วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 09:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 17:33
โพสต์: 85

โฮมเพจ: บล๊อก
แนวปฏิบัติ: กายปสาทรูป และวิสยรูป ๗ คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว สังเกตุการเกิดดับที่ละขณะ
งานอดิเรก: ฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรมัตถธรรม ๔ โดยสังเขป ของ อ.สุจินต์
อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ
เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ


"สังขาร" ตามศัพท์แปลว่าปรุงแต่ง หรือผสมปรุงแต่ง ในที่นี้ตรัสอธิบายไว้ว่า ได้แก่ กายสังขาร ปรุงแต่งทางกาย วจีสังขาร ปรุงแต่งทางวาจา และจิตตสังขาร ปรุงแต่งทางจิต โดยความหมายถึงกรรมหรือการงานที่กระทำ กายสังขารจึงหมายถึงกายกรรม กรรมที่กระทำทางกาย วจีสังขาร จึงหมายถึงวจีกรรม กรรมที่ทำทางวาจา จิตตสังขาร จึงหมายถึงมโนกรรม กรรมที่ทำทางใจ ถ้าเป็นกรรมดี ก็มีชื่อเรยกว่า ปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งบุญ ถ้าเป็นกรรมชั่วก็เรียกว่า อุปญญาภิสังขาร ปรุงแต่งสิ่งที่มิใช่บุญ คือบาป ถ้าเป็นอเนญชะ คือไม่หวั่นไหว อย่างหนึ่งหมายถึง สมาธิอย่างสูง ก็เรียกว่าอเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งสิ่งที่เป็นอเนญชะคือไม่หวั่นไหว รวมความว่าสังขารในที่นี้หมายถึงว่าต้องปรุงแต่คือ ต้องทำจึงจะเป็นกรรมขึ้นมา ดังเช่นเมื่อปรุงแต่ง คือทำบุญก็เป็นบุญ ปรุงแต่ขึ้นมาจึงจะเป็นกรรมเป็นบุญหรือเป็นบาปขึ้น ฉะนั้นจึงเรียกว่าสังขาร (อธิบายในที่อื่น กายสังขารได้แก่ลมอัสสาสะปัสสาสะ วิจีสังขารได้แก่วิตกวิจาร จิตตสังขารได้แก่สัญญาเวทนา)

"วิญญาณ" ท่านอธิบายไว้ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งหมายถึง วิญญาณ ๖ คือความรู้สึกทางอายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ เมื่อตากับรูปประจวบกันเกิดความรู้สึกเห็นรูปทางตาขึ้น เรียกว่าจักขุวิญญาณ เมื่อหูกับเสียงประจวบกัน เกิดความรู้สึกได้ยินเสียงทางหูขึ้น เรียกว่าโสตวิญญาณ เมื่อจมูกกับกลิ่นประจวบกัน เกิดความรู้สึกขึ้นกลิ่นทางจมูกขึ้น เรียกว่า ฆานวิญญาณ เมื่อลิ้นกับรสประจวบกัน เกิดความรู้สึกรสทางลิ้นขึ้น เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ เมื่อกายและสิ่งที่กายถูกต้องประจวบกัน เกิดความรู้ เกิดความรู้สึกสิ่งที่ถูกต้องกายขึ้น เรียกว่า กายวิญญาณ เมื่อมโนคือใจกับธรรมคือเรื่องราวประจวบกัน เกิดความรู้สึกเรื่องทางมโนคือทางใจขึ้น เรียกว่า มโนวิญญาณ รวมเป็นวิญญาณ ๖ อีกอย่างหนึ่งถึง วิญญาณที่มาปฏิสนธิเมื่อเกิด อันเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ

"นามรูป" นาม หมายถึง "เวทนา" ความรู้กินหรือเสวยสุขทุกข์หรือไม่ใช่สุขทุกข์หรือไม่ใช่สุข "สัญญา" ความจำ หมายถึง "เจตนา" ความจงใจ "ผัสสะ" ความกระทบ ดังที่เรียกว่าสัมผัสหมายถึงการกระทบทางใจ "มนสิการ" ความใส่ใจ หรือควรกระทำไว้ในใจ รูป ก็หมายถึงรูปกายส่วนที่เป็นเหตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อันเรียกว่า มหาภูตรูป แปลว่ารูปที่เป็นใหญ่ ส่วนรูปอาศัยอยู่กับมหาภูตรูปนั้น เช่น ประสาททั้ง ๕ และอื่น ๆ เรียกว่า อุปทายรูป แปลว่า รูปอาศัย รวมเรียกว่า นามรูป

"สฬายตนะ" แปลว่า อายตนะ ๖ หมายถึง อายตนะคือจักขุอันได้แก่ตา อายตนะคือโสตะอนได้แก่หู อายตนะคือฆานะอันได้แก่จมูก อายตนะคือโสตะอนได้แก่ลิ้น อายตนะคือกายและอายตนะคือมโนหรือมนะที่แปลว่าใจ ทั้ง ๖ นี้เรียกว่า อายตนะ เพราะเป็นที่ต่ออันหมายถึงเป็นที่ต่อสิ่งที่เป็นวิสัยของตน คือ จักขุก็เป็นที่ต่อรูป โสตะก็เป็นที่ต่อสัททะคือเสียง ฆานะก็เป็นที่ต่อคันธะคือกลิ่น ชิวหาก็เป็นที่ต่อรส กายก็เป็นที่ต่อโผฏฐัพพะ ส่วนมนะย่อมเป็นที่ต่อวิสัยทั้ง ๕ ข้างต้นนั่นด้วย เป็นที่ต่อธรรมคือเรื่องราวด้วย รวมเป็นอายตนะ ๖

"ผัสสะ" ได้แก่ความกระทบทางใจ อันหมายถึงเมื่ออายตนะภายในกับอายตนะภายนอกประจวบกัน เกิดความรู้สึกเห็นรูปเป็นต้น ทางอายตนะภายนในมีตาเป็นต้นขึ้นอันเรียกว่าวิญญาณ แล้วทั้งหมดนี้ก็มีประจวบกนเข้า อันจะพึงกล่าวได้ว่ากระทบถึงจิตแรงขึ้น จึงเรียกว่า ผัสสะ หรือสัมผัส เมื่อเป็นผัสสะทางหูก็เรียกว่า โสตสัมผัส ผัสสะทางจมูกก็เรียกว่า ฆานสัมผัส ผัสสะทางลิ้นก็เรียกว่า ชิวหาสัมผัส ผัสสะทางกายก็เรียกว่ากายสัมผัส ผัสสะทางมนะก็เรียกว่า มโนสัมผัส จึงรวมเป็นสัมผัส ๖

"เวทนา" หมายถึง ความรู้สึกกินหรือเสวยสุขทุกข์หรือไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข เป็นเวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัสบ้าง เป็นเวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัสบ้าง เป็นเวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัสบ้าง เป็นเวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัสบ้าง เป็นเวทนาที่เกิดจากกายสัมผัสบ้าง เป็นเวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัสบ้าง ก็รวมกันเป็นเวทนา ๖

"ตัณหา" ได้แก่ความดิ้นรนทะยานอยาก แบ่งออกเป็นรูปตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากไปในรูป สัททตัณหา ความดิ้นรทะยานอยากไปในเสียง คันธาตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในกลิ่น รสตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในสิ่งที่กายถูกต้อง ธรรมตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในธรรมคือเรื่องราวทางใจทั้งหลาย ในที่อื่นได้ตรัสอธิบายไว้เป็นกามตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในกาม ภวตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในวิภพคือความไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่


"อุปาทาน" ในที่นี้ได้ตรัสอธิบายไว้ได้แก่ กามุปาทาน ความยึดถือกามคือสิ่งหรืออารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจด้วยอำนาจของกิเสกามคือกิเลสเป็นเหตุใคร่ ทิฏฐุปาทาน ความยึดถือทิฏฐิคือความเห็น อันหมายถึงยึดถือความเห็นผิดอันทำให้เป็นผู้ถือรั้นไปตามความเห็นที่ผิดนั้น สีลัพพตุปาทาน ความยึดถือศีลและวัตร คือ ข้อประพฤติปฏิบัติอันหมายถึงยึดถือในศีลและวัตรด้วยอำนาจของตัณหาหรือว่ายึดถือว่าเป็นของขลัง อัตตวาทุปาทาน ความยึดถือวาทะว่าตนหรือว่าวาทะของตนอันหมายถึงความยึดถือตัวตนหรือว่าความยึดถือถ้อยคำของตน เช่น เมื่อตนพูดออกไปว่าผิดก็ต้องผิดเสมอ ว่าถูกก็ต้องถูกเสมอ

