกับ

มาณพ 33 คน

แต่กว้างใหญ่กว่า เริ่มด้วยสร้างถนนหนทาง เชื่อมต่อท้องถิ่นต่างๆ ให้ประชาชนเดินทางไปมาถึงกันได้

สะดวก แล้วบนถนนหนทางเหล่านั้นก็สร้างที่พักคนเดินทางเป็นระยะๆ กี่กิโลเมตรจำไม่ได้ ศิลาจารึก

ใช้คำว่า "ครึ่งโกสะ"

ตอนนี้ก็เถียงกันเรื่องมาตราว่า โกสะนี้ คือ กี่กิโลเมตรกันแน่ ก็ยุติไม่ได้ คิดคร่าวๆ ว่า 3 หรือ 4

กิโลเมตร เมื่อสร้างศาลาที่พักคนเดินทางแล้ว ก็ปลูกป่า ปลูกสวน ปลูกต้นไม้ ให้เป็นที่รื่นรมย์

http://khaosod.co.th/view_news.php?news ... B3TkE9PQ==

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 20:44
โพสต์: 341

ที่อยู่: ภาคตระวันออก

 ข้อมูลส่วนตัว




Good_morning_Hi5_03.jpg
Good_morning_Hi5_03.jpg [ 29.53 KiB | เปิดดู 2618 ครั้ง ]
ขอขอบคุณในความเพียรของท่านที่นำสาระดีมาเผยแผ่แก่กัลญาณมิตรนะลานธรรมแห่งนี้
ขอบคุณมากครับ......อนุโมทนาสาธุครับ ขอให้ท่านพึงเจริญในธรรมทั้งทางโลกและทางธรรมครับ

เทพบุตร :b8:

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ท้งปวง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2010, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูความหมายคำว่าบุญขั้นพื้นฐานวันอาทิตย์นี้ (เมื่อวาน) กันต่อ


ช่วยกันนำพาประเทศไทย (5)

พระพรหม คุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)

พระเจ้าอโศกให้ขุดสร้างอ่างเก็บน้ำสำหรับการเกษตร คงเป็นทำนองชลประทาน แล้วก็สร้างโรงพยาบาล

ทั้งโรงพยาบาลคน และโรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งหาได้ยากนักที่ใครจะคิดถึง แล้วก็หาเครื่องยา คือ

สมุนไพร มาปลูกไว้ คือ ปลูกป่าสมุนไพร นี่เป็นตัวอย่างงานบุญที่พระเจ้าอโศกได้ทรงทำ

งานบุญอีกด้านหนึ่ง คือ พระเจ้าอโศกทรงสร้างวัดมากมายถึง 84,000 วัด เรียกว่า 84,000 วิหาร

ทั่วมหาอาณาจักร วิหารหรือวัดนี้ คือ อะไร ก็คือศูนย์กลางการศึกษาของประชาชนนั่นเอง เพราะสมัย

นั้น ไม่มีโรงเรียนในระบบปัจจุบัน ที่เป็นระบบตะวันตก ซึ่งเราเอามาจากเมืองฝรั่ง แต่ในแบบเดิม

ของตะวันออกเรานี้วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษา

พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างวัด 84,000 วัด บางคนชักสงสัยว่า อะไรกันมากมายขนาดนี้เป็นจริงได้หรือ

แต่ที่จริงยังน้อยกว่าประเทศไทยเสียอีก ลองคิดดูให้ดี

ประเทศไทยมีเนื้อที่ 5 แสน ตร.ก.ม. เรามี 3 หมื่นวัด ทีนี้ประเทศอินเดียใหญ่กว่าไทยเรา 6 เท่า

ถ้าพระเจ้าอโศกสร้างวัดตามอัตราส่วนให้มีเท่าประเทศไทย จะต้องสร้างกี่วัด เรามี 3 หมื่นวัด เอา 6

คูณเข้าไป ก็เป็น 180,000 วัด แต่พระเจ้าอโศกสร้างแค่ 84,000 วัด นี่แสดงว่าประเทศไทย

เจริญด้วยวัดยิ่งกว่าชมพูทวีปสมัยพระเจ้าอโศกเสียอีก

แต่มองอีกที อีกแง่หนึ่ง ว่า เอ๊ะ...ที่เราเจริญด้วยวัดมากมายนี้ วัดของเราเจริญดีเหมือนวัดของ

พระเจ้าอโศกหรือเปล่านี่ ตอนนี้ต้องตรวจสอบตัวเองแล้ว

พระเจ้าอโศกมีแค่ 84,000 วัด ในเนื้อที่ตั้งเกิน 3 ล้าน ตร.ก.ม.เรามีวัดโดยอัตราส่วนมากเหนือ

พระเจ้าอโศกตั้งเยอะ เราควรจะเจริญมากกว่าสมัยพระเจ้าอโศกอีก

แต่ในแง่เนื้อหาสาระไม่รู้ว่า เราเจริญจริงหรือเปล่า


อันนี้ขอให้มาคิดทบทวนกันดู โดยหลักการก็คือ วัดนั้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาของมวลชน ที่จะฝึกฟื้น

พัฒนาประชาชน ให้เจริญงอกงามขึ้นไปในไตรสิกขา หรือบุญสิกขา จนเต็มตามวิสัย


รวมความว่า พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงทำบุญโดยใส่พระทัยจริงจัง ไม่ละเลยบุญขั้นพื้นฐานอย่างนี้

นี่ก็เป็นการเตือนให้เราต้องมาคิดถึงการทำบุญขั้นพื้นฐานนี้กันให้ชัด อย่างที่ว่าแล้วไม่ใช่มองการทำบุญ

กันแต่เรื่องที่จะไปวัดไปวาอย่างเดียว แต่ต้องเอามาประสานโยงกันให้ได้ทั้งหมด ทำบุญที่บ้านให้ไป

โยงกับบุญที่วัด และให้บุญที่วัดกลับมาหนุนบุญที่บ้าน


เมื่อเราไปทำบุญที่วัด ถ้าพระท่านมีการศึกษาดี มีกำลังคุณธรรม มีคุณภาพที่ได้พัฒนามาดี ท่านก็มี

ธรรมมาให้โยม ท่านก็เอาธรรมะมาสอนโยม ชี้แนะหลักและวิธีดำเนินชีวิต ให้เราขยันหมั่นเพียรทำ

การงาน สร้าง สรรค์ทำความดีต่างๆ และเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

เมื่อเราทำบุญด้วยการประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่พระสอนนั้น ก็ทำให้ชีวิตและชุมชนของเราดี อยู่กัน

ร่มเย็นเป็นสุข พอชุมชนของเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข เราก็ไปอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ และก้าวไปในบุญ

ของเราเองที่วัดได้ดี

แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ต่อไปก็เสื่อมหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องตรวจดูว่า วงจรบุญของเราในเชิงอาศัย

และเกื้อหนุนซึ่งกันและกันระหว่างวัดกับบ้านแบบนี้ยังดีอยู่ไหม

ทั้งหมดนี้...นำมากล่าวเพื่อให้เห็นว่า สมานฉันท์นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำให้เกิดให้มีให้ได้

แต่ต้องเน้นสมานฉันท์ที่ทำให้เกิดความสามัคคีแบบที่ทำให้มีความมุ่งมั่นก้าวหน้าในการทำการ ไม่ใช่แค่

ความสามัคคีที่อยู่นิ่งเฉย

คิดใหม่ ทำใหม่ จึงจะได้ความเจริญที่พึงปรารถนา

โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ จะต้องมาคิดกันให้มากว่า เราจะเอาอย่างไรกับเรื่องอนาคตของสังคม ของ

ประเทศชาติ

สังคมของเรานี้มีสภาพปัจจุบันที่เราบอกว่าเราอยู่ในโลกาภิวัตน์ เราเจริญก้าวหน้า เรามีเทคโนโลยี

มีไอที มีสิ่งเสพบริโภคมากมายอุดมสมบูรณ์

แต่ลองใช้ปัญญาพิจารณาตรวจสอบให้ลึกลงไปหน่อยดูซิว่า ความเจริญแบบไหนแน่เป็นสิ่งที่พึง

ปรารถนา ความเจริญแบบที่เป็นอยู่นี้น่าพอใจหรือไม่

ลองใช้ปัญญาคิดพิจารณากันให้ดี ไม่ใช่เพียงแค่ว่าตามเขาไป เขาว่าอย่างนี้เจริญเราก็ว่าเจริญ

แล้วก็นิยมตามกันไป ถ้าอย่างนี้เราก็ไม่ได้ใช้ความคิดพิจารณา พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ใช้ปัญญานั่นเอง

http://khaosod.co.th/view_news.php?news ... B4T0E9PQ==

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร