วันเวลาปัจจุบัน 13 พ.ย. 2024, 12:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2011, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว















.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


แก้ไขล่าสุดโดย หัวหอม เมื่อ 30 พ.ค. 2013, 11:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:18
โพสต์: 105

สิ่งที่ชื่นชอบ: การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง
อายุ: 0
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus238.jpg
Lotus238.jpg [ 3.12 KiB | เปิดดู 4973 ครั้ง ]
รัก..ปรนัย ทำอย่างไรให้รักยืนยาว

เป็นบทความรักดีๆของ น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ที่่เปรียบรักสมัยใหม่ เป็นดั่ง รักแบบปรนัย อยากนำมาแบ่งปันค่ะ

"ปรนัย"..เมื่อนึกถึงเกือบทุกคนที่เคยผ่านการศึกษายุคใหม่มาคงทราบดีว่าหมายถึงอะไร ในการสอบแบบยุคใหม่นั้นมักเป็นรูปแบบ "จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว"

เมื่อเลือกคำตอบแล้ว ในความคิดของคนตอบข้อสอบจะต้องคิดว่าข้ออื่นๆผิดหมด เมื่อเคยชินกับวิธีการคิดแก้ปัญหาเช่นนี้บ่อยๆ ก็เลยทำให้หลายคนเคยชินเกิดความเชื่อมั่นในตนเองแบบที่เลยเถิด คิดว่าตัวเองถูกเสมอ และคนรอบข้างที่คิดเห็นไม่ตรงกันเป็นคนผิด

บางเรื่องอาจมีผลดี แต่หลายต่อหลายเรื่องอาจยึดรูปแบบการตัดสินใจ โดยอาศัยตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้...โดยเฉพาะ เรื่องของความรัก และสัมพันธภาพของคนเรา

จำได้แม่นว่า ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้อวยพรชีวิตคู่ไว้ว่า "ขอให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ขอให้มีชีวิตคู่ที่ยืนยาว ปรองดอง รักสมัครสมานสามัคคีกัน จะทำการสิ่งใดขอให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าถือเฉพาะความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง ขอให้พยายามเข้าใจกันและกัน ไม่เอาแต่ใจตนเอง อดทน อดกลั้น อดออม ถนอมน้ำใจกัน พยายามพบกันครึ่งทางให้ได้แม้ความคิดเห็นจะแปลกแยกกัน" และได้ยึดถือคำสอนของท่านไว้ปฎิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยความสุขกายสบายใจ

การไม่ยึดถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ ไม่ดื้อรั้นดึงดันที่จะทำตามใจตนเองประเภท "ตัวกู ของกู" ที่ท่านพุทธทาสได้สั่งสอนให้ละเสียนั้น ทำให้การครองชีวิตคู่และสัมพันธภาพกับคนรอบข้างเป็นไปด้วยความสงบสุข มีแต่การอ่อนนัอมอ่อนโยนเข้าหากัน มองเห็นแต่ความดีของกันและกัน

นั่นคงจะเป็นเพราะการเรียนการสอนในยุคนั้นเป็นแบบ "อัตนัย" คือการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่มีการหาคนผิด แต่ร่วมมือกันแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยดี

แต่เมื่อความรักเปลี่ยนไปเป็น "รักปรนัย" ความคิดจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นแนวคิดที่ว่า ..."ถ้าเธอรักฉัน เธอต้องทำตามใจฉัน ถ้าไม่ทำตามใจฉันก็แปลว่าเธอไม่รักฉัน"

แถมหลายต่อหลายรายมีแนวคิดเพิ่มขึ้นด้วยว่า ...ทำไมต้องมัวแต่อดทนอดกลั้นอยู่ต่อไป เมื่อไม่ได้ดั่งใจที่หวังไว้ก็แยกทางกันไปทางใครทางมันดีกว่า

เพราะเลือกข้อนี้แล้วผิดหวัง...ก็ยังมีอีกหลายข้อให้เลือก!!!

จนกว่าจะไม่มีใครให้เลือก และต้องอยู่คนเดียวก็ยังคงคิดว่า...เพราะพวกนั้นไม่ดี ไม่รักฉันจริง ไม่ทำตามใจฉัน ไม่เอาอกเอาใจฉัน ก็เพราะฉันเป็นอย่างนี้และจะไม่มีวันเปลี่ยน ถ้ารักฉันก็ต้องเปลี่ยแปลงตัวเองให้มาเข้ากับฉันให้ได้ ไม่ได้ก็แยกกันอยู่ดีกว่า จะทนอยู่ไปทำไม

เดี๋ยวนี้คนเราจึงมีคู่ครองที่ไม่ยั่งยืน เตียงหักกันเป็นประจำ แถมเมื่อเตียงหักแล้วยังทำท่าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่น่าเล่าให้สังคมได้รับรู้มากเลย ว่าฉันเก่ง ถึงเตียงหักแล้วฉันยังคงอยู่ได้ดี มีแฟนใหม่ก็ได้ อะไรก็ดี แต่ไม่เคยนึกย้อนหลังไปเลยว่า เตียงหักเพราะอะไร ปัญหาอยู่ที่ไหน แค่คิดว่าตนเองถูกแล้วอีกคนผิดก็สบายใจแล้ว เชื่อไหมว่าอัตราการหย่าร้างหรือเตียงหักก่อนแต่งงานปัจจุบันนี้ขึ้นไปถึงมากกว่า 55% แล้ว!!!

แถมเป็นแฟชั่นเสียด้วย ว่าขอให้ได้แต่งงาน ขอให้ได้แต่งตัวสวยๆหล่อๆ ได้จัดการแต่งงานที่โก้หรู มีการบันทึกภาพประทับใจเอาไว้ แม้จะต้องหย่าร้างก็ไม่เป็นไรถ้าเลือกคู่ผิด เพราะอย่างน้อยในชีวิตก็ได้แต่งงานแล้ว

นี่จึงเป็นบทเรียนของ "รักปรนัย" รักที่คิดว่าตนเองเป็นใหญ่ ใครๆต้องทำตาม



ถ้าจะเรียนรู้ความรักให้ซาบซึ้งแล้วละก็ เคยถามตนเองไหมว่ารักคนๆนั้นอย่างไร

- รักเพราะอยากจะให้คน ๆ นั้นมีความสุข แบ่งปันความสุขให้แก่กันและกัน

- รักเพราะอยากจะให้คน ๆ นั้นมีใครสักคนอยู่เคียงข้างยามที่เกิดความทุกข์

- รักเพราะอยากจะให้คน ๆ นั้นมีเพื่อนที่คอยปรึกษาแก้ไขปัญหาต่างๆร่วมกัน

- รักด้วยความดีของคน ๆ นั้น เป็นความดีในตัวคน ๆ นั้น และพยายามลดการกระทำที่ไม่ดีของตนเองต่อคนที่ตนรัก

- รักและเข้าใจคน ๆ นั้นในรูปแบบที่เห็นและเป็นอยู่ และไม่พยายามจะเข้าใจในรูปแบบที่ตนเองต้องการหรือฝันเอาไว้ เพราะยากนักที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น แค่พยายามปรับตัวปรับใจให้ยอมรับในความเป็นตัวตนของกันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็น่าจะพอแล้ว

- รักด้วยความเมตตา กรุณา แล้วก็ต้องฝึกการอุเบกขาหรือวางเฉยด้วยในบางเรื่องราวที่ไม่เห็นด้วยและได้ยามแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงแต่ยังทำไม่ได้ ดังนั้นในความรักบางครั้งต้องฝึกทำตาบอดไว้บ้าง อะไรที่ไม่ควรเห็นก็อย่าไปเห็นหรือไปได้ยิน พูดง่าย ๆ ก็คือ นอกจากตาบอดแล้วก็ต้องหูหนวกในบางเรื่องบ้าง

...แต่ถ้าคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ยอมใครเด็ดขาด!!! ...นั้นไม่ใช่ รักปรนัย แล้วล่ะคุณ... แต่เป็น "รักตัวเอง หลงตัวเอง" มากกว่า

.....................................................
“การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง”

เราต่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา...เพราะพระพุทธศาสนาจริง ๆ
ดีได้เพียงนี้ ไม่ดีน้อยกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
ร้ายเพียงเท่านี้ ไม่ร้ายไปกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
เราจะไม่เป็นเช่นนี้
“ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี”
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:18
โพสต์: 105

สิ่งที่ชื่นชอบ: การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง
อายุ: 0
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus108.jpg
Lotus108.jpg [ 3.07 KiB | เปิดดู 4973 ครั้ง ]
มีคนถามเสมอๆ ว่า ทำอย่างไรครอบครัวจึงจะอบอุ่น
มีความรักให้แก่กัน ปรองดองสมัครสมานกลมเกลียว
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
คำตอบนั้น ง่ายมาก...รักกันซิคุณ !! แต่...

...คำว่ารักนั้น แม้ว่าบางครั้งจะเหมือนสัมผัสได้
แต่บางครั้งก็เลือนหายไป โดยไม่สามารถที่จะตามหาพบเช่นกัน
ที่จริงแล้ว แม้ว่าความรักจะเป็นอารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผล
แต่อารมณ์รักนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงของอารมณ์รักมีความสุข

...เช่นเดียวกับการมีอารมณ์ดีที่ทำให้ชีวีเป็นสุข

คนเราทุกคนอยากจะให้คนรอบข้างรัก...
โดยเฉพาะคนใกล้ตัว แต่ถ้าอยากจะให้คนรอบข้างรัก
ก็ต้องให้ความรักพวกเขาก่อน

จะมีความรักได้ จะให้ความรักคนรอบข้างได้ ก็ต้องมีอารมณ์ดี

อารมณ์ดี อารมณ์แจ่มใส...ใจก็เป็นสุข

อารมณ์แจ่มใส ใจเป็นสุข...ใครๆ ก็อยากใกล้ชิด

อารมณ์จะแจ่มใส ใจจะเป็นสุขได้...
ก็ต้องมีความคิดในทางบวก คิดในทางสร้างสรรค์
ที่เรียกกันว่า คิดดี นั่นเอง

แท้จริงแล้ว การคิดดีนั้น เป็นกุศโลบายที่ทำให้ตนเองเป็นสุขนั่นเอง และเมื่อตัวเองมีความสุขเพียงพอแล้ว ก็ย่อมคิดอยากจะให้คนอื่นเป็นสุขตามไปด้วย

ถ้าทุกคนเริ่มมองคนรอบข้างในแง่ดี
ตนเองก็จะเริ่มมีรังสีของความเมตตาแผ่ออกไป...
แทนที่จะเป็นรังสีอำมหิต

เคยลองพิจารณาตัวเองกันดูบ้างไหมว่า
ทำไมเดี๋ยวนี้คิดกันในทางร้าย คิดแต่ในแง่ร้าย
มองคนรอบข้างในแง่ลบเสมอไป

...เป็นเพราะสังคมไทยเรากำลังป่วย

ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารชนิดใดที่ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นทางหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เป็นข่าวไม่ดี
เป็นข่าวที่ทำให้คนได้รับข่าววิตกทุกข์ร้อน
และเมื่อชีวิตประจำวันได้รับแต่สิ่งไม่ดีเหล่านี้แล้ว
ถือเหมือนกับการสะกดจิตหรือล้างสมอง
ให้มีแต่ความคิดในทางร้าย ระแวง
ไม่เชื่อใจ สงสัย ไม่ไว้วางใจ...แม้กระทั่งคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด

ลองถามตัวเองกันบ้างไหม...
ว่าคุณไว้วางใจคู่ครองของคุณมากเพียงใด

และทำไม คุณถึงไม่ไว้ใจ...ไม่คิดถึงในทางที่ดี

คำตอบง่ายมาก...เพราะสังคมของเราป่วย

สื่อมวลชนอาจจะบอกว่า
พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องเสนอข่าวความเป็นจริงให้ปรากฏ และในยุคนี้ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส...ซึ่งก็ถูกต้อง

...แต่ผิดคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า !!

พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสอะไรที่ไม่เป็นความจริง
แต่ถ้าความจริงนั้น จะทำให้ผู้ได้รับฟัง
ได้รับความวิตกทุกข์ร้อนแล้ว พระองค์ไม่เคยตรัส พระองค์ท่านตรัสแต่สิ่งที่ดีงาม ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ได้รับฟังเสมอ คนเรานั้น ไม่จำเป็นจะต้องพูดทุกอย่างที่ตนรู้... แต่จะต้องรู้ทุกอย่างที่ตนพูด
เราคงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมที่ป่วยของเราได้ ภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่เราสามารถที่จะเปลี่ยนหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม คือ 'ครอบครัวของเรา' ได้ก่อน

และเมื่อเราทุกคนทำให้ครอบครัวของเรามีแต่ความรัก ความอบอุ่น ความผูกพันและความเข้าใจกันแล้ว สังคมของเราก็จะเริ่มดีขึ้นจากหน่วยที่เล็กที่สุด

มาคิดดี...พูดดี และทำดี ต่อคนที่เรารักกันเถิด

ที่ควรจะเริ่มเป็นอันดับแรกก็คือ...การคิดดี
ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย ถ้าตั้งใจว่าจะลองทำดู
และจะพยายามทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง

1. เริ่มจากคิดดีแก่ตนเองก่อน
ให้เวลาแก่ตนเองบ้าง
ปลีกเวลาออกจากสังคมที่ป่วยบ้างเป็นครั้งคราว
โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นวันหยุด
ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดต่อเนื่อง
ทำงานให้น้อยลงบ้าง หัดปฏิเสธงานบางอย่างบ้าง
อย่าคิดว่ามีแต่ตนเองเท่านั้นที่จะทำได้
คนอื่นเขาก็อาจจะทำได้ ถ้าเปิดโอกาสให้เขาทำ
เมื่อคุณเริ่มมีเวลาแล้วก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้นในการจะคิดดี...
เช่น คิดดูแลตนเอง รักษาสุขภาพให้ดี ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
จิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน ย่อมจะทำให้อารมณ์ดี และชีวีเป็นสุข

2. มองคนรอบข้างในแง่ดี
การมองคนรอบข้างในทางที่ดีนั้น จะทำให้บรรยากาศที่อยู่นั้นผ่อนคลายหายเครียด เป็นสุข ไว้ใจกัน และเข้าใจกัน
อย่าลืมว่าคนเราส่วนใหญ่ ไม่ได้อยากจะเกิดมาเป็นคนร้ายเสมอไป ยิ่งคนใกล้ตัวของคุณแล้ว ถ้าเขาหรือเธอไม่ดี คุณจะรับรักและมาใช้ชีวิตเป็นคู่ครองหรือ

แล้วทำไมเมื่ออยู่ด้วยกันนานไปๆ จึงมองเห็นแต่สิ่งไม่ดีงามของกันและกัน ตอบตัวเองได้ไหม ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ??
ถ้าพลันคิดได้เมื่อไร ครอบครัวจะเป็นสุขขึ้นมาทันทีเลย

เคยไปถามลุงป้าคู่หนึ่ง ซึ่งชอบท่องเที่ยวทัศนาจรเหมือนผมว่า
ทำไมแก่เฒ่าป่านนี้แล้ว ก็ยังรักกันอยู่หวานแว๋ว
จนหนุ่มสาวทั้งหลายที่ได้เห็น เกิดการอิจฉาริษยา
ท่านตอบว่า เพราะเราสองคนเป็นคนขี้ลืม
จำไม่เคยได้เลยว่า อีกคนทำอะไรไม่ถูกใจ
จำได้เฉพาะว่าอีกคนทำอะไรที่ถูกใจบ้าง
เมื่อเราจำได้เฉพาะความดีงามของคู่ครองแล้ว
ใจของเราก็จะเป็นสุข หน้าตาของเราก็จะแจ่มใส
และอายุก็จะยืนยาว

วันนี้คุณเริ่มต้นด้วยการคิดถึงคนรักคู่ครองของคุณ ในทางดีสักหนึ่งอย่าง และเพิ่มความดีนั้นไปเพียงวันละอย่าง
ตัดความคิดที่ไม่ดีออกไปวันละอย่าง
ไม่นานคุณก็จะมีคนรักคู่ครองที่คิดดีและทำดี

3. ไม่เป็นคนขี้ระแวง
...ต้องตัดความคิดเรื่องระแวงแคลงใจออกจากตัวเอง ให้เร็วที่สุด มากที่สุด
สิ่งแรกที่คุณควรจะทำก็คือ การเลิกรับข่าวสาร
ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เลิกอ่านหนังสือพิมพ์ที่เขียนข่าวแต่ในทางร้าย
เลิกฟังวิทยุหรือชมรายการโทรทัศน์ที่ไม่ประเทืองปัญญา
แล้วยังยุแยงตะแคงรั่วให้เกิดความไม่สมานสามัคคีในสังคม...
แล้วความเป็นคนขี้ระแววของคุณจะลดลง โดยคุณไม่รู้ตัว

4. พาตัวให้ห่างคนที่คิดในแง่ร้าย
มีคำกล่าวมาตั้งแต่โบราณแล้วว่า
คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
พยายามหลีกตัวหนีห่างจากการคบหาสมาคม
กับคนที่มองโลกในแง่ร้าย คนที่ขี้อิจฉาริษยา คนขี้ระแวง
พวกเหล่านี้เป็นกาลกิณีของชีวิต
และจะนำพาชีวิตของคุณให้ต่ำลง
จนจมไปในวังวนของการมองโลกในแง่ร้าย

จริงอยู่ เราไม่สามารถที่จะเลือกคบกับใครได้ตามใจของเรา
แต่เราสามารถที่จะเลือกคบกับใครให้สนิทใจได้
บางคนเราอาจจะคบเพียงผิวเผิน บางคนเราก็ควรจะคบให้ลึกซึ้ง
และคนที่ควรจะคบให้ลึกซึ้ง ก็คือคนที่มองโลกในแง่ดี
และคิดทุกอย่างในทางสร้างสรรค์ ไม่เห็นแก่ตัว
และคิดดีต่อคนรอบข้าง

5. เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เมื่อมีคู่ครองและมีชีวิตคู่แล้ว เคล็ดลับในการครองคู่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
อย่าเอาแต่ความคิดของตนเป็นใหญ่
พยายามคิดในทางที่ดีถึงการกระทำของคู่รักคู่ครองว่า
หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันในความผิดพลาด หรือไม่ได้ตั้งใจ
อย่าพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่ต้องพยายามทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก
อย่าเกี่ยงกันว่า ให้อีกคนทำตามใจเราก่อน
แต่พยายามทำอะไรให้คนใกล้ตัวเกิดความประทับใจ
คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะเกิดประโยชน์อะไรบ้างแก่กันและกัน
ไม่คิดถึงอารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่
แต่พยายามควบคุมอารมณ์ให้แจ่มใส มองในทางที่สร้างสรรค์

6. คิดก่อนพูด
หลายต่อหลายคนที่ชีวิตคู่ต้องอับปางลง
ส่วนหนึ่งเกิดจากพูดก่อนที่จะคิด พูดด้วยอารมณ์
พูดด้วยความมันสะใจ พูดเพราะอยากให้อีกคนได้รับรู้ถึงความโกรธแค้น อาฆาตพยาบาท พูดส่อเสียด พูดจากประชดประชัน ฯลฯ
เหล่านั้นเรียกว่า ปากเป็นกาลกิณี ขอให้เลิกประเภท...
ปากพาไปให้เร็วที่สุด แล้วให้คิดก่อนพูด
จำไว้เสมอๆ ว่า การจะมีความรักให้ต่อกันอย่างยั่งยืนยาวนาน ไม่จำเป็นจะต้องพูดทุกอย่างที่รู้ (ซึ่งอาจจะไม่เป็นความจริงทุกเรื่องเสมอไป) แต่จะต้องรู้ทุกเรื่องที่จะพูดออกไปว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังหรือตัวเองหรือไม่

7. อย่าใช้อารมณ์คิด
ต้องใช้ความคิดในทางที่เป็นเหตุและผล โดยเฉพาะต้องมองเหตุการณ์ทุกอย่างในชีวิตว่า เป็นเพราะเหตุใด จึงเกิดผลของการกระทำนั้น และถ้าปรับเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างแล้ว ต้นเหตุที่ไม่ดีงามอาจจะหายไป และผลดีต่างๆ ก็น่าจะตามมาแทนที่
เวลาที่กำลังมีอารมณ์ไม่ดี อารมณ์ขุ่นมัว อย่าใช้ความคิด
ให้หาทางไปพักผ่อนให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย
ไม่ว่าจะไปเล่นกีฬา พักผ่อน ฟังเพลงสบายๆ
หาบรรยากาศดีๆ สงบๆ ให้เกิดความผ่อนคลาย ก็ได้ทั้งสิ้น
การใช้ความคิด ในขณะที่จิตใจสงบ ในบรรยากาศดีๆ นั้น
ความคิดที่ออกมาจะเป็นไปในทางที่ดีเสมอไป

เห็นไหมว่า แค่คิดแต่เรื่องดี...ชีวีก็จะเป็นสุขแล้ว


ขอบคุณที่มา :: http://porjing.multiply.com/journal/item/93

:b42: กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านนะเจ้าค่ะ ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครองนะเจ้าค่ะ tongue tongue tongue

.....................................................
“การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง”

เราต่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา...เพราะพระพุทธศาสนาจริง ๆ
ดีได้เพียงนี้ ไม่ดีน้อยกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
ร้ายเพียงเท่านี้ ไม่ร้ายไปกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
เราจะไม่เป็นเช่นนี้
“ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี”
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร