แม้จะเป็นเมืองชายแดนเล็กๆ แต่พุทธสถานที่วิจิตรตระการตาก็เป็นหลักฐานแห่งความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดียิ่ง

ที่วัดพระธาตุโมนินเป็นที่ประดิษฐานพระมหาเมี๊ยะจำลองหรือที่เรียกว่า พระมหามัยมุนี (Mahamuni Buddha) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่บ้านของพม่า เปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า

"คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" (The Great Sage) ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์

และด้วยความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร (บางตำนานก็เล่าว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ 04.00 น. (ตี 4) พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดีพร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่จริง ๆ

อนึ่ง องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า “พระเนื้อนิ่ม” แต่น่าแปลกที่ว่า แม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระเลยแม้แต่น้อย"

-วิกิพีเดีย-

เมื่อเดินชมรอบวัดก็ปรากฏว่าวัดแห่งนี้เบื้องหลังเป็นลำน้ำโขง รูปร่างคดเคี้ยวทว่าอ่อนช้อย อาคารต่างๆในวัดพบรอยแตกร้าวจากปรากฏการณ์แผ่นดินไหวไม่นานมากนัก ฉันอธิษฐานและทำบุญกับพระมหาเมี๊ยะด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยมและเดินออกจากวัดมุ่งหน้าสู่พระธาตุชเวดากองด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข....

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

คงจะไม่มีชาวพุทธคนใด ไม่รู้จักมหาชเวดากอง พระเจดีย์ของประเทศพม่า ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพุทธเจดีย์ที่สวยที่สุดในโลก และทุกๆคนคงจะมีตั้งความหวังไว้ว่า คงจะดีไม่น้อย หากมีสักครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาสักการะพระเจดีย์ชเวดากองที่ได้รับการกล่าวขานและเป็นที่สักกาะบูชาอย่างสูงล้น

แม้จะเป็นเพียงองค์จำลองจากต้นแบบจริงที่อยู่กรุงย่างกุ้ง แต่ภาพที่เห็นตรงลานกว้างข้างหน้าเมื่อรถสามล้อปุเลงพานักแสวงบุญเข้ามา ก็เป็นทัศนานุภาพที่ยิ่งใหญ่พอที่จะสะกดทุกสายตาให้หยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความทึ่ง ห่างจากพรมแดนเล็กน้อยเป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุชเวดากององค์จำลอง เมืองท่าขี้เหล็ก ถึงแม้ว่าจะมีความใหญ่โตน้อยกว่าองค์จริงถึง3 เท่า และทัศนานุภาพแวดล้อมไปด้วยขุนเขาของเมืองชนบท แต่ก็เป็นที่รวมใจของพุทธศาสนิกชนหลายเชื้อชาติที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

ตามตำนาน พระมหาชเวดากองเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระผู้มีพระภาค ซึ่งอุบาสกคู่แรกได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคและทรงประธานพระเกศามาให้ 8เส้น หากเป็นเรื่องจริงพระเกศาของพระผู้มีพระภาคทั้ง 8 เส้นนี้ ก็น่าจะเป็นพระเกศาชุดแรกๆในพุทธกาลนี้ !!

หากใครยังไม่เคยไปชเวดากองกรุงย่างกุ้ง การมานมัสการมหาชเวดากองท่าขี้เหล็กของพม่าก็นับว่าเป็นการซักซ้อมกันไปก่อนให้ชื่นอกชื่นใจ ว่ากันไปแล้วชาวพม่ามีประเพณีที่คล้ายคลึงกับชาวไทยหลายอย่าง เช่น เมื่อมีการสักการะพระเจดีย์แล้ว ก็จะนมัสการพระประจำวันเกิด ที่เห็นว่ามีความต่างกันได้ชัดก็ที่ ศิลปะขององค์พระ ทั้งยังมีการสรงน้ำพระประจำวันเกิดอย่างไม่ต้องรอเทศกาลสงกรานต์

เมื่อได้เวลา...ฉันนำเงินสุกลไทยไปทำบุญในวิหารด้านข้าง คัดเลือกของฝากที่ระลึกจากเด็กๆท้องถิ่นที่พากันมารุมล้อม สุดท้ายก็ได้โพสต์การ์ดสวยๆมาชุดหนึ่ง รีบวิ่งไปหาพี่สามล้อคนเก่าและนั่งรถไปตาม Buddhist Route ถนนที่ขรุขระทว่าแฝงไปด้วยพลังศรัทธาของมหาชน

...ด้วยใจที่เบิกบานระคนตื้นเต้นว่าจะได้พบอะไรอีกข้างหน้า......


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ผ่านการบรรจงประกอบจากธาตุหลายอย่างที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ด้วยความปราณีต ลึกลงไปใต้พิภพบาดาลยังเป็นแหล่งกำเนิดของแร่รัตนชาติสีสันงดงาม มีความหลากหลายสุดแสนจะมหัศจรรย์ ซึ่งมนุษย์ผู้มีปรีชาฌาณและอุตสาหะขุดขึ้นได้มาใช้ประโยชน์

พม่ามีทรัพยาการธรรมชาติอยู่ประการหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากระดับโลกนั่นก็คือ แร่รัตนชาติ ซึ่งได้นำไปแปรรูปเป็นอัญมณีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหินสี พลอยเนื้อดี หยก เพชร ฯลฯ

แต่โบราณ มนุษย์ถือกันว่า แร่รัตนชาติที่ขุดค้นได้ใต้พิภพบาดาลเมื่อผ่านการเจียระไนแล้วย่อม เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูง ถูกนำไปเป็นเครื่องประดับ หรือแกะเป็นสิ่งเคารพบูชาต่างๆ

คนพม่านิยมสร้างพระจากรัตนชาติอัญมณีในประเทศ เหล่านี้เช่นกัน วัดพระหยกขาวมองดูข้างนอกเผิน เป็นวัดเล็กๆ ที่ไม่มีสิ่งวิจิตรตระการตาภายนอกมากนัก แต่ภายในประดิษฐานสิ่งทรงคุณค่ายิ่งใหญ่นั่นก็คือ พระพุทธรูปหินหยก ซึ่งสร้างจากหยกที่ดีที่สุดของรัฐคะฉิ่น ข้างหน้าองค์พระยังมีพระพุทธรูปสามมิติซึ่ง ดูเหมือนว่าไม่ว่าเราจะมองจากด้านไหน พระพักตร์จะทอดพระเนตรมาที่เราเสมอ

ผ่านกาลเวลา และองค์ประกอบที่เหมาะสมของเนื้อแร่ รวมทั้งช่างเจียระไนที่มีความปราณีต หินธรรมดาก้อนหนึ่งยังกลายเป็นอัญมณีทีมีคุณค่าสูง

ปุถุชนเมื่อได้รับการฝึกฝนขัดเกลาเป็อย่างดีเลิศ ย่อมสามารถเข้าถึงฐานะอันประเสริฐไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงประเสริฐกว่าเทวดาและมนุย์ทั้งหลาย

โปรดตามตอนหน้าซึ่งนำเสนอวัดในพม่าเป็นวัดสุดท้าย ก่อนจะพาท่านย้อนกลับมาสักการะพระธาตุในเชียงราย ล้วนแต่น่าปิติใจตลอดเส้นทางค่ะ

ห่างจากพรมแดนไม่มากนัก มีวัดหนึ่งซึ่งเป็นวัดที่สร้างแบบศิลปะมอญผสานพม่า ชื่อ"วัดพระเจ้าระแฆ่ง"

แท้ที่จริงพระเจ้าระแฆ่งคือ"พระมหามุนี" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบกษัตริย์ศิลปะยะไข่ อันซึ่งเป็นรัฐที่มีอาณาเขตติดกับทั้งพม่าและบังคลาเทศ(เบงกอล)

กษัตริย์เมืองยะไข่ในอดีตนับถือพระพุทธศาสนา จนกระทั่งเชื่อว่าแม้แต่ชื่อเมืองหลวงโบราณของยะไข่ยังมีประวัติความเป็นมาจากชาดกทางพุทธศาสนา เรื่องลิงถวายไข่แด่พระพุทธเจ้าเพื่อเป็นพุทธบูชา อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีอาณาเขตติดกับบังคลาเทศ จึงได้รับวัฒนธรรมจากชนชาติมุสลิม เช่นกษัตริย์ยะไข่ในอดีตถึงแม้จะมีชื่อเป็นภาษาอาหรับ แต่ก็ทรงเป็นพุทธมามกะ

พระมณฑปอันเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าระแฆ่งล่วนสร้างจากไม้ตามความถนัดของช่างศิลป์พม่า ประดับด้วย สังกะสีฉลุลายถูกประดับไว้ตามหน้าบรรณอย่างอ่อนช้อยและวิจิตรบรรจง