"ภวะ หรือ ภพ แปลว่า ความเปป็น ตรัสอธิบายไว้ว่า ได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ คำว่าภพนี้ แม้ตามศัพท์ แปลว่าความเป็น แต่ว่าความหมายที่ใช้หมายถึงภพเป็นที่เกิดอันเรียกว่า อุปบัติภพ ก็มี เมื่อเกิดในที่เกิดที่เป็นกามาพจรเที่ยวไปในกาม เช่น เกิดเป็นมนุษย์และที่ต่ำลงไปก็เกิดในอบายภูมิที่สูงขึ้นก็เกิดขึ้นในที่เกิดอันเรียกว่า สัคคะ หรือสวรรค์ อันเป็นชั้นกามาพจรก็เรียกว่า กามภพ ที่เกิดที่สูงขึ้นไปกว่าชั้นกามาพจรคือพรหมโลกที่ไปเกิดด้วยอำนาจของรูปฌานสมาบัติ ก็เรียกว่า รูปภพ ที่เกิดที่สูงกว่านั้นอันเรียกว่าพรหมโลกเหมือนกัน แต่ว่าไปเกิดด้วยอำนาจของอรูปฌานสมาบัติ ก็เรียกว่า อรูปภพ

อุปบัติภพดังกล่าวมานี้อย่างละเอียดหมายถึงภพในจิตใจ คือ ความมีความเป็นในจิตใจที่ท่องเที่ยวไปในกามก็เป็นกามภพ ความมีความเป็นในจิตใจที่ท่องเที่ยวไปในรูปฌานก็เรียกว่า รูปภพ ความมีความเป็นไปในจิตใจที่ท่องเที่ยวไปในอรูปฌานก็เป็น อรูปภพ

อีกย่างหนึ่ง คำว่าภพนี้หมายถึงธรรม เรียกว่า กรรมภพ ในที่นี้พึงเข้าใจว่าหมายถึงอุปบัติภพ แต่ก็พึงเข้าใจว่าย่อมเนื่องด้วยกรรมภพ ก็เพราะว่าเมื่อเป็นกรรมชั้นใดอย่างใด ก็ย่อมส่งให้เกิดในชั้นนั้นอย่างนั้น ภพที่เป็นกามก็ส่งผลให้เกิดในภาพที่เป็นกาม ภาพที่เป็นรูปก็ส่งให้เกิดในภาพที่เป็นรูป ภาพที่เป็นอรูปก็ส่งให้เกิดในภพที่เป็นอรูป อันหมายถึงกรรมอย่างใดก็ส่งให้เกิดในที่เกิดอย่างนั้น ย่อมมีความสัมพันธ์กันดั่งนี้ แต่ว่าในส่วนที่เป็นกรรมโดยตรงนั้น ท่านแสดงไว้ในข้อว่าด้วยสังขารดังกล่าวข้างต้นแล้ว

"ชาติ" ก็ได้แก่ความเกิด อันหมายถึงความเกิดขึ้นตั้งต้นแต่ความเกิดขึ้นในครรภ์ของมารดา สำหรับสัตว์ที่เป็นพวกชลาพุชะ คือผู้ที่นอนในครรภ์ของมารดา อันมีลักษณะเป็นความปรากฏขึ้นของขันธ์ทั้งหลาย ความได้อายตนะคือตา หู เป็นต้น ความเกิดของสัตว์จำพวกอื่นก็มีลักษณะตามควรแก่กำเนิดนั้น ๆ

"ชรามรณะ" ก็ได้แก่ ความแก่ ความตาย

รวมเป็นอาการ ๑๒ คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นาม รูป สฬายตนะคืออายตนะ ๖ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และชรามรณะ รวมทั้งทุกข์อื่น ๆ มี โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น

คัดลอกจาก ความเข้าใจเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราช

ธรรมรักษา ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
กายอ่อนน้อม ใจระลึกถึงพระคุณ
เปิดตาให้รับแสงแห่งพระธรรม เปิดหูให้ได้ยินเสียงสำเนียงธรรม เปิดปากพูดจาสนทนาธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร